ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Bleach: Ulquiorra x Original] The Lullaby for my dream

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter3 : เมื่อฟันเฟืองเริ่มเคลื่อนเดิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.19K
      61
      21 พ.ค. 52




    ข้าเดินกลับมายังวังของตนเองหลังจากรักษาให้กริมจอว์เสร็จ  ข้ารู้สึกได้ว่าตอนนี้ท่านอุลคิโอร่ากำลังอยู่ในห้องทำงานจึงแวะไปชงชาร้อนและเดินเอาไปให้  แว่บแรกที่ที่ข้าเคาะและเปิดประตูเข้าไป  ท่านอุลคิโอร่าเงยหน้าขึ้นมาจากกองงานครู่หนึ่ง

     

    ไปหากริมจอว์มารึ 

     

    สิ่งที่ได้ยินทำเอาข้ายืนชะงักนิ่ง...เขารู้ได้ยังไงนะ?

     

    ค่ะ  ข้าเลือกที่จะตอบรับสั้นๆเดาใจเขาไม่ออกว่าข้าจะโดนว่าอะไรบ้าง  จากนั้นจึงเดินเข้าไปวางชาไว้บนโต๊ะทำงานของเขา

     

    เจ้านั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ

     

    เอ๋...เอ่อ  ก็บาดเจ็บสาหัสเหมือนกันค่ะ  แต่เมื่อครู่ข้าช่วยห้ามเลือดให้แล้ว  พักสักหน่อยเขาก็คงจะดีขึ้น...  ข้าหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อในสิ่งที่รู้สึกไม่สบายใจ

     

    แต่ถ้าพูดถึงด้านจิตใจแล้วเนี่ย  คงจะบอบช้ำพอดูเลยล่ะค่ะ  เพราะทั้งเสียแขน  เสียฟรานเชี่ยน แล้วยังถูกถอดจากเอสปาด้าอีก

     

    ...งั้นหรือ  เขาตอบสั้นๆเป็นการจบบทสนทนา  และก้มหน้าอ่านเอกสารต่างๆต่อ  เหลือแต่ความเงียบเข้าโรยตัว  ข้ายืนเก้ๆกังๆเพราะไม่รู้จะทำอะไรต่อดี

     

    ...ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปซักเสื้อผ้าก่อนนะคะ  ข้าพูดพลางถอยออกมาช้าๆ  และเดินไปที่ประตู

     

    อาราวเน่...

     

    คะ?”  ข้าหันหน้ากลับไปตามเสียงเรียก

     

    กลับไปเปลี่ยนเสื้อซะ...รอยเลือดที่เสื้อน่ะถ้าไม่รีบซักมันจะล้างไม่ออก  เขาพูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร  จึงไม่ทันเห็นสีหน้าที่เหวอไปแวบหนึ่งของข้า

     

    เข้าใจแล้วค่ะ  ข้าตอบรับและเดินออกจากห้องไป  พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะแอบอมยิ้ม...และโล่งใจที่ไม่ถูกว่าอะไร

     

    //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    หลายวันผ่านมานี้...ข้าไม่เห็นกริมจอว์ที่วังของเขาเลย  บางครั้งที่ข้าอุตส่าห์ทำอาหารไปเยี่ยมที่วัง  ก็พบแต่ความว่างเปล่า  เท่าที่รู้สึกได้ดูเหมือนจะออกไปอยู่แต่ในทะเลทรายนอกวังทั้งวันทั้งคืน

     

    ...ข้าคิดว่าเขาคงไปฝึกฝนตนเอง  และก็ไม่อยากทนเจอหน้าลูปี้ที่ชอบจะเยาะเย้ยเขาเรื่องตำแหน่งกระมัง...

     

    เนื่องจากวันนี้หลังจากทำอาหารเช้าให้ท่านอุลคิโอร่าแล้ว  เขาก็ถูกท่านไอเซ็นเรียกพบตั้งแต่เช้า  ข้าก็เลยว่าจะออกไปเที่ยวทะเลทรายซักหน่อย...ไปเยี่ยมดอกอาราวเน่ที่ข้าไม่ได้แวะไปดูนานแล้ว  ครั้งหลังสุดที่ไปมันเติบโตเพิ่มกระจายสมาชิกขึ้นเป็นกลุ่มไม้เล็กๆแล้ว...และบางทีข้าอาจจะแวะไปลองไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของกริมจอว์ด้วยเช่นกัน

     

    เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วข้าจึงลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า  ทำอาหารติดไปด้วยเล็กน้อย  และไม่ลืมแวะเขียนโน้ตแปะไว้บนโต๊ะบอกท่านอุลคิโอร่าว่าข้าออกไปไหนแล้วจึงเดินมุ่งออกจากวังทันที  หลังจากเดินออกมาได้ไม่ไกลมากนัก  ข้าก็รู้สึกได้ถึงจิตของเจ้าผมฟ้าอยู่ใกล้ๆบริเวณนี้  ข้าจึงเปลี่ยนใจที่จะไปทักทายเขาก่อนแล้วค่อยแวะไปชมดอกอาราวเน่ทีหลัง

     

    แว่บแรกที่เห็นร่างของกริมจอว์...เดาไว้ไม่ผิด  ออกมาฝึกดาบจริงๆด้วยน่ะแหละ  ฝึกซะจนหอบแฮ่กๆเหงื่อไหลโทรมกายเลยทีเดียว  แต่ท่าทางผลที่ออกมามันคงยังไม่สบอารมณ์เขาสักเท่าไหร่  เพราะทันทีที่ข้าลอบเข้าไปเดินมองใกล้ๆเขาก็ตวาดกร้าวทันที

     

    จะแอบดูอีกนานไหม  อาราวเน่!!!”

     

    โอ๊ะ...ไฮ้ย่า!”  ข้าสะดุ้งตกใจที่ถูกเขาจับได้อย่างรวดเร็วแบบนี้  เลยยกมือขึ้นเอ่ยทักเก้ๆกังๆ

     

    จะมาสมเพชข้ารึไง?  ไปให้พ้น!!”  ...ให้ตายสิ  พอแขนขาดไปข้างหนึ่งแล้วเนี่ย  นายมองโลกในแง่ร้ายขึ้นเยอะเลยนะ ตาบ้านี่ 

     

    ข้าถอนหายใจด้วยความหน่าย

     

    เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น  ข้าแค่ว่างๆก็เลยออกมาเดินเล่นแล้วบังเอิญสัมผัสถึงเจ้าได้  แล้วคิดว่าแวะไปเยี่ยมที่วังบ่อยๆก็ไม่เจอเลยเดินมาหา ก็เท่านั้นล่ะ  ข้าพูดพลางเดินเข้าไปใกล้ๆเขา

     

    ไหนๆข้าก็ว่างอยู่  สนใจให้ข้าเป็นคู่ซ้อมให้ไหม

     

    อย่างเจ้ามีปัญญาสู้ใครเขาได้ด้วยเหรอ?”  เขาเลิกคิ้ว

     

    ...เสียมารยาทที่สุด!

     

    ...ถึงข้าจะค่อนข้างอ่อนแอแถมไม่ค่อยสู้ใคร  แต่อย่าลืมสิว่าข้าก็เป็นทหารอารันคาร์คนหนึ่ง...ไม่ใช่แม่บ้าน!”  ข้าเท้าสะเอวแล้วตอบคนตรงหน้า ออกแนวประชดน้อยๆ

     

    มา!...ขอข้าลองสู้กับเจ้าหน่อยสิ  จะได้รู้ว่าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว  ฟันมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ  จะตัดแขน  ตัดขาตามสะดวก  ข้าพูดพลางตั้งท่าเตรียมพร้อม

     

    อย่าดีกว่า...เดี๋ยวข้าจะเผลอฆ่าเจ้าไปซะก่อน  เพราะข้าไม่ปรานีใครในการต่อสู้

     

    หึ...  ข้าแค่นหัวเราะ 

     

    โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง...ข้าชักดาบข้างตัวขึ้นมาแล้วปาดคอตนเองเป็นรอยลึกทันที  เลือดสีแดงเข้มพุ่งทะลักออกมา  การกระทำนั้นทำเอากริมจอว์เบิกตากว้าง

     

    ทำบ้าอะไรของเ...  แล้วเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อบาดแผลตรงคอข้าปิดสมานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ข้ายิ้มให้คนตรงหน้า

     

    อย่างที่เห็น...พลังการฟื้นตัวของข้าน่ะมันเยี่ยมสุดๆไปเลยซะด้วยสิ  ถ้าเจ้าจะฆ่าข้าเนี่ย  หักแขน  ตัดขา คงไม่พอ  ต้องทำลายหัวอย่างเดียวแล้วล่ะ  ซึ่งข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ใจร้ายทำมันได้ลงคอหรอกนะ

     

    ข้าเห็นกริมจอว์ฉีกยิ้ม...

     

    ดี!...งั้นรับมือ!”  พูดเสร็จทั้งข้าและเขาก็กระโจนเข้าสู้กันทันที

     

    กริมจอว์ไม่ปรานีใครอย่างที่พูดจริงๆนั่นล่ะ  หมอนี่ทั้งฟันทั้งยิงเซโร่ใส่ข้าจนเลือดท่วมร่างเลย  แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เล็งที่หัวข้า  ซึ่งนั่นแปลว่าเขาไม่ได้คิดจะฆ่าข้าจริงๆ  ข้าสู้กับเขาอยู่พักใหญ่  ก่อนจะถูกฟันเข้ากลางตัวล้มลงนอนคว่ำอยู่บนพื้น  ข้ายกมือยอมแพ้

     

    ยอมแล้วๆ  สู้ไม่ไหวจริงๆด้วยแฮะ  ข้าเอ่ยพลางพลิกตัวขึ้นนอนหงาย  ปล่อยให้ร่างกายทำหน้าที่สมานแผลและสร้างส่วนต่างๆในร่างกายขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว  ข้ากลอกตาขึ้นมองกริมจอว์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

     

    ขนาดปอดฉีก  ซี่โครงหักขนาดนั้นเจ้ายังฟื้นได้อีกเรอะ  เชื่อเลยจริงๆ  เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ  แล้วจึงทรุดตัวนั่งใกล้ๆ  พอดีกับที่ข้าฟื้นสภาพเรียบร้อยกระเด้งตัวขึ้นมานั่งเหมือนกัน

     

    ตั้งแต่กลายมาเป็นอารันคาร์  พลังในการรักษาของข้ามันก็พุ่งสูงขึ้นอย่างนี้นี่แหละ...เสียก็แต่ทำไมพลังในการต่อสู้ในไม่เพิ่มขึ้นบ้างก็ไม่รู้...ข้าล่ะอยากเก่งได้อย่างเจ้าบ้างจัง  กริมจอว์  ข้ายิ้มให้กับตัวเองด้วยความสมเพช  กริมจอว์เหลือบมองข้าแว่บหนึ่งแล้วหันกลับไปมองผืนทรายเบื้องหน้าตามเดิม

     

    เจ้าคงไม่รู้ตัว...แต่ไม่ใช่ว่าฝีมือเจ้าแย่หรอก  ใจเจ้าตังหากล่ะที่ไม่สู้  เวลาที่เจ้าตรงเข้าฟาดฟันข้า  ข้าเห็นความลังเลและความไม่แน่ใจในดวงตาเจ้าตลอด 

     

    ไม่ต้องปลอบข้าหรอกน่า

     

    ข้าไม่ได้ปลอบเจ้า!  แต่ข้าพูดจริงๆ  ถ้าเจ้ามีความกล้าที่จะลงดาบมากกว่านี้  เจ้าจะเก่งกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก  เขาพูดเสียงดุๆ  แต่ข้ารู้...เขากำลังสอนข้าอยู่

     

    สายลมที่พัดผ่านมาทำให้ผมข้าปลิวสยายขึ้นปรกหน้า  จนข้าต้องยกมือขึ้นปัดออก  พวกข้าสองคนนั่งนิ่งมองกองทรายที่ถูกสายลมพัดปลิวเปลี่ยนทิศทาง

     

    นี่กริมจอว์...  ข้าเอ่ยทำลายความเงียบ

     

    อะไร?”

     

    เจ้าคิดถึงพวกเชาหลงไหม?”  ข้าหันหน้าไปถามเขา 

     

    กริมจอว์มองข้านิ่งด้วยหางตา

     

    ...ถามอะไรของเจ้ากันน่ะ?”

     

    ข้าอยากรู้จริงๆ...ตั้งแต่พวกเขาตายไป  เจ้าคิดถึงพวกเขาบ้างไหม

     

    ข้าเห็นกริมจอว์หันมาจ้องหน้าข้าด้วยความงุนงงที่ถามอะไรแปลกๆแล้วจึงหันหน้ากลับไปมองผืนทรายเช่นเดิม  เขานั่งนิ่งใช้ความคิดครู่หนึ่ง  แล้วจึงตอบออกมา

     

    อารันคาร์อย่างพวกเราตายในการต่อสู้เป็นเรื่องปกติ...ถึงข้ากับพวกมันจะอยู่ด้วยกันมานาน  ข้าก็รู้ดีว่ายังไงสักวันเวลานี้ก็ต้องมาถึง...แต่ถึงอย่างนั้น...

     

    ...พวกมันก็จะอยู่ในความทรงจำของข้าตลอดไป...เขาตอบข้าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

     

    คำตอบเขาทำให้ข้ารู้สึกอิจฉาพวกเชาหลงอยู่ในใจ

     

    ถ้าสักวันหนึ่งข้าตายไปจริงๆ...หากท่านอุลคิโอร่าจะหลงเหลือข้าไว้ในความทรงจำเหมือนที่เจ้าทำบ้างก็คงดีลินะ  ข้าพูดออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงปวดร้าว  แว่บหนึ่งที่กริมจอว์เบนสายตามามองข้านิ่ง..และราวกับจะปลอบใจข้า

     

    เจ้านั่นมันเป็นพวกแสดงความรู้สึกไม่เก่งสักเท่าไหร่เจ้าก็น่าจะรู้...แต่เนื้อแท้มันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำหรอก  ถึงจะพูดปลอบใจ  แต่น้ำเสียงก็ซ่อนความหงุดหงิดไม่มิดยามต้องเอ่ยชื่อเขาคนนั้น

     

    ...นั่นสินะ  ข้าก้มหน้ายิ้มให้กับตนเอง  ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว  และหันหน้าไปหากริมจอว์

     

    ขอโทษที่ข้าถามอะไรแปลกๆเจ้าไปนะ  เพื่อเป็นการไถ่โทษ...เจ้าอยากไปดูสถานที่ลับของข้ารึเปล่า?”

     

    หา?”  ข้าเห็นกริมจอว์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

     

    ข้าไม่รอฟังคำตอบเขา  แต่ตรงเข้าไปดึงแขนให้ชายตรงหน้าลุกขึ้น  แล้วดึงลากเขาให้ตามข้ามาทันที  กริมจอว์สบถออกมาด้วยความหงุดหงิดที่โดนข้าลาก  แต่ก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี ข้าพาเขาเดินมาเรื่อยๆ  และมาหยุดอยู่ใต้ชะง่อนหินก้อนใหญ่  ภายในร่มเงาของที่นั่น  มีต้นดอกไม้สีแดงสดใสหลายต้นขึ้นอยู่

     

    ที่นี่ยังมีต้นไม้ขึ้นได้อีกเหรอเนี่ย  กริมจอว์เอ่ยออกมาด้วยความแปลกใจ  เขาจ้องต้นไม้เล็กๆเหล่านั้นนิ่ง

     

    ดอกอะไรเนี่ย?”

     

    อาราวเน่

     

    ข้าไม่ได้ถามชื่อเจ้า!”

     

    ก็แล้วใครบอกว่าข้าบอกชื่อข้าล่ะ!  นี่น่ะเรียกว่าดอกอาราวเน่  ข้าย้อนเขากลับ แล้วจึงเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง

     

    ข้ามาเจอดอกไม้นี้เข้าตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นกิลเลียน  ตอนนั้นมันยังมีแค่ต้นเดียวอยู่เลย...แต่พอเวลาผ่านไป  มาดูอีกที  มันก็เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ  จนตอนนี้ก็มีหลายต้นอย่างที่เห็นนั่นล่ะ...สวยเนอะ?”  ข้าก้มลงนั่งยองๆ  เอามือเท้าคาง  ก่อนแหงนมองถามเขา

     

    ฮื่อ  เขาตอบคำถามข้าสั้นๆ

     

    ข้าจ้องมองดอกสีแดงสดเหล่านั้นนิ่ง  นึกย้อนไปในอดีต...ย้อนไปถึงวันที่ข้าได้พบกับท่านอุลคิโอร่าเป็นครั้งแรก

     

    เมื่อก่อนข้าไม่เคยมีความคิดที่จะพัฒนาตนเองให้มาเป็นวาสโทรเด้หรือมาเป็นอารันคาร์เลยรู้ไหม  ข้าเกลียดการต่อสู้เลยพยายามหลีกเลี่ยงมันเท่าที่จะทำได้  ตอนนั้นข้าคิดแค่ว่า  ขอแค่อยู่เป็นกิลเลียนที่มีชีวิตจิตใจไปวันๆก็พอแล้ว...

     

    แต่แล้วความคิดข้าก็เปลี่ยนไป...เมื่อข้าวันที่ข้าได้ค้นพบดอกไม้พวกนี้  พวกมันทำให้ข้าได้พบกับคนคนหนึ่ง  คนที่ช่วยชีวิตข้าจากการโดนกลุ่มกิลเลียนตัวอื่นทำร้าย...คนที่บอกชื่อดอกไม้นี้กับข้า...และเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าต่อสู้พัฒนาตนเรื่อยมา...เพียงเพื่อจะได้พบกับเขาคนนั้นอีกครั้ง  ข้าอดไม่ได้ที่จะเห็นภาพดวงหน้าของเอสปาด้าตาสีเขียวคนนั้นซ้อนทับภาพดอกอาราวเน่เบื้องหน้า

     

    หวังว่าคนคนนั้นของเจ้าคงไม่ใช่อุลคิโอร่านะ  กริมจอว์โพล่งขึ้นมาโดยไม่คิดอะไร  แต่เมื่อเห็นข้านิ่งไม่ตอบอะไรเขาก็ชะงัก  แล้วอดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้

     

    ใช่จริงๆเรอะ?”

     

    ข้ายังคงนั่งนิ่ง  เหม่อมองดอกไม้ต่อไป  ซึ่งนั่นก็แทนคำตอบได้ดี ความเงียบเข้าโรยตัวรอบเราทั้งสองคน

     

    แล้ว...เจ้านั่นจำเรื่องนี้ได้ไหม?”

     

    ข้าส่ายหน้า

     

    แล้วเจ้าไม่คิดจะบอกเขารึไง  ข้ารู้สึกถึงความหงุดงหิดในน้ำเสียงเขา

     

    อย่าเลย...สำหรับเขา...การที่ได้ช่วยกิลเลียนตัวหนึ่งวันนั้น  มันคงเป็นแค่เรื่องเล็กๆที่ไม่มีอะไรน่าจดจำเลยเลยด้วยซ้ำมั้ง  ไม่จำเป็นต้องไปรื้อฟื้นมันหรอก  แล้วถ้าหากเล่าเรื่องนี้ไป  แต่เขาจำมันไม่ได้  ข้าก็คงหน้าแตกพิลึก  ฮะๆ  ข้าพยายามหัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องขำ  แต่สิ่งที่คิดจริงๆมันก็อดทำให้ใจเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นไม่ได้

     

    ถ้าเจ้าไม่บอก  มันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ  เรื่องเกิดมาตั้งนานขนาดนั้นใครมันจะไปนึกเองได้เล่า!”  เขาตวาดออกมา

     

    น่ารำคาญจริงๆ  ถ้าไม่กล้าขนาดนั้นล่ะก็  ข้าจะสงเคราะห์เจ้าเล่าให้มันฟังให้ก็ได้

     

    อย่านะ!”  ข้าลุกขึ้นหันไปจ้องหน้าเขาทันที

     

    ขอร้องล่ะ...อย่าบอกเลยนะ  ข้าวิงวอนเขา  ความปวดร้าวในใจข้าคงแสดงออกมาในสายตา  จนทำให้อารันคาร์ตรงหน้ายืนอึ้งไปทันที   สายลมร้อนพัดผ่านไปเบาๆ  นำพาเส้นผมสีแดงเข้มของข้าปลิวสยายไปกับสายลม...พร้อมกับพัดพาความรวดร้าวในใจข้าให้ส่งไปให้คนตรงหน้ารับรู้

     

    ถือว่าข้าอ้อนวอนเจ้าล่ะ  อย่าบอกให้เขารู้เลยนะ  กริมจอว์

     

    //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    วันเวลาผ่านไป  จากวัน  เป็นเดือน...แต่ชีวิตข้าก็ยังคงราบเรียบไม่มีอะไรหวือหวาเช่นเคย

     

    ช่วงหลังๆมานี้ข้ารู้สึกว่าท่านไอเซ็นจะสนใจข้อมูลเกี่ยวกับพลังผู้หญิงที่ท่านอุลคิโอร่าไปพบเข้าเมื่อคราวก่อน  หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ชื่อ อิโนะอุเอะ  โอริฮิเมะ  เพราะท่านให้คนไปรวบรวมประวัติและข้อมูลต่างๆของผู้หญิงคนนี้มา  รวมถึงเรียกเอสปาด้าเข้าประชุมบ่อยๆด้วย  ช่วงนี้งานของนายข้าเลยยุ่งเป็นพิเศษ...ข้าก็เลยยุ่งขึ้นนิดหน่อยด้วยเหมือนกัน

     

    ท่านอุลคิโอร่าใช้ให้ข้าช่วยเดินมาเอาเอกสารจากส่วนกลางให้  ในระหว่างเดินทางกลับวังข้าก็ได้ยินเสียงคนเรียก

     

    อาราวเน่...  ข้าหันกลับไปมองทันที...ยามี่น่ะเอง

     

    มีอะไรหรือคะ?”

     

    เจ้าว่างอยู่รึเปล่า  ถ้าว่างช่วยตามข้ากลับวังแล้วดูแผลที่แขนให้ข้าที  ข้าคิดว่ามันควรจะได้เวลาตัดไหมแล้วล่ะ

     

    ข้านิ่งไปครู่

     

    เอ่อ  ก็ว่างอยู่นะคะ  งั้นเดี๋ยวท่านไปรอที่วังของท่านก่อนก็ได้ค่ะ  ข้าขอเอาเอกสารไปให้ท่านอุลคิโอร่าก่อน  แล้วเดี๋ยวจะตามไปค่ะ

     

    ยามี่พยักหน้า  และเดินจากไป  ส่วนข้าก็เดินกลับเอาเอกสารมาให้ท่านอุลคิโอร่าเช่นกัน   หลังจากวางเอกสารไว้บนโต๊ะ  ข้าจึงเอ่ยปากขออนุญาต

     

    เมื่อครู่ท่านยามี่บอกให้ข้าช่วยไปดูแผลที่แขนให้  ขออนุญาตออกจากวังไปสักครู่นะคะ  นายของข้าหยุดมือที่กำลังพลิกอ่านเอกสาร

     

    ให้เจ้าไปงั้นรึ...ข้าจำได้ว่าหน้าที่นั่นมันหน้าที่ของอารันคาร์พยาบาลนี่

     

    เอ...สงสัยบางทีท่านยามี่อาจจะอยากให้ข้าไปช่วยเช็คการเชื่อมต่อของเส้นประสาทต่างๆให้ด้วยมังคะ

     

    ถ้าข้ามองไม่ผิด  ข้าว่าข้าเห็นท่านอุลคิโอร่าขมวดคิ้วเล็กน้อย  เขานิ่งไปเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง  แล้วจึงเอ่ยต่อเสียงเรียบ

     

    ไม่ต้อง...เจ้าไปทำความสะอาดวังไป ส่วนเรื่องแผลของยามี่...ข้าจะให้อารันคาร์ตนอื่นไปดูแลเอง

     

    ตะ...แต่ว่า...

     

    เจ้าเป็นฟรานเชี่ยนของข้าหรือยามี่กัน...นี่เป็นคำสั่ง  อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำสอง  นายข้าเอ่ยเสียงเรียบเช่นเคยแต่เสียงดังขึ้นเล็กน้อย  ข้าได้แต่รับคำและเดินออกจากห้องไปทำความสะอาดวังแทน

     

    สักพักก็มีคนมาเรียกตัวท่านอุลคิโอร่าบอกว่าท่านไอเซ็นเรียกรวมตัวเอสปาด้า  นายท่านจึงเดินออกจากวังไป  ส่วนข้า...ท่านบอกให้เฝ้าวังอยู่ที่นี่  และห้ามออกไปไหนโดยเด็ดขาด

     

    //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    ข้ารู้สึกโชคดีจริงๆที่ไม่ได้ไปหายามี่  เพราะข้าสัมผัสจากจิตได้ว่ายามี่ฆ่าอารันคาร์ที่เป็นคนตัดไหมให้เพื่อทดสอบพลังแขนของตนเอง...ถ้าท่านอุลคิโอร่าไม่สั่งห้ามล่ะก็...คนที่ตายนั่นก็คงเป็นข้าแทน

     

    ข้าถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหน  ดังนั้นก็เลยถามข้อมูลต่างๆจากอารันคาร์ฝ่ายข่าวสาร  ดูเหมือนว่าท่านอุลคิโอร่าได้รับมอบภารกิจให้ไปลักพาตัวหญิงสาวสาวมนุษย์ที่ชื่อโอริฮิเมะมา  โดยมียามี่ ลูปี้ กริมจอว์  และอารันคาร์ตัวใหม่ที่ชื่อ วอนเดอร์ไวซ์ไปด้วย

     

    สักพักท่านไอเซ็นก็มีคำสั่งให้เอสปาด้าที่เหลือและฟรานเชี่ยนทุกคนเข้าประชุมพร้อมกัน  เพื่อรอรับฟังการรายงานจากคนที่ไปที่โลกมนุษย์  ข้าจึงเดินไปรวมกับคนอื่นๆและนั่งรออยู่ในห้องนั้นเงียบๆ

     

    ไม่นานนักพวกเขาก็กลับมา...กลับมาครบทุกคน  เพียงแต่มีลูปี้กับกริมจอว์ที่บาดเจ็บกลับมาด้วย  ข้ามองสภาพเหมือนไปฟัดกับหมาที่ไหนมาของกริมจอว์แล้วแอบหงุดหงิดเล็กน้อย

     

    อิตากริมจอว์นี่จะมีบ้างไหมนะที่ไปโลกมนุษย์แล้วไม่เจ็บหนักกลับมาเนี่ย!  หาเรื่องเรียกเลือดให้ตัวเองซะจริงๆให้ตายสิ!

     

    ท่านอุลคิโอร่ารายงานเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น  รวมถึงภารกิจชิงตัวอิโนะอุเอะ  โอริฮิเมะด้วย  ดูเหมือนนายท่านจะใช้สงครามจิตวิทยาบีบบังคับผู้หญิงคนนั้นให้ต้องเลือกเดินทางที่ดูเหมือนจะทรยศพวกพ้องด้วยตนเอง...เขาปล่อยให้โอริฮิเมะมีเวลาร่ำลาคนที่ต้องการที่สุดเพียงคนเดียว  และเมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน  เขาก็จะไปรับเธอมายังลาส์  นอเช่แห่งนี้

     

    เยี่ยมมาก  อุลคิโอร่า  ท่านไอเซ็นกล่าวชมนายของข้า  เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับท่านไอเซ็น  นายท่านเยี่ยมเสมอ ข้าคิดพลางแอบลอบยิ้มอยู่คนเดียว

     

    ถ้าอย่างนั้น...หน้าที่ดูแลโอริฮิเมะต่อจากนี้ไป  ข้ายกให้อยู่ในความดูแลของเจ้า  ข้าหุบยิ้มฉับพลัน

     

    ...

     

    ...เดี๋ยวสิ...เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วย...ทำไมต้องให้นายท่านที่เป็นถึงเอสปาด้าลำดับที่4 ต้องมาคอยดูแลผู้หญิงชาวมนุษย์ด้วยล่ะ  อารันคาร์ระดับล่างๆก็มีไม่ใช่เหรอ

     

    ครับ  แต่ท่านอุลคิโอร่าก็ตอบรับหน้าที่นั้นแต่โดยดี  ท่านอุลคิโอร่าเชื่อฟังท่านไอเซ็นเสมอนั่นแหละ  จนบางครั้งข้าล่ะอดเซ็งไม่ได้จริงๆ

     

    ...เมื่อผ่านไป12ชั่วโมง  ท่านอุลคิโอร่าก็ออกจากวังไปโลกมนุษย์อีกครั้ง  และกลับมาพร้อมกับหญิงสาวคนนั้น...

     

    ข้าลอบมองสำรวจ  เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารัก  มีดวงตากลมโต  ผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มสลวยยาวจรดกลางแผ่นหลัง.

     

    ..แถมหุ่นเจ้าหล่อนนี่เหลือรับซะจริง  ข้าเห็นแล้วอิจฉา!  ข้าว่าข้าอึ๋มแล้วนะ  แต่เธอคนนี้ข้าต้องยกธงขาวยอมแพ้เลยจริงๆ...

     

    ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทของพวกเรา  ลาส์นอเช่...  ท่านไอเซ็นกล่าวต้อนรับนาง

     

    ...อิโนะอุเอะ  โอริฮิเมะใช่มั้ยล่ะ

     

    ค่ะนี่คือประโยคแรกที่ข้าได้ยินจากนาง

     

    ขออภัยที่รวบรัด  โอริฮิเมะ  จงแสดงพลังของเจ้าให้ดูหน่อย  ผู้เป็นราชาแห่งวังแห่งนี้ออกคำสั่งพร้อมรังสีกดดันรุนแรง  ข้าเห็นนางแอบสั่นน้อยๆ  เหงื่อตกด้วยความกลัว

     

    ท่านไอเซ็นสั่งให้นางลองรักษาแขนซ้ายของกริมจอว์  ทีแรกข้าก็คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาแขนที่สูญสลายไปแล้ว  ข้าคิดเช่นเดียวกับลูปี้  ที่โวยวายด้วยความไม่พอใจที่ต้องปะทะกับยมทูตและบาดเจ็บกลับมาเพียงเพื่อมนุษย์คนเดียว

     

    ...แต่สิ่งที่ได้ประจักษ์หลังจากนั้นก็ทำให้ทั้งข้าและลูปี้เบิกตากว้าง  พูดอะไรไม่ออกด้วยความตกตะลึง  เมื่อผู้หญิงคนนั้นสามารถเรียกแขนซ้ายของกริมจอว์กลับมาได้จริงๆ!

     

    นี่มันบ้าชัดๆ  มันไม่ใช่พลังในการฟื้นฟูแล้ว  พลังอะไรกันเนี่ย! 

     

    ข้าเหลือบมองไปยังไอเซ็น  เห็นรอยยิ้มเหยียดอยู่บนใบหน้าของเขา  แล้วท่านจึงพูดตอบข้อสงสัยของลูปี้  ที่ดูเหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

     

    ...อุลคิโอร่ามีความเห็นว่านี่เป็นการ ย้อนเวลา หรือไม่ก็ ย้อนมิติ สินะ

     

    ครับ  ท่านอุลคิโอร่าเอ่ยรับ

     

    บ้าชัดๆ...มนุษย์มีความสามารถระดับสูงขั้นนั้นน่ะ  เป็นไปไม่ได้...!”  ลูปี้ตะลึงงัน  ไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านไอเซ็นเอ่ย

     

    ข้าเห็นกริมจอว์ทดลองขยับมือซ้ายที่เพิ่งได้กลับมา  จากนั้นจึงเรียกโอริฮิเมะให้รักษาแผลที่หลังให้...แผลที่เกิดจากการถูกลบหมายเลข

     

    ข้าขมวดคิ้ว...ไม่เข้าใจ  กริมจอว์สั่งให้เธอคนนั้นรักษาให้หมายเลข6 กลับมาทำไมกัน

     

    ข้าเบิกตากว้าง...หรือว่า!

     

    และมันก็เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ  เมื่อกริมจอว์ใช้แขนข้างที่เพิ่งเรียกกลับมากระซวกแทงเข้ากลางลำตัวของลูปี้  และปิดชีวิตของเขาด้วยการยิงเซโร่ใส่จนท่อนบนทั้งหมดสลายไป  เป็นการจบชีวิตเอสปาด้าหมายเลข6คนใหม่ที่ได้ครองตำแหน่งด้วยระยะเวลาที่สั้นมาก

     

    ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!”  กริมจอว์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

     

    กลับมาแล้ว!!  พลังของข้ากลับมาแล้ว!!  ข้านี่แหละ No.6!!!” 

     

    เอสปาด้าหมายเลข 6 กริมจอว์!!!”  เขาแผดเสียงก้องกังวาน  ราวกับเป็นการย้ำ

     

    ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า ฮ่า !!!”  ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยึดติดกับตำแหน่งนี้นัก  แต่เห็นความมั่นใจของเขากลับมาแบบนี้  ใจข้าก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความยินดีกับเขา

     

     

    ...อย่างน้อยข้าก็ชอบกริมจอว์มากกว่าลูปี้ล่ะนะ...

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×