ุถูกลวง...ไปฆ่า - ุถูกลวง...ไปฆ่า นิยาย ุถูกลวง...ไปฆ่า : Dek-D.com - Writer

    ุถูกลวง...ไปฆ่า

    ผู้เข้าชมรวม

    100

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    100

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ก.ค. 65 / 10:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ถูกลวง...ไปฆ่า

    พี่แม้น มีชื่อจริงว่า ประเสริฐ..เป็นข้าราชการที่สถานีประมงพะเยา  ที่ได้ลามาศึกษาต่อที่คณะเกษตร เจ้าคุณทหาร ผมมีความสนิทสนมกับพี่แม้นมาก เป็นเพราะ เราพักห้องติดๆ กัน และได้ร่วมทุกข์สุขทั้งในห้องเรียนและนอกชั้นเรียน ....นั่นก็คือ     ที่บ้านพักที่เช่าอาศัยบ้านน้าเยาว์ มีอยู่สองห้อง  ผม  สมชาย   ยุทธ  วัฒน์ และ สิทธิ์   พักด้วยกัน ส่วนอีกห้องหนึ่งก่อนหน้าที่กลุ่มพี่แม้นมาเช่า  มีเสมียนตราเขตลาดกระบัง กับภริยา ที่ทำงานบริษัทสิ่งทอนำชัย พักอาศัย  อาจเป็นเพราะ เขาคงรำคาญพวกเรา ต่อมาเขาจึงย้ายไปเช่าบ้านอยู่หลังที่ทำการเขตลาดกระบัง

    ห้องเช่าที่พี่แม้น มีสามคน ได้แก่ พี่เตี้ย  พี่เตี้ยเป็นข้าราชการครู อยู่ จ.ชลบุรี  พี่เผือกเป็นข้าราชการที่ทำงานที่สำนักงานเกษตรจังหวัดระยอง ทั้งสามคนที่เป็นข้าราชการ ลาศึกษาต่อ มีพี่แม้น คนเดียว ที่สำเร็จการศึกษาหลังสุด  เนื่องจากพี่แม้น ยังติด F บางวิชา และวิชาปัญหาพิเศษ  ที่ยังไม่ได้รวมรูปเล่ม เพื่อจัดส่งให้สาขา ให้ทำการออกเกรดให้

    ในสาขาบริหารธุรกิจเกษตร  เริ่มเปิดสอนขึ้นในปีแรก เมื่อปี  2523  แรกเริ่มเดิมทีใช้ชื่อว่าสาขาพัฒนบริหารศาสตร์ นี่คือมูลเหตุจูงใจ ที่ทำให้ผมเลือกตัดสินใจเลือกเรียนในสาขานี้   ก่อนที่ผม จะได้มาเรียนในระดับปริญญาตรี เป็นตัวจริง เสียงจริงในคณะเทคโนโลยีการเกษตร  ในสังกัดสถาบันพระจอมเกล้าลาดกระบัง   ผมยังต้องไปสมัครสอบเผื่อเหนียวอีกสองแห่ง คือ เกษตรศาสตร์ บางพระ กับ สาขาบริหารธุกิจเกษตร ที่แม่โจ้ ที่เปิดเรียนเป็นปีที่สอง

    ผมยังจำได้ดีว่า ที่เกษตรศาสตร์ บางพระ ผมได้สมัครสอบเข้าเรียน ในสาขาเกษตรศึกษา เนื่องจากในสาขาพืชกรรมและสัตวบาล  มีนักศึกษาจากทั่วประเทศ ที่จบ ปวส. มาสมัครสอบและเลือกลงในสาขาดังกล่าวมาก   ผมจึงต้องเลี่ยงที่จะสอบแข่งขันกับรุ่นน้องๆ

    "พี่ขลุ่ย  ไม่ลงสมัครสอบสาขาสัตวบาลเหรอ" รุ่นน้อง  สอบถามด้วยความสงสัย เนื่องจากผมจบ ปวส. เทคโนโลยีการผลิตสัตว์

    "ไม่หรอก...ไม่ถนัด หากจะสอบแข่ง  คงสู้รุ่นน้องๆ ไม่ไหว” ผมตอบ  เพราะรู้ตัวเองดี ว่าไม่ถนัดและชอบเลยสักนิด

    การที่ผมไปสมัครสอบ ทั้งบางพระ และแม่โจ้   เป็นเพราะผมต้องกันเหนียว.....อีกชั้นหนึ่ง   เนื่องจากเกรงว่า ผมอาจสอบเรียนต่อปริญญาตรีในสาขาพัฒนบริหารฯ  ที่เกษตรเจ้าคุณทหาร   ไม่ได้ เพราะมีคนมาสมัครสอบกันมาก   จากการได้คุยกับรุ่นน้อง คือ ไอ้แบล็ก      ซึ่งเขาก็คิดเหมือนผม

    "พี่ขลุ่ย ..เราไปสมัครสอบเรียน ที่แม่โจ้อีกที่ดีมั้ย   เผื่อไว้ก่อน ที่เจ้าคุณทหาร ฯสาขาสัตว์ฯ  มีคนมาสมัครมากเลย ผมก็เกรงว่าจะพลาดเหมือนกัน   หากสอบที่นี่ไม่ได้ แต่สอบได้ที่แม่โจ้ เราก็มีที่เรียนต่อ” ไอ้แบล๊กว่า

    "ดีเหมือนกันโว้ย...   เอ็งก็เห็นนี่  ว่าผมโดดเรียนประจำเลย   หากจะมาสมัครสอบ   แข่งกับรุ่นน้อง สงสัยว่าถ้าจะปิ๋วแน่ ที่เลือกลงสอบสาขาพัฒนบริหารฯ  ก็ใช่ว่าจะชัวร์นะ  พอดี เห็นว่าคนสมัครน้อยกว่าสาขาพืช กับสัตว์น่ะ ..พูดก็พูด เถอะลองสอบเพื่อหวัง เผื่อฟลุ๊ค..ว่ะ  แบล๊ก" ผมบอกกับรุ่นน้อง

    .............................................................

    ผมได้เดินทางจากหัวลำโพง มาลงสถานีเชียงใหม่..พร้อมกับไอ้แบล๊ก... หลังจากได้สมัครสอบที่แม่โจ้แล้ว เมื่อตรวจสอบวันสอบข้อเขียน ปรากฎว่า วันสอบของบางพระ กับแม่โจ้ตรงกัน ผมต้องสอบที่แม่โจ้ โดยสละสิทธิ์ที่บางพระไป  ไอ้แบล๊กสมัครสอบสาขาเศรษฐศาสตร์ เกษตร ส่วนผมสมัครสอบในสาขาธุรกิจเกษตร  เป็นความโชคดี ที่แม่โจ้กับเกษตรเจ้าคุณทหาร วันสอบ ไม่ตรงกัน  หลังจากผมกลับจากเกษตรแม่โจ้  ก็ถึงคิวต้องสอบข้อเขียนของสาขาพัฒน-บริหารฯ  ผมได้เข้าสอบ ด้วยท่าทีสบายๆ เนื่องจากคิดว่าตนเองมีที่เรียนแน่นอนแล้ว    ข้อสอบส่วนใหญ่ ที่นั่งทำ..... ดูเหมือนจะคุ้นๆเพราะเราเคยเรียนที่นี่มาก่อน  เมื่อสอบข้อเขียนเสร็จ ผมมีความมั่น ใจว่า  ผมน่าจะเป็นคนหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสเรียนในสาขานี้   และเมื่อวันประกาศผลสอบ ผมสอบได้ในลำดับที่  6  สำหรับไอ้แบล๊ก  ไม่พลาดจากการสอบอยู่แล้ว     เนื่องจากเขาเป็นเด็กขยันเรียน  ผมกับไอ้แบล๊ก จึงสละสิทธิ์การเรียนต่อที่แม่โจ้ไปโดยปริยาย และได้สนิทกันมากขึ้นตาม  ลำดับ

    ผมได้มาเรียนในสาขาที่ชื่นชอบ  เพราะชื่อของสาขาแท้ๆ    แต่ไม่ทราบรายละเอียดของโครงสร้างของหลักสูตรเลย จะมารู้ ก็ต่อเมื่อได้เข้ามาเรียนแล้วหนึ่งเดือน   หลังจากเห็นรายวิชาที่จะเรียน  ถึงกับต้องบ่นอุบ  แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า คนอย่างผม ที่ไม่เคยเอาใจใส่เรื่องการเรียนมากนัก ในช่วงระดับ ปวส. ต้องกับกลายมาเป็นคน ที่เอาใจใส่เรื่องการเรียนแบบเหลือเชื่อ การที่ผมได้มาเรียนทีหลัง แม้จะช้ากว่าเพื่อนๆ ไปหนึ่งปี  แต่มันก็ดี   ที่ผมสามารถได้รับรู้อะไร จากเพื่อนๆ ที่เขาเรียนมาก่อน

    “เป็นไง  บ้างวะ.. ไอ้ชาย” ยุทธ์  ซึ่งเป็นเพื่อนที่พักด้วยกัน  ได้ถามคะแนนของสมชาย

    "ตกไปสามคะแนน ว่ะ  แล้ว มึงล่ะ..” สมชายตอบและตั้งคำถามกลับ

    "ไม่รอดเหมือนกัน..ว่ะ  " ยุทธ์ ตอบสั้นๆ

    "นี่ขนาด...เพื่อนๆ ที่เรียนค่อนข้างดี  ยังสอบไม่ผ่านกัน  แล้วนับประสาอะไรกับคนขยันเรียนน้อยอย่างผม  " ผมคิด

    ต้องบอกว่า ตอนเรียน ปวส. กับปริญญา เป็นหนังคนละม้วนเลย...ช่วงผมเรียน ระดับ ปวส.  ผมเอาแต่ เที่ยวเตร่  หาแต่ที่ลงไปร่วมสรวลเสเฮฮากับเพื่อนๆ และน้องๆ   แต่พอมาเรียน ป.ตรี  หากผมยังทำตัวแบบจั๊กจั่น ที่ชอบร้องรำทำเพลง  ไม่ตุนหาเสบียงดังมดง่าม   เทอมแรก ผมท่าจะไปไม่รอดแน่ๆ..

    เทอมแรก แม้ผลการเรียนของผมจะไม่มี  F  ออกมาปรากฎให้เชยชม  แต่เกรดออกกมา ดูเหมือน จะคาบเส้นพอดิบพอดี  ตลอดเวลาที่เรียน  ผมกับพี่แม้น  ค่อนข้างจะมีผลการเรียนอยู่ลำดับท้ายๆของห้อง

    ห้องสองห้องที่เช่าติดกัน ต้องมีกิจกรรม ให้พวกเราต้องร่วมทำกันเกือบทุกวัน ไม่ดื่มเหล้า ก็เปิดวงเล่นไพ่ดรัมมี่  จริงๆ ที่ห้องเช่าที่เราพักห่างจากสถานีตำรวจประมาณ เพียงสามร้อยเมตร  เท่านั้น …น้าเยาว์ เจ้าของหอเคยเตือนพวกเราบ่อยๆ ว่า อย่าชวนใครๆ มาเปิดวงเล่นไพ่ เพราะหาก ตำรวจเกิดมาจับ น้าเขาจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย

    "ขลุ่ย... ช่วยบอกกับเพื่อนๆ ว่า  อย่าเล่นไพ่กันนะ  น้าขอร้อง"  เจ้าของบ้านเช่า บอกกับผมบ่อยๆ  เมื่อผมนำเงินไปชำระค่าเช่าให้

    "ครับ  "

    บุคลิกของพี่แม้น ที่เพื่อนๆ และน้องๆ  ในเกษตรเจ้าคุณ รู้จัก คือ บุรุษร่างเล็ก ผิวคล้ำ  หัวล้าน   ยิ้มง่าย  พูดน้อย เสียงแผ่วเบา สุภาพ ขี้เล่น จริงใจ    ตลอดสองปี..ผมได้เห็นและรู้ซึ้งถึง ธาตุแท้ของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ที่พอมองเห็นได้ถึงความจริงใจ อย่างแท้จริง ซึ่งจะมีน้อยและหายากมาก โดยเฉพาะรุ่นน้องผู้ชายหลายคน ที่เขากลัวว่า คะแนนผมกับพี่แม้นจะออกมาดีกว่าพวกเขา   เขาจึงไม่ค่อยแบ่งปัน แนวการสอบ   แต่ตรงกันข้าม ..หากผมกับพี่แม้น มีแนวสอบที่ได้มา  ผมกับพี่แม้นจะแบ่งปันและบอกต่อให้กับทุกคนรู้

    บ่อยๆ  ครั้งเวลาสอบเก็บคะแนน หรือสอบนอกตาราง  พวกที่ทำข้อสอบได้ มักจะหวง ที่จะแบ่งปันให้ผมกับพี่แม้นดู แต่เวลาที่พวกเขาทำไม่ได้  เขาจะพยายามเร่งรัด ให้ผมกับพี่แม้นช่วยส่งกระดาษคำตอบไปให้พวกเขาลอก   ความเห็นแก่ตัว ของพวกเขา แสดงให้เห็นบ่อยๆ  จนผมกับพี่แม้น จะไม่รอขอความหวังจากพวกเขาอีก   เพื่อนร่วมห้อง..  ที่ผมมิอาจลืมไปได้เลย ในห้องเรียน มีเพียงสามคน คือ พี่นพ  พี่ทิน และพี่แม้น

    ..................................................................

    หากได้นั่งดื่มสังสรรค์กัน ระหว่างบ้านพี่กับบ้านน้องที่อยู่ห้องติดๆ กัน ผมมักได้รับเกียรติให้ ร้องเพลง ให้ความสุข กับสมาชิกในวงเหล้า    เมื่อถึงคิว ที่พี่แม้นร้องเพลง เพลงโปรดปรานที่เขามักจะร้องโชว์ ให้พวกเราฟังตลอด คือ เพลงพะเยารอเธอ กับเพลงกว๊านพะเยา

    "พร้อมยังพี่แม้น"  ผมบอกให้เขาเตรียมตัว เพื่อโชว์เสียง

    "เดี๋ยวโว้ย...ไอ้ขลุ่ย  ให้กูกระดก หมดแก้วก่อน" พี่แม้นพูด

    "แด่ๆ  แด  แด แด๊แดแดแด่”..ผมใช้ปากทำอินโทรเพลง พร้อมทำตัวเป็นคอนดักเตอร์   ยกมือยกไม้ ส่งสัญญาณ ให้คนร้อง..ร้องตามสัญญาณมือ

    ช่วงที่พี่แม้นมาเรียน อายุเขาก็เกือบจะสามสิบปีแล้ว  จากการที่ได้สัมผัส กับพี่แม้นมาโดยตลอด   ผมกล้ายืนยันว่าพี่แม้น เป็นคนจริงใจ  ใจสปอร์ต  โกรธคนยาก  แม้พี่แม้น จะตั้งใจเรียน และขยันอ่านตำรา..   แต่ความจำของพี่ค่อนข้างแย่    ผมยังจำภาพพี่แม้นท่องหนังสือเป็นสิบๆ  เที่ยว  ทั้งขณะเดิน กินข้าว  ปากแกจะขมุบขมิบ ท่องบ่นตลอด    แต่พอข้าห้องสอบ  พี่แม้น ก็ลืมสิ่งที่ได้อ่านได้ท่องไป จนหมดสิ้น..

    ความลับของพี่แม้น ได้ถูกเปิดเผย เมื่อช่วงปิดเทอมที่พวกเราที่พักกลับบ้าน  เมื่อผม ได้เห็นสุภาพสตรี น่าตาดี ได้มาพักที่ห้องพี่แม้น   มาทราบภายหลังว่า เป็นภริยา ที่เป็นครูสอน ที่อนุบาล จังหวัดน่าน

    "โห.. มีเมียสวย  ก็ไม่บอก    มวยซุ่ม นะพี่แม้น"

    "กูมีเมีย...ต้องประกาศให้พวกเอ็งรู้ด้วยหรือวะ..." พี่แม้นพูด

    "ไม่ใช่อย่างนั้น  พี่"

    ระหว่างปิดเทอมปีสุดท้าย...ที่ผมเรียน    พี่จินตนา  ภริยาของพี่แม้น   อยากมาเห็นสถาบันฯ ที่สามีเรียน และเป็นช่วงที่เธอได้หยุดพักผ่อนพอดี  จึงมาเที่ยวหาสามีที่บ้านเช่า

    "เป็นไง  พี่แม้น เจ้าชู้ มั้ย..น้อง..." พี่จินตนา  สอบถาม

    "ไม่.....ครับ" ผมตอบ

    "ไม่น้อย   สิท่า..."

    คำหยอกเอินของสามี ภริยาคู่นี้ ดูน่ารัก..จนน่าอิจฉา    ผมขอตัวออกไปธุระข้างนอกบ้าน เพื่อให้สองคน ได้ใกล้ชิดสนิทกัน    พี่จินตนา มาพักค้างสามคืน ก็ได้เดินทางกลับจังหวัดน่าน ช่วงนั้นพี่แม้น  ต้องไปๆ มาๆ เพื่อกลับจังหวัดน่าน  เฉลี่ยสองสัปดาห์ต่อครั้ง เป็นเพราะภริยามีกำหนดที่จะคลอด

    ในรุ่นผม ที่เรียนสาขาบริหารธุรกิจเกษตร   มีคนต้องจบช้ากว่ากำหนด สามคน หนึ่งในนั้น คือ  พี่แม้น ...เนื่องจาก ยังคงติดค้าง และรวมรูปเล่มวิชาปัญหาพิเศษ ...ผมยังพบปะกับพี่แม้นบ้าง  ชีวิตหลังการจบการศึกษาของผมต้องเร่ร่อน ระหกระเหิน  พักที่โน่นคืน ที่นี่คืน ดังนกขมิ้น  หลังจากผมสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้ ในปี 2528หน่วยงานของผม ได้จัดอบรมคุณธรรม ที่วัดศรีโคมคำ   ผมในฐานะผู้ประสานงาน ในครั้งนี้  ได้ไปพบพี่แม้น  ที่สถานีประมงพะเยา เพื่อขอยืมอุปกรณ์  เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับอาจารย์ ผู้เข้าอบรม

    "แวะหารุ่นพี่ผม ในสถานีประมงพะเยา สักครู่นะครับ   เผื่อผมจะได้ขอยืมอุปกรณ์การนอน เช่น ที่นอน หมอนมุ้ง     สถานีประมง แห่งนี้ เขามีหมอน มุ้ง ผ้าห่มให้ยืมใช้งาน"   ผมบอกกับผู้ช่วยผู้อำนวยฝ่ายบริการฯ

    "เอาสิ   งั้นเราแวะ ลองคุยกับเขาดู..." ผู้ช่วยผู้อำนวยการพูด

    ผมได้แวะเข้าไปที่สถานีประมงพะเยา เพื่อพบพี่แม้น  และทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วง     หลังจากที่พี่แม้นเรียนจบ และกลับเข้าทำงาน พี่แม้น ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนตำแหน่งที่สูงกว่าก่อน คือ จากเจ้าพนักงานประมง มาเป็น นักวิชาการประมง

    "ไอ้ขลุ่ย   ถ้าเอ็งผ่านมาทางนี้ แวะมาหาพี่ได้เลยนะ   เอ็งไม่ต้องเกรงใจพี่"  พี่แม้นพูด เมื่อครั้งที่ผมเข้าไปประสานงานในครั้งนั้น

    อีกสองปีต่อมา บังเอิญ พี่ชายผมบินมาจากสวีเดน กับภริยา และลูกที่ยังมีวัยเพียงสองขวบ  ต้องการจะมาพักผ่อนที่จังหวัดพะเยา   ผมจึงได้ติดต่อพี่แม้น  ให้ช่วยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้  พี่แม้นได้ทำหน้าที่เจ้าภาพ ต้อนรับพวกเราอย่างดียิ่ง   ครั้งนี้ผมได้พบลูกสาวพี่แม้น ที่มีวัยประมาณห้าถึงหกขวบ  พี่จินตนาได้พาลูกสาวมาหาพ่อ และเขากำลังดำเนินเรื่อง ขอโอนมาทำงานที่จังหวัดพะเยา

    "หน้าตาสดใส สดชื่นกว่าเก่านะ พี่แม้น  ตั้งแต่เรียนจบมา..." ผมพูด

    "ก็งั้นๆ แหละว้า...ไอ้ขลุ่ย   ไอ้ห่า... คิดถึงเรื่องเก่าๆ  ในอดีต  ว่ะ"

    "เรื่องอะไรหรือพี่ แม้น"

    "ก็ไอ้พวก  ลาศึกษา ที่พักข้างสวนพระนคร  ที่เอ็งไปมีเรื่องกับมันไง"

    "อ้อจำได้. .ครับพี่ และผมจะไม่มีวันลืม"

    "วันนั้น  ถ้าพี่ไม่ไปที่หอพักแห่งนี้   พวกมันคง...รุมกินโต๊ะ...  เอ็งแน่ๆ"

    "วันนั้นใครเข้ามาทำร้ายผม  เจอสวนแน่ๆ   ผมพร้อมรับมือกับพวกมันตลอดเวลา  พี่นพเป็นห่วงผมมาตลอด  สั่งผมว่า ไม่จำเป็น  อย่ามาขอให้พวกนี้ช่วยเหลือ  เพราะพวกนี้ เขาไม่มีความจริงใจ เอาแต่ได้  และเห็นแก่ตัวที่สุด"

    ผมได้พบพี่แม้น ครั้งสุดท้าย ช่วงที่ผมพาพี่ชาย มาเที่ยวที่ริมกว๊าน... พวกเราได้นั่งดื่มกิน อาหาร และดื่มด่ำกับบรรยากาศ ในช่วงฤดูร้อน  ..เสร็จจากการดื่มกินอาหารมื้อเที่ยงแล้ว  ผมจึงขอตัวกลับลำปาง

    .....................................................................

    ปี2539    ขณะที่ผมต้องไปสัมมนา วิชาที่เรียนในระดับปริญญาโท ของสถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ ที่เชียงราย ผมได้วางแผนไว้ว่า  หากมาถึงจังหวัดพะเยา  ผมจะทำเซอร์ไพรส์  พี่แม้น.. เมื่อรถมาจอดหน้าสำนักงาน  ผมจึงเดินไปที่ห้องที่พี่แม้น ที่เคยนั่งทำงาน

    "มาหาใครหรือคะ..."

    "พี่แม้น..."

    "พี่แม้นเสียไปแล้วค่ะ    เมื่อหกเดือนก่อนนี้เอง"

    “พี่แม้น  เสียชีวิต ...ด้วยสาเหตุใดหรือครับ"

    "ถูกฆ่า..ตาย  "

    "เอ้า เป็นไปได้ไง พี่แม้น เป็นคนเรียบร้อย  สุขุม  ใจดี มีน้ำใจ”  ผมไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ...  ผมคิด

    "จริงค่ะ เพื่อนๆ ที่ร่วมงานกันมาเป็นสิบๆ ปี  ก็ยังงงว่า มันเป็นไปได้อย่างไร  พี่แม้น ไม่เคยมีศัตรู ไม่เคยขัดแย้งกับใคร"เจ้าหน้าที่บอก

    "ผมสนิทกับพี่แม้นดี  รู้นิสัยใจคอดีกัน  ห่วงใยเอื้ออาทรกันมาโดยตลอด  ไม่คิดว่าพี่แม้น จะอายุสั้น" ผมเล่าเรื่องความหลังให้เขาฟัง

    "สงสารภริยาพี่แม้นนะ เพิ่งทำเรื่องขอโอนมาสอนที่อนุบาลพะเยา  ได้ไม่นาน   สามีก็มาเสียชีวิต  ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนจังหวัดน่าน   ลูกสาวก็ต้องมากำพร้าพ่อ" เจ้าหน้าที่. คนเดิมพูด

    "แล้วทางตำรวจ..สามารถจับคนร้ายได้หรือยัง  และเขาสันนิษฐานสาเหตุ การตายของพี่แม้นไว้อย่างไรครับ"  ผมถามด้วยความอยากรู้

    "เขาตั้งข้อสมมติฐานไว้ สองสามประเด็น คือ ลวงเพื่อไปฆ่าชิงทรัพย์   ลวงเพื่อฆ่าปิดปาก    ถูกลวงไปฆ่าประเด็นชู้สาว...”  เจ้าหน้าที่พูดให้ฟัง

    .....................................................................

    ภาพชายศีรษะล้าน ไว้หนวดเรียวริมฝีปาก  ตัวดำคล้ำ ไว้พุงพอประมาณ   ที่เคยยืนท้ายจักรยานยี่ห้อลาเลย์ ของผมด้านหลัง  เป็นเพียงความหลังให้ได้ย้อนรำลึก    ผมจะไม่มีวันลืมภาพเก่าๆ ในห้องเรียน และห้องสอบ  ที่พี่แม้นชอบเอาสมุดกางปิดบังใบหน้า  เพื่อนอนหลับหลังชั้น... ซึ่งผมชอบแกล้งเอาออกให้อาจารย์ผู้สอนเห็น  จนพี่แม้น ตกใจ  ทำหน้าเอ๋อๆ ....จนเพื่อนในชั้นหัวเราะ  ...ทำให้ผมมีความสุขที่ได้แกล้งพี่แม้น

    ผมยังรำลึกภาพ  ที่ผมกับพี่แม้น...พกพาสมุดเล่มเดียว  ตลอดเทอม แต่คนอื่นๆ ..เขาหอบสมุดหนังสือ เป็นปึกๆ  เพื่อเข้าชั้นเรียน   พี่แม้น มักบ่นเสมอๆ  กับผมว่า  ฝีมือการลอกข้อสอบของเขา  ยังห่างชั้นกับผมมาก

    "ไอ้ห่า...ขลุ่ย แม่ง  ลอกข้อสอบเร็วฉิบหาย...   มึงเสร็จสามข้อ  กูยังลอกไม่ได้สักข้อเลย"

    ทุกครั้งเวลาสอบ  พี่นพ จะจัดที่นั่งให้ผมกับพี่แม้นขนาบข้างซ้ายและขวาเสมอ..

    เพียงช่วงระยะเวลาสองปี ที่ผมกับพี่แม้น ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา   บอกตรงๆว่า พี่แม้น ..เป็นคนที่ดีมาก    ต้องบอกว่าผม เสียดาย ที่พี่แม้น  ต้องมารับปริญญา.. รุ่นหลังผมไปหนึ่งปี      จึงไม่มีโอกาส ได้ถ่ายภาพร่วมกัน... ผมกล้าท้าเลยว่า ตลอดเวลาที่ผมเรียนร่วมห้องกับพี่แม้น   คงไม่มีใครสักคน ที่เกลียดพี่แม้น   เพราะอะไรหรือ..  ก็เพราะพี่แม้น  ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีพิษมีภัยกับใคร  ทั้งยังเป็นคนที่จริงใจ และใจนักเลง..ที่หาตัวจับยาก นั่นเอง

     

    ๖  พค ๖๒

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×