คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : Chapter25: Broken Christmas
Chapter25: Broken Christmas
วันนี้เป็นวันคริสต์มาส
ใช่...วันที่25 ธันวาคม วันที่มนุษย์ต่างจัดมหกรรมเฉลิมฉลองกันไปทั่วโลก วันที่เด็กทั้งหลายเฝ้ารอคอยที่จะตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับของขวัญกล่องใหญ่จากคนที่พวกเขาเรียกว่าซานตาคลอส เป็นเทศกาลบันเทิงที่แม้แต่นักเรียนม.ปลายซึ่งควรจะพ้นวัยที่จะเชื่อเรื่องพวกนี้ไปแล้วก็ยังพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นออกรสไปทั้งโรงเรียน...ข้าเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกเขาจะสนใจอะไรกันนักหนา ก็แค่วันๆหนึ่งของปี แถมโรงเรียนก็ใช่ว่าจะปิดเพื่องานนี้...แต่เอาเถอะ บรรยากาศสนุกสนานและการจัดร้านรวงงดงามในละแวกนี้ก็ทำให้ข้าตื่นใจดีไม่หยอกละนะ
...และที่ดีอีกเรื่องก็คือ...วันนี้เป็นวันศุกร์...พรุ่งนี้ข้ากำลังวางแผนว่าจะชวนนายท่านแล้วก็คนอื่นๆไปเดินเที่ยวชมงานฉลองด้วยกันบ้าง...
ระหว่างที่ข้ากำลังนั่งครุ่นคิดฝันหวานร่างแผนการเที่ยวต่างๆสำหรับพรุ่งนี้จากหัวลงกระดาษนั่นเอง ข้าก็ได้ยินเสียงเหมือนบางอย่างกระแทกกำแพงดังปึก ตามมาด้วยเสียงคนกำลังทะเลาะกันดังแว่วมาจากภายนอกหน้าต่าง ซึ่งข้าปิดม่านไว้กั้นแสงสะท้อนที่ตกกระทบพื้นหิมะขาวประปรายด้านนอก ข้าละสายตาจากโต๊ะขึ้นมองนาฬิกา พบว่ามันเลยเวลาเข้าเรียนไปแล้ว และเท่าที่รู้มา ไม่มีห้องไหนที่ว่างคาบแรก ดังนั้นเด็กนักเรียนสมควรที่จะนั่งเรียนอยู่ในห้อง ไม่ใช่มาส่งเสียงเอะอะกันด้านนอกแบบนี้ ข้าเลื่อนเก้าอี้ แล้วลุกขึ้นเดินไปแง้มๆผ้าม่านออกลอบมองเหตุการณ์ ที่มุมหนึ่งของกำแพง เด็กผู้หญิงท่าทางจะร้ายไม่เบาสามคนกำลังยืนล้อมกรอบเด็กสาวผมทองที่โดนผลักลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้นติดผนัง พอเห็นหน้าคนที่โดนล้อมชัดๆ ข้าก็ต้องขมวดคิ้ว
...นั่นมันอายากะนี่...
ข้าแนบหูชิดหน้าต่าง พยายามจับคำพลางสังเกตว่าพวกเขากำลังทะเลาะกันเรื่องอะไร อืม...ดูเหมือนจะเรื่องผู้ชายอย่างที่ข้าคิดจริงๆนั่นแหละ เด็กผู้หญิงหนึ่งในสามคนนั่นเหมือนจะไม่พอใจที่ผู้ชายที่เจ้าหล่อนแอบชอบอยู่ไปสนิทกับอายากะ ด้วยความไม่ชอบหน้าเด็กสาวคนนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอก็เลยหันมาเล่นงานอายากะแทน แถมมีการเอ่ยขู่ว่าอย่ามาเข้าใกล้ผู้ชายที่เธอชอบอีกต่างหาก
...ให้ตายเถอะ เด็กผู้หญิงสมัยนี้ ทะเลาะกันเรื่องแย่งผู้ชาย...อนาคตของชาติ...สังคมมันหล่อหลอมกันมายังไงเนี่ย...
“เธอไม่อยากให้เค้ามายุ่งกับชั้น เธอก็ไปบอกเค้าเองสิ อายากะไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหาเขาซักหน่อย...แล้วทำตัวเป็นเจ้าของทั้งที่ไม่ได้เป็นแฟนเค้าแบบเนี้ย ระวังผู้ชายจะเมินเอานะจ๊ะ” เจ้าตัวดียังคงต่อปากต่อคำเสียงระรื่นไม่มีกลัวสถานะเป็นรองของตัวเองซักนิด ทำเอาอีกฝ่ายโมโห เพื่อนร่วมทีมสองคนผู้แสนดีก็เหมือนรู้ใจ พวกเธอตรงไปยึดดึงแขนอายากะขึ้นมา กดไว้แน่นกับผนัง ส่วนตัวหัวโจกก็เงื้อมือขึ้นสูงเตรียมจะตบหน้าเด็กสาวหัวทองเต็มแรง
...เอาล่ะ ในฐานะครูบาอาจารย์ จะปล่อยให้นักเรียนตีกันก็คงไม่ดี...ข้าคิดพลางรูดผ้าม่านออกโดยเร็วแล้วปลดล๊อกเปิดหน้าต่าง แต่ก่อนที่จะได้ตะโกนห้ามศึก
“นี่ พวกเธอ!”
“โอ๊ย!”
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมๆกับลูกบาสสีส้มพุ่งตรงเข้ากระแทกมือของเด็กสาวคนที่กำลังจะเงื้อมือฟาด เธอคนนั้นร้องลั่น รีบยกมือลงกุมด้วยความเจ็บปวด ทั้งหมดหันไปมองหน้าอีกสองร่างในชุดพละที่เพิ่งเดินเข้ามาและเป็นเดาได้เลยว่าคนปาอย่างเอาเรื่อง
สองคนที่เข้ามาห้ามทัพนั้น คนหนึ่งที่ยืนเด่นนำหน้าคือเด็กสาวผมสั้นชี้สีดำ ท่าทางของหล่อนดูออกห้าว ทะมัดทะแมงและไม่ยอมคน อีกร่างที่รีบเดินเกาะแขนตามหลังมานั้นเหลือบไปมองคนที่โดนจับไว้อยู่ ดวงตาสีส้มนั้นมีแววกังวล...โอริฮิเมะจังนั่นเอง เด็กสาวผมสีดำนั่นขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายแบบไม่กลัวเกรง
“สามรุมหนึ่งแบบนี้ ไม่อายบ้างรึไงคะรุ่นพี่?”
“อะไร! เป็นรุ่นน้องแท้ๆ เรื่องนี้พวกเธอไม่เกี่ยวก็อย่ามายุ่งน่า” อีกฝ่ายตวาดกลับเสียงแข็งพลางจ้องหน้ากลับแบบไม่ยอมใครเช่นกัน
“พวกเธอทั้งหมดน่ะ คิดจะทำอะไรกัน!? หยุดเดี๋ยวนี้เลย!” ข้าชะโงกหน้าออกไปให้นักเรียนทั้งหมดเห็น ตวาดเสียงดัง พลางจ้องด้วยแววตาตำหนิเพื่อห้ามเรื่องก่อนที่จะบานปลายไปยิ่งกว่านี้ นักเรียนปีสามที่มีชนักติดหลังเพราะเป็นฝ่ายลงมือก่อนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะรีบปล่อยมือเหยื่อ เธอหันไปตวาดใส่นักเรียนปีหนึ่งอีกครั้ง
“ฝากไว้ก่อนเถอะ พวกเธอ” คาดโทษเสร็จทั้งหมดก็รีบวิ่งหนีไปทันที ไม่ทันหันมามองเด็กสาวผมดำที่เอามือกอดอก ตอกกลับน้ำเสียงหงุดหงิด
“ฝากแล้วอย่าลืมมาเอาด้วยล่ะ พร้อมเสมอ!”
ทันทีที่ทั้งสามจากไป โอริฮิเมะก็รีบวิ่งตรงไปช่วยประคองเด็กสาวปีสามที่ถูกรุมขึ้นมาทันทีโดยมีเพื่อนของเธอตรงเข้าช่วยหิ้วปีกอีกข้าง ทั้งสามหันมามองข้าเป็นตาเดียว
“เธอ...อายากะใช่มั้ย? อิโนะอุเอะกับอีกคนช่วยพาเธอมาที่ห้องพยาบาลหน่อย เดี๋ยวครูจะดูแผลให้เอง” ข้าสั่งเสียงเรียบ รอจนทั้งหมดพยักหน้าแล้วจึงเลื่อนหน้าต่างปิดดังเดิม ไม่นานนัก นักเรียนปีหนึ่งทั้งคู่ก็ประคองคนเจ็บมาที่ห้องและพามานั่งที่เก้าอี้อย่างเบามือ
“ขอบใจนะ ตอนนี้พวกเธอก็กลับไปเรียนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือครูจัดการต่อเอง” ข้าหันไปพูดกับทั้งคู่ พวกเธอโค้งหัวเป็นการตอบรับก่อนจะพากันเดินออกไป ไม่วายโอริฮิเมะจะหันกลับมามองรุ่นพี่ของตนแว่บหนึ่งด้วยความกังวลอีกครั้ง ก่อนที่จะเลื่อนบานประตูปิด ข้าละสายตาจากทางเข้ากลับมามองแม่ตัวปัญหาที่ยังคงยิ้มร่า หากแววตาก็ปกปิดความเจ็บปวดไว้ไม่มิด
“โดนทำอะไรไปบ้างเนี่ย ขอครูดูหน่อยสิ” ข้ากล่าวพลางจับไปที่ไหล่ ร่างเล็กนั้นสะดุ้งเฮือก ความผิดปกติของรูปกระดูกทำให้ข้ารู้ว่าไหล่เธอหลุด ข้าออกแรงดึงกลับเข้าที่ทันที เด็กหญิงร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่แล้วก็พยายามเงยหน้าขึ้นมา พลางยิ้มขอบคุณทั้งน้ำตา จากนั้นข้าจึงตรวจดูส่วนอื่น หากเมื่อจับมือเธอเลิกแขนเสื้อขึ้น แว่บหนึ่งที่เห็นรอยช้ำเต็มไปหมด แต่แล้วอีกฝ่ายก็รีบชักมือกลับและดึงแขนเสื้อลงอย่างมีพิรุธ
...รอยช้ำพวกนั้น...ไม่ใช่รอยที่เพิ่งเกิดขึ้น...
“ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกค่ะคุณครู เรื่องพวกนี้หนูเจอจนชินแล้ว” เธอยิ้มให้เมื่อเห็นสายตากังวลของข้า
“ชินงั้นเหรอ? ไม่มีทางหรอก นี่เธอโดนอะไรมาบ้างเนี่ย ใครเป็นคนทำ เล่าให้ครูฟังมาเดี๋ยวนี้!!” ข้าจับมือเธอดึงให้ยื่นออกมา แล้วเลิกแขนเสื้อขึ้นโดยเร็วจากนั้นจึงทำแบบเดียวกันกับแขนอีกข้าง...รอยช้ำเป็นจ้ำเป็นปื้นมากมายเต็มไปหมด มีรอยแผลโดนกัดจนเลือดตกสะเก็ดด้วยซ้ำ ให้เดาว่าทั่วตัวก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ข้าเงยหน้าขึ้นมองเธออีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าเด็กตัวแค่นี้ผ่านเหตุการณ์อะไรมาจึงต้องโดนแบบนี้ อายากะมองหน้าข้า ชั่วขณะหนึ่งที่สายตาเธอบ่งบอกความประหลาดใจ ก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติ ยกมือขึ้นแตะปาก หัวเราะร่า
“ช่างมันเถอะค่ะ อย่ายุ่งกับอายากะดีกว่านะคะครู รู้มั้ยว่าพวกผู้หญิงน่ะ เกลียดอายากะกันทั้งนั้น ถ้าครูมาสนใจหนูมากระวังจะพลอยโดนเกลียดไปด้วยนะคะ”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง! เล่ามาให้ครูฟังเดี๋ยวนี้ว่าแผลนี่โดนอะไรมา” ข้าชี้ไปที่ร่องรอยที่โดนกัดตรงต้นแขนนั้น...เดาจากรูปฟันแล้ว...ต้องเป็นคนแน่นอน แต่เจ้าหล่อนยักไหล่ไม่ใส่ใจ เอ่ยหน้าตาย
“หมากัดค่ะ...ล้อเล่นๆ บอกก็ได้” เจ้าหล่อนรีบแย้งหน้ายิ้มเมื่อเจอสายตาดุวาวของข้า
“อาจารย์เนี่ย ดูจะเป็นกังวลยิ่งกว่าหนูที่เป็นคนโดนอีกนะคะ ประหลาดจัง ฮะๆ” เธอพูดขึ้นมาลอยๆ แล้วจึงใช้มือชี้ไปที่รอยกัดนั้น
“ให้บอกให้หมดใช่มั้ยคะ งั้นอันนี้ฮิโรกิคุงเค้าทำไว้ค่ะ ซาดิสม์เนอะ ยังมีอีกหลายรอยด้วยค่ะ เต็มตัวหนูเลย แต่แผลมันก็ไม่ได้ลึกมากมายหรอก แปบเดียวเดี๋ยวก็หาย ไม่น่าจะเป็นแผลเป็น ส่วนรอยช้ำพวกนี้...” เธอเลื่อนนิ้วไปที่รอยจ้ำสีม่วงสีเขียวประปรายเต็มไปหมด
“ก็จากพวกผู้หญิงเหมือนที่อาจารย์เห็นเมื่อกี้แหละค่ะ แต่อันนี้ได้มาเมื่อสองวันก่อน คนละกลุ่มกัน...พอดีโจทก์หนูมันเยอะ ส่วนรอยแผลขีดเป็นเส้นตรงนิ้วนี่โดนจดหมายอาบมีดโกนเมื่อวานค่ะ ไม่ทันระวังเลยเผลอเปิดแล้วโดนเอา” เธอพูดเนิบๆพลางหงายมือให้ดูนิ้วเรียวสวยที่แปะพลาสเตอร์ไว้ จากนั้นจึงยกเข่าขึ้น เลื่อนสายตาไปจับจ้องที่เข่าซึ่งเต็มไปด้วยผ้าพันแผล
“อันนี้ไม่รู้ใครแอบผลักหนูตกบันได แต่ขาไม่หักล่ะ อายากะดวงดีใช่ม้า ส่วนอันนี้--”
“ครูว่าเธอน่าจะบอกผู้ปกครองให้มาคุยกับทางโรงเรียนนะนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว หรืออย่างน้อยก็น่าจะแจ้งครูคนอื่นหาตัวคนทำผิดก็ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้คนอื่นได้ใจแล้วแกล้งเธอเรื่อยๆแบบนี้” คำแนะนำของข้าทำให้อีกฝ่ายชะงักกึก อายากะหยุดพูด ดวงหน้าที่เงยขึ้นมาปราศจากรอยยิ้มอีกต่อไป เธอจ้องข้า ตอบเสียงเรียบเย็นชา
“พ่อแม่อายากะป่านนี้อยู่ส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้ ไม่เคยสนใจอะไรหนูมากกว่าห่วงงานตัวเองหรอกค่ะ ขนาดโทรศัพท์ยังไม่เคยโทรมาหาเลย โทรไปก็ไม่รับ ส่วนเรื่องเงินยังให้บัตรมารูดเอาตามสะดวกด้วยซ้ำ จะใช้มากแค่ไหนก็ไม่ว่า...จะหวังอะไรกับผู้ปกครองแบบนี้” ถึงจะพูดเสียงรียบ แต่ข้าสังเกตเห็นว่าดวงตาคู่สวยนั้นมีความน้อยเนื้อต่ำใจแฝงอยู่ ข้านิ่งเงียบปล่อยให้เธอพูดต่อ
“ส่วนเรื่องบอกครู...บอกไปก็เท่านั้น ใครมันจะไปเชื่อหนูคะ ในเมื่อคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่มีใครคิดจะช่วยยืนยันให้หนูหรอก แต่จะเป็นสำทับว่าหนูเรียกร้องความสนใจล่ะสิไม่ว่า ก็บอกแล้วว่าหนูน่ะคนเกลียดเยอะ ไม่มีใครอยากช่วยหรอกค่ะ กลัวจะโดนพาลหาเรื่องไปด้วยกันหมด” ข้ามองเด็กสาวคนนั้นอย่างเห็นใจ แต่เท่าที่ฟังจากข่าวลือที่นายท่านได้ยิน...เธอก็ทำตัวเองไม่ใช่เหรอ?
“ครูได้ยินข่าวว่าเธอเปลี่ยนผู้ชายเป็นว่าเล่น บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่พวกผู้หญิงไม่ชอบเธอด้วยก็ได้ เธอรู้ตัวมั้ยว่าที่เธอทำอยู่นี่มันทำให้พวกผู้ชายเองก็จะมองเธอว่าไม่มีค่าเหมือนกันนะ” ข้ารู้ว่าที่พูดมันแรง เพราะทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก แต่สายตาของข้าที่บ่งบอกว่าเป็นห่วงทำให้อีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ พลางยิ้มให้
“ครูเนี่ย...พูดตรงจนหนูเจ็บจี๊ดเลยนะคะ แต่ข่าวที่ครูได้ยินนั่นมันก็ไม่ผิดหรอกค่ะ”
“ครูเป็นห่วงหรอกถึงพูดตรงๆ รู้มั้ยว่าไม่มีใครที่จะถูกคนมากมายพากันรุมเกลียดโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ ถ้าโดนคนเกลียดแค่คนสองคนเนี่ยมันยังเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าโดนเยอะอย่างนี้เนี่ย แปลว่าเธอควรจะพิจารณาตัวเองแล้วว่าการกระทำอะไรของเธอที่มันไม่ถูกต้องกันแน่...ครูรู้ว่าเธอเป็นคนฉลาด เธอดูมันออกใช่ไหมว่าสาเหตุที่เธอโดนมาทั้งหมดเนี่ยมาจากอะไร ครูอยากให้เธอแก้ไขมันก่อนที่ชีวิตเธอทั้งชีวิตจะต้องติดอยู่กับวงจรแบบนี้ตลอดไป” อีกฝ่ายพยักหน้าน้อยๆ แล้วนิ่งเงียบ ข้าลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆเด็กสาว กุมมือเธอไว้เบาๆ อายากะเหม่อมองออกไปที่ประตูห้อง ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นมา
“ครูรู้มั้ย...หนูเริ่มคบผู้ชายครั้งแรกตอนอยู่ปีหนึ่ง ความเหงาทำให้หนูถลำลึกจนยอมมีอะไรกับเขา...แต่หลังจากนั้นข่าวลือเรื่องที่หนูนอนกับเค้าก็แพร่ไปทั่วโรงเรียน ต่อมาหนูถึงรู้ว่าคนที่เอาเรื่องนี้ไปประกาศก็คือผู้ชายคนนั้นเองนั่นแหละ เขาเอาไปพูดโอ้อวดกับคนโน้นคนนี้ว่าภูมิใจที่ได้เด็ดคุณหนูสุดเพอร์เฟคทั้งหน้าตา การเรียน แล้วก็ฐานะมานอนด้วย ตอนนั้นน่ะหนูโกรธมากเลยหนูก็เลยบอกเลิกกับเค้า แต่หลังจากนั้นเค้าก็ปล่อยข่าวว่าหนูเป็นพวกขาดความอบอุ่นยอมนอนกับผู้ชายเป็นว่าเล่น หลังจากนั้นเจ้าสารเลวนั่นก็ย้ายไปเรียนต่างประเทศ แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้หนูคือข่าวลือบ้าๆนี่ที่ทุกคนพร้อมใจกันเชื่อ จากนั้นมาพวกผู้ชายคนอื่นก็พยายามเข้าหาหนูเพราะหวังแต่เรื่องนั้น ส่วนพวกผู้หญิงก็มองว่าหนูหว่านเสน่ห์ให้พวกผู้ชายหลง จนพาลเกลียดหนูไปด้วยกันหมด”
“แล้วเธอไม่แก้ข่าวเลยเหรอ ทำไมถึงปล่อยให้มันบานปลายขนาดนี้ล่ะ”
“ใครว่าหนูไม่แก้ล่ะคะ!? หนูพยายามแล้วต่างหากล่ะ แต่ไม่มีใครยอมเชื่อเลย!” เธอกระแทกเสียงด้วยความโมโห ก่อนจะกดเสียงให้กลับมาเบาลงอีกครั้ง เล่าต่อในขณะที่เริ่มมีน้ำใสๆไหลเอ่อดวงตาคู่สวย
“หลังจากนั้นหนูก็โดนล้อเลียนและแกล้งสารพัดทั้งจากพวกผู้ชายแล้วก็ผู้หญิง หนังสือหนูถูกเอาไปทิ้งขยะ รองเท้าถูกขโมย ถูกขังในห้องน้ำแล้วสาดน้ำใส่จนเปียกไปทั้งตัว และอะไรอีกมากมายที่ไม่เคยคิดว่าจะเจอ หนูเคยเล่าให้คุณครูฟังแล้ว แต่เค้าก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่าเอาเรื่องที่เกิดมาพูดอบรมในห้อง แล้วไม่นานทุกคนก็ลืมมันไป...มีครั้งนึงที่หนูคิดจะฆ่าตัวตายไปให้พ้นๆ แต่ทำแบบนั้นพวกคนที่แกล้งหนูมันก็คงได้แต่หัวเราะด้วยความสะใจ ทำไมหนูต้องโง่จบชีวิตตัวเองเพื่อพวกเค้าด้วยล่ะ ตั้งแต่นั้นมาหนูก็เลยคิดซะว่าพอกันที ถ้าอยากให้หนูเป็นอย่างที่ลือกันมาก หนูก็จะเป็นให้...หนูเลิกร้องไห้โทษโชคชะตาว่าทำไมถึงต้องเจออะไรแบบนี้ หนูเลิกเข้าเรียน เพราะเข้าไปก็เจอแต่สายตาดูถูกของคนอื่น ส่วนเรื่องแกล้ง อยากแกล้งก็แกล้งไป ถ้าเอาของๆหนูไปทิ้ง หนูก็คบผู้ชายซักคนแล้วก็บอกให้เค้าซื้อของให้ใหม่ หรือลอกงานให้ก็ได้ จะไปยากอะไร พวกผู้หญิงที่แกล้งหนูพอเห็นว่าผลมันลงเอยแบบนี้ก็ได้แต่กัดฟันร้องกรี๊ดด้วยความแค้นเท่านั้นล่ะค่ะ สะใจหนูดี
ส่วนเรื่องตอบแทนพวกผู้ชายพวกนั้น...ในหัวก็มีอยู่อย่างเดียว พวกเขาอยากได้อะไรหนูก็สนองให้ไงคะ ก็ถือว่ายุติธรรมดีออก เสร็จแล้วก็จบๆกันไปไม่มีอะไรค้างคา” เธอเล่าทุกอย่างออกมาเรื่อยๆไม่มีหยุดราวกับสายน้ำ เหมือนกับอัดอั้นมานานกว่าที่จะได้ระบายให้ใครสักคนได้ฟัง เมื่อเล่าจนจบน้ำตาใสๆก็ไหลลงอาบแก้ม ยิ้มหยั่นราวกับประชดชีวิตของตนเอง
...สิ่งที่เด็กคนนี้เจอมันรุนแรงมากนัก ถึงจะเลือกแก้ปัญหาในทางที่ผิด...แต่เธอก็เข้มแข็งมาก...อย่างน้อยเธอเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมันแทนที่จะจบชีวิตตัวเอง...
ข้าดึงร่างเล็กนั้นเข้ามากอดปลอบประโลม ลูบหัวเธอเบาๆ ร่างนั้นสั่นน้อยๆก่อนจะกอดข้ากลับแน่น ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร
“เธอเก่งมากที่พยายามต่อสู้ทุกอย่างมาด้วยตัวคนเดียว...แต่เชื่อครู เลิกการกระทำพวกนี้เถอะ อะไรที่ผิดพลาดไปแล้วก็ปล่อยมันไป แต่อย่าให้อดีตมันคอยย้ำให้เธอทำลายอนาคตข้างหน้า ข่าวลือพวกนั้นมันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตราบใดที่เธอยังไม่เลิกพฤติกรรมแบบนี้ ชีวิตม.ปลายของเธออีกไม่นานก็จบและมันคงยากที่จะแก้ภาพพจน์ของเธอในสายตาพวกเขาเพราะมันฝังลึกไปแล้ว แต่หลังจากนั้นครูเชื่อว่าถ้าเธอปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเธอล่ะก็ สักวันเธอจะต้องเจอคนดีๆอีกมากที่เค้ายอมรับและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนโดยไม่สนใจอดีตของเธอแน่นอน”
“เมืองเล็กๆแบบนี้ เดี๋ยวข่าวลือก็แพร่ทั่วแล้วล่ะค่ะ จะไปอยู่ไหนเดี๋ยวเค้าก็ต้องรู้เรื่องหนูอยู่ดี” เจ้าหล่อนแย้งสลับเสียงสะอื้น
“งั้นก็ย้ายเขตไปเลยสิ ได้ข่าวว่าทางเหนือของญี่ปุ่นบรรยากาศดีออกนะ”
“อินเตอร์เนตกับโทรศัพท์...เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนก็สื่อถึงกันได้นะคะ”
“งั้นย้ายประเทศเลย ใครจะรู้ว่าเธอย้ายไปไหน แล้วให้มันรู้ไปว่าจะมีใครอุตส่าห์เปลี่ยนภาษาปล่อยข่าวเธอข้ามประเทศด้วย” ข้าเองก็เถียงกลับแบบไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ครูเนี่ย...พูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายเลย” เด็กน้อยหัวเราะออกมาเบาๆ ยกมือปาดน้ำตา ดึงตัวขึ้นมาจ้องหน้าข้าพลางยิ้มให้
“แต่ก็ฟังดูเข้าท่าดี...ดูเป็นทางแก้ที่ไม่เพ้อฝัน เป็นไปได้...ไว้หนูจะลองเอาไปพิจารณาละกัน ขอบคุณนะคะ” ว่าแล้วเธอก็โผมากอดข้าแน่นอีกรอบ
“ขออยู่แบบนี้อีกพักนะคะ กอดครูแล้วอายากะรู้สึกดีจัง”
ใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าที่เด็กสาวผมทองคนนี้จะสามารถหยุดน้ำตาได้สนิท เธอลุกขึ้นพลางขออนุญาตเดินไปล้างหน้าที่อ่างใกล้ๆ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิมด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทางร่าเริงดังเดิม
“เมคอัพหายเกลี้ยงเลยค่ะ” เธอบ่นพลางนิ่วหน้าเล็กน้อยใส่ข้า
“แต่ช่างเถอะ...หนูว่าจะเลิกแต่งหน้าซักพัก แต่งหน้ามากๆผิวไม่ได้หายใจเดี๋ยวรอยย่นจะมาเร็ว อายากะว่าจะลองกลับมาทำตัวเป็นเด็กนักเรียนดีเด่นสุดเพอร์เฟคอีกครั้งให้ทุกคนตะลึงเล่นก่อนจบดีกว่า ฮ่าๆ” ข้าเห็นทีท่าของคนตรงหน้าแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา เด็กคนนี้เปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วจริงๆ แต่มีแนวโน้มว่าจะเป็นไปในทางที่ดีข้าก็สบายใจแล้ว
“ถ้ามีเรื่องอะไรกังวล จะมาปรึกษาครูก็ได้นะ”
“งั้น...หนูขอเบอร์โทรครูไว้ได้มั้ยคะ” เธอพูดน้ำเสียงตื่นเต้น แล้วรีบหยิบโทรศัพท์ตนเองขึ้นมา แลกเบอร์ของข้ากับเธอไว้
“ครูเนี่ย...แจกเบอร์ให้นักเรียนบ่อยรึเปล่าคะเนี่ย”
“ไม่หรอก...นอกจากพวกอาจารย์(กับภารโรงอารันคาร์)ด้วยกันแล้ว ครูให้เบอร์เธอเป็นนักเรียนคนที่สองนะ” คนแรกก็โอริฮิเมะจังนั่นแหละ...จะว่าไปทำไมเหมือนข้ารู้จักคนน้อยจังแฮะ
“ขอดูโทรศัพท์ครูหน่อยได้มั้ยคะ ซื้อที่ไหนเนี่ย ดีไซน์สวยจัง ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” อายากะขออนุญาต แล้วหยิบไปดูด้วยความตื่นใจ เธอกดปุ่มนั้นปุ่มนี้อย่างรวดเร็ว
“เอ่อ...ไม่รู้สิ มีคนให้มาน่ะจ้ะ” ...ที่จริงคือโทรศัพท์พวกนี้คุณอุราฮาร่าเค้าสร้างขึ้นมาเองหรอก...
“อ๊ะ! เบอร์ที่โทรออกล่าสุดคือ ของคุณครูชิฟเฟอร์ ต่อมาก็ครูชิฟเฟอร์ อันล่างๆก็ด้วย ถึงจะมีเบอร์คนอื่นคั่นมาบ้างก็เถอะ แต่ส่วนใหญ่ก็คุณครูชิฟเฟอร์ทั้งนั้นเลย” อายากะเอ่ยเสียงระรื่น พลางหันมามองหน้าข้า ทำตาวิบวับ
“แล้ว...คบกันมานานแค่ไหนแล้วคะ” พอเจอแววตาคาดคั้นของเธอ ข้าก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตอบเสียงเบา
“คือที่จริงพวกครูยังไม่ได้คบกันหรอก”
“เอ๋!? โกหกน่า!!!” เสียงใสอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหู อายากะทิ้งตัวลงกับพนักเก้าอี้ ทำท่าเหมือนกำลังใช้ความคิด
“หนูคิดว่าพวกคุณเป็นแฟนกันซะอีก ดูการแสดงออกวันนั้นท่าทางคุณครูชิฟเฟอร์ก็ชอบคุณครูไม่น้อยเลยนี่คะ มีจับมือแถมซื้อสร้อยให้ด้วยแบบเนี้ย” แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมองข้า พูดเสียงจริงจัง
“โอกาสมาถ้าไม่รีบคว้าไว้ชวดไปจะเสียดายนะคะ ผู้ชายอย่างคุณครูชิฟเฟอร์น่ะ หล่อก็หล่อ หุ่นก็ดี นิสัยเย็นชาตรงสเปคสาวๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้าน่าหม่ำจะตาย พวกผู้หญิงน่ะหวังจะงาบกันทั้งนั้นล่ะค่ะ”
“อายากะ!” ข้าขึ้นเสียงปราม...ก็ดูคุณเธอพูดเข้าสิ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะคิก กระเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ พลางวิ่งไปที่ประตูห้อง แล้วหันกลับมาพูดทิ้งท้าย
“โรงเรียนเรามีความเชื่อที่ว่า ถ้าได้สารภาพรักก่อนเวลานาฬิกาตีบอกเที่ยงตรงครบสิบสองครั้งของวันคริสต์มาส หากสองฝ่ายใจตรงกัน พวกเค้าจะครองรักกันชั่วชีวิตนะคะ...อาจจะฟังดูเลื่อนลอยไปหน่อย แต่ก็น่าลองนะคะคุณครูอาราวเน่”
พูดจบเธอก็กระพริบตาให้ทีหนึ่งแล้วก็วิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งข้าให้นิ่งกระพริบตาปริบๆตั้งสติไม่ถูกอยู่ในห้อง
...สารภาพรักเวลาเที่ยงตรงของวันนี้งั้นเหรอ...ของแบบนี้จะไปเชื่ออะไรได้กันนะ...
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“นี่ครับแฟ้มประวัติของ ชิมาบาระ อายากะ”
“ขอบคุณค่ะ” ข้ารับแฟ้มเล่มหนามาจากมือของอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอพลางเอ่ยขอบคุณ
“ว่าแต่...ทำไมจู่ๆถึงสนใจเธอขึ้นมาล่ะครับ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ...ก็แค่อยากดูการผลเรียนของเธอนิดหน่อย” ข้าพูดขณะที่มือยังคงพลิกเปิดแฟ้มไปพลางๆ
“ผลการเรียนเหรอ...อืม ที่จริงเด็กคนนี้ตอนสอบเข้าก็ได้คะแนนเป็นอันดับที่สองของชั้น แถมตอนปีหนึ่งผลการเรียนก็เรียกว่าดีมากทุกวิชานะ น่าเสียดายมากที่มาพังเอาตั้งแต่ปีสองพร้อมทั้งข่าวลือนั่น...น่าเสียดายจริงๆ” ชายสูงวัยคนนั้นนั่งกอดอกบ่นกับตัวเอง
“ขอยืมไว้สักพักแล้วจะเอามาคืนให้นะคะ” ข้าไม่สนใจสิ่งที่เขาพึมพำ เอ่ยปากขอยืมแฟ้ม และเมื่ออีกฝ่ายอนุญาตข้าจึงโค้งหัวให้ทีหนึ่งแล้วจึงเดินจากมา
ข้าเดินเปิดดูเอกสารนั้นไปตลอดทาง พบว่าเหมือนที่คุณครูที่ปรึกษาของเธอพูดจริงๆนั่นแหละ ผลการเรียนที่ผ่านมารวมถึงความประพฤติจัดได้ว่าเป็นนักเรียนดีเด่นได้เลย แถมเคยเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันด้านวิชาการระดับประเทศมาแล้วด้วย หากเมื่อขึ้นปีสองเกรดของเธอก็กลับดิ่งเหวชนิดไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นนักเรียนคนเดียวกัน ข้าเดินพลิกเอกสารดูไปเรื่อยๆพลางเดินลงบันไดมา สายลมแรงพัดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดไว้พัดใบกระดาษในแฟ้มเธอให้ปลิวหลุดออกไปโดยที่ข้าคว้าไว้ไม่ทัน
“อ๊ะ” ข้าอุทานพลางหันขวับ เอื้อมมือไปยังทิศทางที่แผ่นเอกสารนั้นปลิวไป ข้าจับได้แต่ลม...ส่วนเอกสารนั้น ปลิวไปหยุดอยู่ในมือของร่างโปร่งที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี เขายกมือขึ้นหนีบมันไว้ แล้วจึงหยิบมาอ่าน
“ชิมาบาระ อายากะ...” แล้วกระดาษนั้นก็ถูกเลื่อนลง เผยให้เห็นคิ้วของเขาที่ขมวดน้อยๆ และดวงตาสีเขียวที่จ้องเขม็งมาทางข้า
“ข้าว่าข้าเคยบอกเจ้าว่าให้อยู่ห่างๆเด็กคนนี้เอาไว้นะ อาราวเน่” เขาตำหนิทันทีพลางยื่นกระดาษให้ข้าที่วิ่งมารับมันไป ข้าก้มหัวให้เขาเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ...และขอโทษไปในตัว
“พอดีว่าข้าอยากตรวจสอบอะไรนิดหน่อยน่ะค่ะท่านอุลคิโอร่า แต่ข้ากำลังจะนำมันไปคืนแล้วล่ะ” ข้าสอดเอกสารแผ่นนั้นกลับเข้าไปในแฟ้ม จากนั้นจึงปิดมันเข้าหากัน โค้งหัวให้ทีหนึ่งพลางวิ่งจะกลับขึ้นไปที่บันได หากเมื่อก้าวเท้าขึ้นไปได้เพียงก้าวเดียว
ติ๊ง
เสียงนาฬิกาตัวใหญ่ประจำโรงเรียนดังก้องขึ้นมา ข้าเหลือบไปมองนาฬิกาเรือนโตที่กำแพง
ติ๊ง
...เที่ยงตรง...
ติ๊ง
‘โรงเรียนเรามีความเชื่อที่ว่า ถ้าได้สารภาพรักก่อนเวลานาฬิกาตีบอกเที่ยงตรงครบสิบสองครั้งของวันคริสต์มาส หากสองฝ่ายใจตรงกัน พวกเค้าจะครองรักกันชั่วชีวิตนะคะ’
ติ๊ง
...บ้าเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก...จะเชื่อได้ยังไงกัน...ข้าคิดพลางวิ่งขึ้นบันได
ติ๊ง
...แต่ว่า...ถ้ามันเป็นได้จริงๆล่ะ ลองกล้าเสี่ยงกับมันดูหน่อยมั้ยอาราวเน่
ติ๊ง
บางที...ตำนานที่เล่าต่อกันมาอาจจะมีเค้าความจริงบ้างก็ได้
ติ๊ง
เป็นไงเป็นกันล่ะ!
ติ๊ง
ข้าหยุดเท้าที่กำลังเดินก้าวขึ้นบันได สะบัดตัวหันหลังกลับมองไปด้านล่าง ที่นั่นเขาคนนั้นยังคงยืนอยู่ ข้าตะโกนสุดเสียง
“ท่านอุลคิโอร่าคะ!”
ร่างนั้นหันมามองข้าทันที พร้อมๆกับนักเรียนบริเวณนั้นทุกคนที่หันมามองข้าเป็นตาเดียว ข้าสูดหายใจลึก หลับตากลั้นใจพูดออกไป
“รักมากนะคะ...รักที่สุดเลยค่ะ”
ติ๊ง
ข้าหรี่ตาขึ้นนิดหน่อย ทันเห็นหน้าอีกฝ่ายที่ยืนแข็งเป็นหิน พร้อมๆกับนักเรียนบริเวณนั้นที่พร้อมใจกันอ้าปากค้างโดยถ้วนหน้า แล้วจึงรีบหมุนตัวก้าวขึ้นบันไดต่อโดยไม่หันกลับมามอง วิ่งพลางก้มหน้างุดซ่อนสีแดงแปร๊ดที่ฉาบขึ้นทั่วหน้าไปตลอดทางไปห้องพักครูนั้น หัวใจข้าเต้นตึกตักเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทำไป
...เสียงนาฬิกา ยังคงดังอีกสามทีจนครบสิบสองครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสนิทลง...พร้อมกับเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของนักเรียนที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว...
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“ไง! ได้ข่าวว่าตะโกนบอกรักเจ้าอุลคิโอร่ากลางโรงเรียน...กล้าไม่เบาเลยนี่”
“ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นได้มั้ย ข้าอายจะแย่อยู่แล้ว” ข้าก้มหน้าลงเอาหัวโขกโต๊ะโป๊กๆ นึกเหตุการณ์บ้าระห่ำที่สุดในชีวิตของตัวเองที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเที่ยงที่ผ่านมา...สารภาพรัก ต่อหน้านักเรียนเป็นสิบ! ทำเข้าไปได้ยังไงนะตัวข้า!
...เรื่องนี้กลายเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ สคูล ไปอย่างรวดเร็ว แค่ตกบ่ายก็ไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้เรื่องนี้ เสียงโจษจันดังสนั่นชนิดทีว่าใครเจอหน้ากันเป็นต้องคุยเรื่องนี้กันสนุกปาก...และนั่น เป็นสาเหตุที่ข้ารีบเอาป้ายแปะหน้าห้องว่างดให้บริการและขังตัวเองอยู่ในห้องนี้ทันทีที่เสียงกริ่งดังบอกจบการเรียนคาบสุดท้ายไงล่ะ...จะว่าไป ทั้งวันข้ายังปักหลักอยู่ในห้องนี้ไม่ออกไปไหน แค่ทนๆสายตาเด็กนักเรียนที่มาใช้บริการไม่กี่คนก็เท่านั้น แต่ท่านอุลคิโอร่าจะเป็นยังไงบ้างนะ ข้าล่ะไม่อยากจะนึกเลยจริงๆ...ภาวนาว่าจะไม่เจอหน้านายท่านจนกว่าจะถึงบ้านดีกว่า ถึงจะลุ้นคำตอบอยู่ก็เถอะ แต่ถ้าเจอกันในโรงเรียนตอนนี้ข้าไม่รู้จะทำหน้ายังไง...
“นี่เจ้าฟังข้าพูดบ้างรึเปล่าเนี่ย!” เสียงตวาดที่ดังขึ้นข้างหูทำเอาข้าสะดุ้งสุดตัว เงยหัวกระแทกคางอีกฝ่ายดังโป๊ก...เจ็บกันถ้วนหน้า...
“โอ๊ย...เจ้าพูดอะไรนะ กริมจอว์” ข้าเอามือกุมหัว หันกลับไปถามซ้ำ เพราะมัวแต่นั่งคิดเตลิดใจลอยจนไมทันรู้ว่าอีกฝ่ายคุยอะไรมา
“ยัยบ้า! ข้าบอกว่าอย่าเพิ่งกลับบ้าน เกิดอุบัติเหตุระหว่างข้าสอน เด็กสองคนมันเจ็บ ข้าเลยว่าจะให้เจ้าอยู่ดูพวกมันให้หน่อย” กริมจอว์พูดอย่างหัวเสีย เอามือลูบคางตัวเองป้อยๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง สั่งให้เพื่อนนักเรียนช่วยพยุงเด็กชายสองคนเข้ามา
“รักษาพวกมันให้เสร็จก่อน แล้วค่อยกลับพร้อมข้าแล้วกัน”
“เยี่ยมมากกริมจอว์เป็นความคิดที่ดี” ข้าโพล่งขึ้นมาทันทีพลางยกนิ้วโป้งชูให้กริมจอว์ ทำเอาอีกฝ่ายงงตั้งรับไม่ถูกเลยทีเดียวว่าข้าจะมาไม้ไหน...ชี้ทางสว่างให้ข้าได้ถูกจังหวะมาก กำลังกังวลอยู่เชียวว่าจะหาวิธีหนีไม่กลับบ้านพร้อมนายท่านยังไงดี เพราะไม่งั้นคงโดนนักเรียนมองไปตลอดทางแน่ๆ ติดรถกลับพร้อมกริมจอว์ก็ไม่เลว...คิดได้อย่างนั้นข้าก็รีบยกมือถือกดส่งข้อความไปบอกนายท่านทันที เสร็จแล้วจึงตรงดิ่งไปดูแลนักเรียนที่บาดเจ็บต่อ
...โอเค...เลื่อนเวลาระทึกไปได้นานอีกหน่อย...ขอข้าทำใจอีกพักก่อนเผชิญหน้ากับท่านอีกครั้งนะคะ นายท่าน...
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“นี่...เจ้าเลิกจิกเล็บลงบนบ่าข้า แล้วนั่งนิ่งๆสักทีจะได้มั้ย!!” กริมจอว์ตวาดขึ้นมาอย่างเหลืออดในระหว่างที่กำลังขับรถกลับบ้านโดยมีข้าซ้อนท้ายอยู่ คราวนี้ข้าสั่งเขาเลยว่าห้ามขับเร็วเกินพิกัดโดยเด็ดขาดไม่อย่างนั้นข้าจะงดอาหารเมนูกุ้งไป 2 อาทิตย์ เจ้านั่นถึงจะหงุดหงิดแต่ก็ยอมขับช้าลงแต่โดยดี...ถึงแบบนั้น...ยิ่งระยะทางใกล้ถึงบ้านมากขึ้นเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นเท่านั้น จนเผลอตัวออกแรงจิกเล็บลงไปที่บ่าแกร่งของคนตัวโตกว่าข้างหน้าที่ข้าเกาะอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจซะหลายที
“ขะ...ขอโทษที ข้าตื่นเต้นไปหน่อย” ข้าเอ่ยเสียงดังพอให้เขาได้ยิน แล้วผ่อนแรงที่มือลง ก่อนจะเปลี่ยนไปขยุ้มเสื้อที่หลังของเขาไว้แทน
“ก็แค่เจอหน้ามันหลังสารภาพรัก จะอะไรนักหนา”
“เจ้าไม่ได้เป็นคนสารภาพรัก เจ้าไม่มีวันรู้หรอกว่าคนสารภาพจะรู้สึกยังไง” ข้าบ่นอุบใส่เขา อีกฝ่ายเพียงแค่ยักไหล่ไม่ใส่ใจนัก พอเห็นอาการคนตรงหน้าข้าเลยเอ่ยประชด
“เมื่อไหร่ที่เจ้ารักใครซักคน ข้าจะรอดูว่าพอถึงวันนั้นที่เจ้าสารภาพออกไป เจ้าจะมีอาการยังไงบ้างแล้วกัน” แต่แล้วแทนที่อีกฝ่ายจะโต้อะไรกลับมา เขากลับนิ่งเงียบไป จนข้ารู้สึกผิด...หรือจะพูดแรงไป ก็ไม่นี่นา...
“เอ่อ...กริมจอว์” ข้าเอ่ยเสียงเบา ดึงเสื้อเขาแน่นขึ้นเพื่อเรียกความสนใจ แอบรู้สึกผิดนิดหน่อย...ข้าขอโทษก็ได้
“...เรื่องนั้น บางทีเจ้าคงจะไม่มีวันได้เห็นก็ได้ เพราะข้าคงไม่มีโอกาสได้พูดมันออกไปแล้วล่ะ” จู่ๆเขาก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบผิดวิสัยของตนเอง
“หมายความว่ายังไง” ข้าหรี่ตามองคนตรงหน้า ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดออกมาเท่าไหร่นัก...ไม่มีโอกาส...หรือว่าคนที่เขาชอบจะเป็นอารันคาร์สาวซักคนที่ตายไปแล้วกัน?
“ช่างเถอะ อย่าใส่ใจมันเลย” เขาเอ่ยตัดบทแค่นั้น ไม่ขยายความอะไรต่ออีกไปตลอดทาง ผ่านไปสักพักใหญ่พวกเราก็มาถึงที่บ้าน กริมจอว์ดับเครื่องปล่อยให้ข้าลงมาจากรถก่อน จากนั้นจึงถอดหมวกกันน๊อกออกแล้วหันมาพูดกับข้า
“เจ้าเข้าบ้านไปก่อนแล้วกัน ข้าจะเข็นรถไปเก็บ” พูดเสร็จเขาก็ลงมาจากรถ ก่อนจะเข็นรถตรงไปยัง โรงรถด้านข้างของบ้าน...เพราะช่วงนี้หิมะเริ่มตก ถ้าไม่เก็บเข้าโรงรถล่ะก็ เครื่องยนต์อาจจะมีปัญหาและเย็นเกินไปก็ได้
ข้าละสายตาจากกริมจอว์เดินตรงไปที่ประตูบ้าน เปิดมันออกโดยให้เกิดเสียงน้อยที่สุด จากนั้นจึงถอดรองเท้า...สังเกตว่ามีรองเท้าแค่สามคู่...ดูเหมือนท่านฮาริเบลจะไปแวะที่ไหนสักที่เลยยังไม่กลับมา ข้าพยายามย่องให้เบาที่สุด ในขณะที่หัวใจเริ่มเต้นระรัว พยายามคิดว่านายท่านจะอยู่ที่ไหนตอนนี้ เดินมาได้สักพัก ข้าก็ได้ยินเสียงแว่วเหมือนคนคุยกันดังมาจากห้องครัว เสียงเบาจนข้าไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน แต่ฟังจากน้ำเสียงน่าจะเป็นท่านสตาร์คกับท่านอุลคิโอร่าแน่ๆ ข้าค่อยๆสูดหายใจลึกๆขณะเดินไปยังประตูไม้หน้าห้องที่ยังคงปิดสนิทอยู่ แต่เมื่อเข้าใกล้บานประตูนั้นและเอื้อมมือกำลังจะเปิดมันนั่นเอง
“เอาล่ะ...หลังจากที่ข้าเสียเวลาพล่ามมาตั้งนาน ขอถามอีกครั้งเถอะ...เอาเป็นว่า...เจ้าคิดยังไงกับอิโนะอุเอะ โอริฮิเมะ”
คำถามนั้นของท่านพรีเมร่าเอสปาด้า ทำให้มือของข้าที่แตะบานไม้อยู่ชะงักค้าง ข้ากลั้นหายใจฟังคำตอบนั้น...ขอร้องล่ะ...ขอให้มันไม่ใช่อย่าที่ข้ากลัวทีเถอะ
“...ข้าคิดว่าข้าคงชอบแม่หญิงจริงๆนั่นล่ะ”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยนั้นตอบความในใจออกมา ข้าลืมตาโพลง รู้สึกเหมือนถูกฟ้าฟาดลงกลางใจ ทำอะไรไม่ถูก
...ไม่จริง...
“งั้นเหรอ...แล้วเจ้าคิดว่าเพราะอะไรล่ะ” อีกฝ่ายยังคงถามต่อไปด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า หากแต่ว่าข้าทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป
พอที! ข้าไม่อยากรับรู้เหตุผลต่อจากนี้อีกแล้ว!!
ข้ายกมือขึ้นปิดหู สมองไม่รับฟังสิ่งใดอีก หากแต่ก้าวถอยหลังออกมาจากบานประตูช้าๆ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไปที่ประตูบ้านทันที ไม่สนใจว่าจะวิ่งชนกริมจอว์ที่เปิดประตูเข้ามาพอดีหรือไม่
“เฮ้! จะไปไหนของเจ้าน่ะ” คนถูกชนถามอย่างสงสัย พลางดึงข้อมือข้าไว้
“อย่ามายุ่งกับข้า” ข้าสะบัดแขนพลางตวาดใส่อีกฝ่ายอย่างลืมตัว ข้ารีบใส่รองเท้าแล้ววิ่งออกมาจากบ้านทันที! วิ่งไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปยังที่ใด
ทั้งๆที่อุตส่าห์รวบรวมความกล้าสารภาพรักออกไป ทั้งๆที่สิ่งต่างๆที่เกิดตลอดเวลาบนโลกมนุษย์นี้จะทำให้ข้าเชื่อว่าพอมีหวังที่ในใจเขาจะมีข้าแทนที่โอริฮิเมะแล้วแท้ๆ...
...แต่สุดท้ายแล้ววันที่ข้าสารภาพรัก ก็กลายเป็นวันที่ข้าได้ยินคำว่าชอบออกจากปากเขาเช่นกัน...
...และคำว่าชอบคำนั้น ไม่ได้เอ่ยออกมาเพื่อข้า...
...คริสต์มาส งานเทศกาลแห่งความสุขบ้าอะไรกัน!
หัวใจข้า มันพังทลายไปหมด ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
อารี่หนีไปแล้ว เพราะดาบอุลคนเดียว...งานนี้คุณเธอคงช๊อคหนักล่ะค่ะ ก็เล่นหวังเอาไว้เยอะนี่นะ แล้วคราวนี้จะเป็นยังไงต่อไปล่ะเนี่ย จะเคลียร์กันรอดมั้ยคู่เนี้ย = =”
ว่าแต่...ออกแนวหนังไทยเนอะ นางเอกต้องโผล่มาได้ยินในจังหวะเหมาะๆพอดี...แถมส่วนใหญ่จะออกแนวฟังไม่ครบแต่เอาไปคิดมากซะเองด้วยสิ เอ...เอาไงดีน๊า...แล้วสรุปว่าท่านเอสปาด้าสองคนพูดอะไรกันเนี่ย มันถึงมาลงเอยที่ดาบอุลบอกว่าชอบโอริฮิเมะจังแบบนี้ล่ะ
...อ่า รู้นะว่าอารมณ์ค้าง อยากรู้บทสนทนาเต็มๆล่ะสิ งั้นกดไปตอนต่อไปเลย ซีเตรียมไว้ให้ *ฮา* แบบว่า...กลัวทุกคนจะมองดาบอุลในแง่ร้ายกันเกินไปหน่อย ซีเลยจัดให้ค่ะ เป็นตอนพิเศษคั่นก่อนไปตอนที่26 ในเมื่ออยู่ตรงกลางก็เอาเป็นตอนที่ 25.5 ละกัน! ชื่อตอนว่า the word she couldn’t catch
ถ้อยคำที่เธอไม่ได้รับฟัง ค่ะ
...เอ้า อ่านกันต่อ...
ความคิดเห็น