บ้านร้าง...ริมห้วย
ผู้เข้าชมรวม
126
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
บ้านร้าง..ริมห้วย
เมื่อเกือบ 50 ปี ที่แล้ว สมัยที่ผมยังเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 7 ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ของช่วงปิดเทอมปลาย ผมนัดกับเพื่อนสนิท คือ ตึ๋ง
ตึ๋ง เป็นลูกคนที่สองของครอบครัว พ่อของตึ๋ง เป็นครูประชาบาลที่สอนติดกับแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครอบครัวนี้มีลูกเป็นชายล้วนๆ ทั้ง 4 คน ลูกสุดท้องของครอบครัวนี้ เป็นแฝดเหมือนชื่อใหญ่ และรอง ตึ๋ง เป็นคนพูดน้อย แต่เขามีความถนัด ในการใช้อุปกรณ์จับปลาชนิดต่างๆ บ่อยๆ ครั้ง เขาจะชวนผมให้ไปหาปลาที่ริมห้วย บริเวณใกล้ป่าช้า
ในอดีต อำเภออรัญประเทศ คืออำเภอ ติดแนวชายแดน ที่ยังไม่เจริญ เหมือนตัวจังหวัด จากบ้านผมเดินไปที่บริเวณริมห้วยพรมโหด มีระยะทางประมาณ 2.5-3 กิโลเมตร เราเดินเท้าไปยังจุดหมายที่ตั้งใจจะไปทำเบ็ดราว ประมาณ 30-40 นาที บริเวณริมห้วยพรมโหดข้างวัดเกาะ ในอดีต แทบจะนับหลังคาเรือนได้ บ้านที่ปลูกอาศัยในเส้นทางถนนเลียบริมห้วย มีไม่เกิน 5 หลัง หลังแรกคือ บ้านของน้าบรรเจิด เจ้าของโรงหนังซึ่งเปิดวิกเป็นเจ้าแรก ของเมืองอรัญ ที่ได้สร้างฐานะความร่ำรวยให้เขากับครอบครัว และต่อมาน้าบรรเจิด ก็จำต้องต้องขายโรงหนังไปให้กับ ธนาคารแห่งหนึ่ง เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ทำให้คนเข้าไปชมหนัง ในโรงน้อยลงมาก จนขาดทุนกำไร
ถนนเลียบริมห้วย เส้นทางไปบ้านน้าบรรเจิด เป็นป่า ยาง ตะเคียน ป่าไผ่ ทึบหนาแน่น ช่วงปิดเทอม น้ำห้วยลดลงไปมาก จนบางช่วงบางตอน มีเนินทรายและหินเป็นทางยาว ตึ๋งกับผม ได้เลือกสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ดูว่าเหมาะกับการวางเบ็ดราว จึงได้ปรึกษากันว่า ตรงไหนควรจะวางเสาหลักไว้ จากนั้นเราจึงเข้าไปตัดต้นไผ่ เป็นท่อนๆ มีความยาวท่อนละประมาณ 1.50-2 เมตร แล้วหาหินพอเหมาะมาตอกหลักลงในพื้นดิน.. เป็นหลักหัว-ท้าย และตรงกลาง เพื่อที่จะผูกเชือกไนล่อน อันเป็นสายหลัก ที่ต้องมีความแข็งแรง ทนทานต่อการที่อาจจะถูกปลาใหญ่กินเบ็ดและลากไป
ประมาณ ไม่เกิน 15 นาทีต่อมา.. เราก็ดำเนินการตอกเสาหลักจนเรียบร้อย ผมเอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ด เหยื่อที่ใช้ ได้แก่ แมลงแกลบ กุ้งฝอย และไส้เดือน บางครั้งจับตั๊กแตน หรือแมงกะชอนเป็นเหยื่อ สายเบ็ดที่จะมาแขวนที่ราว มีความยาวประมาณ 40-50 เซนติเมตร ตึ๋งกับผมช่วยกันเอาสายเบ็ดไปผูกที่ราวห่างกันประมาณ 40- 50 เซนติเมตร เมื่อครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ก็เดินเข้าไปในป่าแถวๆ นั้น เพื่อยิงนกชนิดต่างๆ ฆ่าเวลา ต้องบอกว่า.. เส้นทางที่เราไปนี้ ตลอดเวลากว่าครึ่งวัน ที่เราอยู่ในจุดนั้น ไม่มีคนผ่านไปผ่านมาให้เห็นเลยแม้แต่คนเดียว ในป่า คงได้ยินแต่เสียงจั๊กจั่น กรีดเสียง จนหนวกหู
ธรรมดาประสาเด็กซุกซน เราเดินผ่านที่ดินของใคร ก็จะแวะดูโน่นดูนี่บ้าง เจอนกก็ยิงนก เจอมะม่วงป่า ฝรั่ง พุทรา หรืออื่นๆ ที่กินได้ ก็จะเก็บมาตุนไว้ขบเคี้ยว ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ความเงียบ ก็จะยิ่งเงียบมากขึ้นเท่านั้น จากบ้านน้าบรรเจิดเข้ามาระยะทางเกือบ 300 เมตร เราเพิ่งมาถึงบ้านหลังที่สาม ครั้นมาถึงหลังที่ 4 ดูด้วยสายตาแล้ว พอจะสันนิษฐานว่า บ้านนี้ น่าจะเป็นบ้านร้างแน่นอน เพราะดูสภาพของบ้าน มีแต่หยากไย่ ที่พันกัน ฝุ่นที่ติดกับฝาบ้าน ติดเป็นแผ่นคราบ เสาเรือนบางเสา มีสภาพโอนเอน หลังคาบ้านที่มุงด้วยหญ้าคา ดูแห้ง และแหว่งไม่เต็มแผ่น มีคราบราขึ้นจนเป็นสีดำ ต้นไม้บางต้น ดูแล้วเหมือนขาดการดูแลเอาใจใส่ หน้าต่าง เปิดออก บันไดบางขั้นก็ชำรุด
“เฮ้ยตึ๋ง บ้านนี้ กูว่า ไม่มีคนอยู่แหงๆ” ผมพูดกับเพื่อน
“กูก็ว่างั้นแหละ” ตึ๋ง ตอบ
เราสองคน ได้พยายามเดินสำรวจ ดูรอบบ้าน ลมพัดเอื่อยๆ กำลังเย็นสบาย... เมื่อไม่มีคนอยู่ ยังไงก็จะขอใช้เป็นที่นั่งกินข้าวมื้อกลางวันสักมื้อ เราสองคนมีบทสรุปร่วมกันเช่นนั้น เมื่อได้เวลา ที่เรามาปลดเบ็ด และเปลี่ยนเหยื่อใหม่ เราก็ย้อนกลับมาดู และดำเนินการ แต่ละครั้งที่ผมกับตึ๋ง มาวางเบ็ดราว ปลาที่ได้ส่วนใหญ่ จะเป็นปลาแขยง ปลาหมู ปลาตะเพียน ปลาฉลาด ปลากระทิง ดูเหมือนว่าวันนั้น เป็นโชคดีของพวกเรา ปลาที่ได้ค่อนข้างมากจึงตกลงกันว่า เดี๋ยวเราจะย้อนกลับมากินข้าว และของีบเอาแรงที่บ้านร้างหลังนั้น..
เราเดินจากริมห้วยที่วางเบ็ดราว โดย สะพายอุปกรณ์ต่างๆ และตะข้องปลา ขึ้นบ่า แล้วตรงไปที่บ้านร้างหลังนั้นทันที ผมจำได้ว่า เมื่อตอนช่วงขามา ที่ได้เข้ามาสำรวจเบื้องต้น ผมกับตึ๋ง มองไปบนบ้านเห็น หน้าต่างมันเปิดอยู่ แต่ตอนที่ผมกลับมาอีกครั้ง กลับพบว่าบานหน้าต่างมันปิด ก็เข้าใจตรงกันว่า สงสัยอาจเป็นเพราะลมกรรโชกให้มันปิดลง..ก็อาจเป็นไปได้ ในสมองของผมไม่ได้คิดในสิ่งที่เป็นอัปมงคลใดๆ เลยแม้แต่น้อยนิด อาหารที่เตรียมมา ก็ถูกเปิดออกมา พร้อมแผ่ข้าวและกับข้าว ออกจากห่อใบตอง เราใช้วิธีการเปิบแบบง่ายๆ โดยใช้มือขยุ้มที่ข้าว พร้อมเอาช้อนตักกับข้าวมาใส่ที่ข้าวสวยที่เย็นชืด สักสิบกว่านาที ก็อิ่ม
“อร่อยดี ว่ะ ตึ๋ง”
“บรรยากาศดี มากเลยเพื่อน” ตึ่งพูด
ลมพัดเย็นกำลังสบาย.. เสียงกรีดปีก จากจั๊กจั่น ยังดังกึกก้อง ต่อเนื่อง เมื่อหนังท้องตึง หนังตาหย่อน เราต่างคน ต่างหา ที่จะงีบกัน ผมหาที่นอนใต้ต้นมะม่วง ตึ๋งเข้าไปนอน ใต้ถุนบ้านร้าง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็งีบหลับไป อย่างมีความสุข.. สำหรับ ตึ๋ง กำลังเคลิ้มๆ จะหลับ ก็ต้องตื่น เพราะ เขาได้ยินเสียงในบ้าน ดังกุกกักๆ เหมือนกับว่า มีคนอยู่ในบ้าน เขาจึงมาเรียกผมให้ตื่น
“เฮ้ย ขลุ่ย กู ได้ยินเสียง ดังอยู่ข้างบนบ้าน เราลองขึ้นบันได ไปดูไม๊ ว่ามันมีอะไร อยู่ข้างบน”
“จะดี.เร๊อ” ผมพูด ลากเสียง
“น่า.. แป๊บเดียวเอง ถ้ามิดี มิร้าย เราก็เผ่น ก็แค่นั้นแหละวะ” ตึ๋งว่า
ท่าทีของตึ๋ง ดูมีความเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ต้องมีอะไร อยู่ข้างบนบ้านแน่ๆ ผมกล้าๆ กลัวๆเลยบอกให้ตึ๋งเดินนำหน้าไปก่อน และผมก็ค่อยๆ เดินย่องเบา ขึ้นบันไดตามเขาไป จนเมื่อมาถึงบานประตูที่ปิดสนิท เราพยายามหารู เพื่อจะใช้สายตา มองเข้าไปดู...ตึ๋ง ใช้ตาขวา ข้างที่ถนัด ประชิดไปที่รูเล็กๆ ที่พอจะมองเห็นข้างในได้
“มืดจังว่ะ.. ไม่เห็นอะไรเลย” ตึ๋งพูด
แต่พวกเราก็คงได้ยินเสียง เหมือนคนเดินอยู่ ภายในบ้าน
“ไปเหอะ คงไม่มีอะไรหรอก เราคิดไปเอง มั๊ง หรืออาจเป็นกระดานมันลั่น ก็อาจ เป็นไปได้” ผมพูด
เมื่อเราสองคนคิดว่า คงไม่มีอะไรแน่แล้ว ก็เลยคิดว่าจะกลับบ้าน เพราะบ่ายโมงเศษๆ แล้ว
“มาแบ่งปลากันก่อนดีกว่า” ตึ๋งเสนอความเห็น ผมพยักหน้าเห็นด้วย
ตึ๋ง เอาปลาที่อยู่ในข้องเทออกมาทั้งสองตะข้องมารวมเป็นกองเดียวกัน จากนั้นก็แบ่งปลา ออกเฉลี่ยๆ ให้ใกล้เคียงกัน เราพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย จากนั้นต่างคน ก็เอาปลาใส่เข้าไปในตะข้อง ของใครของมัน...
ขณะกำลังเพลินๆ กับการจับปลาใส่ข้อง... เสียงลมพัดซัดใบไม้ ไหว พลิ้ว. แซ๊ดๆๆๆ..เสียงหน้าต่าง กลับเปิดอ้าซ่า ออกมาอีกครั้ง ผมกับตึ๋ง มองไปยังที่เดียวกัน
“เฮ๊ย..มีผู้หญิง ผมยาว ยืนอยู่ ที่หน้าต่าง เขา มองมาที่เราด้วยสิ”... ผมพูด
ปลาที่กำลังหยิบจับใส่เข้าตะข้อง ได้ยังไม่ถึงครึ่ง จำต้อง ตัวใครก็ตัวมัน...แล้ว
“เผ่นกันดีกว่า ตึ๋ง” ผมพูด
ผมกับตึ๋ง โกยแน่บไม่คิดชีวิต..ผมวิ่งนำหน้าตึ๋ง หลายช่วงตัว เพราะตกใจและด้วยความกลัว ผมไปยืนตรงบ้านน้าบรรเจิด พร้อมยืนหอบแฮ่กๆ ขนหัวลุกไปทั้งสองคน นี่กลางวันแสกๆ แท้ๆ ผมกับตึ๋ง ไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอน ผมกล้าสาบาน..... จากนั้นต่างคน ก็ต่างเดินกลับเข้าบ้าน เมื่อผมเข้ามาถึงบ้าน ก็ได้เจอป้าที่อยู่แถวๆ วัดเกาะที่เอาหมากมาขายให้แม่.. ป้าได้บอกเล่าให้แม่ผม ฟังว่าที่บ้านร้างหลังนั้นได้ มีสาวมาจากที่อื่น ได้มาฆ่าตัวตายที่บ้านหลังนี้ คงน่าจะผิดหวังด้านความรัก
ใครๆ ที่ไปมา หาของป่า และไปหาปลาผ่านแถวนั้น เป็นต้องโดนหลอกเสียทุกราย และนี่คือประสบการณ์ชีวิตที่ผมกับตึ๋ง ได้เจอกับตนเอง... จนวันนี้ บ้านหลังนั้น ก็ยังไม่มีใครเข้าไปพักอาศัย และก็ไม่ทราบเหมือนกัน ว่าใครคือเจ้าของบ้านหลังนั้น....
24/1/60
ขลุ่ยบ้านข่อย
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น