บุญธรรม ชาย...ผู้อาภัพ
ผู้เข้าชมรวม
130
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
บุญธรรม ชาย..ผู้อาภัพ
บุญธรรม คือเพื่อนสมัยเรียนของผมที่เป็น คู่รักคู่แค้นกันมา ตั้งแต่ระดับชั้นประถมปลายจนถึงชั้น มศ.3 ผมไม่คุ้นกับครอบครัวของบุญธรรมมากนัก รู้แต่ว่าบ้านของบุญธรรม อยู่ใกล้บ่อนไก่และใกล้วัดอนุบรรพต บุญธรรม มีบุคลิกเป็นคนร่างเล็ก คล้ำ พูดน้อย เรียบเฉย เรียนเก่ง พ่อแม่ของบุญธรรม มีอาชีพเผาถ่านขาย เขาจะขอเศษไม้ที่โรงเลื่อย ซึ่งเป็นโรงงานแห่งเดียวของอำเภอ อรัญประเทศ เศษไม้ในแต่ละวันมีมาก ชาวบ้านแถวนั้น จึงต้องมีอาชีพเผาถ่านขาย ก็นับเป็นเรื่องที่ดี ที่โรงเลื่อยได้เอื้ออาทรกับชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้น คนงาน คนขับรถในโรงเลื่อย มีเป็นร้อยๆ คน บ่อยครั้งที่ผมจะนำขนมไปขายในบ่อนไก่ เมื่อผ่านโรงเลื่อย ก็ถือโอกาสเข้าไปขายเสียก่อน เผื่อฟลุ๊คๆ ขนมที่นำไปขายหมดเกลี้ยง จะได้กลับไปรับมาเพิ่ม วันไหน ดวงดี มีกำไรมากหน่อย ก็ได้เอาเงินมาหยอดกระปุก เพิ่มเป็นทวีคูณ
บุญธรรม เรียนจบ ป.4 จากโรงเรียนเทศบาลวัดเขาน้อย แล้วได้มาเข้าเรียนต่อชั้นประถมปีที่ 5 ที่โรงเรียนประจำอำเภอ การแบ่งชนชั้นและเลือกคบเพื่อน สำหรับตัวผม ไม่เคยคิดและไม่มีสิทธิจะคิด เพราะตัวผมเองเป็นครอบครัวคนหาเช้ากินค่ำ ส่วนใหญ่เพื่อนๆ ที่อยู่ห้องแถวตลาดย่านการค้า ที่เป็นลูกพ่อค้า แม่ค้า มักจะมองตนเหนือกว่าเพื่อนๆ ชาวบ้านทั่วไป ที่มีฐานะไม่ดีนัก อย่างเช่น คนที่อยู่หมู่บ้าน บ้านอรัญ บ้านจันตคาม บ้านโคก บ้านกิโลสอง บ้านเขาน้อย จะต้องถูกเหยียดว่าเป็นพลเมือชั้นสอง ส่วนใหญ่เด็กที่อยู่นอกเขตเทศบาลจะเป็นลูกเกษตรกร ทำไร่ ทำนา ทำสวน และหาของป่า
การคบเพื่อนของผมส่วนใหญ่ มักจะไม่ได้คบกับกลุ่มเด็กฐานะดี ที่อยู่ย่านการค้า ยกเว้นเสรี กับสิทธิผล เท่านั้น เนื่องจากสองคนนี้ เรียนห้องเดียวกันกับผมมาตั้งแต่ ป.3 จนเรียนชั้น มศ.3 ทั้งสองคนจึงเป็นเพื่อนสนิท ไม่แพ้บุญธรรม
ในชั้นเรียนที่มักจะมีเรื่องชกต่อยกับผมตลอดเวลา คือ บุญธรรมกับสิทธิผล (หรือไอ้เส็ง) ในวัยเด็ก การชกต่อย บางครั้ง มันเรื่องศักดิ์ศรี เพื่อนบางคนอยากเห็นเราชกต่อยกัน ก็จะมายุแยง ให้เราเกิดความเข้าใจผิด
“ไอ้ธรรม มันบอกมึงกระจอก ไม่กล้าสู้มันหรอก” สมยศ มากระซิบ บอกผม จากนั้นเขาก็ไปพูดกับบุญธรรม
“ไอ้ริน มันว่ามึงกระจอก ไม่กล้าสู้มันหรอก” คนเดิม พูด
นี่คือศักดิ์ศรีของชายชาตรี ที่ว่า .... ฆ่าได้ หยามไม่ได้ ของผมกับบุญธรรม ในระหว่างการเรียน กฎกติกาที่เข้มงวดของครูได้ประกาศไว้คือ
“ผู้ใดทะเลาะ ชกต่อยกัน ทั้งในชั้นเรียน หรือนอกชั้นเรียน หากครูรู้ หรือมีเพื่อนมารายงาน ผู้ถูกกล่าวโทษ จะต้องถูกลงโทษ ตามกรณีความหนักเบา ของการกระทำความผิด”
“มึงบอกมันเลยว่าเย็นนี้ เจอกัน.. หลังจากกู ทำเวรเสร็จ” ผมบอกสมยศ ผ่านไปบอกบุญธรรมอีกครั้ง
เจ้าบ่างช่างยุตัวดี รีบแจ้นนำเอาคำท้าทายของผม ไปบอกบุญธรรมทันที
“ไอ้ธรรม ไอ้ริน มันบอก.ถ้ามึงแน่จริง อย่าหนีนะ... ถ้ามึงกลับก่อน ถือว่าปอดแหกและเป็นไอ้หน้าตัวเมีย” สมยศกล่าวเท็จ เพื่อให้บุญธรรม โกรธผมหนักมากขึ้น
จริงๆ แล้ว แม้เราทั้งสองคน จะเคยต่อยปากกันบ่อย ๆ แต่ต้องยอมรับว่าวันนี้ ผมรู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย เนื่องจากดูสีหน้าของเขาค่อนข้างจริงจัง
บุญธรรม คงยังฝังรอยแค้นสะสมและรอวันแก้มือ เพื่อเอาชนะผมให้สำเร็จสักวัน หลังจากผมทำ (เวร) ความสะอาดเสร็จ เพื่อนๆในกลุ่มทำเวร บางคนได้เดินทางกลับบ้านเพราะเขาไม่ทราบว่าจะมีมวยฟรีให้ชม การนัดหมายเพื่อเคลียร์ ล้างตาของฝ่ายบุญธรรมกับผม มีคนรู้...ไม่กี่คน.. สมยศ ซึ่งทราบดีว่าไอ้เส็งกับผมไม่ค่อยกินเส้นกันได้ไปบอกให้ไอ้เส็ง รอดูชั้นเชิงมวย ที่ผมจะต่อยกับบุญธรรมในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
“ไอ้เส็ง.. มึงต้องเชียร์ ไอ้ธรรม นะโว้ย” สมยศ พูด
“แน่นอน กูต้องเชียร์ ไอ้ธรรม อยู่แล้ว กูต้องการให้ไอ้ธรรมล้างตา และเอาชนะไอ้รินให้ได้เพราะครั้งก่อน กู...สู้มันไม่ได้”
เมื่อผมกับไอ้ธรรม เจอกันแล้ว สมยศ ผู้ที่ต้องการเห็นเราทะเลาะวิวาท ก็เจ้ากี้เจ้าการ ให้เราสองคน เตรียมที่จะฟาดปากกัน
“พร้อมยัง.. ไอ้ริน ไอ้ธรรมด้วย” สมยศ พูด
“พร้อมเสมอ.. โว้ย” บุญธรรมพูด
“กูพร้อม ยิ่งกว่าพร้อมสียอีก” ผมพูดทับถมเพื่อน
การประลองยุทธ์ของเรา ไม่ต้องมีกรรมการ สมยศ กับ ไอ้เส็ง มีหน้าที่ดู และคอยเป็นกลางเท่านั้น ครั้นเมื่อเราพร้อม ด้วยสัญชาติญาณของนักสู้ ที่ไม่ต้องมีใครบอกคือ การปล่อยอาวุธก่อน (มันคือการได้กำไร ) ผมทักทาย ด้วยการเตะทักทายไปเบาๆ เพื่อเตือนให้คู่ต่อสู้ ออกอาวุธออกมาบ้าง บุญธรรม ออกแข้งบ้าง ผมตั้งการ์ดโดยยกเข่ากัน จากนั้น ทั้งคู่ก็โรมรันพันตู ผมรู้ดีว่า บุญธรรม ถนัดแต่การออกหมัด การที่ผมมีอาวุธทุกรูปแบบ จึงได้เปรียบเขา เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก....หลังจากแยกตัวจากกัน บุญธรรมได้ มีเลือดกำเดาออกที่จมูก
“ฮือๆ ไอ้ริน ต่อยกู เลือดไหลเลย” บุญธรรม ฟ้องคู่ต่อสู้ และคนดู
“กูไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ โว้ย” ผมพูด
“ไปไอ้เส็ง พาไอ้ธรรมไปที่ก๊อกน้ำ ล้างหน้า” สมยศพูด
สิทธิผล พาบุญธรรม ไปที่ล้างมือและที่ดื่มน้ำของโรงเรียน ที่เป็นรางปูนยาว ผมเดินตามไปด้วยความห่วงใย
“ไอ้ธรรม..กูขอโทษ”
“มึงไม่ต้องมาพูด”
“เฮ้ยลูกผู้ชายเกมจบ ก็ถือว่าจบ.. สิวะ.. ครั้งหน้าหากว่า ยังมีข้อสงสัย ก็แก้มือกันใหม่” ผมพูด
“ได้ ..กูจะต้องแก้มือกับมึงอีก.. ไอ้ริน วันพระไม่ใช่มีแค่ครั้งเดียว” บุญธรรมพูด
“ยินดีโว้ยเพื่อน กูพร้อมเสมอ ครั้งหน้ากูให้มึงสองคนกับไอ้เส็งเลย เอามั้ย... มึงไปคุยกับไอ้เส็ง พร้อมเมื่อไหร่นัดกูมา”
“โอเค” บุญธรรม พูด
ชีวิตในวัยเด็ก มีดี มีโกรธ กันบ้าง กระทบกระทั่งกระทั่ง กันบ้าง ถูกเพื่อนยุ ให้ทะเลาะกันบ้าง หลากหลายจากคำท้าของผมหนึ่งคน กับให้ ฝ่ายบุญธรรมมีสองคน ก็ถึงวันนัดหมาย สมยศ มาทำหน้าที่เป็นกรรมการห้าม กติกามีอยู่ว่าให้ฝ่ายสองคนส่งใครมาต่อกรกับผมก่อนก็ได้ หากฝ่ายบุญธรรมคนแรกสู้กับผมไม่ได้ ก็ให้ส่งคนที่เหลือมาต่อสู้กับผม วันนั้นผมสามารถปราบทั้งสองได้อยู่หมัด.. หลังเสร็จการดวลหมัด เราได้จับมือ และสัญญาว่า พวกเรา จะไม่ทะเลาะกันอีกต่อไป
บุญธรรม จบ มศ.3 แล้ว ว่างจากการเรียน 1 ปี เขาได้ช่วยพี่สาวค้าถ่าน ซึ่งเป็นกิจการที่ช่วยเลี้ยงครอบครัวได้ ช่วงบุญธรรมเรียนชั้นประถมและมัธยม ผมชวนเขาให้มารับขนมที่บ้านผมไปขาย อย่างน้อยมันก็มีรายได้เป็นของตนเอง
“มึงเดินเข้าไปขายที่สถานีรถไฟก่อน จากนั้นมึงก็เข้าไปขายในโรงเลื่อย ขากลับมึงผ่านโรงพยาบาล ก็แวะเข้าไปขาย รับรองหมดแน่” ผมแนะนำบุญธรรม
หลังจากบุญธรรมว่างจากการเรียนไป 1 ปี ..ปีการศึกษาต่อมา โรงเรียนอรัญประเทศ ได้เปิดทำการสอน ม.ปลาย ขึ้นเป็นครั้งแรก บุญธรรม จึงสมัครเข้าเรียน มศ.4 เป็นรุ่นแรก หลังจบ ม.ปลาย เขาได้สมัครสอบเป็น ผู้ช่วยพยาบาล และได้ทำงานที่โรงพยาบาล ผมไม่ได้ติดต่อกับบุญธรรมอีกเลย
ช่วงผมทำงานแล้ว และกลับไปเยี่ยมแม่ ช่วงเวลาสั้นๆ (ปิดเทอม) ผมจะแวะหาเพื่อนเก่า ในใจก็อยากพบบุญธรรม แต่ช่วงนั้นบุญธรรม ย้ายที่ทำงานจากอำเภออรัญฯ ไปอยู่อีกอำเภอหนึ่งผมจึงไม่ได้พบเขา
ในวันหนึ่งเพื่อน ที่ชื่อพินิจ ทราบข่าวว่าผมกลับมาเยี่ยมบ้านที่อรัญประเทศ เขาได้ขับรถยนต์มารับผม เพื่อไปหาเพื่อนๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ และผมได้พบกับเพื่อนชื่อชูชาติ ที่มีบ้านใกล้กับบุญธรรม
“ไอ้เหี้ยธรรม แม่งเพี้ยน แล้วล่ะ ไอ้ริน” ชูชาติพูด
“กูไม่เคยเจอมันเลย ตั้งแต่เรียนจบ แล้วไอ้ธรรม มันมีครอบครัวหรือเปล่า” ผมถามพินิจ กับชูชาติ
“มีสิ เมียมันก็ทำงานที่โรงพยาบาล เหมือนกัน นี่ก็เพิ่งหย่ากันได้ไม่นาน” พินิจพูด
“โอ้โห.. ชีวิตมันเป็นได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ” ผมถาม
“ใช่สิ วะ” ชูชาติตอบ
พินิจ เป็นคนขับรถ ชูชาติ นั่งประกบอยู่ด้านหน้า ผมนั่งด้านหลัง ตรงประตูด้านขวา ขณะพินิจขับรถพาพวกเรากินลมชมวิว ก็มองกระจกเพื่อมองรถด้านหลังที่ตามมา ปากก็สนทนากับชูชาติบ้าง ไปตามเรื่องตามราว บางครั้ง ก็ซักถามเรื่องส่วนตัวของผมบ้าง
“ พินิจ นายเจอไอ้ธรรม บ้างมั้ย” ผมถาม
“เมื่อก่อนมันมาหาเรา แทบจะทุกวันเลย ล่ะ” พินิจตอบ
“ไอ้เหี้ย นี่ แม่งประสาทแดกว่ะ..ไอ้ริน” ชูชาติ พูด
“ ประสาทไงเหรอ เพื่อน” ผมถาม
“ก็แม่ง คอยหวาดระแวง ว่าเมียมีชู้ ตลอด แล้วใครจะอยู่กับมันได้” ชูชาติพูด
“ช่วงหนึ่ง มันแวะไปหาเรา ที่โรงเรียนกิโลสอง ท่าทางวอกแวก จนครูที่โรงเรียนถามว่า เจ้าคนนี้ เป็นใครเหรอ” พินิจพูด.... เขาหยุดนิ่งไปชั่วครู่
“เราบอกว่า เป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนชั้นประถม และมัธยมด้วยกัน พวกเขาจึงไม่ว่าอะไร” พินิจพูด
เพื่อนของผมที่มาด้วยกันในวันนี้ เวลานี้.. มีบุคลิกที่แตกต่างกันดังฟ้ากับเหว ชูชาติมีบุคลิกห้าว ขวานผ่าซาก บ้าระห่ำ อดีตเขาเป็นนักดื่มเหล้า เสมือนว่าตนมีหุ้นส่วนในโรงเหล้าด้วย ชูชาติกะโหลกยุบ หน้าตาผิดรูปไปจากเมื่อก่อนมาก ใครๆ ที่พบเขาในวันเกิดอุบัติเหตุ คิดว่าชูชาติ คงไม่รอดแน่ สำหรับพินิจเป็นคนสุขุม พูดน้อย หากไม่ใช่คนสนิท เขาจะไม่คุยด้วยเลย ผมสนิทกับพินิจมาแต่ไหนแต่ไร เนื่องจากเราเรียนด้วยกันตั้งประถมต้น ยันเรียนชั้น ม.ต้น (10ปี)
“ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิว่า เมียไอ้ธรรม ขอหย่าด้วยเหตุผลใด” ผมรบกวนให้พินิจเล่าเรื่อง เพื่อจะได้ทราบต้นสายปลายเหตุ
“ไอ้ธรรม มันเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ส่วนเมียของมัน ทำงานที่อนามัยตำบล ปกติเมียมันจะกลับมาหามันที่บ้านทุกๆ วันศุกร์ แต่บางครั้ง เขาติดภาระงานและไม่ได้กลับมา มันก็ไปต่อว่าจนมีปากมีเสียงกัน” พินิจ พูด
“ไอ้ห่า เขามีงานยุ่งๆ มันก็เที่ยวหวาดระแวง ว่าเขาจะนอกใจมัน” ชูชาติพูด
“แล้วมันกับเมีย มีลูกด้วยกันมั้ย” ผมถาม
“มันจะมีน้ำยาอะไร ไอ้ธรรม เขายอมเป็นเมียมัน เพราะสงสารมันหรอก หน้าตามันยังกับจรวด” ชูชาติพูดดูแคลน
“จริง เมียไอ้ธรรม เป็นคนดีนะ ตามที่เราเคยไปเที่ยวหาไอ้ธรรม ที่บ้านข้างโรงเลื่อย” พินิจพูด
“ทำไงดี จะช่วยแก้ไข สถานการณ์ให้ไอ้ธรรม ล่ะตอนนี้” ผมออกความเห็น
“มันเสมือนผีบ้าไปแล้ว แม่งเดินบ่นอยู่คนเดียว ใครมองหน้ามัน มันก็ว่าเขาหาเรื่องมัน” ชูชาติพูด
“อ้าว.. แล้วมันยังทำงานอยู่หรือเปล่า” ผมถาม
“ทำห่าอะไร.. ล่ะ นี่หลวงเขาสงสารมัน.... ให้มันลาออกไป ก่อนที่เขาจะไล่มันออกจากงาน แม่งเวลาทำงาน ก็ไปที่ทำงานเมีย นั่งเฝ้าเมียตลอดเวลา แล้วเขาจะมีสมาธิได้อย่างไร ไอ้รินมึงลองคิดดู” ชูชาติพูด
ชูชาติ พูดมาถึงตอนนี้ มันทำให้ผมมองเห็นภาพ เขาได้ชัดเจน ที่เป็นใบหน้า ยักษ์ไม่รู้จักยิ้ม ผมคิดว่าคนไข้ ที่มาอนามัย คงหมดอารมณ์ ที่จะเข้ามาติดต่อรักษาอาการเจ็บป่วยแน่
“ไม่น่าเชื่อเลย ว่าจะเป็นชีวิตของไอ้ธรรม” ผมคิดในใจ รู้สึกนึกสงสารเพื่อนเก่าในเยาว์วัย
ก่อนวันที่ผมจะกลับมาลำปาง ได้ลองแวะ ไปหาเขาอีกครั้ง หวังว่าอาจฟลุ๊ค ก็อาจเป็นไปได้
“ไอ้ธรรมๆๆๆ” ผมตะโกน เรียกเพื่อน
ประตูบ้านถูกแง้มออกมา อย่างช้าๆ..... หน้าตาของเจ้าของบ้านเรียบเฉย ดังทองไม่รู้ร้อน ไม่ยินดี ยินร้ายกับใคร
“เฮ้ย..มึง ยังไม่ตายเหรอ” ชูชาติเปิดฉาก อย่างกันเอง
“พวกมึงมากัน..ทำไม กูไม่มีเพื่อนหรอก กลับไป..มาทางไหนไปทางนั้นเลย” บุญธรรมพูด จากใบหน้าที่เขาพูด.. คงไม่ต่างจากที่ผมเคยเห็น.. เมื่อครั้งในวัยเด็ก
“กูพาไอ้ริน มาเที่ยว หามึง” พินิจ พูด
“ไหน ไอ้ริน อยู่ไหน มึงอย่ามาโกหกเลย...ไอ้นิจ มันอยู่กรุงเทพ นะ มึงอย่ามาหลอกกูเลย” บุญธรรม พูด
“จริง. มันนั่งอยู่ในรถ”พินิจ พูด
“ให้กูเห็น ตัวเป็นๆ มันก่อน กูถึงจะเชื่อ” บุญธรรม พูด
“ไอ้รินๆ ปรากฏตัว ให้ไอ้เหี้ยธรรม ดู เร่ว” ชูชาติ พูดวาจาสุนัขไม่รับประทาน
ผมค่อยๆ เปิดประตู แล้วเดินลงโชว์ตัว ให้เจ้าบ้านเห็นจริงๆ จริงๆ แล้วเรานัดหมายกันไว้แล้ว ว่าจะดำเนินการอย่างไร
“หวัดดีเพื่อน” ผมทักเจ้าบ้าน
“อ้าว ไอ้ริน จริงด้วย ไอ้แม่ง คนกรุงเทพ ได้ข่าวเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แม่ง..คงไม่รู้จักเด็กบ้านนอกอย่างกูหรอก” บุญธรรมพูด ทำนองน้อยใจ
“เบาๆ หน่อยไอ้สัตว์ มันมาหามึงทุกวัน แต่มึงเสือกไม่อยู่เอง ว่างมากหรือไง เที่ยวตะลอนเป็นผีบ้า” ชูชาติ พูดไม่เกรงใจ
“สบายดี.. นะเพื่อน” ผมถามไถ่ ด้วยความเป็นห่วง
“แล้วมึงเห็นว่า กูสบายมั้ยล่ะ ถามกวนตีนแท้ๆ” บุญธรรมย้อนเกล็ด
..............................................................................................
ผมหยุดนิ่งไปขณะหนึ่ง ไม่นึกว่าจะโดนเพื่อนใช้วจีเด็ด ย้อนศร จนสะอึก. แต่ไม่ได้นึกเคืองเขาเลยสักนิด เพราะพอจะทราบอารมณ์ของเขาในเวลานี้
“มึงนึกไง มาหากู.. ร้อยวันพันปี กูไม่เคยเห็นมึงมาเยี่ยมหากูเลย” บุญธรรมพูด
“จริงๆ กูก็เคยมาหามึงหลายครั้งนะ กูพยายามถามไถ่เพื่อนๆ ว่าไอ้ธรรมอยู่ไหน ทำงานอะไร แต่กูก็ไม่ได้คำตอบ ที่ชัดเจนแน่นอน” ผมพูด
“อย่าตอแหล เลย กูไม่เชื่อ”
“มึงมาหากูก็ดีแล้ว กูขอเบอร์โทรไว้ เผื่อกูจะได้โทรไปคุยด้วย” บุญธรรม พูด
“ไอ้เหี้ย มึงจะไม่เชิญ พวกกูเข้าบ้านเลยเหรอ ไอ้สัตว์” ชูชาติพูด
ทุกครั้งที่เขาพูด ต้องมีสรรพสัตว์ ชนิดต่างๆ นำหน้าและปิดท้ายเสมอ ซึ่งผมคิดว่า วันใด.. ชูชาติไม่ได้กล่าวถึงเหล่าบรรดาสัตว์ ชนิดดังกล่าว วันนั้น...คงเป็น กาลอวสานของชีวิตเขาแน่นอน
“มีตีน..ก็เดินขึ้นมา สิวะ ใครไปห้ามมึง” บุญธรรม พูด
“พอดีวันนี้ กูจะกลับลำปางแล้วล่ะ เพื่อน” ผมบอกเขา
“ไอ้ห่า.. อย่าเพิ่งกลับ สิ กูยังนึกถึงมึงเสมอนะ มึงกับกูนี่ คู่กัดกันตลอด” บุญธรรม รื้อฟื้นอดีตขึ้นมา
“มึงไปเชื่อไอ้ยศมัน... นี่มันยุ ให้เราสองคนต่อยกัน มันจะได้ดูมวยฟรี ไอ้เหี้ย เสียรู้มันตลอด” ผมพูด
“มึงก็ไม่ต้องโทษกู มึงก็ด้วย เหมือนกัน” บุญธรรมพูด
จากการสนทนา ผมสังเกตดูเขา ก็เป็นปกติดี ไม่มีท่าทีว่าเขา จะวิตกจริต หรือสติฟั่นเฟือน คำพูดคำจา ก็ไม่แตกต่างจากวัยเด็กที่ผมเคยสัมผัสมา
“กูจองตั๋วไว้ล่วงหน้าแล้ว คงเปลี่ยนตั๋วไม่ทันไว้โอกาสหน้า กูจะมาหามึงใหม่นะ” ผมพูด
“เขียนเบอร์โทรศัพท์ ให้กูหน่อยสิวะ กูมีปัญหาอะไร จะได้โทรคุยกับมึง” บุญธรรมพูด
ผมหยิบปากกา จากกระเป๋าเสื้อแล้วเรียกหากระดาษ จากเจ้าบ้าน
“ขอกระดาษ ให้กูหน่อย”
“เอา.. นี่ กระดาษ”
ผมคุยกับเขาอีกประมาณ 5 นาที จึงขอตัวกลับ จากที่ผมมองเข้าไปในบ้าน สภาพบ้านดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนอยู่ เพราะของที่วางไว้ตามจุดต่างๆ ไร้การดูแลและจัดเก็บให้เข้าที่เข้าทาง
“นี่เบอร์กู” ผมบอกบุญธรรม
“สรุปมึงอยู่ไหนกันแน่ บางคนบอกว่า มึงทำงานกรุงเทพ”
“กูเขียนให้แล้ว สถานที่ทำงาน เบอร์โทรมือถือ” ผมพูด
“แล้วมึง จะไม่ขอเบอร์กูคืนบ้างเหรอ” บุญธรรม พูดอารมณ์น้อยใจ
“ก็เขียนมาสิ กูจะไปว่าอะไรมึงเล่า”
.......................................................................................
ก่อนเที่ยงพินิจมารับผมไปสถานีรถไฟอรัญประเทศ กำหนดเวลาการเดินรถไฟจะออกจากสถานีอรัญประเทศ 11.45 น.
“ขอบคุณมากเพื่อน ที่ได้สละเวลามาส่งเรา” ผมพูด
“ไม่เป็นไร” พินิจ ตอบ..
.........................................
....................ผมกลับมาถึงลำปางได้เพียงสามวัน...
กริ๊งๆ ๆๆๆๆ โทรศัพท์ดังขึ้น ผมรีบรับสายทันที เบอร์ที่เรียกเข้ามา ไม่ค่อยจะคุ้นนัก
“ไอ้เหี้ย... ริน กูรอมึง.. นึกว่า มึงจะโทรหากู ..แม่งเงียบเลยนะ ต้องให้กูโทรมาหามึงก่อนใช่เปล่า” ต้นสาย ที่โทรทักทายมีอารมณ์ขุ่น แน่นอนน้ำเสียงที่ผมฟัง ย่อมจำได้ดี เพราะเพิ่งมีโอกาสคุยเขามาไม่นานนี้
“ใจเย็นๆ โว้ย ไอ้ธรรม มีอะไรรีบด่วน เหรอ”
“ไอ้เหี้ยต้องให้กูรีบด่วนก่อน จึงโทรใช่มั้ย.. มึงรังเกียจคนบ้านนอกอย่างกูหรือไง” บุญธรรม เปิดฉาก
“เฮ้ย ยังไม่ได้พูดอะไร สักคำ”
“กูแค่โทรมาคุย ถามสารทุกข์สุกดิบ ถามหน่อยว่ะ ทำไม คนอรัญฯ มันมองกูด้วยสายตาแปลกๆ ทั้งๆ ที่กูก็ไม่ได้ทำอะไรพวกมันเดือดร้อนสักนิด” บุญธรรม ฟ้อง
“คงเห็น มึงหล่อมาก มั้ง เพื่อน” ผม เย้าเขา
“ไอ้เหี้ย ว่าแดกกูแล้ว มึงก็อยู่ในกลุ่มที่มองกู แปลกๆ ใช่ม่า.. ไอ้ริน”
“ไม่หรอก มึงก็เป็นไอ้ธรรม.. เพื่อนกู เสมอแหละ”
“นี่กูหย่ากับเมียกูแล้วล่ะ อยู่คนเดียว แม่งโคตร เหงาว่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น”
“ กูหวงเขา คอยไปสอดส่องจับผิดว่าเขา จะไปคบกับใคร หรือเปล่า”
“แล้วมึงไประแวงเขา ทำไม”
“ ก็เมียกู หน้าตาดี นี่”
“มึงน่าจะทำเกินไป เขาจึงจึงต้องขอหย่า”
“ไม่รู้สิ เป็นมึง..จะทำไง”
“กูก็คุยด้วย เหตุด้วยผล ก็รับฟังกันและกัน”
“มึงไม่เป็นกู ก็คงไม่รู้หรอก”
“จริง กูให้กำลังใจ ค่อยๆ ปรับตัวและทำใจ คิดว่าเราทำบุญร่วมกันมาแค่นี้”
พูดได้มาแค่นี้ เสียงสะอึกสะอื้นของไอ้ธรรม พร้อมคำพูด ที่ผมจับประเด็นอะไรได้ไม่ชัดนัก
“ใจเย็นโว้ยเพื่อน มึงค่อยๆ ปรับอารมณ์ และยอมรับสภาพความจริง ลดความหึงหวง วันหน้าเขาอาจ กลับมาอยู่ด้วยกับมึงใหม่ก็ได้”
“หย่ากันแล้ว และเขาก็ทำเรื่องย้าย ไปต่างจังหวัด เพื่อจะได้ไม่อยู่ใกล้กับกู”
บุญธรรมโทรหาผม อีกสองครั้ง จากนั้น ก็เงียบหายไป.. จนวันนี้..
(๑๐ ก.ค. ๖๕)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น