คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : Final Chapter: A place we call home. (100%ในที่สุด!)
อืม...อุ่นสบายดีจัง
ข้าคิดพลางขยับตัวเอียงหน้าไปซุกเรียกหาไออุ่นมากกว่าเดิม พลางขยับมือไปโอบรอบหมอนข้างที่ให้ความรู้สึกหนั่นแน่นให้ใกล้ชิดขึ้น รู้สึกหมอนข้างจะกระดุกกระดิกนิดหน่อย ก่อนสัมผัสที่นุ่มนวลจะโอบรอบไหล่ข้าหลวมๆ
หือ...หมอนข้างดุกดิก? โอบไหล่หลวมๆ?
ข้าทะลึ่งตัวขึ้นทันทีที่รู้สึกถึงความผิดปกติ แล้วก็ต้องครางออกมาเบาๆเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากช่วงล่าง
“เจ็บมากรึเปล่า?” เสียงทุ้มจากข้างตัวถามขึ้นอย่างห่วงใย พอข้าหันไปมอง
ท่านอุลคิโอร่า...กำลังนอนหันข้างเอาหัวหนุนแขนตัวเองในสภาพ...ด้านบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นรอยสักหมายเลขสี่และกล้ามเนื้อที่กระชับได้สัดส่วน ข้ามองไล่ลงไปตามส่วนต่างๆของร่างกายที่หายเข้าไปในผ้าห่ม แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็เหมือนจะย้อนกลับสู่สมองราวกับฉายเทปซ้ำ ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาแล้วต้องรีบหลบหน้าจากดวงตาสีเขียวเป็นประกายที่จ้องมองมาอย่างมีเล่ห์นัย พอแอบเหลือบมองก็เห็นสายตาคู่นั้นค่อยๆไล่สายตาลงต่ำเรื่อยๆ ข้าค่อยๆก้มหน้าลงมองตาม
...ร่างด้านบนของข้าที่อยู่พ้นผ้าห่ม...และไม่มีอะไรปกปิดซักชิ้น!
ข้ารีบยกผ้าห่มขึ้นปิดถึงคอ หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นไปอีกอย่างช่วยไม่ได้ ข้าเงยหน้ามองคนที่นอนเท้าคางลอบยิ้มที่มุมปากนิดๆ
“ยิ้มอะไรคะ” ข้าเอ่ยเสียงดุ อีกฝ่ายหัวเราะหึออกมาเบาๆ ก่อนเอ่ยตอบ
“ก็แค่สงสัยว่าจนป่านนี้แล้วจะปิดไปทำไม” คำพูดราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญรวมกับแววตาที่มองมาเหมือนจะทะลุทะลวงได้นั่นทำให้ข้าสะท้าน รีบหาทางเปลี่ยนเรื่องคุย
“อะ...เอ่อ...ไหนๆก็ตื่นกันแล้ว พวกเราควรจะรีบกลับบ้านกันเถอะค่ะ ทุกคนคงเป็นห่วงแย่”
“จะรีบไปทำไม” พูดจบเขาก็เบนสายตาไปมองนาฬิกา แล้วจึงถามต่อ
“โรงแรมนี้ให้เช็คเอ้าท์ก่อนกี่โมง?”
“เอ่อ...11 โมงค่ะ”
“แปลว่ายังมีเวลา”...และก่อนที่จะเข้าใจว่าเวลาอะไร มือแกร่งก็เอื้อมมาดึงข้อมือ ดันร่างข้าลงสู่ที่นอนอันอ่อนนุ่มอีกครั้ง
“...มาต่อกันเถอะ” และก่อนที่ข้าจะได้ประท้วง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประทับลงมาอย่างนุ่มนวล พร้อมๆกับร่างแกร่งที่พลิกขึ้นทาบทับ ก่อนที่จะเริ่มรุกเร้า และแล้วท่วงทำนองรักก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
**********************************************************************************
กว่าพวกเราจะได้เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมก็เกือบเที่ยง ท่านอุลคิโอร่าตัดสินใจพาข้าเข้าร้านอาหารก่อนจะกลับบ้าน โดยให้เหตุผลว่าไหนๆข้าวเช้าก็ไม่ได้ทานเดี๋ยวจะหมดแรงเสียก่อน...ก็เพราะใครกันล่ะทำให้พวกเราไม่ได้ทานอาหารเช้า? ข้าเหลือบมองตัวต้นเหตุที่ดูเหมือนจะตีหน้าตายสบายอารมณ์เหลือเกิน หากเมื่อสายตาสีเขียวที่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าช่างเจ้าเล่ห์นักตวัดมามอง มันก็เป็นข้าที่ต้องหลบสายตาไม่กล้าสู้หน้าทุกครั้งไป มือหนึ่งของนายท่านตอนนี้ช่วยถือสัมภาระต่างๆที่ข้าซื้อมา ส่วนอีกมือก็สอดประสานกุมมือข้าไว้แน่น เขาเดินกุมมือข้าไปตลอดทาง พลางผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อยให้ข้าสามารถเดินเคียงข้างเขาได้ทัน ระหว่างที่นั่งรออาหารอยู่นั้น ข้าเห็นนายท่านหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู คิ้วขมวดน้อยๆเพียบแว่บเดียวก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นปกติ
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”
“ไม่มีอะไรมากหรอก พวกนั้นก็แค่ส่งข้อความมาบอกว่าอุราฮาร่ารออยู่ที่บ้าน ให้รีบกลับ” ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ใจข้าก็เริ่มเป็นกังวลทันที...และความกังวลนั้น คงแสดงออกผ่านสีหน้าข้าเต็มที่ ท่านอุลคิโอร่าเห็นอย่างนั้นจึงเอ่ยปลอบ
“ตอนนี้อย่าเพิ่งวิตกอะไรมากจะดีกว่า” ทันใดนั้นการสนทนาก็ถูกขัดจังหวะจากบริกรที่นำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
“รีบกินเถอะ แล้วจะได้กลับบ้านเสียที” เขากล่าวเสียงเรียบ ข้าได้แต่พยักหน้าตอบรับ...หากอาหารมื้อนั้น แม้จะหิวมาก...ข้ากลับรู้สึกกลืนไม่ค่อยลงเสียดื้อๆ
**********************************************************************************
ทันทีที่รถแล่นมาจอดหน้าบ้าน ลิลิเนตก็เปิดประตูออกมาต้อนรับราวกับรู้ล่วงหน้า เธอมองข้าตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาแปลก แล้วเบนสายตาไปมองท่านอุลคิโอร่า จากนั้นก็ฉีกยิ้ม
“ดูเหมือนจะเคลียร์กันได้ ‘เรียบร้อย’ สินะ” เธอจงใจเน้นคำว่า ‘เรียบร้อย’ และจ้องข้าสลับกับนายท่านด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ มันทำให้ข้าไม่กล้าสบตาเธอ นายท่านเองก็เหมือนจะหน้าขึ้นสีเรื่อๆ
“ไม่ใช่ธุระของเจ้า” เขาพูดเสียงเรียบโดยไม่สบตาระหว่างจูงข้าเดินผ่านเจ้าอารันคาร์เด็กเข้าไปในบ้าน ลิลิเนตเอามือปิดปากหัวเราะคิกราวกับเจอเรื่องสนุก ก่อนหันหลังเดินตามพวกข้าเข้ามา
“ทุกคนอยู่ที่ห้องครัวแน่ะ เจ้าคนที่ชื่ออุราฮาร่ามารอได้ซักพักละ พวกของทั้งหมดที่เจ้าถือนั่นเอากองๆไว้ตรงระเบียงก่อนแล้วกัน คุยเสร็จค่อยเอาไปเก็บ”
ทันทีที่ท่านอุลคิโอร่าจูงมือข้าเข้ามายังห้องครัว สายตาทุกคู่ในที่นั้นก็หันมาจ้องที่พวกข้าเป็นตาเดียว อุราฮาร่านั่งเอามือเท้าคางพลางโบกพัดอย่างใจเย็น เอสปาด้าหมายเลขหนึ่งยิ้มเหยียด ผิวปากฟิ้ว กริมจอว์หันมามองข้าแว่บหนึ่งก่อนจะเบิกตากว้าง แล้วเปลี่ยนไปจ้องนายท่านด้วยสายตาอาฆาตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนท่านฮาริเบลก็มองข้าเขม็ง แต่ไม่พูดอะไรออกมา จนกระทั่งข้าทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างๆนาง
“รอยที่คอ...หาอะไรมาปิดหน่อยก็ดีนะ” เธอเอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบ ข้าเอียงคอมองเอสปาด้าสาวอย่างงุนงง ท่านฮาริเบลชี้นิ้วไปที่ตำแหน่งบริเวณคอของนางเหมือนเป็นการชี้แนะ และทันทีที่เข้าใจความหมายข้าก็รีบยกมือขึ้นปิดทันที...มิน่าล่ะ ทุกคนถึงจ้องข้านัก ข้าส่งสายตาเขินๆระคนโมโหไปยังคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ดวงตาสีเขียวไหววูบหนึ่งก่อนที่ใบหน้าสีขาวนั้นจะปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก
...จงใจ...จงใจทำชัดๆ!! แล้วที่สำคัญ ทำไมไม่บอกข้าตั้งแต่ก่อนออกมาจากโรงแรม!?
ฝากไว้ก่อนเถอะ!!...ข้าคิดพลางกัดฟันกรอด น่าขายหน้าที่สุด!
“เอาล่ะ ไหนๆก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ผมขอเข้าสู่ประเด็นเลยนะครับ” อุราฮาร่าที่เงียบมานานเปิดประเด็นขึ้น ข้าจึงละสายตาจากโจทก์ตรงหน้าไปมองชายสวมหมวกที่นั่งหัวโต๊ะแทน ตอนนี้บรรยากาศในห้องครัวเปลี่ยนเป็นตึงเครียดในพริบตา
“จากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้มีคนตายไปเยอะมาก นอกจากนี้ทางโซล โซไซตี้เองก็กำลังโกลาหลกันใหญ่หลังจับสัมผัสพลังกดวิญญาณของเหล่าอารันคาร์ได้” เขาพูดพลางจ้องเขม็งมายังข้า
“ดูท่าจะปลอดภัยดีนะครับ” เขาถามด้วยความเป็นห่วง ยิ้มให้น้อยๆ ก่อนกลับเข้าสู่ประเด็น
“ถึงจะรู้ว่าเหตุการณ์ตอนนั้นจะเป็นการป้องกันตนเอง แต่ผลที่พวกคุณก่อขึ้นมันก็ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง และที่สำคัญมันละเมิดข้อตกลงที่พวกเราเคยทำไว้...นั่นคือการฆ่ามนุษย์” เขาหยุดพัดในมือ ลดมันลงเล็กน้อย เผยให้เห็นสายตาที่จ้องเขม็งไร้แววล้อเล่น มันทำให้ข้าเริ่มรู้สึกเครียด และเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ...ยังไงเสียพวกอุราฮาร่า คิสึเกะก็สนิทกับพวกยมทูต ข้าจะไม่แปลกใจเลยถ้าเขาแจ้งเบาะแสของพวกข้าให้พวกยมทูตรับรู้
“เสียใจด้วยนะครับ...แต่ผมคงต้องขอให้พวกคุณไปจากโลกมนุษย์ทันที และอย่ากลับมาอีก”
“เอ๋!?” ข้าหลุดอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ...แค่ให้ไปจากที่นี่งั้นเหรอ และดูเหมือนคนอื่นๆเองก็มีสีหน้าแปลกใจไม่ต่างกับข้าเช่นเดียวกัน
“จะไม่ส่งตัวพวกเราให้พวกยมทูตเรอะ?” สตาร์กถามออกมา มองชายสวมหมวกอย่างไม่ไว้ใจ อุราฮาร่ายิ้ม
“ถามแบบนี้นี่ผมควรจะแปลว่าพวกคุณโล่งใจ หรือว่าเสียดายที่จะไม่ได้สู้ต่อกันล่ะครับ?”
“นี่แกคิดจะทำอะไรกันแน่วะ?” กริมจอว์ขึ้นเสียงใส่พลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“ก็...ถึงจะรู้ว่าทำเกินไป แต่การกระทำของพวกคุณก็ช่วยให้เมืองนี้น่าอยู่ขึ้นเยอะ ถึงที่ผ่านมาผมถือคติไม่เอาตัวไปพัวพันกับเรื่องของมนุษย์โดยไม่จำเป็น...แต่ยังไงก็เถอะ ผมก็รักเมืองนี้เหมือนกันนะครับ”
...พูดอะไรของเขานะ? ข้าว่านอกจากข้าคนอี่นก็คงต้องคิดเหมือนกันนั่นแหละ
“พูดตรงๆก็คือ...ถึงแม้ว่าพวกเราจะทำผิดกฎ แต่ที่จริงแล้วเจ้าเองก็พอใจที่ได้ยืมมือพวกเรากวาดล้างพวกเศษสวะนั่น ดังนั้นก็เลยไม่คิดจะแจ้งยมทูต แต่ก็ไม่อยากให้พวกเราซ่องสุมอยู่ที่นี่ต่อเพราะกลัวว่าตัวเองจะโดนเพ่งเล็งงั้นสิ” นายท่านที่นั่งเงียบอยู่นานวิเคราะห์ออกมา และคำพูดนั้นก็ทำให้ชายสวมหมวกตรงหัวโต๊ะฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีกราวกับถูกใจคำตอบ
“จะคิดอย่างนั้นก็ได้นะครับ” เขาตอบสั้นๆ แล้วจึงเลื่อนเก้าอี้ ค่อยๆลุกขึ้นยืน
“ผมอยากให้คุณย้ายออกก่อนค่ำ...จะไปที่ไหนก็แล้วแต่ อันที่จริงกลับไปฮูเอโก้ มุนโด้ตอนนี้ก็ไม่เสียหายนะครับ...ส่วนปัญหาอื่นๆทางนี้ ไว้เดี๋ยวผมกับโยรุอิจิจะจัดการเองครับ ไม่ต้องเป็นกังวล” พูดจบเขาก็สะบัดพับพัดโดยแรง โค้งหัวให้นิดๆ แล้วเดินออกจากบ้านไป กริมจอว์ถึงกับโมโห พุ่งตัวหมายจะไปชกเจ้าคนที่คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปซับตุ้บ แต่โดนสตาร์กล็อกแขนเอาไว้ก่อน
“ปล่อย! ขอข้าอัดมันซักที มันกล้าดียังไงมาสั่งพวกข้าแบบนี้? คิดว่าข้าจะกลัวจนหนีกลับฮูเอโก้ รึไง!”
“อย่าสร้างเรื่องให้วุ่นวายกว่านี้เลยน่ากริมจอว์” สตาร์กพยายามห้าม
“แล้วเจ้าอยากจะอยู่โลกมนุษย์ต่อนักรึไง กริมจอว์?” ท่านอุลคิโอร่าที่ยืนนิ่งล้วงกระเป๋าอยู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตาสีเขียวของเขายังคงมองตามหลังอุราฮาร่าไปราวกับกำลังประเมิน ก่อนจะเลื่อนมามองกริมจอว์ด้วยหางตา ถามอีกฝ่ายที่ตอนนี้หันมามองเขาด้วยสายตาหงุดหงิดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ถ้าลองถามตัวเองดีๆสักหน่อย เจ้าก็น่าจะรู้ว่าพวกเราอดกลั้นสัญชาติญาณในการสู้รบมานานเกินไป เพราะงั้นเหตุการณ์เมื่อวาน...พอได้เริ่มต่อสู้พวกเราถึงควบคุมตัวเองไม่ได้จนทำให้เรื่องราวใหญ่โต” เขากวาดสายตามองพวกเราไล่ไปทีละคน
“สุดท้ายแล้ว อารันคาร์ก็ยังคงเป็นอารันคาร์ จิตวิญญาณของพวกเราไม่สามารถลืมการต่อสู้ฆ่าฟันได้” สายสีเขียวใสนั้นเลื่อนมาหยุดที่ข้า
“โลกมนุษย์มันสุขสงบเกินไป...กลับไปฮูเอโก มุนโด้ดีกว่าไหม?” สรรพเสียงเงียบสนิท ราวกับเวลา ณ บริเวณนั้นหยุดเดินไปครู่ใหญ่ สตาร์กหรี่ตาลงมองกริมจอว์ที่เขาล็อกตัวไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเหมือนจะเลิกโวยวายแล้ว เขาจึงลดมือลง หันไปสบตากับลิลิเนต เหมือนจะคิดตรงกัน สุดท้ายจึงยิ้มออกมา
“ข้าก็เบื่อที่จะต้องเสแสร้งเป็นภารโรงทำความสะอาดโรงเรียนไปวันๆจะแย่อยู่แล้ว...ถึงลาส์ นอเช่ตอนนี้มันจะเละไปหน่อย แต่ซ่อมสักหน่อยก็ยังอยู่กันได้นั่นแหละ” เขาพูดพลางยกมือเกาหัวแกรกๆ เอียงหน้าหันไปถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“เจ้าว่าไง? ฮาริเบล”
“...ข้าอยากอยู่ที่ไหนก็ได้ที่เงียบๆ โลกมนุษย์นี่ช่างหนวกหูเกินจะทน” เอสปาด้าสาวพูดเสียงเบาพลางถอนใจเฮือก
“แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้ผืนทรายกว้างๆไว้ฝึกต่อสู้ด้วย”
“ไม่พูดมาตรงๆเลยล่ะว่าอยากกลับเต็มแก่แล้วน่ะ” ลิลิเนตแกล้งแขวะ พลางยิ้มบางๆ ก่อนหันไปมองกริมจอว์ เอสปาด้าหมายเลขหกยืนนิ่งมองสามคนนั้นด้วยสีหน้าเดาไม่ออก แล้วจริงหันตัว เดินมาหานายท่าน
“อุลคิโอร่า” เขาพูดเสียงเรียบ พลางสาวเท้าเข้ามาใกล้ นายท่านยืนนิ่ง ทำเพียงแค่เลื่อนสายตามามองกลับด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออกตามปกติ
เพียงเสี้ยววินาที ไม่มีใครคาดฝัน กริมจอว์ก็กำหมัดแล้วเหวี่ยงใส่หน้านายท่านเต็มแรง หากแต่หมัดนั้นกลับโดนนายท่านยกมือขึ้นกัน สีหน้าท่านอุลคิโอร่าราบเรียบราวกับพอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว แต่แล้วแทนที่กริมจอว์จะหยุด เขากลับเอาหัวโขกนายท่านเต็มแรง ก่อนสะบัดมือออก นายท่านถึงกับเซเล็กน้อย พลางยกมือขึ้นกุมหัว ใบหน้าแม้จะสงบนิ่งราวไม่สะทกสะท้านหากสายตาบอกว่าเหมือนจะเริ่มมีน้ำโหเช่นกัน...ซึ่งข้าเดาว่าคงมาจากที่เขาไม่คาดฝันว่ากริมจอว์จะมีดับเบิ้ลแอ็คแทกชนิดยอมแลกเลือดแบบนี้ พวกเราทุกคนในที่นั้นต่างก็ยืนอึ้งกับการกระทำบ้าดีเดือดของคนตรงหน้า กริมจอว์เองก็คงจะเจ็บ...เผลอๆจะหนักกว่าด้วย เพราะหน้าผากเขาเริ่มมีเลือดไหลออกมา
“ข้ารู้ว่าแกชนะ...แต่ถ้าไม่ได้ซัดแกซักทีชาตินี้คงตายตาไม่หลับว่ะ” เขาจ้องนายท่านเขม็ง พูดเสียงเข้ม ดวงตาสีฟ้าที่แข็งกร้าวนั้นหันมามองข้า ก่อนจะหันไปสบตานายท่านอีกครั้ง พูดเสียงดังกว่าเดิม
“คราวนี้ข้าจะยอมถอย แต่ถ้ากล้าทำให้ยัยนี่ร้องไห้อีก ข้าจะแย่งมาแน่ แล้วจากนั้นแกก็เตรียมตัวตายได้เลย” เขาพูดพลางยกนิ้วโป้งชูไปด้านหน้าสุดแขน แล้วสะบัดลงทันที ข้าก้มหน้าลงลอบยิ้มเบาๆ
...ตาบ้าเอ๊ย ทำอะไรไม่รู้จักคิด...
...แต่ก็ขอบคุณจริงๆ ที่เจ้าคอยห่วงใยข้ามาโดยตลอด...
...ข้าหวังว่า...สักวันเจ้าจะได้เจอผู้หญิงที่เจ้ารัก และรักเจ้าสุดหัวใจบ้างนะ...
“หึ...” นายท่านยิ้มเหยียดน้อยๆที่มุมปาก ลดมือลงจากศีรษะ เงยหน้าจ้องกริมจอว์อย่างไม่กลัวเกรงคำขู่แม้แต่น้อย
“คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าแย่งได้รึไง...” แล้วทุกคนก็ต้องอ้าปากค้างไปตามๆกันเมื่อเอสปาด้าหมายเลขสี่ผู้แสนจะสงบนิ่ง
กลับกำหมัดแน่นแล้วชกหน้ากริมจอว์โดยแรง ร่างของเอสปาด้าหมายเลขหกถึงกับกระเด็นไปชนต้นไม้ดังปึก
“อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าทำฟรีๆ” เขาเหลือบมองมือตัวเองที่ถลอกจนเลือดซึมออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงลดมือลง หันกลับไปมองร่างที่นั่งพิงต้นไม้ มองคนชกด้วยสายตาอาฆาต
“แต่เรื่องร้องไห้...ข้ารับประกันด้วยเกียรติของข้า...ข้าจะไม่ทำให้นางต้องร้องไห้อีกเป็นอันขาด”
“เฮอะ...” กริมจอว์แค่นหัวเราะ ก่อนจะค่อยๆหลับตาลง แล้วยิ้มบางๆ
“อย่าลืมคำพูดของแกซะล่ะ”
“เอสปาด้าสองคนตีกันเอง...สุดท้ายก็เพราะเรื่องแย่งผู้หญิง น่าขายหน้าจริงๆ” ลิลิเนตบ่นเสียงค่อย พลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วจึงเอามือกออดอก มองมาที่ข้า พลางออกคำสั่งเสียงดัง
“เอ้า! จะยืนซึ้งกันอีกนานมะ? รีบๆรักษาไอ้บ้าสองตัวนั่นแล้วก็เก็บข้าวของกลับ ฮูเอโก้ มุนโด้ซักที ข้าอยากกลับเต็มแก่แล้วนะ”
เธอพูดพลางหันหลังเดินเข้าบ้านอย่างไม่สนใจหน้าอินหน้าพรหมที่ไหน สตาร์กกลอกตาเซ็งๆมารยาทของลิลิเนต แต่ก็เดินกลับเข้าบ้านไปอีกคน ฮาริเบลมองสลับระหว่างกริมจอว์ ท่านอุลคิโอร่า แล้วก็ข้า จากนั้นจึงเดินตรงมา ยกมือขึ้นป้องปากพลางโน้มตัวกระซิบตรงริมใบหูข้า
“เค้าเรียกว่า ‘ผู้หญิงข้า ใครอย่าแตะ’ เพิ่งจะเห็นอุลคิโอร่าเป็นแบบนั้นครั้งแรก...ร้ายไม่เบานะเจ้า ยังไงก็ขอให้มีความสุขล่ะ” เธอพูดพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยืดตัวตรงส่งยิ้มบางๆแล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้านไปอย่างเงียบกริบอีกคน ข้าเอามือแนบแก้ม รู้สึกเขินนิดๆที่โดนท่านฮาริเบลแซวเข้าให้...ท่านฮาริเบลแบบนี้ ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเหมือนกันนั่นแหละ
ข้าเลื่อนสายตาขึ้น มองไปยังคนสองคนที่ตีกันเพราะข้าเมื่อสักครู่ โอเค...ข้าบอกตรงๆก็ได้ว่าดีใจปนซึ้งนิดหน่อยที่อุตส่าห์มีผู้ชายมาตีกันเพราะข้า...ว่าแต่ หาเรื่องใส่ตัวกันแบบนี้ หรือว่าร่างกายมันตายด้านไปหมดแล้วถึงได้ชอบเจ็บตัวกันนัก!
อืม...ขอลองเล่นบทจับปลาสองมือสักครั้งพระเจ้าจะเตะข้าลงนรกไหมนะ?
ข้าคิดพลางเอามือกอดอก เอียงคอมองสองคนนั่นแล้วอมยิ้ม ทั้งคู่ดูจะมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการของข้า แล้วข้าก็ส่ายหัว พลางหัวเราะออกมาเบาๆให้กับความคิดบ้าๆของตน
...ล้อเล่นหรอกน่า...ข้าไม่ได้นิสัยแย่ขนาดนั้นสักหน่อย
ข้าเดินฉับๆตรงไปหานายท่าน เร่งพลังไปไว้ที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง มือข้างนึงตรงเข้าไปเกาะกุมฝ่ามือที่ถลอกของนายท่าน พลางออกแรงจูงเบาๆ แล้วเดินต่อไปหาร่างที่นั่งงอตัวอยู่ตรงโคนไม้ ข้าดึงนายท่านให้ย่อตัวลงนั่งพร้อมๆกับข้า แล้วจึงเอาอีกมือที่ว่างเลื่อนไปแนบหน้าผากตรงที่เกิดแผลของกริมจอว์ นายท่านถอนหายใจหนักๆ
“อย่างน้อยก็ช่วยรักษาทีละคนไม่ได้รึไง” ข้าเอียงคอมองนายท่าน แล้วเลิกคิ้วนิดๆ แปลได้ว่า...ข้าจะรักษาทีละสอง มีปัญหารึไงคะ? นายท่านหรี่ตาเล็กน้อยเหมือนจะตำหนิ...แต่ข้ารู้ว่าเขาไม่ได้โกรธข้าหรอก
“บางครั้งเจ้ามันก็ร้ายได้อย่างแนบเนียนจริงๆ” กริมจอว์ที่จ้องมองอยู่พักใหญ่ เอนหลัง พิงหัวที่ต้นไม้ บ่นอุบออกมา
***************************************************************************************************************************
กริ๊งงง
...ใครกันมากดกริ่งตอนนี้นะ?...
ข้าเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารบนโต๊ะ มองไปทางลิลิเนต ที่กำลังง่วนอยู่กับการโยนพวงกุญแจตุ๊กตามากมายซึ่งเธอเก็บสะสมตั้งแต่มายังโลกมนุษย์
“เดี๋ยวข้าไปเปิดเองค่ะ” ข้าอาสาตนเอง สาวน้อยตรงหน้าพยักหน้าให้ก่อนหันไปสนใจกับการยัดตุ๊กตาทั้งหมดลงกระเป๋าใบเล็กๆต่อ ข้าลุกจากโต๊ะ แล้วเดินออกจากห้องไปเปิดประตูบ้าน ทันทีที่บานประตูเปิดออกข้าก็พบกับ
“คุณน้า!”
“โอริฮิเมะ?” ข้าเลิกคิ้ว มองสภาพคนที่มีศักดิ์เป็นหลานสาวที่ยืนหอบแฮ่กๆเหงื่อโทรมอยู่หน้าประตู สีหน้าเธอมีแววกังวลฉายชัดปรากฏอยู่
“คุณอุราฮาร่าบอกว่าพวกอารันคาร์ทั้งหมดจะกลับฮูเอโก้ มุนโด้...เป็นเรื่องจริงเหรอคะ” เธอจ้องตาข้า ถามด้วยหน้าเสียงร้อนรน ข้าพยักหน้าน้อยๆ และนั่นก็ทำให้ดวงตาสีส้มเบิกกว้างขึ้นไปอีก
“จะไปเมื่อไหร่คะ?”
“น่าจะไม่เกินเย็นนี้ เก็บของเสร็จเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้นจ้ะ” สีหน้าของโอริฮิเมะนั้นดูตื่นตกใจ ไม่คาดฝันกับสิ่งที่ได้ยิน เธอค่อยๆหลุบสายตาลง เอ่ยเสียงเบา
“เพราะเรื่องที่พวกคุณน้าช่วยพวกเราจากการโดนลักพาตัวจน เรื่องบานปลายจนมีมนุษย์โดนฆ่าตายสินะคะ” สิ่งที่โอริฮิเมะพูดออกมาทำเอาข้าต้องขมวดคิ้ว
“ไปฟังเรื่องนี้มาจากไหน?”
“คุณอุราฮาร่าเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังคร่าวๆแล้วค่ะ” โอริฮิเมะอธิบาย ก่อนถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่คาดคั้นยิ่งกว่าเดิม
“เพราะเรื่องนี้ใช่มั๊ยคะ!?” พูดจบ เธอก็ก้มหน้านิ่ง ทำเอาข้าต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบออกไป
“...ใช่” ทันใดนั้น เธอก็เงยหน้าขึ้นทันที
“ถ้าอย่างนั้นชั้นจะไปคุยกับคุณอุราฮาร่าเองค่ะ! เรื่องทั้งหมดนั่นมันเป็นอุบัติเหตุ ชั้นรู้ว่าพวกคุณน้าไม่ได้ตั้งใจ ชั้นจะลองเกลี้ยกล่อมเค้าให้อนุญาตให้พวกคุณอยู่ต่อเองค่ะ” พูดจบเธอก็หันหลังเตรียมจะออกวิ่ง หากข้าดึงข้อมือเธอเอาไว้ก่อน โอริฮิเมะชะงัก หันหลังกลับมามองข้า
“มันไม่ใช่อุบัติเหตุหรอก” ข้าพูดออกไปอย่างรวดเร็ว โอริฮิเมะเบิกตากว้าง...เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เข้าใจ
“พูดให้ถูกจริงๆก็คือ สาเหตุครึ่งหนึ่งเกิดจากสถาการณ์บังคับ แต่อีกครึ่งหนึ่งมันเป็นเพราะสัญชาติญาณของอารันคาร์อย่างพวกเราที่ปรารถนาการฆ่าฟันตังหากล่ะ...ตั้งแต่มาอยู่ที่โลกมนุษย์ พวกเราก็ห่างจากการต่อสู้มานาน ดังนั้นเพียงแค่ได้เริ่มต่อสู้เพียงนิด อารันคาร์อย่างพวกเราก็ยากที่จะสงบได้ง่ายๆ” ข้าอธิบายต่ออย่างหนักใจ พลางค่อยๆปล่อยมือจากข้อมือบาง โอริฮิเมะลดมือลงช้าๆ แต่ยังคงฟังสิ่งที่ข้อธิบายอย่างตั้งใจ
“การที่พวกเราฆ่าล้างบางมาเฟียทั้งกลุ่ม...ยิ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆที่มีคนร่วมร้อยด้วย...มันจะอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุไม่ได้หรอกนะ” ข้าพูดพลางมองเด็กสาวตรงหน้าที่เริ่มมีสีหน้าเศร้าสร้อยลงเรื่อยๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดและเป็นห่วง
“...แล้วคุณน้าจะกลับมาที่โลกมนุษย์อีกรึเปล่าคะ” เธอถามเสียงแผ่ว
“ถ้าหมายถึงปรากฏตัวหรือยู่นานๆแบบที่แล้วๆมา...คงจะไม่ได้อีกแล้วล่ะ แต่ถ้าแอบหนีขึ้นมาเองก็คงได้เป็นพักๆแต่ก็คงจะบ่อยมากไม่ได้หรอก เพราะไม่อย่างนั้นพวกยมทูตอาจจะรู้สึกผิดสังเกตได้”
“ไม่บ่อยนี่คือแค่ไหนเหรอคะ” เสียงใสยังคงถามต่อด้วยสีหน้าหม่นหมอง ข้าคิดหนักอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบออกไป
“คงจะแว่บมาแค่เดือนละครั้ง...หรืออาจจะนานกว่านั้น...มาก” ข้าตอบไปตามจริง เพราะไม่คิดว่ามีอะไรที่สมควรจะต้องปิดบัง แต่อาการนิ่งเงียบยาวนานของโอริฮิเมะก็ทำให้ข้าอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
“โอริฮิเมะ?” ข้าเรียกชื่อเธออกไปด้วยความรู้สึกกังวลกับปฏิกิริยาของคนตรงหน้าที่เงียบไปนานจนผิดสังเกต ข้าเอียงหัวเล็กน้อยพยายามอ่านสีหน้าที่ก้มงุดลงไปของคนที่มีศักดิ์เป็นหลาน...ร่างนั้นสั่นน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ...
“แปลว่า...ชั้นจะต้องอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้งใช่มั้ยคะ” น้ำเสียงนั้นสั่นระริก แฝงความรู้สึกปวดร้าวระคนผิดหวัง โอริฮิเมะกัดริมฝีปากแน่น หยาดน้ำตาเริ่มไหลเอ่อคลอ สภาพเธอตอนนี้มันช่างเหมือนกับลูกนกที่กำลังรู้ตัวว่าจะถูกปล่อยทิ้งให้โดดเดี่ยว สีหน้าผิดหวังเศร้าสร้อยของเธอมันทำให้ข้าถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“ทั้งๆที่เคยดีใจว่ายังมีครอบครัวหลงเหลืออยู่...แต่สุดท้ายแล้ว ชั้นก็ต้องกลับไปตัวคนเดียวอีกครั้งสินะคะ”
น้ำตาใสๆค่อยๆไหลลงอาบแก้มช้าๆ เด็กสาวตรงหน้ากัดริมฝีปากแรงขึ้นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น...วินาทีนั้น ข้าถึงกับรู้สึกตัวชาวาบไปทั้งร่าง สายสัมพันธ์ของสายเลือดที่มองไม่เห็นมันทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวลและสงสารหลานสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ขึ้นมาจับใจ ข้ารวบตัวเธอเข้ามาสวมกอดแน่น พลางลูบหลังปลอบเบาๆ
“เธอจะไม่ตัวคนเดียวหรอก...อย่าลืมสิ...เธอเคยเล่าให้ชั้นฟังเองว่าเธอมีเพื่อนที่ดีกับเธอมากๆอย่างพวกคุโรซากิแล้วก็ทัตสึกิจังเพื่อนสนิทของเธอไม่ใช่หรือ...” ร่างในอ้อมแขนข้าชะงักไปครู่ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ข้ายิ้มน้อยๆ
“ส่วนเรื่องระหว่างพวกเรา ไว้ขอเวลาข้าสักพัก ข้าจะลองหาวิธีที่จะทำให้พวกเราได้เจอกันบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกันจ้ะ...ดังนั้น หยุดร้องเถอะนะ”
“ถ้าเจ้ามาที่โลกมนุษย์ได้ไม่บ่อยนัก แล้วทำไมไม่ให้อีกฝ่ายไปหาเจ้าที่ลาส์ นอเช่แทนล่ะ” น้ำเสียงราบเรียบที่จู่ๆก็ดังอย่างไม่ทันตั้งตัวขึ้นก็ทำเอาพวกเราที่กอดกันกลมถึงกับสะดุ้งทั้งคู่ ข้ารีบผละออกจากโอริฮิเมะ หันหลังกลับไปมองคนที่ตอนนี้มาปรากฏอยู่ด้านหลัง ท่านอุลคิโอร่ายืนล้วงกระเป๋าพิงกำแพงอยู่ไม่ไกลนัก...เขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“หมายความว่าจะให้ชั้นไปหาคุณน้าที่ลาส์ นอเช่งั้นหรือคะ” โอริฮิเมะรีบถามกลับไปทันทีอย่างไม่รอช้า นายท่านเพียงแค่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร แต่นั่นก็แทนคำว่าใช่ได้เป็นอย่างดี
“แต่ชั้นจะเดินทางไปที่นั่นได้ยังไงคะ อ๊ะ!” พูดยังไม่ทันจบโอริฮิเมะก็อุทานออกมา เมื่อท่านอุลคิโอร่าโยนบางสิ่งบางอย่างข้ามไหล่ข้าไปให้ เธอยกสองมือขึ้นรับมันโดยอัตโนมัติ และเมื่อกางมือออก เธอก็ต้องประหลาดใจ
“กำไล?”
“คุณสมบัติคล้ายกับอันที่ข้าเคยให้ตอนบังคับเจ้าไปที่ลาส์ นอเช่ครั้งแรก...ครั้งนั้นข้าจงใจทิ้งพลังบางส่วนเอาไว้เพื่อให้พวกยมทูตจับได้เมื่อเจ้าใช้มันเปิดประตู...แต่คราวนี้ต่างกัน...เวลาเจ้าใช้มัน สิ่งนี้จะเปิดมิติพาเจ้าตรงสู่ปราสาทของข้าที่ลาส์ นอเช่ โดยที่จะไม่มีใครจับสัมผัสได้ว่าเจ้าหายไปไหนด้วยซ้ำ” นายท่านอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเบนสายตามาที่ข้า
“ส่วนเจ้า...กลับถึงฮูเอโก้ มุนโด้เมื่อไหร่ ข้าจะฝึกเจ้าให้สามารถบังคับพลังวิญญาณของตนเองให้ดีกว่านี้ เวลาหนีมาโลกมนุษย์จะได้ปกปิดพลังวิญญาณจากเครื่องตรวจจับของพวกยมทูตได้โดยสมบูรณ์สักที” เขาพูดเสียงเรียบราวกับสิ่งที่ทำมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรซักนิด ทั้งๆที่การแอบมาที่โลกมนุษย์บ่อยๆมันเป็นเรื่องที่อันตรายเอาการเลยทีเดียว ข้าเผยยิ้มบางๆให้คนหน้าตายตรงหน้า แกล้งเอ่ยถามเสียงใส
“แล้วระหว่างนี้ถ้าข้ายังฝึกไม่สำเร็จแต่อยากจะมาหาหลานข้าล่ะคะ” จบคำถาม เอสปาด้าหมายเลขสี่ก็เงียบไปครู่ ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจ
“รอข้าว่างแล้วกัน” ...เขาพูดสั้นๆ แต่ข้าก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันแปลว่า...
...ไว้ข้าจะมากับเจ้าเอง...
ข้าฉีกยิ้มกว้างให้นายท่าน เอ่ยขอบคุณจากใจ โอริฮิเมะที่ยืนอยู่ตรงนั้นและไม่รู้ว่าหยุดร้องไห้ไปตั้งแต่ตอนไหนมองข้าสลับกับนายท่านไปมา แล้วเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง เธอหลุดหัวเราะเบาๆพลางส่งยิ้มหวานมาให้ข้ากับนายท่าน ดวงตาของเธอเป็นประกาย ก่อนหันไปเอ่ยขอบคุณคนที่ให้ของเธอมา
“ขอบคุณสำหรับกำไลนะคะ คุณครูชิฟเฟอร์”
“...เรียกอุลคิโอร่าเถอะ” เขาแก้คำ ก่อนจะเอ่ยต่อเมื่อเห็นสีหน้าพิศวงของโอริฮิเมะ
“ฝึกเรียกชื่อไว้ให้ชิน เพราะเดี๋ยวต่อไปคำเรียก ‘ชิฟเฟอร์’ มันจะทำให้สับสนว่าจะเรียกคนไหนกันแน่” เขาพูดแค่นั้นแล้วก็เดินมาจูงมือข้าที่กำลังยืนเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน พลางหันหลังเดินกลับโดยมีข้าตามไปอย่างงงๆต่อหน้าต่อตาโอริฮิเมะ
...ให้ตายเถอะ...ที่เขาพูดมานั่นมันกำกวมเป็นบ้า! ทำเอาข้าคิดเข้าข้างตัวเองจนใบหน้าร้อนผ่าวจะแย่อยู่แล้ว
“รีบๆไปเก็บของเถอะ... เหลือเจ้าอยู่คนเดียวที่ยังเก็บไม่เสร็จ คนอื่นเขารออยู่” นายท่านเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ ทำเอาข้าหลุดจากภวงัค์ของตนเอง และนึกขึ้นได้ว่าข้าลืมใครไว้ที่ประตู
“เดี๋ยวก่อนสิคะ ข้ายังไม่ทันได้ร่ำลาโอริฮิเมะจังเลย” ข้าพูดพลางขืนตัวเอาไว้ แล้วหันกลับไปมองโอริฮิเมะที่ยังคงยืนตะลึงอยู่ที่หน้าบ้าน ดูเหมือนเธอกำลังประมวลผลจากสิ่งที่นายท่านพูดอยู่...เธอมองใบหน้าข้า...ที่ตอนนี้ข้าเดาว่าหน้าตัวเองคงแดงไปถึงไหนแล้ว แล้วก็เลื่อนสายตาไปมองนายท่าน แล้วก็เลื่อนกลับมาจ้องข้า ก่อนจะยิ้มกว้าง เอ่ยอย่างมีเลศนัย ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ
“ไว้ถ้ามีข่าวดีเมื่อไหร่ อย่าลืมมาบอกหลานคนนี้เป็นคนแรกๆนะคะ ถ้ารู้ทีหลังล่ะก็...ชั้นจะโกรธคุณน้ามากๆเลยล่ะค่ะ” เธอพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างตัวหยิบอัลบั้มภาพประจำตระกูลเล่มเก่าที่เคยให้ข้าดูขึ้นมา จากนั้นจึงเดินตามเข้ามาหาข้า และยื่นมันให้...ข้ารับมันมาอย่างงุนงง
“อัลบั้มนี้ชั้นให้คุณน้าค่ะ ชั้นคิดว่าบางทีคุณทวดของชั้นอาจจะเฝ้ารอซักวันที่จะได้กลับมาอยู่กับฝาแฝดท่านอีกครั้ง...แล้วเธอก็คงจะดีใจมากๆถ้าจะได้อยู่เป็นสักขีพยานว่าในที่สุดฝาแฝดของเธอก็กำลังจะมีข่าวดีๆซักที” โอริฮิเมะพูดพลางขยิบตาให้ ก่อนจะถอยหลังโบกมือบ๊ายบาย ก่อนเดินออกจากบ้านไปทันที ทิ้งให้ข้ายืนแข็งเป็นหินใบ้กินอีกรอบ
“จะยืนนิ่งอีกนานไหม...ไปเก็บของกันต่อได้แล้ว” นายท่านพูดพลางเลื่อนมือไปหยิบสมุดภาพออกมาจากมือข้า...ก่อนจะเปิดดูอย่างถือวิสาสะ และเมื่อเปิดไปถึงหน้าที่เป็นแผนผังตระกูลซึ่งทั้งยาวสลับซับซ้อน เขาก็เงียบไปครู่ จนข้าแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคะท่าน...เอ่อ อุล...คิโอร่า” ข้าชะงักทันทีเมื่อจู่ๆสายตาสีเขียวคมกริบก็ตวัดมอง พอรู้ตัวว่าพูดผิดไปหน่อยข้าจึงต้องแก้คำพูดตนเอง...แต่พอพูดเสร็จมันก็อดจะเขินขึ้นมาไม่ได้จนต้องก้มหน้างุด...ก็แหม...ข้ายังไม่ชินนี่นา
พอเห็นว่าข้าแก้คำพูดถูกต้องแล้ว สายตาจึงดูเหมือนจะอ่อนลงและแฝงความพอใจ เขาเลื่อนสายตาไปจับที่แผนผังในมืออีกครั้ง
“เห็นผังนี่แล้วมันทำให้ข้าสงสัยบางอย่าง” คำพูดของนายท่านทำให้ข้าขมวดคิ้ว...สงสัย? คนอย่างนายท่านเนี่ยนะ?แต่แล้วประโยคต่อมาก็ทำเอาข้าแทบจะลมจับ
“...ว่าอารันคาร์สามารถมีลูกได้รึเปล่า”
“ทะ...ท่าน...ท่าน” ข้าถึงกับพูดตะกุกตะกักใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วเริ่มร้อนขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคนตรงหน้าพูดด้วยใบหน้าที่นิ่งสนิท...ให้ตายเถอะ นี่เขาสงสัยจริงๆหรือแกล้งล้อเล่นเนี่ย...แต่ถึงอย่างนั้น นายท่านก็ยังพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจ
“เคยได้ยินมาว่าทางโซลโซไซตี้เองก็มีพวกที่เกิดจากยมทูตด้วยกันเองเหมือนกัน...ดังนั้นตามหลักแล้วอารันคาร์ก็น่าจะมีลูกได้” พูดเสร็จเขาก็ปิดสมุดในมือ ก่อนส่งมันคืนให้ข้า ข้ามองคนตรงหน้าพยายามประเมินว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่พอไม่สามารถอ่านอะไรจากเขาได้ ข้าจึงค่อยๆยื่นมือไปรับหนังสือ แต่ทันทีที่ปลายนิ้วข้าแตะโดนสันปกเท่านั้นแหละ เขาก็จับข้อมือข้าแล้วตวัดร่างข้าเข้าสู่อ้อมกอดเขาทันที แผ่นหลังของข้าชนเข้ากับแผ่นอกแกร่ง มือหนึ่งเขาลดไปกอดรอบเอวข้าหลวมๆ ส่วนอีกมือยกขึ้นปิดปากเพื่อปิดเสียงที่ข้าเกือบจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ ร่างสูงค่อยๆโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบแผ่วเบาที่ริมใบหูข้า
“ข้าว่าบางทีหลักการบางอย่างมันก็น่าพิสูจน์ว่าเป็นไปได้รึเปล่าเหมือนกัน” ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวลนั้นเหมือนจะดูดกลืนเรี่ยวแรงให้หายไปจากร่างกายข้าช้าๆ ชายตรงหน้าค่อยๆปล่อยมือออกจากริมฝีปากข้า ก่อนจะหมุนตัวข้าให้หันหน้าเข้าหาเขา กระชับวงแขนรอบเอวให้แน่นขึ้น นิ้วเรียวยาวสีขาวที่ตัดกับปลายเล็บสีดำสนิทนั้นเชยคางข้าขึ้นช้าๆ สัมผัสที่เย็นเยียบจากปลายนิ้วนั้น น่าแปลก...มันกลับทำให้ร่างกายข้าร้อนระอุขึ้นมาทีละนิด ดวงตาสีเขียวเข้มมองลึกเข้าไปในดวงตาของข้า ก่อนจะค่อยๆโน้มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“เอ่อ...อุลคิโอร่า...ข้าคิดว่าข้าควรจะไปเก็บของให้เสร็จดีกว่าค่ะ...คนอื่นเค้ารอนานแล้ว” ข้าหลบตาแล้วพยายามหาเรื่องเบนความสนใจ สถาการณ์ตอนนี้...มันล่อแหลมอยู่นะ...และที่สำคัญ...เราไม่ได้อยู่กันสองคนด้วย หากมุมปากนายท่านเพียงแค่กระตุกขึ้นเล็กน้อยราวกับจะยิ้ม ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“พวกนั้นก็รอมาพักนึงแล้ว ปล่อยให้รอต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป” พูดแค่นั้นแล้วปลายนิ้วของเขาก็ไล้ผ่านแก้มข้าเบาๆ ปัดปอยผมที่ปรกอยู่ออกไปทัดหู แล้วโน้มใบหน้าลงมาเรื่อยๆ อีกเพียงนิด ริมฝีปากของเราก็จะแตะกัน...
“อะแฮ่ม!...จะหวานก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ช่วยไปเก็บของให้เสร็จก่อนได้ไหม เหวอ!!~~~” สตาร์กจู่ๆก็ปรากฏร่างยืนกระแอมไอแฮ่มๆขัดจังหวะอยู่แทบจะชิดตัวข้ากับนายท่าน แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ เขาก็ต้องเอี้ยวตัวหลบทันทีเมื่อนายท่านเล่นตวัดมือปล่อยเซโร่ใส่เขาในระยะประชิด ผลก็คือ...ผนังบ้านและตัวบ้านในทิศทางนั้นหายไปแถบหนึ่ง ฝุ่นผงมากมายปลิวกระจายว่อน และสตาร์กก็ล้มกลิ้งอยู่บนพื้น...ด้วยร่างกายที่ยังครบสามสิบสองอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าเอามือดันตัวออกมาจากนายท่าน พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก อีกใจก็อดไม่ได้ที่จะเสียดายนิดๆ ข้ายกมือขึ้นแนบแก้มตนเอง ภาวนาให้ใบหน้าหายแดงเสียที ก่อนจะหันไปดุนายท่านเมื่อเห็นสภาพบ้านเต็มตา
“เราก็จะไปกันอยู่แล้ว ท่านไม่น่าทำลายบ้านเลยนะคะ น่าเสียดายออก...ที่นี่สวยจะตาย”
“ช่างเถอะ...ก็แค่...อุบัติเหตุ” นายท่านพูดเสียงเรียบ พลางส่งสายตาที่ฉายแววคาดโทษไปยังสตาร์กที่กำลังยันตัวขึ้นมาจากพื้น พวกลิลิเนต ท่านฮาริเบล และกริมจอว์รีบวิ่งออกมาจากห้องพักตรงมาที่นี่ทันที และเมื่อเห็นสภาพที่เกิดขึ้นกริมจอว์ก็เอ่ยปากจะถาม แต่ก็โดนนายท่านพูดขัดขึ้นก่อน
“ถามว่าใครทำ คำตอบคือข้า...ถ้าจะถามว่าทำๆไม คำตอบคือ ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า และถ้าจะถามว่าควรจะทำอะไรต่อไป คำตอบคือ เลิกสนใจและกลับไปเตรียมตัวกลับกันได้แล้ว”
เจอเสียงเย็นยะเยียบของนายท่านเข้าไป พร้อมๆกับได้เห็นสภาพของสตาร์กที่ค่อยๆพยุงตัวขึ้นมาจากพื้นอย่างหวาดๆ ทุกคนก็พร้อมใจกันรูดซิบปาก หันกลับไปทำงานของตนที่ค้างอยู่ต่อทันที สายลมพัดเอื่อยเข้ามาทางกำแพงบ้านที่ตอนนี้หายไปแถบหนึ่ง กระแสลมอ่อนๆนั้นส่งเสียงหวีดหวิวและให้ความรู้สึกเย็น...อย่างพิลึก! สตาร์กลุกขึ้นเดินจากไปแล้ว...โดยก่อนไปก็ไม่วายหันมาส่งสายตาไม่สบอารมณ์ให้นายท่านทิ้งท้ายด้วย ดังนั้นตอนนี้...ระเบียงแหว่งๆก็เหลือเพียงเราสองคนอีกครั้ง แต่บรรยากาศโรแมนติกนั้น...หายเรียบ
นายท่านล้วงกระเป๋า แล้วหันหน้ามาทางข้า
“เหลือเวลาไม่เกิน 10 นาที ก่อนที่ตำรวจกับพวกยมทูตจะแห่กันมา รีบเตรียมตัวกลับกันได้แล้ว” ได้ยินคำพูดของคนตรงหน้าข้าก็ถึงกับอ้าปากค้าง
“ข้ายังเก็บของไม่เสร็จ!”
“เก็บไม่เสร็จก็ไม่ต้องเอาไป” ข้ากัดฟันกรอด มองหน้าคนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คนจะแห่กันมาที่ยืนนิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่เข้าใจว่าจู่ๆจะไม่พอใจอะไรขึ้นมา จากนั้นข้าจึงรีบวิ่งกลับห้องตนเอง...
“บอกคนอื่นด้วยว่าอีก 5 นาทีเจอกันที่สวนด้านนอก” เสียงท่านอุลคิโอร่าดังมาจากด้านหลัง ข้าหมุนเปิดประตูห้องแล้วสะบัดหน้ากลับไปมองคนพูด
“ข้าต้องรีบเก็บของ ไม่ว่างค่ะ!” แล้วข้าก็กระแทกประตูปิด แล้วเร่งความเร็วตัวเองเต็มสปีดเพื่อยัดทุกอย่างลงกระเป๋า!
******************************************************************************************************************************
อีก 5 นาทีต่อมา พวกเราทุกคนก็มารวมกันที่สวนข้างบ้านอีกครั้ง...ท่านอุลคิโอร่าซึ่งยืนรออยู่พักหนึ่งแล้วค่อยๆกวาดตามองแต่ละคนที่หยุดยืนเรียงหน้ากระดาน ก่อนจะไล่สายตาไปมองกองสัมภาระที่แต่ละคนขนมาด้วย
“กริมจอว์ ‘เจ้านั่น’ จะเอาไปทำไม” เขาถามเน้นคำด้วยสีหน้าเรียบสนิท ข้าหันไปมองเจ้านั่นที่นายท่านพูดถึง มันคือมอเตอร์ไซค์ที่กริมจอว์เข็นมา บนที่นั่งมีเสื้อแจ๊คเก็ตปักสัญลักษณ์แก๊งค์และหมวกกันน๊อกลายเท่ๆที่เขาใช้มาตั้งแต่มาอยู่ที่โลกมนุษย์
“ของมันแน่อยู่แล้ว...เอากลับไปขี่เล่นที่ฮูเอโก้ มุนโด้สิ” เจ้าหัวฟ้านั่นยืดอกตอบอย่างภูมิใจ
“ทิ้งไว้นี่แหละ” สั้น ง่าย และได้ใจความ...แต่ทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้ง
“นี่แกจะหาเรื่องกันใช่ไหม!?” ไม่พูดเปล่า กริมจอว์ยังถลกแขนเสื้อเตรียมพร้อม
“เจ้าคิดว่าที่นั่นมีน้ำมันให้เติมรึไง” พอได้ยินเท่านั้น...ทุกคนก็เงียบกริบ
...นั่นสินะ ข้าก็ลืมไปเลยว่ารถมันต้องใช้น้ำมัน กริมจอว์เองก็ถึงกับแข็งเป็นหิน สมองเหมือนจะพยายามคิดหาคำเถียงเต็มที่...แต่พอเถียงไม่ออกก็...
“นั่นมันเรื่องของข้า ข้าหาทางเองได้ แกไม่ต้องมายุ่ง” พูดเสร็จก็กอดอกหันหน้าหนี อารมณ์บ่จอยเต็มที่ พ่นเสียง เหอะ! ออกมา แล้วจึงกระแทกเสียง
“แต่ยังไงข้าก็จะเอาไป!” นายท่านมองเจ้าคนหัวดื้อแล้วถอนหายใจ ก่อนเลื่อนสายตามาที่ท่านฮาริเบล
“ฮาริเบล...หนังสือพวกนั้นมันคืออะไร” นายท่านหมายถึงกองหนังสือที่ท่านฮาริเบลยัดใส่จนเต็มกระเป๋าเดินทางถึงขนาดล้นออกมาจนรูดซิปปิดไม่ได้
“หนังสือภาษาอังกฤษ วรรณคดีภาษาญี่ปุ่น แล้วก็คู่มือคณิตศาสตร์กับนิยายอีกนิดหน่อย ข้าจะเอาไปอ่านฆ่าเวลา” เอสปาด้าหญิงตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะหรี่ตา ปรับน้ำเสียงให้เข้มขึ้น
“ถ้าจะบอกให้ข้าทิ้งของพวกนี้ล่ะก็ ขอเตือนว่า...อย่า...แม้แต่จะคิด” เจอแบบนี้เข้าไป เดาว่านายท่านก็คงจะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนว่าท่านฮาริเบลพร้อมสู้ตายเพื่อจะได้ขนหนังสือพวกนี้กลับวัง นายท่านยกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ เปลี่ยนเป้าหมาย
“ลิลิเนตของเจ้าข้าไม่ว่า แต่สตาร์ก...ของในมือ...อธิบายมา” ข้ากวาดสายตาไปมองคู่หูพรีเมร่าเอสปาด้า ลิลิเนตสะพายเป้ที่ยัดจนกลมป่อง เดาได้เลยว่าด้านในเต็มไปด้วยพวงกุญแจและตุ๊กตายัดนุ่นที่คุณเธอเก็บสะสมมานาน แต่ของท่านสตาร์ก...เอ่อเขากำลังแบกของเจ้าปัญหาอยู่บนบ่า...ชุดเตียงนอนญี่ปุ่นที่เรียกว่าฟุตองพร้อมผ้าห่มเนี่ยนะ? จะเอากลับไปทำไมเนี่ย?
“เตียงนอนนี่นอนสบายดีก็เลยจะขนกลับไปด้วย...ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าต้องมองข้าด้วยสายตาแบบนั้น” สตาร์กแจกแจงพลางไล่สายตาไปมองแต่ละคนซึ่งมองเขาราวกับเป็นตัวประหลาด
“ถ้าไม่ใช่ว่าเคยเห็นฝีมือเจ้ามาก่อน รับรองข้าจะไม่ยอมรับว่าคนอย่างเจ้าได้หมายเลขสูงกว่าข้าแน่” กริมจอว์พูดออกมาอย่างเซ็งๆกับภาพเอสปาด้าหมายเลขหนึ่งกอดชุดเตียงนอนพกพาไว้แนบอกราวกับของรักของหวง แล้วจึงเปลี่ยนมาถามข้า
“อาราวเน่...แล้วเจ้าขนอะไรไปบ้าง”
“ก็แค่เสื้อผ้านิดหน่อย กับพวกอุปกรณ์ทำครัว แล้วก็หนังสือที่โอริฮิเมะจังให้มาน่ะค่ะ” ข้าไล่เรียงรายการพลางเหลือบสายตาไปมองที่กระเป๋าใบไม่ใหญ่นักสองใบข้างๆตัว...จะว่าไปแล้ว ของของข้าดูจะปกติธรรมดาที่สุดแล้วมั้ง
“ขยะชัดๆ” กริมจอว์พูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ ทำเอาข้าหันไปแว้ดใส่
“เสียมารยาท!”
“เอาทั้งหมดทิ้งไว้นี่ เอาไปแค่หนังสือภาพพอ” นายท่านเองก็พูดเนิบๆ แต่ช่างทำร้ายจิตใจข้าได้ไม่แพ้กัน ข้าหันไปมองเขาสีหน้านี่แทบจะร้องไห้...นี่ข้าอุตส่าห์หมดเงินไปตั้งเยอะ เสื้อผ้าบางชุดยังไม่ได้ใส่เลยด้วยซ้ำ แถมเครื่องครัวก็ยังดีๆอยู่ เสียดายออก!
ว่าแล้วข้าก็หันไปมองรอบตัวนายท่าน หมายจะดูว่าคนที่เอาแต่บ่นๆจะพกอะไรไปบ้าง แต่รอบตัวเขาไม่เห็นจะมีอะไรเลย และดูท่าทางว่าคนอื่นก็คงสงสัยไม่ต่างจากข้า เพราะทุกคนพร้อมใจกันกลอกตามองไปทางซ้ายที ทางขวาทเพื่อจะมองหาสัมภาระของเอสปาด้าหมายเลขสี่
“หาไม่เจอหรอก เพราะข้าขนส่วนของข้าไปหมดแล้ว” เขาตอบเหมือนรู้ว่าพวกเรากำลังมองหาสิ่งใด
“ขนไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” สตาร์กถามอย่างทึ่งๆ หากนายท่านกลับไม่ตอบคำถามนั้น
“รู้แค่ว่าข้าไม่ได้ชักช้าเหมือนพวกเจ้าแล้วกัน” พูดจบเขาก็วาดมือออกไปข้างตัว ทันใดนั้นบรรยากาศก็บิดเบี้ยว ช่องมิติเปิดแยกออกเป็นช่องกว้าง เอสปาด้าหมายเลขสี่หันหลังให้พวกข้า ก้าวเดินนำเข้าไปในช่องมิตินั้นเป็นคนแรก แล้วก็หยุดยืนอยู่ตรงริมช่องมิตินั้น หันหน้ากลับมา
“ไปกันเถอะ”
จบคำอารันคาร์ทั้งหมดก็ค่อยๆเดินหายเข้าไปในช่องมิติ ข้าหันกลับไปมองภาพบ้านที่เคยใช้เป็นที่อาศัยมาตลอดยามอยู่บนโลกนี้เป็นครั้งสุดท้าย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์มันนิดหน่อย อันที่จริง ข้าแอบขอโทษเจ้าตัวบ้านในใจแทนนายท่านที่อุตส่าห์ไปเจาะโพรงให้มันก่อนไปด้วยความรู้สึกผิด ข้ามองมันเนิ่นนาน จากนั้นจึงหลับตาลงช้าๆ หวังให้ภาพที่เห็นเป็นครั้งสุดท้ายนี้ประทับอยู่ในความทรงจำไปตลอดกาล ก่อนจะเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ก้มลงหยิบกระเป๋าทั้งสองใบอย่างทุลักทุเล แล้วจึงหันหลังก้าวเท้าเดินย่ำไปยังทางแยกมิตินั้น นายท่านมองสภาพของข้าแล้วส่งสายตาตำหนิมาให้
“จะขนไปทำไมเยอะแยะ หนักเปล่าๆ”
“ความสุขของพวกผู้หญิงค่ะ ผู้ชายอย่างท่านคงไม่มีวันเข้าใจ” ข้าแอบจิกนายท่านนิดๆ พลางยิ้มหวานให้คนถาม ถึงแม้ว่าน้ำหนักกระเป๋าที่ข้าหิ้วอยู่จริงๆแล้วมันไม่ได้ทำให้ข้ามีความสุขเลยก็เถอะ
“ฮาริเบลก็ผู้หญิง ข้ายังไม่เห็นนางจะขนเสื้อผ้ากลับอย่างเจ้า” ประโยคนั้นทำเอาข้าหุบยิ้มโดยพลัน นิ่วหน้าใส่
“ช่างข้าเถอะค่ะ คนเราความชอบมันต่างกัน” ข้าพูดพลางกระชับกระเป๋าในมือ สะบัดหน้าหนี แต่ก่อนที่จะได้เดินต่อ นายท่านก็ส่งเสียงหึออกมา มุมปากเชิดขึ้นน้อยๆคล้ายจะยิ้ม เขายื่นมือมาดึงกระเป๋าไปจากมือข้า แต่ข้าขืนมันไว้
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าถือไหว” ...ยังไงก็คงไม่ดี ถ้าจะให้คนอื่นมาเห็นว่าฟรานเชี่ยนอย่างข้าต้องให้เอสปาด้ามาช่วยถือของ
“ถ้ากำลังคิดถึงสถานะฟรานเชี่ยนของตัวเอง...สถานะมันสิ้นสุดไปตั้งแต่พวกเราถอนตัวมาจากไอเซ็นแล้ว ถึงยังไงเจ้าก็เป็นผู้หญิง...ถ้าถือไม่ไหว ขอความช่วยเหลือออกมาบ้างก็ได้ ไม่มีใครตำหนิเจ้าหรอก” เสียงทุ้มนั้นกล่าวราวกับจะสอน
“หรือว่าเจ้าเห็นข้าเป็นคนใจดำขนาดนั้น?” เขาเปลี่ยนกลับมาถามเสียงเรียบ ข้าจ้องมองดวงตาสีเขียวเข้มที่เหมือนจะอ่านใจข้าออกได้อยู่ร่ำไป หลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะค่อยๆปล่อยมือ ยอมให้คนตรงหน้าหยิบกระเป๋าไปถือแต่โดยดี แต่ใบเดียวพอ อีกข้างข้าถือเอง เพราะอย่างน้อยข้าก็ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นฟรานเชี่ยนที่ใช้แรงงานเจ้านายหนักเกินไปอยู่ดีนั่นแหละ
...แต่เอาจริงๆนะ ถ้าเกิดนายท่านช่วยข้าบ่อยๆแบบนี้ สักวันข้าต้องสบายจนเคยตัวแน่ๆเลย
“ข้าไม่เคยคิดว่าท่านใจดำหรอกค่ะ...ท่านน่ะออกจะใจดี เสียแต่ว่าชอบทำหน้านิ่งตลอดเวลาก็เท่านั้นเอง” ข้าพูดพลางส่งยิ้มให้
“ถึงแม้ว่าท่านจะชอบทำตัวเหมือนไม่เคยสนใจใคร เหมือนกับว่าทุกสิ่งรอบตัวมันช่างไม่มีคุณค่า...แต่ถ้าสังเกตดีๆแล้ว ข้ารู้ว่าท่านเองก็คอยดูแลคนอื่นมาตลอด...อย่างเรื่องที่ท่านแอบกลับไปฮูเอโก้ มุนโด้ก่อนก็เหมือนกัน ที่จริงท่านกลับไปเช็คว่าทุกอย่างเรียบร้อย ปลอดภัยดีรึเปล่าสินะคะ” คนข้างตัวข้าตวัดสายตาสีเขียวมาวูบหนึ่ง ก่อนจะหลบสายตาไปมองทิวทัศน์สีดำมืดด้านอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ข้าว่าข้าเข้าใจว่าสายตานั้นคงจะแสดงคำถามว่า...รู้ได้อย่างไร
“บางครั้งการกระทำก็แสดงให้เห็นได้ชัดกว่าคำพูด...สำหรับข้าแล้ว...ท่านเป็นเอสปาด้าที่ใจดียิ่งกว่าใครๆเลยค่ะ” ร่างตรงหน้าไม่ตอบอะไร แต่ก็หันหลังเดินนำไปทันที แต่ข้าเห็นว่าหน้าเขาเริ่มขึ้นสีนิดๆ...แหม...แอบเขินล่ะสิ นายท่านเนี่ยน้า...ข้าหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวิ่งตรงรี่เข้าไปควงแขนเขาอย่างหลวมๆ แล้วเอียงหัวซบต้นแขนเขา นายท่านหันหน้ามองการกระทำของข้าอย่างงงๆ
“คึกอะไรของเจ้าน่ะคราวนี้”
“ไม่พอใจเหรอคะ?” ข้าพูดด้วยสีหน้าผิดหวัง อีกฝ่ายเพียงแค่เลิกคิ้วนิดหนึ่ง
“ข้ายังไม่ได้พูดอะไรซักคำ” ฟังแล้วข้าก็ได้แต่หัวเราะออกมาอีกครั้ง
จากนั้นพวกเราก็เดินมาสมทบกับพวกกริมจอว์ที่ยืนมองสภาพลาส์ นอเช่อยู่เบื้องหน้า...สภาพวังตอนนี้ส่วนใหญ่กลายเป็นเพียงซากของความยิ่งใหญ่ในอดีต แทบไม่เหลือเค้าโครงของวังสีขาวปลอดขนาดมหึมาที่เคยตั้งตระง่านอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ ในระหว่างที่พวกเรากำลังมองสภาพปราสาทอย่างหดหู่อยู่นั้น ร่างของคนสองคนก็ค่อยๆก้าวออกมาจากวัง แล้วเดินตรงมาหาพวกเราอย่างกล้าๆกลัวๆ และเมื่อเห็นหน้าตาของร่างที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่สองร่าง ทุกคนก็ถึงกับตะลึง...ทุกคนยกเว้นนายท่าน
“ฮาริเบล ไหนๆเจ้าก็เสียฟรานเชี่ยนไปหมดแล้ว สองคนนี้เจ้าก็เอาไปแทนแล้วกัน” นายท่านพูดขึ้นมาลอยๆ แต่คนที่ถูกเรียกชื่อนั้น เมื่อเห็นสองคนที่นายท่านบอกชัดๆ...ก็พูดเสียงเย็นโดยไม่หันมามอง
“กริมจอว์ก็ขาดคน ให้เจ้านั่นเอาไปเถอะ ข้ายกให้” คนถูกโบ้ยถึงกับหันมาจ้องหน้าเอสปาด้าหญิงทันควัน
“ข้าไม่เอาฟรานเชี่ยนผู้หญิง...โดยเฉพาะแม่สองคนนี้ถึงตายข้าก็ไม่เอาโว้ย!” แล้วสายตาของเอสปาด้าเบอร์ สาม สี่ หก ก็พร้อมใจกันไปหยุดที่...พรีเมร่า
“ข้ามีแค่ลิลิเนตพอ...เลขล่างๆอย่างพวกเจ้าเอาไปใช้งานเถอะ” สตาร์กตัดบทอย่างเอาตัวรอด ทุกคนงียบไปพักหนึ่ง จนทั้งคู่เดินมาถึงตัว ข้ารีบหลบไปอยู่ด้านหลังนายท่านทันที...ก็ข้าค่อนข้างจะมีความหลังกับสองคนนี้เยอะนี่นา
...แม่สองสาวตัวแสบนางต้นห้องของท่านไอเซ็น...
ลอรี่กับเมนอรี่
“เมื่อชั่วโมงก่อนตอนเห็นอุลคิโอร่าข้าก็แปลกใจแล้ว แต่พอบอกว่าพวกเจ้าทั้งหมดยังมีชีวิตอยู่ ข้าก็คิดว่าเขาหลอกเล่น พวกข้านึกว่าพวกเจ้าจะตายกันหมดแล้วเสียอีก” เมนอรี่พูดพลางมองพวกข้าด้วยสายตาแปลกใจ
“ข้าสิควรจะแปลกใจว่าทำไมพวกแกช่างตายยากตายเย็นนัก” กริมจอว์มองทั้งคู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดหยาม ทำเอาลอรี่เกิดอาการปรี๊ดแตก ตวาดใส่หน้าเอสปาด้าหมายเลขหกทันที
“ผู้ชายอย่างเจ้ามันไม่น่ารอดกลับมาได้เลยจริงๆ!!”
“พอๆ ช่วยใจเย็นๆแล้วช่วยคุยกันดีๆก่อนได้ไหม” สตาร์กขึ้นเสียงปราม ทั้งสองฝ่ายเงียบเสียงลงแต่ไม่วายจ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พอเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเงียบลงแล้ว นายท่านจึงเป็นคนเริ่มคำถาม
“ลอรี่ เมนอรี่ นอกจากพวกเจ้าแล้วยังมีอารันคาร์คนไหนเหลืออยู่บ้าง” อารันคาร์ทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนจะเป็นลอรี่ที่ยกมือขึ้นกอดอก พลางตอบด้วยสีหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะพูดถึงสักเท่าไหร่
“ก็แค่พวกเนลเลียตกับฟรานเชี่ยนท่าทางงี่เง่าอีกสองตัว...แต่ป่านนี้ไม่รู้ไปวิ่งเล่นอยู่ที่ไหนในทะเลทรายแล้วเหมือนกัน พวกนั้นก็เล่นไปเรื่อย ไม่เคยเห็นอยู่ติดที่ซักที” พูดจบก็เป็นเมนอรี่ที่ช่วยเสริมให้
“ถ้านับเฉพาะพวกที่ยังอยู่ในลาส์ นอเช่ ก็เหลือแค่พวกเราสองคน แล้วก็พวกอารันคาร์รับใช้ระดับล่างๆอีกนิดหน่อย ไม่ถึงสิบคน ที่เหลือก็โดนพวกยมทูตจัดการไปหมดแล้วล่ะ” เมนอรี่กวาดสายตามองพวกเราทุกคน พลางยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
“พอรู้จากอุลคิโอร่าว่า ยังมีพวกเอสปาด้าคนอื่นหลงเหลืออยู่ พวกข้าดีใจมากเลยล่ะ...ตอนนี้ถึงแม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของวังจะเสียหายไปเยอะ แต่ห้องว่างหลายห้องก็ยังใช้การได้อยู่นะ แล้วพวกข้าก็สั่งให้อารันคาร์รับใช้ไปทำความสะอาดแล้วล่ะ...อ้อ...อุลคิโอร่า...สิ่งที่เจ้าขอให้พวกข้าช่วยน่ะ ข้าจัดการให้แล้วนะ” เมนอรี่พูดจบก็ยิ้มพลางขยิบตาให้อย่างมีเลศนัย ส่วนลอรี่มองนายท่านแล้วเปลี่ยนมามองข้า ขมวดคิ้ว แค่นเสียงออกมาดังเฮอะ! แล้วพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนอย่างเจ้าจะออกคำสั่งบ้าๆประเภทที่ว่าให้...”
“ฮาริเบล!” นายท่านพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดัง ขัดจังหวะการพูดของลอรี่ พอนางอ้าปากเหมือนจะพูดต่อก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาคมกริบที่ถูกส่งไปให้ นางบ่นอุบพลางสงบปากสงบคำทันที ข้าล่ะสงสัยเสียจริงว่านายท่านสั่งให้พวกนางไปทำอะไร ส่วนท่านฮาริเบลซึ่งจู่ๆก็ถูกเรียกชื่อ นางก็หันหน้าไปมองนายท่าน ส่งสายตาเหมือนจะบอกว่า...อย่าเชียวนะ
...แต่นายท่านหรือจะสน...
“เจ้าเคยมีฟรานเชี่ยนเป็นผู้หญิง สองคนนี้เจ้าก็ดูแลไปแล้วกัน!” จบคำพูดเมนอรี่ก็ทำตาเป็นประกาย หันไปมองท่านฮาริเบลอย่างชื่นชม กุมมือประสานกลางอก พูดด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม
“ข้าชื่นชมอารันคาร์หญิงเก่งๆอย่างท่านมานานแล้วค่ะ ข้ายินดีรับใช้ท่านด้วยชีวิตค่ะ” ซึ่งผิดกับลอรี่ลิบลับ ขานั้นถึงกับคลายการกอดอก อ้าปากค้าง หันมามองนายท่านเหมือนจะหาเรื่องทันที
“เฮ้! ข้าไม่ใช่สิ่งของที่จะยกให้ใครได้ง่ายๆนะยะ ถามความเห็นกันก่อนซี่--!!”
“หรือจะไปอยู่กับกริมจอว์...เพราะสตาร์กกับข้ายังไม่ต้องการฟรานเชี่ยนเพิ่ม” นายท่านตอกกลับเสียงเรียบ
“ชั้นไม่อยู่กับใครทั้งนั้น!”
“ก็ดีแล้ว เพราะถึงเจ้าอยากอยู่กับข้า ข้าก็ไม่เอา!” กริมจอว์เย้ยใส่ มองนางด้วยสีหน้าสะใจ
“งั้นก็สั่งให้พวกรับใช้จัดที่พักใหม่ให้เจ้าคนเดียวแล้วกัน เพราะท่าทางเมนอรี่จะยินดีย้ายไปอยู่ที่วังของฮาริเบล” นายท่านเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ลอรี่รีบหันขวับไปถลึงตาใส่คู่หูที่เคยอยู่ด้วยกันมานาน สาวผมทองหลบตาวูบด้วยความรู้สึกผิด เหมือนลอรี่จะกำลังสองจิตสองใจ ปฏิกริยานั้นทำเอาสีหน้าของสาวผมแกละสลดลงทันใด แต่เพียงแปบเดียวก็ปรับสีหน้าให้เชิดขึ้นอย่างทรนงได้อีกครั้ง
ข้าลอบมองออกมาจากหลังของนายท่าน มองลอรี่ด้วยสีหน้าเห็นใจ ตั้งแต่ที่ข้าพบนาง นางก็อยู่กับเมนอรี่มาตลอด...พวกเธอแทบจะเรียกได้ว่าเป็นฝาแฝดตัวติดกันเลยทีเดียว แถมที่ผ่านมาเมนอรี่เองก็ยอมให้อีกฝ่ายมาตลอด ลอรี่ว่าอย่างไร เมนอรี่ก็ว่าตาม ดังนั้นนี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เมนอรี่แสดงจุดยืน...ที่ไม่ได้เลือกข้างคู่หูของเธอ และนั่นก็คงทำให้ใจของลอรี่เจ็บเอาการ
“เอ่อ...ลอรี่” ข้าเรียกเธอเสียงเบาอย่างกล้าๆกลัวๆ อารันคาร์สาวสะบัดหน้ามาหาข้าทันที ถามด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ
“อะไร!?”
“ท่านฮาริเบลเป็นอารันคาร์ที่ดี...ทำไมเจ้าถึงไม่อยากจะไปอยู่กับนางล่ะ” เหมือนคำถามข้าจะทำให้อีกฝ่ายชะงัก สีหน้าเหมือนจะหาคำตอบมาตอบไม่ถูก...ก็เลยได้แต่นิ่งเงียบ ข้าเลยได้ทีพูดต่อ
“ข้ารู้ว่าเจ้าก็ไม่อยากแยกกับเมนอรี่หรอก...แถมเท่าที่เคยเห็นมา พวกเจ้ากับข้าต่างก็มีนิสัยเหมือนกันตรงที่ชอบเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามากกว่า...ลองอยู่กับท่านฮาริเบลดูก่อนสิ ถ้าไม่ชอบจริงๆค่อยแยกออกมาก็ได้ ลอรี่เองก็จะได้สบายใจด้วย” เมื่อได้ยินคำพูดของข้า อารันคาร์สาวก็หันไปมองคู่หูเธอซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอีกครั้ง
“มาด้วยกันเถอะนะ เมนอรี่ ถ้าไม่ชอบจริงๆค่อยแยกตัวก็ได้...ถ้าถึงเวลานั้นข้าก็จะไปกับเจ้า แต่อย่างน้อยก็ลองเป็นฟรานเชี่ยนของท่านฮาริเบลดูก่อนเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าเทิดทูนท่านไอเซ็นมาก...แต่ในเมื่อเขาก็ไม่อยู่แล้ว...เจ้าจะมายึดติดกับอดีตตลอดไปไม่ได้หรอกนะ” เมนอรี่พยายามกล่อมอีกฝ่ายด้วยสีหน้าอ้อนวอน ลอรี่เงียบไปครู่ ครุ่นคิด ก่อนจะยกมือขึ้นสะบัดผม เชิดหน้า
“นานๆข้าจะเห็นเจ้าจะอยากทำอะไรตามใจตัวเองหรอกนะข้าถึงได้ยอมให้น่ะ เมนอรี่” เธอตอบด้วยน้ำเสียงหยิ่งๆ ยกมือขึ้นกอดอกอีกครั้ง แล้วหันไปชี้หน้าท่านฮาริเบล
“เพราะเห็นว่าเมนอรี่ปลื้มเจ้ามานานแล้วหรอก ดังนั้นข้าจะลองเป็นฟรานเชี่ยนให้ก็ได้ แต่ถ้าไม่ชอบใจเมื่อไหร่ข้ากับเมนอรี่จะเลิกเป็นทันที รู้เอาไว้ด้วยล่ะ!” พูดจบก็สะบัดผมอีกหนึ่งที ระหว่างนั้นข้าเห็นท่านฮาริเบลกลอกตาขึ้นฟ้าด้วยความระอา...เดาว่าอารมณ์คงเป็นประมาณว่า...นี่ใครจะมาเป็นฟรานเชี่ยนใครกันแน่ อันที่จริงข้าไม่ได้อยากรับเจ้าเลยสักนิด แต่ถูกยัดเยียดให้ต่างหาก...และข้างๆนั่นก็เป็นเมนอรี่ที่ผงกหัวปะหลกๆพลางกระซิบขอโทษท่านเอสปาด้าหญิงไปพลาง
พอเห็นว่าทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย ท่านสตาร์กก็ถามว่าพอจะมีสภาพวังที่ไหนที่ยังพอใช้การได้บ้าง ลอรี่กับเมนอรี่จึงแจกแจงให้ฟังคร่าวๆ พอรู้ได้ว่าโซนวังของท่านฮาริเบล และท่านสตาร์กยังคงสมบูรณ์ดี ของกริมจอว์กับนายท่านเสียหายหนักหน่อย แต่ก็เริ่มได้รับการซ่อมแซมไปบ้างแล้ว พอรู้อย่างนั้นทุกคนจึงเริ่มแยกย้ายกลับที่พักของตนเองทันที แต่ก่อนไป กริมจอว์ยังหันมาพูดกับข้า
“ช่วงนี้ถ้าเคลียร์วังของเจ้าอุลคิโอร่าเสร็จแล้ว มาช่วยเก็บกวาดวังข้าด้วยก็ดีนะอาราวเน่...อ้อ อีกเรื่อง...” เขาเลื่อนสายตาไปมองนายท่าน ฉีกยิ้มกว้างราวกับจะยิ้มเยาะ
“พอดีข้ากินข้าวฝีมือฟรานเชี่ยนเจ้าจนชินแล้ว...ยังไงขอไปฝากท้องที่วังเจ้าทุกมื้อด้วยก็แล้วกัน” และก่อนที่นายท่านจะได้พูดอะไร ลิลิเนตที่ทันได้ยินพอดีก็รีบหันขวับ ตะโกนมาแต่ไกล
“ทำเผื่อข้ากับสตาร์กด้วยแล้วกันนะ อาหารฝีมืออาราวเน่อร่อยที่สุดแล้ว” แล้วข้าก็เห็นท่านพรีเมร่าพยักหน้าพร้อมชูนิ้วโป้งยืนยัน
“อันที่จริง...ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ข้าก็ขอไปกินด้วยได้ไหม อุลคิโอร่า” ท่านฮาริเบลที่ชะงักฝีเท้าหลังจากได้ยินเสียงตะโกนของลิลิเนตเอ่ยถามอย่างสุภาพ ข้าแหงนหน้ามองท่านเอสปาด้าหมายเลขสี่...สีหน้าเขานิ่งสนิทและเงียบอยู่นาน ก่อนจะหลับตา ถามเสียงเรียบ
“อาราวเน่...เจ้ายังชอบทำอาหารอยู่ไหม”
“ก็...ทำจนชินแล้วล่ะค่ะ อันที่จริงทานกันหลายๆคนก็ครื้นเครงดีออก จะให้ข้าทำเตรียมเผื่อทุกคนทุกมื้อเลยไหมคะ”
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น...แต่ถ้าเบื่อเมื่อไหร่ก็บอกข้า จะได้บอกพวกนั้นให้ไปหากินเอาเองบ้าง...ฟรานเชี่ยนตัวเองก็มี ไม่รู้จักใช้งาน” เขาพูดเสียงเรียบแต่คำพูดนี่แทบจะเฉือนทุกคนเลือดไหลซิบๆ แถมสายตาที่ส่งไปนี่สิ...แทบจะแผ่รังสีกดดันไปให้อารันคาร์โดยรอบเลยทีเดียว คนอื่นๆพอเห็นว่าท่าจะไม่ดี ก็รีบแยกย้ายหายไปอย่างรวดเร็ว รอจนทุกคนไปหมดแล้ว นายท่านจึงหันมามองข้าที่ยืนเกาะหลังเขาอยู่มาได้พักใหญ่ๆแล้ว
“ไปกันเถอะ” ข้าพยักหน้าตอบรับ กระชับกระเป๋าในมือพลางเก้าเท้าเดินตามเขาไป หากยิ่งเข้าใกล้วังที่พักของเอสปาด้าหมายเลขสี่ขึ้นเรื่อยๆ ข้าก็เริ่มได้กลิ่นแปลกๆ มันเป็นกลิ่นดินชื้นๆผสานกับกลิ่นสดของพืชพรรณ ข้าขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในขณะที่มองตามแผ่นหลังของนายท่านแล้วก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆ ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่มีที่ท่าแปลกใจต่อความประหลาดนี้แต่อย่างใด
ข้าได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจ จนกระทั่งพวกเรามาหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้าวัง...และเมื่อท่านอุลคิโอร่าเอื้อมมือไปผลักบานประตูออก ข้าก็ถึงกับเบิกตากว้าง...แทบจะหยุดหายใจ
ห้องโถงกว้างด้านหน้านั้น แม้จะมีบางส่วนเสียหายไปบ้างแต่ก็ถูกเก็บกวาดจนสะอาด ข้าวของสีขาวน้อยชิ้นต่างๆที่เคยวางไว้ก่อนที่พวกเราจะจากไปก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หากสิ่งที่ต่างออกไปก็คือ
...ที่ริมหน้าต่างแต่ละบาน และที่บนโต๊ะมีต้นไม้พุ่มเล็กๆที่เรียงรายอยู่เต็มกระถางสีขาวใบจิ๋ว
...ดอกไม้สีแดงสดกำลังผลิบานอยู่เต็มต้น สีสันสดใสเหล่านั้นทำให้วังที่ครั้งหนึ่งช่างดูขาวปลอดไร้สีสันกลับแปรเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นทันที...
...ดอกไม้ที่ครั้งหนึ่งข้าเคยเฝ้าดูแล หวงแหน...
...ดอกไม้ทื่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ข้ากับเขาได้มาพบกัน...
...ดอกอาราวเน่...
ข้ายกสองมือขึ้นปิดปากตัวเอง ตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา...ปริศนาต่างๆที่ลอรี่กับเมนอรี่พูดข้าเข้าใจแล้ว
“ตอนที่ข้ากลับมา ลอรี่กับเมนอรี่กำลังพูดถึงกลุ่มดอกไม้สีแดงที่พวกเนลิเอลบังเอิญไปพบเข้า พวกนางกำลังคิดอยู่ว่าจะทำลายทิ้งหรือเก็บไว้ดี...ฟังแล้วข้าก็นึกถึงเจ้า ข้าก็เลยบอกให้พวกนางพาพวกอารันคาร์รับใช้ไปขุด จากนั้นก็กลับไปหาพวกดินกับกระถางมาใส่ แล้วให้ตั้งเอาไว้ในวัง เพราะข้าคิดว่าเจ้าน่าจะอยากดูแลมันอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเองมากกว่า” เขาพูดเสียงเบา พลางทอดสายตามองกระถางดอกไม้ใบจิ๋วที่ตั้งอยู่กลางห้อง
“น่าแปลกดีนะ...ทั้งๆที่ฮูเอโก้ มุนโด้เกิดสงคราม สิ่งต่างๆมากมายถูกทำลายพินาศย่อยยับ แต่ถึงอย่างนั้นดอกไม้พวกนี้ก็ยังเติบโตขยายพันธุ์ได้มากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีใครพบเห็น แต่พอทุกอย่างสงบดีและเจ้ากำลังจะกลับมา จู่ๆพวกมันก็ถูกพบได้ง่ายๆเสียอย่างนั้น...ช่างเหมือนกับว่าเป็นพวกมันเองที่ต้องการให้ถูกพบเพื่อที่จะมาต้อนรับการกลับมาของเจ้า คิดอย่างนั้นไหม...เฟลิโอน่า” น้ำเสียงที่ยามเอ่ยชื่อข้านั้นช่างนุ่มนวล ท่านอุลคิโอร่าเลื่อนมือเขามาจับมือของข้า ค่อยๆจูงพาข้าเดินไปยังโต๊ะที่กลางห้อง มือของข้าสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่ ข้าค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสดอกไม้สีแดงสดตรงหน้า แล้วจึงเลื่อนมือลงไปจับรอบกระถาง ค่อยๆยกมันขึ้นมาอย่างทนุถนอม ภาพตรงหน้าเริ่มรางเลือนจากหยาดน้ำที่เริ่มไหลเอ่อคลอดวงตา
“ข้ากลับมาแล้วจ้ะ เจ้าดอกอาราวเน่” น้ำใสๆจากความตื้นตันไหลลงอาบแก้มช้าๆ ก่อนร่วงหล่นลงสู่ใบสีเขียวเล็กๆของต้นไม้นั้น ใบไม้ลู่ลงเล็กน้อยตามแรง ก่อนจะเด้งขึ้น นำพาหยดน้ำกลิ้งหลุนลงไปตามก้าน หายลงไปในผืนดินใต้ต้นของมัน สองมือของนายท่านเลื่อนมาโอบรอบมือของข้าจากด้านหลัง มือแกร่งนั้นหยิบกระถางออกแล้ววางลงบนโต๊ะอย่างเบามือ จากนั้นจึงเลื่อนขึ้นมาโอบรอบเอวข้าไว้หลวมๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาปาดน้ำตาออกให้ข้าอย่างนุ่มนวล เขากดคางของตนเกยไหล่ข้าไว้ ถามเสียงเบา
“เจ้าชอบมันไหม” ข้าพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ ยกมือของตนขึ้นกุมรอบมือของเขา บีบมันเบาๆ
“ขอบคุณ...ขอบคุณมากค่ะ ท่านอุลคิโอร่า” ข้ากล่าวขอบคุณจากใจ...รับรู้ได้ว่าเสียงของตนเองยังสั่นอยู่บ้างอย่างควบคุมไม่อยู่ นายท่านโอบเอวของข้าให้แน่นขึ้น ร่างข้าแนบไปกับแผ่นอกแกร่งของเขา ข้ารับรู้ถึงการถอนหายใจหนักๆของคนด้านหลัง นายท่านเอ่ยอย่างระอา
“ข้าสั่งแล้วไงว่าเลิกเรียกท่านได้แล้ว”
“ก็แหม...ข้าเรียกแบบนี้ของข้ามานานมาก ขอเวลาให้ข้าปรับตัวหน่อยสิคะ” ข้าพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ทีกริมจอว์ ข้ายังไม่เห็นเจ้าเรียก‘ท่าน’เลย” อีกฝ่ายเถียงกลับ ทำเอาข้าชะงัก เบนสายตามามอง
“นั่นสิ...จะว่าไป ข้าเปลี่ยนวิธีเรียกกริมจอว์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ” ข้าเอียงคอ...ยกมือขึ้นทาบแก้ม ทำท่านึก จนนายท่านต้องปราม
“พอ!...เจ้าอยู่กับข้า เลิกคิดถึงผู้ชายคนอื่นได้แล้ว” น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนจะไม่พอใจนิดๆ นายท่านก้มหน้าลงซบกับไหล่ข้า มือทั้งสองเอื้อมมาประสานกันรอบเอว โอบแน่นขึ้น
“หึงเหรอคะ?” ข้าแกล้งแซว...ผลที่ได้น่ะหรือ
“เงียบไปเลย” เสียงดุเอ่ยออกมาโดยที่เขาไม่ยอมมองหน้าข้าด้วยซ้ำ ข้าหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพลิกตัวเข้าหาร่างด้านหลัง ยกมือโอบรอบคอเขาไว้หลวมๆ จ้องใบหน้าของคนที่ทำเป็นตีหน้าเรียบที่เพิ่งเงยขึ้นมา
“ข้ากับกริมจอว์เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันค่ะ”
“หึ...เพื่อน...ข้าว่ามันพร้อมจะเกินเพื่อนทุกเวลาด้วยซ้ำไป” เขาแค่นเสียง
“จะประชดกริมจอว์ไปทำไมคะ ท่านก็เห็นๆอยู่ว่าเขายอมถอยให้ท่านแล้ว และที่สำคัญ...หัวใจข้าก็มีแต่ท่านเท่านั้น...ท่านคิดว่าข้าเฝ้ามองท่านมานานแค่ไหนแล้วคะ” ...เอ พูดแล้วมันก็น่าน้อยใจนะ...
“จะว่าไปแล้ว...พูดถึงอดีต คนที่ควรจะประชดน่าจะเป็นข้ามากกว่านะคะ เมื่อก่อนเนี่ยต่อให้ข้าจะพยายามอยู่ใกล้ท่านแค่ไหนท่านก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิด...แถมพอเจอโอริฮิเมะปุ๊บท่านก็สนแต่นางอีกตังหาก...คิดดูสิ! ข้าทำอาหารให้ท่านก็เอาไปให้นางทาน มันช่างน่าน....”
จู่ๆนายท่านก็ประกบริมฝีปากลงมายุติการสนทนาของข้า เริ่มจากแผ่วเบา แล้วเริ่มขบเม้มไปตามริมฝีปากล่างของข้าอย่างช้าๆ จากนั้นจึงประทับลงมาอย่างดูดดื่มแนบแน่นขึ้น ข้าหลับตาลง สัมผัสได้ถึงปลายลิ้นอุ่นที่ค่อยๆแทรกเข้ามาเมื่อข้ายินยอมเปิดช่องทางให้ สักพักใหญ่กว่าเขาจะถอนริมฝีปากออก ข้าลืมตาช้าๆ มองเห็นดวงตาสีเขียว นัยน์ตาที่จ้องมองนั้นแฝงความปรารถนาเจือความขบขัน
“เรื่องความผิดพลาดเมื่อก่อนของข้าก็ลืมมันไปเถอะ จะมัวไปจำมันทำไม อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้ไว้เถอะว่าเจ้าทำให้ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้าไปแล้ว”
“แปลว่าความพยายามมานานแสนนานของข้าสำฤทธิ์ผลสินะคะ...อา ขอบคุณสวรรค์ที่ข้าไม่เลิกล้มความมุ่งมั่นกลางคันนะเนี่ย” ข้าเงยหน้าพูดกับเพดานอย่างติดตลก แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึ หลุดออกมา ทำเอาชะงักกึกรีบก้มหน้าลงมองทันที นายท่านเอามือปิดปากไว้ มองเสไปอีกทาง เหมือนจะพยายามกลั้นหัวเราะ
“ขำอะไรหรือคะ?”
“นี่อารันคาร์อย่างเจ้าขอพรกับพระเจ้าอย่างนั้นหรือ” นายท่านถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เรียบแต่มันก็ปิดอาการสั่นไปทั้งร่างเพราะพยายามกลั้นหัวเราะไว้ไม่มิด ข้านิ่วหน้า
“ไม่มีกฏข้อไหนบัญญัติไว้ว่าอารันคาร์ห้ามขอพรกับพระเจ้านี่คะ ถึงแม้ว่าวิญญาณที่คงอยู่ได้ด้วยการเข่นฆ่าผู้อื่นอย่างเราๆมันจะดูไม่น่าเมตตาก็เถอะ” ข้าบ่นงึมก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ข้าว่า...ข้าขอตัวขนของไปเก็บก่อนดีกว่าค่ะนายท่าน พวกเรายืนอยู่หน้าโต๊ะตรงนี้มาได้พักใหญ่แล้ว” ข้าพูดพลางลดมือลงจากรอบคอของนายท่าน แต่รออยู่นานอีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยข้าออกจากอ้อมกอดสักที
“ท่านอุลคิโอร่าคะ ข้าต้องเอาเสื้อผ้าไปเก็บที่ห้อง จากนั้นข้าจะต้องเริ่มทำอาหารเย็นแล้วนะคะ ช่วยปล่อยก่อนได้ไหมคะ”
“ปล่อยตอนนี้แล้วจะได้สานต่อทีหลังไหม” เขาถามพลางจ้องหน้าข้า ดวงตาสีเขียวเข้มนั้นเริ่มเป็นประกาย มันทำเอาข้าไม่กล้าสบตา รู้สึกเขินขึ้นมาดื้อๆ
“พูดอะไรของท่านคะ?” ข้าเสตามองไปทางอื่น แกล้งทำไขสือ แล้วข้าก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึ ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มจะกระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหู
“ที่ข้าถามเจ้าเรื่องที่จะลองพิสูจน์ทฤษฎีนั่นข้าไม่ได้พูดเล่นหรอกนะ”...แล้วริมฝีปากของเขาก็สัมผัสใบหูของข้า ขบเม้นเบาๆ จนทำเอาข้าสั่นสะท้าน...มือของเขาเริ่มอยู่ไม่สุข มันเริ่มไล้จากเอวข้าลงต่ำไปเรื่อยๆ
...ให้ตายเถอะ...สาบานได้ว่านี่คือการกระทำของคุณชายเย็นชาหมายเลขสี่แห่งฮูเอโก้ มุนโด้น่ะ!!
แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรไปมากกว่านี้...ริมฝีปากก็กระซิบที่ข้างใบหูข้าอีกครั้ง
“ช่างเถอะ...ยังไม่ต้องรีบร้อน ยังไงก็ยังมีเวลาอีกทั้งคืนสำหรับวันนี้ เอาของไปเก็บกันก่อนเถอะ” พูดจบเขาก็ปล่อยข้าออกจากอ้อมกอด ทำเอาข้าที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น ดีที่นายท่านยังเข้ามาช่วยพยุงข้าเอาไว้ได้ทัน ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มฉายขึ้นบางๆ ชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานคงดูไม่ออกว่าเขายิ้ม พอตั้งสติได้ข้าข้าก็รีบดันตัวออกจากเขาทันที ส่งสายตาค้อนไปให้ทีหนึ่ง แล้วรีบอุ้มกระเป๋าใบหนึ่งวิ่งไปยังทิศทางของห้องพัก แต่แล้วนายท่านกลับพุ่งตัวตามหลังมาดึงแขนไว้ มืออีกข้างถือกระเป๋าอีกใบข้ามาด้วย
“เจ้าจะไปไหน?” เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาข้าถึงกับงุนงง
“ก็เอาของไปเก็บในห้องนอนข้าน่ะสิคะ”
“เจ้าไปผิดทาง”...คราวนี้คำตอบของเขาทำให้ข้างงยิ่งกว่าเดิมอีก...ข้าขมวดคิ้ว มองนายท่านอย่างไม่เข้าใจ
“ผิดยังไงคะ ก็ห้องนอนข้าอยู่ทางนี้” ข้าพูดพลางชี้นิ้วไปยังประตูห้องพักของข้าที่อยู่ไม่ไกลนัก นายท่านจ้องข้าไม่วางตา ยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วจึงดันข้าให้หันหลัง แล้วจูงไปอีกทาง
“เจ้าย้ายห้องแล้ว...ย้ายมานอนห้องข้า ส่วนห้องเก่าข้าจะเอาไว้ปลูกดอกอาราวเน่แทน”
“ดะ...เดี๋ยวก่อนสิคะ!” ข้าพยายามจะตั้งสติ...ให้ตายเถอะ! ให้ไปนอนห้องนายท่าน มันคงจะได้นอนจริงๆหรอก! แล้วจู่ๆคนตรงหน้าก็เหมือนจะนึกอะไรออก เขาหันขวับมา ดวงตานั้นเป็นประกายอย่างที่ข้าตอนนี้คิดว่าดูยังไงก็ไม่น่าไว้ใจ
“ข้าลืมบอกไปอีกเรื่อง”
“เอ่อ...อะไรเหรอคะ”
“ต่อแต่นี้ไป ไม่ต้องใช้ชื่อ อาราวเน่ ออทัมนาลิสแล้ว” เขาเว้นจังหวะไปครู่ แล้วพูดเสียงดัง เน้นทีละคำราวกับต้องการให้ข้าได้ยินอย่างชัดเจน
“ใช้ เฟลิโอน่า ชิฟเฟอร์ ถาวรไปเลยก็แล้วกัน”
...ตอนนั้นข้าได้แต่อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก...แต่ในใจน่ะเต้นรัวและรู้สึกเหมือนมันจะพองโตจนแทบจะหลุดออกมาจากอกให้ได้ ข้านี่แทบจะตะโกนออกมาให้ดังๆเลยว่า
...ยินดีใช้มาตั้งนานแล้วค่ะ!...ก็ข้าน่ะ...เฝ้ามองแต่ท่านมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา...
เฟลิโอน่า รัก ท่านอุลคิโอร่า
ไม่ว่าจะยามตื่นหรือยามหลับ...ใจข้าก็มีแต่ท่านเสมอค่ะ
---Happy Ending---
อา~~ ในที่สุดก็จบลงจนได้ค่ะฟิคเรื่องนี้ (ซีกรีดร้องดีใจ เต้นระบำไปรอบๆห้องนอน)
เขียนนิยายมานาน เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่ฮึดเขียนจนจบได้ ปกติค้างเติ่งกลางคันตลอด
ซีต้องขอบคุณนักอ่านทุกคนที่อยู่เคียงข้างซีมาตลอดจริงๆนะคะ ถ้าไม่มีแรงใจ และคอมเม้นท์จากทุกคน ไอ้ซีต้องล้มเลิกกลางคันแหงๆเลย ฮ่าๆ...โอย...ปลื้มจริงๆให้ดิ้นตาย นับๆรวมเวลาอู้บ้างขยันบ้าง ซีก็เขียนฟิคเรื่องนี้มาได้ปีกว่าๆแล้วสินะ อาราวเน่จัง อุลคิโอร่า กริมจอว์ ฮาริเบล สตาร์ก ลิลิเนต...เหล่าอารันคาร์ที่น่ารักทั้งหลาย พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นจนจบเชียวนะ!
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ซีรักคนอ่านทุกคนที่สุดเล้ย มามะ~ ขอซีกอดหน่อย (แถมท้ายด้วยหอมแก้มอีกคนละฟอด *มั๊วะ*)
ซีชอร์
ความคิดเห็น