คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter3 : เมื่อฟันเฟืองเริ่มเคลื่อนเดิน
ข้าเดินกลับมายังวังของตนเองหลังจากรักษาให้กริมจอว์เสร็จ ข้ารู้สึกได้ว่าตอนนี้ท่านอุลคิโอร่ากำลังอยู่ในห้องทำงานจึงแวะไปชงชาร้อนและเดินเอาไปให้ แว่บแรกที่ที่ข้าเคาะและเปิดประตูเข้าไป ท่านอุลคิโอร่าเงยหน้าขึ้นมาจากกองงานครู่หนึ่ง
“ไปหากริมจอว์มารึ”
สิ่งที่ได้ยินทำเอาข้ายืนชะงักนิ่ง...เขารู้ได้ยังไงนะ?
“ค่ะ” ข้าเลือกที่จะตอบรับสั้นๆเดาใจเขาไม่ออกว่าข้าจะโดนว่าอะไรบ้าง จากนั้นจึงเดินเข้าไปวางชาไว้บนโต๊ะทำงานของเขา
“เจ้านั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“เอ๋...เอ่อ ก็บาดเจ็บสาหัสเหมือนกันค่ะ แต่เมื่อครู่ข้าช่วยห้ามเลือดให้แล้ว พักสักหน่อยเขาก็คงจะดีขึ้น...” ข้าหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อในสิ่งที่รู้สึกไม่สบายใจ
“แต่ถ้าพูดถึงด้านจิตใจแล้วเนี่ย คงจะบอบช้ำพอดูเลยล่ะค่ะ เพราะทั้งเสียแขน เสียฟรานเชี่ยน แล้วยังถูกถอดจากเอสปาด้าอีก”
“...งั้นหรือ” เขาตอบสั้นๆเป็นการจบบทสนทนา และก้มหน้าอ่านเอกสารต่างๆต่อ เหลือแต่ความเงียบเข้าโรยตัว ข้ายืนเก้ๆกังๆเพราะไม่รู้จะทำอะไรต่อดี
“...ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปซักเสื้อผ้าก่อนนะคะ” ข้าพูดพลางถอยออกมาช้าๆ และเดินไปที่ประตู
“อาราวเน่...”
“คะ?” ข้าหันหน้ากลับไปตามเสียงเรียก
“กลับไปเปลี่ยนเสื้อซะ...รอยเลือดที่เสื้อน่ะถ้าไม่รีบซักมันจะล้างไม่ออก” เขาพูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร จึงไม่ทันเห็นสีหน้าที่เหวอไปแวบหนึ่งของข้า
“เข้าใจแล้วค่ะ” ข้าตอบรับและเดินออกจากห้องไป พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะแอบอมยิ้ม...และโล่งใจที่ไม่ถูกว่าอะไร
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
หลายวันผ่านมานี้...ข้าไม่เห็นกริมจอว์ที่วังของเขาเลย บางครั้งที่ข้าอุตส่าห์ทำอาหารไปเยี่ยมที่วัง ก็พบแต่ความว่างเปล่า เท่าที่รู้สึกได้ดูเหมือนจะออกไปอยู่แต่ในทะเลทรายนอกวังทั้งวันทั้งคืน
...ข้าคิดว่าเขาคงไปฝึกฝนตนเอง และก็ไม่อยากทนเจอหน้าลูปี้ที่ชอบจะเยาะเย้ยเขาเรื่องตำแหน่งกระมัง...
เนื่องจากวันนี้หลังจากทำอาหารเช้าให้ท่านอุลคิโอร่าแล้ว เขาก็ถูกท่านไอเซ็นเรียกพบตั้งแต่เช้า ข้าก็เลยว่าจะออกไปเที่ยวทะเลทรายซักหน่อย...ไปเยี่ยมดอกอาราวเน่ที่ข้าไม่ได้แวะไปดูนานแล้ว ครั้งหลังสุดที่ไปมันเติบโตเพิ่มกระจายสมาชิกขึ้นเป็นกลุ่มไม้เล็กๆแล้ว...และบางทีข้าอาจจะแวะไปลองไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของกริมจอว์ด้วยเช่นกัน
เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วข้าจึงลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำอาหารติดไปด้วยเล็กน้อย และไม่ลืมแวะเขียนโน้ตแปะไว้บนโต๊ะบอกท่านอุลคิโอร่าว่าข้าออกไปไหนแล้วจึงเดินมุ่งออกจากวังทันที หลังจากเดินออกมาได้ไม่ไกลมากนัก ข้าก็รู้สึกได้ถึงจิตของเจ้าผมฟ้าอยู่ใกล้ๆบริเวณนี้ ข้าจึงเปลี่ยนใจที่จะไปทักทายเขาก่อนแล้วค่อยแวะไปชมดอกอาราวเน่ทีหลัง
แว่บแรกที่เห็นร่างของกริมจอว์...เดาไว้ไม่ผิด ออกมาฝึกดาบจริงๆด้วยน่ะแหละ ฝึกซะจนหอบแฮ่กๆเหงื่อไหลโทรมกายเลยทีเดียว แต่ท่าทางผลที่ออกมามันคงยังไม่สบอารมณ์เขาสักเท่าไหร่ เพราะทันทีที่ข้าลอบเข้าไปเดินมองใกล้ๆเขาก็ตวาดกร้าวทันที
“จะแอบดูอีกนานไหม อาราวเน่!!!”
“โอ๊ะ...ไฮ้ย่า!” ข้าสะดุ้งตกใจที่ถูกเขาจับได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ เลยยกมือขึ้นเอ่ยทักเก้ๆกังๆ
“จะมาสมเพชข้ารึไง? ไปให้พ้น!!” ...ให้ตายสิ พอแขนขาดไปข้างหนึ่งแล้วเนี่ย นายมองโลกในแง่ร้ายขึ้นเยอะเลยนะ ตาบ้านี่
ข้าถอนหายใจด้วยความหน่าย
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น ข้าแค่ว่างๆก็เลยออกมาเดินเล่นแล้วบังเอิญสัมผัสถึงเจ้าได้ แล้วคิดว่าแวะไปเยี่ยมที่วังบ่อยๆก็ไม่เจอเลยเดินมาหา ก็เท่านั้นล่ะ” ข้าพูดพลางเดินเข้าไปใกล้ๆเขา
“ไหนๆข้าก็ว่างอยู่ สนใจให้ข้าเป็นคู่ซ้อมให้ไหม”
“อย่างเจ้ามีปัญญาสู้ใครเขาได้ด้วยเหรอ?” เขาเลิกคิ้ว
...เสียมารยาทที่สุด!
“...ถึงข้าจะค่อนข้างอ่อนแอแถมไม่ค่อยสู้ใคร แต่อย่าลืมสิว่าข้าก็เป็นทหารอารันคาร์คนหนึ่ง...ไม่ใช่แม่บ้าน!” ข้าเท้าสะเอวแล้วตอบคนตรงหน้า ออกแนวประชดน้อยๆ
“มา!...ขอข้าลองสู้กับเจ้าหน่อยสิ จะได้รู้ว่าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ฟันมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ จะตัดแขน ตัดขาตามสะดวก” ข้าพูดพลางตั้งท่าเตรียมพร้อม
“อย่าดีกว่า...เดี๋ยวข้าจะเผลอฆ่าเจ้าไปซะก่อน เพราะข้าไม่ปรานีใครในการต่อสู้”
“หึ...” ข้าแค่นหัวเราะ
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง...ข้าชักดาบข้างตัวขึ้นมาแล้วปาดคอตนเองเป็นรอยลึกทันที เลือดสีแดงเข้มพุ่งทะลักออกมา การกระทำนั้นทำเอากริมจอว์เบิกตากว้าง
“ทำบ้าอะไรของเ...” แล้วเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อบาดแผลตรงคอข้าปิดสมานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ข้ายิ้มให้คนตรงหน้า
“อย่างที่เห็น...พลังการฟื้นตัวของข้าน่ะมันเยี่ยมสุดๆไปเลยซะด้วยสิ ถ้าเจ้าจะฆ่าข้าเนี่ย หักแขน ตัดขา คงไม่พอ ต้องทำลายหัวอย่างเดียวแล้วล่ะ ซึ่งข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ใจร้ายทำมันได้ลงคอหรอกนะ”
ข้าเห็นกริมจอว์ฉีกยิ้ม...
“ดี!...งั้นรับมือ!” พูดเสร็จทั้งข้าและเขาก็กระโจนเข้าสู้กันทันที
กริมจอว์ไม่ปรานีใครอย่างที่พูดจริงๆนั่นล่ะ หมอนี่ทั้งฟันทั้งยิงเซโร่ใส่ข้าจนเลือดท่วมร่างเลย แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เล็งที่หัวข้า ซึ่งนั่นแปลว่าเขาไม่ได้คิดจะฆ่าข้าจริงๆ ข้าสู้กับเขาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถูกฟันเข้ากลางตัวล้มลงนอนคว่ำอยู่บนพื้น ข้ายกมือยอมแพ้
“ยอมแล้วๆ สู้ไม่ไหวจริงๆด้วยแฮะ” ข้าเอ่ยพลางพลิกตัวขึ้นนอนหงาย ปล่อยให้ร่างกายทำหน้าที่สมานแผลและสร้างส่วนต่างๆในร่างกายขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว ข้ากลอกตาขึ้นมองกริมจอว์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ขนาดปอดฉีก ซี่โครงหักขนาดนั้นเจ้ายังฟื้นได้อีกเรอะ เชื่อเลยจริงๆ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ แล้วจึงทรุดตัวนั่งใกล้ๆ พอดีกับที่ข้าฟื้นสภาพเรียบร้อยกระเด้งตัวขึ้นมานั่งเหมือนกัน
“ตั้งแต่กลายมาเป็นอารันคาร์ พลังในการรักษาของข้ามันก็พุ่งสูงขึ้นอย่างนี้นี่แหละ...เสียก็แต่ทำไมพลังในการต่อสู้ในไม่เพิ่มขึ้นบ้างก็ไม่รู้...ข้าล่ะอยากเก่งได้อย่างเจ้าบ้างจัง กริมจอว์” ข้ายิ้มให้กับตัวเองด้วยความสมเพช กริมจอว์เหลือบมองข้าแว่บหนึ่งแล้วหันกลับไปมองผืนทรายเบื้องหน้าตามเดิม
“เจ้าคงไม่รู้ตัว...แต่ไม่ใช่ว่าฝีมือเจ้าแย่หรอก ใจเจ้าตังหากล่ะที่ไม่สู้ เวลาที่เจ้าตรงเข้าฟาดฟันข้า ข้าเห็นความลังเลและความไม่แน่ใจในดวงตาเจ้าตลอด”
“ไม่ต้องปลอบข้าหรอกน่า”
“ข้าไม่ได้ปลอบเจ้า! แต่ข้าพูดจริงๆ ถ้าเจ้ามีความกล้าที่จะลงดาบมากกว่านี้ เจ้าจะเก่งกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก” เขาพูดเสียงดุๆ แต่ข้ารู้...เขากำลังสอนข้าอยู่
สายลมที่พัดผ่านมาทำให้ผมข้าปลิวสยายขึ้นปรกหน้า จนข้าต้องยกมือขึ้นปัดออก พวกข้าสองคนนั่งนิ่งมองกองทรายที่ถูกสายลมพัดปลิวเปลี่ยนทิศทาง
“นี่กริมจอว์...” ข้าเอ่ยทำลายความเงียบ
“อะไร?”
“เจ้าคิดถึงพวกเชาหลงไหม?” ข้าหันหน้าไปถามเขา
กริมจอว์มองข้านิ่งด้วยหางตา
“...ถามอะไรของเจ้ากันน่ะ?”
“ข้าอยากรู้จริงๆ...ตั้งแต่พวกเขาตายไป เจ้าคิดถึงพวกเขาบ้างไหม”
ข้าเห็นกริมจอว์หันมาจ้องหน้าข้าด้วยความงุนงงที่ถามอะไรแปลกๆแล้วจึงหันหน้ากลับไปมองผืนทรายเช่นเดิม เขานั่งนิ่งใช้ความคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบออกมา
“อารันคาร์อย่างพวกเราตายในการต่อสู้เป็นเรื่องปกติ...ถึงข้ากับพวกมันจะอยู่ด้วยกันมานาน ข้าก็รู้ดีว่ายังไงสักวันเวลานี้ก็ต้องมาถึง...แต่ถึงอย่างนั้น...”
“...พวกมันก็จะอยู่ในความทรงจำของข้าตลอดไป” ...เขาตอบข้าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง
คำตอบเขาทำให้ข้ารู้สึกอิจฉาพวกเชาหลงอยู่ในใจ
“ถ้าสักวันหนึ่งข้าตายไปจริงๆ...หากท่านอุลคิโอร่าจะหลงเหลือข้าไว้ในความทรงจำเหมือนที่เจ้าทำบ้างก็คงดีลินะ” ข้าพูดออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงปวดร้าว แว่บหนึ่งที่กริมจอว์เบนสายตามามองข้านิ่ง..และราวกับจะปลอบใจข้า
“เจ้านั่นมันเป็นพวกแสดงความรู้สึกไม่เก่งสักเท่าไหร่เจ้าก็น่าจะรู้...แต่เนื้อแท้มันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำหรอก” ถึงจะพูดปลอบใจ แต่น้ำเสียงก็ซ่อนความหงุดหงิดไม่มิดยามต้องเอ่ยชื่อเขาคนนั้น
“...นั่นสินะ” ข้าก้มหน้ายิ้มให้กับตนเอง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และหันหน้าไปหากริมจอว์
“ขอโทษที่ข้าถามอะไรแปลกๆเจ้าไปนะ เพื่อเป็นการไถ่โทษ...เจ้าอยากไปดูสถานที่ลับของข้ารึเปล่า?”
“หา?” ข้าเห็นกริมจอว์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ข้าไม่รอฟังคำตอบเขา แต่ตรงเข้าไปดึงแขนให้ชายตรงหน้าลุกขึ้น แล้วดึงลากเขาให้ตามข้ามาทันที กริมจอว์สบถออกมาด้วยความหงุดหงิดที่โดนข้าลาก แต่ก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี ข้าพาเขาเดินมาเรื่อยๆ และมาหยุดอยู่ใต้ชะง่อนหินก้อนใหญ่ ภายในร่มเงาของที่นั่น มีต้นดอกไม้สีแดงสดใสหลายต้นขึ้นอยู่
“ที่นี่ยังมีต้นไม้ขึ้นได้อีกเหรอเนี่ย” กริมจอว์เอ่ยออกมาด้วยความแปลกใจ เขาจ้องต้นไม้เล็กๆเหล่านั้นนิ่ง
“ดอกอะไรเนี่ย?”
“อาราวเน่”
“ข้าไม่ได้ถามชื่อเจ้า!”
“ก็แล้วใครบอกว่าข้าบอกชื่อข้าล่ะ! นี่น่ะเรียกว่าดอกอาราวเน่” ข้าย้อนเขากลับ แล้วจึงเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง
“ข้ามาเจอดอกไม้นี้เข้าตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นกิลเลียน ตอนนั้นมันยังมีแค่ต้นเดียวอยู่เลย...แต่พอเวลาผ่านไป มาดูอีกที มันก็เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็มีหลายต้นอย่างที่เห็นนั่นล่ะ...สวยเนอะ?” ข้าก้มลงนั่งยองๆ เอามือเท้าคาง ก่อนแหงนมองถามเขา
“ฮื่อ” เขาตอบคำถามข้าสั้นๆ
ข้าจ้องมองดอกสีแดงสดเหล่านั้นนิ่ง นึกย้อนไปในอดีต...ย้อนไปถึงวันที่ข้าได้พบกับท่านอุลคิโอร่าเป็นครั้งแรก
“เมื่อก่อนข้าไม่เคยมีความคิดที่จะพัฒนาตนเองให้มาเป็นวาสโทรเด้หรือมาเป็นอารันคาร์เลยรู้ไหม ข้าเกลียดการต่อสู้เลยพยายามหลีกเลี่ยงมันเท่าที่จะทำได้ ตอนนั้นข้าคิดแค่ว่า ขอแค่อยู่เป็นกิลเลียนที่มีชีวิตจิตใจไปวันๆก็พอแล้ว...”
“แต่แล้วความคิดข้าก็เปลี่ยนไป...เมื่อข้าวันที่ข้าได้ค้นพบดอกไม้พวกนี้ พวกมันทำให้ข้าได้พบกับคนคนหนึ่ง คนที่ช่วยชีวิตข้าจากการโดนกลุ่มกิลเลียนตัวอื่นทำร้าย...คนที่บอกชื่อดอกไม้นี้กับข้า...และเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าต่อสู้พัฒนาตนเรื่อยมา...เพียงเพื่อจะได้พบกับเขาคนนั้นอีกครั้ง” ข้าอดไม่ได้ที่จะเห็นภาพดวงหน้าของเอสปาด้าตาสีเขียวคนนั้นซ้อนทับภาพดอกอาราวเน่เบื้องหน้า
“หวังว่าคนคนนั้นของเจ้าคงไม่ใช่อุลคิโอร่านะ” กริมจอว์โพล่งขึ้นมาโดยไม่คิดอะไร แต่เมื่อเห็นข้านิ่งไม่ตอบอะไรเขาก็ชะงัก แล้วอดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้
“ใช่จริงๆเรอะ?”
ข้ายังคงนั่งนิ่ง เหม่อมองดอกไม้ต่อไป ซึ่งนั่นก็แทนคำตอบได้ดี ความเงียบเข้าโรยตัวรอบเราทั้งสองคน
“แล้ว...เจ้านั่นจำเรื่องนี้ได้ไหม?”
ข้าส่ายหน้า
“แล้วเจ้าไม่คิดจะบอกเขารึไง” ข้ารู้สึกถึงความหงุดงหิดในน้ำเสียงเขา
“อย่าเลย...สำหรับเขา...การที่ได้ช่วยกิลเลียนตัวหนึ่งวันนั้น มันคงเป็นแค่เรื่องเล็กๆที่ไม่มีอะไรน่าจดจำเลยเลยด้วยซ้ำมั้ง ไม่จำเป็นต้องไปรื้อฟื้นมันหรอก แล้วถ้าหากเล่าเรื่องนี้ไป แต่เขาจำมันไม่ได้ ข้าก็คงหน้าแตกพิลึก ฮะๆ” ข้าพยายามหัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องขำ แต่สิ่งที่คิดจริงๆมันก็อดทำให้ใจเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นไม่ได้
“ถ้าเจ้าไม่บอก มันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ เรื่องเกิดมาตั้งนานขนาดนั้นใครมันจะไปนึกเองได้เล่า!” เขาตวาดออกมา
“น่ารำคาญจริงๆ ถ้าไม่กล้าขนาดนั้นล่ะก็ ข้าจะสงเคราะห์เจ้าเล่าให้มันฟังให้ก็ได้”
“อย่านะ!” ข้าลุกขึ้นหันไปจ้องหน้าเขาทันที
“ขอร้องล่ะ...อย่าบอกเลยนะ” ข้าวิงวอนเขา ความปวดร้าวในใจข้าคงแสดงออกมาในสายตา จนทำให้อารันคาร์ตรงหน้ายืนอึ้งไปทันที สายลมร้อนพัดผ่านไปเบาๆ นำพาเส้นผมสีแดงเข้มของข้าปลิวสยายไปกับสายลม...พร้อมกับพัดพาความรวดร้าวในใจข้าให้ส่งไปให้คนตรงหน้ารับรู้
“ถือว่าข้าอ้อนวอนเจ้าล่ะ อย่าบอกให้เขารู้เลยนะ กริมจอว์”
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเวลาผ่านไป จากวัน เป็นเดือน...แต่ชีวิตข้าก็ยังคงราบเรียบไม่มีอะไรหวือหวาเช่นเคย
ช่วงหลังๆมานี้ข้ารู้สึกว่าท่านไอเซ็นจะสนใจข้อมูลเกี่ยวกับพลังผู้หญิงที่ท่านอุลคิโอร่าไปพบเข้าเมื่อคราวก่อน หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ชื่อ อิโนะอุเอะ โอริฮิเมะ เพราะท่านให้คนไปรวบรวมประวัติและข้อมูลต่างๆของผู้หญิงคนนี้มา รวมถึงเรียกเอสปาด้าเข้าประชุมบ่อยๆด้วย ช่วงนี้งานของนายข้าเลยยุ่งเป็นพิเศษ...ข้าก็เลยยุ่งขึ้นนิดหน่อยด้วยเหมือนกัน
ท่านอุลคิโอร่าใช้ให้ข้าช่วยเดินมาเอาเอกสารจากส่วนกลางให้ ในระหว่างเดินทางกลับวังข้าก็ได้ยินเสียงคนเรียก
“อาราวเน่...” ข้าหันกลับไปมองทันที...ยามี่น่ะเอง
“มีอะไรหรือคะ?”
“เจ้าว่างอยู่รึเปล่า ถ้าว่างช่วยตามข้ากลับวังแล้วดูแผลที่แขนให้ข้าที ข้าคิดว่ามันควรจะได้เวลาตัดไหมแล้วล่ะ”
ข้านิ่งไปครู่
“เอ่อ ก็ว่างอยู่นะคะ งั้นเดี๋ยวท่านไปรอที่วังของท่านก่อนก็ได้ค่ะ ข้าขอเอาเอกสารไปให้ท่านอุลคิโอร่าก่อน แล้วเดี๋ยวจะตามไปค่ะ”
ยามี่พยักหน้า และเดินจากไป ส่วนข้าก็เดินกลับเอาเอกสารมาให้ท่านอุลคิโอร่าเช่นกัน หลังจากวางเอกสารไว้บนโต๊ะ ข้าจึงเอ่ยปากขออนุญาต
“เมื่อครู่ท่านยามี่บอกให้ข้าช่วยไปดูแผลที่แขนให้ ขออนุญาตออกจากวังไปสักครู่นะคะ” นายของข้าหยุดมือที่กำลังพลิกอ่านเอกสาร
“ให้เจ้าไปงั้นรึ...ข้าจำได้ว่าหน้าที่นั่นมันหน้าที่ของอารันคาร์พยาบาลนี่”
“เอ...สงสัยบางทีท่านยามี่อาจจะอยากให้ข้าไปช่วยเช็คการเชื่อมต่อของเส้นประสาทต่างๆให้ด้วยมังคะ”
ถ้าข้ามองไม่ผิด ข้าว่าข้าเห็นท่านอุลคิโอร่าขมวดคิ้วเล็กน้อย เขานิ่งไปเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง แล้วจึงเอ่ยต่อเสียงเรียบ
“ไม่ต้อง...เจ้าไปทำความสะอาดวังไป ส่วนเรื่องแผลของยามี่...ข้าจะให้อารันคาร์ตนอื่นไปดูแลเอง”
“ตะ...แต่ว่า...”
“เจ้าเป็นฟรานเชี่ยนของข้าหรือยามี่กัน...นี่เป็นคำสั่ง อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำสอง” นายข้าเอ่ยเสียงเรียบเช่นเคยแต่เสียงดังขึ้นเล็กน้อย ข้าได้แต่รับคำและเดินออกจากห้องไปทำความสะอาดวังแทน
สักพักก็มีคนมาเรียกตัวท่านอุลคิโอร่าบอกว่าท่านไอเซ็นเรียกรวมตัวเอสปาด้า นายท่านจึงเดินออกจากวังไป ส่วนข้า...ท่านบอกให้เฝ้าวังอยู่ที่นี่ และห้ามออกไปไหนโดยเด็ดขาด
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ข้ารู้สึกโชคดีจริงๆที่ไม่ได้ไปหายามี่ เพราะข้าสัมผัสจากจิตได้ว่ายามี่ฆ่าอารันคาร์ที่เป็นคนตัดไหมให้เพื่อทดสอบพลังแขนของตนเอง...ถ้าท่านอุลคิโอร่าไม่สั่งห้ามล่ะก็...คนที่ตายนั่นก็คงเป็นข้าแทน
ข้าถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหน ดังนั้นก็เลยถามข้อมูลต่างๆจากอารันคาร์ฝ่ายข่าวสาร ดูเหมือนว่าท่านอุลคิโอร่าได้รับมอบภารกิจให้ไปลักพาตัวหญิงสาวสาวมนุษย์ที่ชื่อโอริฮิเมะมา โดยมียามี่ ลูปี้ กริมจอว์ และอารันคาร์ตัวใหม่ที่ชื่อ วอนเดอร์ไวซ์ไปด้วย
สักพักท่านไอเซ็นก็มีคำสั่งให้เอสปาด้าที่เหลือและฟรานเชี่ยนทุกคนเข้าประชุมพร้อมกัน เพื่อรอรับฟังการรายงานจากคนที่ไปที่โลกมนุษย์ ข้าจึงเดินไปรวมกับคนอื่นๆและนั่งรออยู่ในห้องนั้นเงียบๆ
ไม่นานนักพวกเขาก็กลับมา...กลับมาครบทุกคน เพียงแต่มีลูปี้กับกริมจอว์ที่บาดเจ็บกลับมาด้วย ข้ามองสภาพเหมือนไปฟัดกับหมาที่ไหนมาของกริมจอว์แล้วแอบหงุดหงิดเล็กน้อย
อิตากริมจอว์นี่จะมีบ้างไหมนะที่ไปโลกมนุษย์แล้วไม่เจ็บหนักกลับมาเนี่ย! หาเรื่องเรียกเลือดให้ตัวเองซะจริงๆให้ตายสิ!
ท่านอุลคิโอร่ารายงานเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น รวมถึงภารกิจชิงตัวอิโนะอุเอะ โอริฮิเมะด้วย ดูเหมือนนายท่านจะใช้สงครามจิตวิทยาบีบบังคับผู้หญิงคนนั้นให้ต้องเลือกเดินทางที่ดูเหมือนจะทรยศพวกพ้องด้วยตนเอง...เขาปล่อยให้โอริฮิเมะมีเวลาร่ำลาคนที่ต้องการที่สุดเพียงคนเดียว และเมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน เขาก็จะไปรับเธอมายังลาส์ นอเช่แห่งนี้
“เยี่ยมมาก อุลคิโอร่า” ท่านไอเซ็นกล่าวชมนายของข้า เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับท่านไอเซ็น นายท่านเยี่ยมเสมอ ข้าคิดพลางแอบลอบยิ้มอยู่คนเดียว
“ถ้าอย่างนั้น...หน้าที่ดูแลโอริฮิเมะต่อจากนี้ไป ข้ายกให้อยู่ในความดูแลของเจ้า” ข้าหุบยิ้มฉับพลัน
...
...เดี๋ยวสิ...เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วย...ทำไมต้องให้นายท่านที่เป็นถึงเอสปาด้าลำดับที่4 ต้องมาคอยดูแลผู้หญิงชาวมนุษย์ด้วยล่ะ อารันคาร์ระดับล่างๆก็มีไม่ใช่เหรอ
“ครับ” แต่ท่านอุลคิโอร่าก็ตอบรับหน้าที่นั้นแต่โดยดี ท่านอุลคิโอร่าเชื่อฟังท่านไอเซ็นเสมอนั่นแหละ จนบางครั้งข้าล่ะอดเซ็งไม่ได้จริงๆ
...เมื่อผ่านไป12ชั่วโมง ท่านอุลคิโอร่าก็ออกจากวังไปโลกมนุษย์อีกครั้ง และกลับมาพร้อมกับหญิงสาวคนนั้น...
ข้าลอบมองสำรวจ เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารัก มีดวงตากลมโต ผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มสลวยยาวจรดกลางแผ่นหลัง.
..แถมหุ่นเจ้าหล่อนนี่เหลือรับซะจริง ข้าเห็นแล้วอิจฉา! ข้าว่าข้าอึ๋มแล้วนะ แต่เธอคนนี้ข้าต้องยกธงขาวยอมแพ้เลยจริงๆ...
“ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทของพวกเรา ลาส์นอเช่...” ท่านไอเซ็นกล่าวต้อนรับนาง
“...อิโนะอุเอะ โอริฮิเมะใช่มั้ยล่ะ”
“ค่ะ” นี่คือประโยคแรกที่ข้าได้ยินจากนาง
“ขออภัยที่รวบรัด โอริฮิเมะ จงแสดงพลังของเจ้าให้ดูหน่อย” ผู้เป็นราชาแห่งวังแห่งนี้ออกคำสั่งพร้อมรังสีกดดันรุนแรง ข้าเห็นนางแอบสั่นน้อยๆ เหงื่อตกด้วยความกลัว
ท่านไอเซ็นสั่งให้นางลองรักษาแขนซ้ายของกริมจอว์ ทีแรกข้าก็คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาแขนที่สูญสลายไปแล้ว ข้าคิดเช่นเดียวกับลูปี้ ที่โวยวายด้วยความไม่พอใจที่ต้องปะทะกับยมทูตและบาดเจ็บกลับมาเพียงเพื่อมนุษย์คนเดียว
...แต่สิ่งที่ได้ประจักษ์หลังจากนั้นก็ทำให้ทั้งข้าและลูปี้เบิกตากว้าง พูดอะไรไม่ออกด้วยความตกตะลึง เมื่อผู้หญิงคนนั้นสามารถเรียกแขนซ้ายของกริมจอว์กลับมาได้จริงๆ!
นี่มันบ้าชัดๆ มันไม่ใช่พลังในการฟื้นฟูแล้ว พลังอะไรกันเนี่ย!
ข้าเหลือบมองไปยังไอเซ็น เห็นรอยยิ้มเหยียดอยู่บนใบหน้าของเขา แล้วท่านจึงพูดตอบข้อสงสัยของลูปี้ ที่ดูเหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“...อุลคิโอร่ามีความเห็นว่านี่เป็นการ ย้อนเวลา หรือไม่ก็ ย้อนมิติ สินะ”
“ครับ” ท่านอุลคิโอร่าเอ่ยรับ
“บ้าชัดๆ...มนุษย์มีความสามารถระดับสูงขั้นนั้นน่ะ เป็นไปไม่ได้...!” ลูปี้ตะลึงงัน ไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านไอเซ็นเอ่ย
ข้าเห็นกริมจอว์ทดลองขยับมือซ้ายที่เพิ่งได้กลับมา จากนั้นจึงเรียกโอริฮิเมะให้รักษาแผลที่หลังให้...แผลที่เกิดจากการถูกลบหมายเลข
ข้าขมวดคิ้ว...ไม่เข้าใจ กริมจอว์สั่งให้เธอคนนั้นรักษาให้หมายเลข6 กลับมาทำไมกัน
ข้าเบิกตากว้าง...หรือว่า!
และมันก็เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ เมื่อกริมจอว์ใช้แขนข้างที่เพิ่งเรียกกลับมากระซวกแทงเข้ากลางลำตัวของลูปี้ และปิดชีวิตของเขาด้วยการยิงเซโร่ใส่จนท่อนบนทั้งหมดสลายไป เป็นการจบชีวิตเอสปาด้าหมายเลข6คนใหม่ที่ได้ครองตำแหน่งด้วยระยะเวลาที่สั้นมาก
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!” กริมจอว์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“กลับมาแล้ว!! พลังของข้ากลับมาแล้ว!! ข้านี่แหละ No.6!!!”
“เอสปาด้าหมายเลข 6 กริมจอว์!!!” เขาแผดเสียงก้องกังวาน ราวกับเป็นการย้ำ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า !!!” ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยึดติดกับตำแหน่งนี้นัก แต่เห็นความมั่นใจของเขากลับมาแบบนี้ ใจข้าก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความยินดีกับเขา
...อย่างน้อยข้าก็ชอบกริมจอว์มากกว่าลูปี้ล่ะนะ...
ความคิดเห็น