ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Bleach: Ulquiorra x Original] The Lullaby for my dream

    ลำดับตอนที่ #24 : Chapter23 เปิดใจ II (The dream we were in)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.05K
      33
      18 พ.ย. 58

     

     

     

    ที่นี่ที่ไหน?

     

    บริเวณรอบๆตัวเขาตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงดังโหวกเหวกของผู้คนที่ต่างก็เฮโลพากันวิ่งตรงไปยังลานกลางเมือง  บางคนที่รีบเร่งหน่อยก็ถึงกับวิ่งชนไหล่เขา แต่ก็ไม่มีใครหันมาขอโทษ  และคนโดนชนเองก็ดูเหมือนไม่ใส่ใจหากแต่ก็รีบเร่งสาวเท้าตรงไปยังทิศทางเดียวกัน  ไม่นานเท้าทั้งสองก็พาเขามาถึงลานกว้างที่เต็มไปด้วยฝูงชน ตรงกลางลานกว้างนั้นถูกสร้างเป็นฐานไม้ที่มีบันไดแคบๆเป็นทางขึ้นไป  ตรงปลายของฐานนั้นมีกองไม้สุมอยู่เป็นกองสูง กองกิ่งไม้ถูกจัดล้อมรอบเสาไม้ต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง  ใกล้ๆเสานั้น  มีนายทหารสองคนในชุดเกราะติดอาวุธ มือด้านหนึ่งถือหอกยาวคมกริบ  ส่วนอีกมือหนึ่งถือคบเพลิงที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วง

     

    ...ลานประหาร...

     

    อุลคิโอร่าคิดในใจ พลางกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อมองหาร่างของเหยื่อที่จะต้องสิ้นชีวิตวันนี้  ไม่นานนัก  เขาก็ได้ยินเสียงโห่ร้องของฝูงชนโดยรอบ ชายหนุ่มรีบหันไปตามเสียงนั้นทันที  ไกลออกไป ประตูไม้แน่นหนาที่ด้านล่างของกำแพงหินสกปรกก็เปิดออก  กลุ่มทหารเดินนำออกมาพร้อมกับดึงโซ่ถูลู่ถูกังลากนักโทษให้ตามมา  เพียงแค่ทหารคนหน้าหลบตัวให้เขาได้เห็นสีหน้านักโทษประหารชัดเจนเท่านั้น  เขาก็ต้องตกตะลึง

     

    อาราวเน่!?

     

    อุลคิโอร่าแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้ที่ต้องสิ้นชีพวันนี้อย่างชัดแจ้ง  ดวงหน้ารูปไข่ที่ดูอ่อนโยนคุ้นตา  นัยน์ตาสีฟ้าใสเป็นประกายที่แม้จะดูอิดโรยหากก็สงบนิ่งไร้ความหวั่นกลัวใดๆ  ริมฝีปากบางสีชมพูเจือสีแดงระเรื่อนั้นเม้นเป็นเส้นตรง  สตรีนางนั้นเชิดหน้าอย่างสง่างาม  เส้นผมสียาวสลวยสีแดงนั้นแลดูยุ่งเหยิงไปบ้างแต่ก็ปลิวสยายล้อสายลมราวกับเส้นไหมที่แสนงดงาม  หากเธอคนนั้นไม่ได้อยู่ในชุดนักโทษมอซอ ที่ข้อมือบางถูกรัดด้วยโซ่ตรวนเหล็กอันแน่นหนาแล้วล่ะก็  คนจะมีคนเข้าใจผิดว่านางเป็นสตรีสูงศักดิ์ได้โดยง่าย  หากเมื่อสังเกตดีๆ เขาก็เห็นว่าบนตัวนางมีบาดแผลมากมายที่โผล่อาภรณ์ออกมา  บนเสื้อผ้าบางจุดยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาไม่มีหยุด  สภาพแบบนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงผ่านการทรมานมาอย่างแสนสาหัส!  ทุกย่างก้าวที่เดิน  ร่างบางมีอาการซวนเซเล็กน้อย  ดวงตาฉายแววเจ็บปวด  หากก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่ครั้งเดียว!

     

    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ อาราวเน่!

     

    อุลคิโอร่าครุ่นคิด ไม่เข้าใจสถาการณ์ที่เกิดขึ้น  เขาจำได้ว่าเขาไม่สบาย แม่ฟรานเชี่ยนตัวดีของเขาก็เลยบังคับให้เขาลาหยุดนอนพักอยู่บ้าน  และสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้ก็คือเขากำลังนอนเบื่ออยู่บนเตียง...แล้วจู่ๆทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ในสถานที่ประหลาดอย่างนี้ได้กันล่ะ

     

    เสียงผู้คนโดยรอบที่ตะโกนสาปแช่งด้วยความโกรธแค้นรอบตัวเขาดึงสติให้กลับมา  ตอนนี้ผู้คุมนักโทษได้พานักโทษไปยังกลางลานกว้าง  นำเธอขึ้นบันไดไป  และ...พันธนาการเธอไว้อย่างแน่นหนากับเสาไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกองไม้แห้ง  หญิงสาวผู้เป็นนักโทษนั้นยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง  ไม่มีการขัดขืนหรือกรีดร้องตื่นตระหนกใดๆ  หากสายตาเจ้าหล่อนกลับสอดส่ายไปในหมู่ผุ้คนเบื้องล่าง ราวกับมองหาบางสิ่งบางอย่าง

     

    เจ้ากำลังมองหาอะไร...หรือว่าจะมีคนแฝงตัวมาช่วย

     

    อุลคิโอร่ามุ่นคิ้วใช้ความคิด  แต่แล้วเขาก็ต้องละสายตาจากนักโทษ  หันไปมองบริเวณด้านบนของกำแพง...ที่นั่น  ชายชราที่แต่งการในชุดนักบวชผ้าเนื้อดีสีขาวปักลายสีทองเลื่อม แลดูภูมิฐานกำลังคลี่ม้วนกระดาษออกแล้วอ่านออกมาด้วยเสียงดังกังวาน

     

    มาเซอร์เฟลิโอน่า  ออทัมนาลิส  ท่านให้ที่พัก และให้ความช่วยเหลือทหารสเปนในการหลบหนีทางการ ขัดขวางการทำงานของเจ้าพนักงาน  การกระทำของท่านเป็นภัยต่อความสงบสุขของบ้านเมืองและเป็นภัยต่อประชาชนชาวฝรั่งเศสทุกคน  ความผิดของท่านร้ายแรงยิ่งนัก  โทษของท่านคือการเผาทั้งเป็น

     

    เผาทั้งเป็น!?

     

    อุลคิโอร่าเบิกตาโพลงแทบไม่เชื่อหู  เขาหันหน้าไปมองผู้ถูกกล่าวโทษที่ยังคงสงบนิ่ง  หญิงสาวเงยหน้ามองชายชราที่ประกาศโทษของเธออย่างไม่หวั่นเกรง  ชายคนนั้นเมื่ออ่านประกาศจบ เขาก็ถอนหายใจ  ส่งสายตาวิงวอนมายังเธอ  เอ่ยเสียงอ่อน

    นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของท่านแล้ว ขอร้องล่ะ สารภาพมาเถอะว่าพวกสเปนมันตั้งกองทัพอยู่ที่ไหน แล้วท่านจะได้เว้นโทษตายหากหญิงสาวกลับเพียงแค่หลับตาลงเพียงครู่เพื่อรวบรวมกำลังที่เหลือน้อยเต็มที รอยยิ้มหวานละไมหากอิดโรยปรากฏขึ้นประดับดวงหน้างาม เธอลืมตาช้าๆ กล่าวเสียงหวานหากหนักแน่นด้วยเสียงที่ดังกังวานพอให้ทุกคนในที่นั้นได้ยิน

     

    สิ่งที่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...โปรดอย่าเสียเวลากับข้าอีกเลย เริ่มการประหารเถอะค่ะ

     

    ทั่วทั้งลานเงียบกริบด้วยไม่คาดฝันถึงคำตอบของหญิงสาวร่างบอบบางตรงหน้าที่เอ่ยออกมาโดยไม่มีความลังเลสักเพียงนิด  ผู้คนที่มามุงดูต่างชักสีหน้าไม่พอใจต่อคำตอบที่ได้รับ  พวกเขาคนแล้วคนเล่าเริ่มส่งเสียงตะโกนสาปแช่งและด่าทอด้วยความโกรธแค้น บ้างก็ด่าทอว่าเธอไม่รักชาติ  บ้างก็บอกว่าเธอถูกวิญญาณร้ายครอบงำ  และบ้างก็บอกว่าวิญญาณเธอจะต้องถูกลากลงสู่ขุมนรก ทุกข์ทรมานให้สาสมกับการกระทำของเธอ  ไม่นานทุกเสียงรอบตัวก็ดังประสานขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

     

    เผามัน! เผามัน! เผามัน!”

     

    เสียงเรียกร้องดังขึ้นเรื่อยๆจนทั่วทั้งลานกว้าง  นักบวชชราหลับตา  ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย...ดูเหมือนโอกาสสุดท้ายที่นักโทษหญิงจะได้รักษาชีวิตของตนเองนั้นได้สิ้นสุดลงเสียแล้ว...เธอ...เลือกเส้นทางให้ตัวเธอเอง...และเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะช่วยเธอได้แล้วเช่นกัน ชายชราค่อยๆยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ  ทหารคนหนึ่งที่ยืนถือคบเพลิงก้าวออกมา แล้วลดคบไฟในมือลงจุดกอไม้ด้านล่างที่สุมอยู่ตรงปลายเท้าสตรีผมสีแดงเพลิงนั้น  เพลิงลุกลามไปอย่างรวดเร็ว  เปลวไฟโหมกระหน่ำเผาผลาญร่างกายของหญิงสาวตรงหน้าที่ดิ้นด้วยความทุรนทุราย หากแต่ไม่สามารถหนีไปไหนได้ด้วยถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา  กลิ่นควันไฟและกลิ่นเนื้อไหม้ลอยคละคลุ้งจนสะอิดสะเอียด ผสานไปกับเสียงกรีดร้องและน้ำตาบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทรมานของหญิงสาวตรงกลางกองเพลิงนั้น  ผู้คนด้านล่างส่งเสียงเฮลั่น โห่ร้องด้วยความยินดีระคนสะใจราวกับกำลังชมความบันเทิง  หากจิตใจของชายหนุ่มผมสีดำขลับด้านล่างที่มองอยู่ท่ามกลางผู้คนนั้นกลับต่างออกไป เขากระสับกระส่าย  ด้วยความคิดที่เดิมคาดว่าคนจะมีคนมาช่วยเธอ หากจนแล้วจนรอดก็ไม่มาเสียที

     

    อุลคิโอร่าเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครจะฝ่าผู้คนเข้าไปช่วยสตรีที่กำลังโดนเผาทั้งเป็นนั้น  เขาพยายามที่จะบังคับตนเองให้ก้าวเท้า  หากร่างกายเขาเหมือนไม่ใช่ตัวเขาอีกต่อไป  มันไม่ขยับ  ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใดก็ตาม

     

    ขยับ!  ขยับสิ!  โธ่เว้ย!!

     

    เขาสบถอยู่ในใจ  รู้สึกร้อนรนเป็นที่สุด  หัวใจเต้นแรงและเร็วเมื่อเห็นความทุกข์ทรมานของคนตรงหน้า...เสียงกรีดร้องทรมานของหญิงสาวกรีดลึกลงไปในหัวใจเขา  มันเจ็บ...ยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่ถูกชายที่ชื่อคุโรซากิฉีกกระชากแขน  เจ็บยิ่งกว่าครั้งที่โดนเซโร่ระเบิดใส่จนร่างสูญสลาย

     

    ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดร่างกายก็ไม่ยอมเขยื้อนตามคำสั่งของเขา  ชายหนุ่มหอบหายใจ รู้สึกโกรธระคนสมเพชตนเอง  ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่  เสมือนกับว่าร่างกายของเขามันฝืนตัวเองไว้  ราวกับต้องการบอกว่าหน้าที่ของเขาคือยืนมองดูนักโทษสาวค่อยๆถูกเผาร่างกาย  ทนทรมานไปเรื่อยๆเพียงเท่านั้น  อุลคิโอร่ากัดฟันกรอด  กำมือแน่นจนรู้สึกเหมือนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ  แล้ววินาทีนั้น...

     

    แปะ

     

    เขารู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆไหลลงอาบแก้ม หยดลงสู่ฝ่ามือ  ดวงตาสีเขียวค่อยๆลืมขึ้นอย่างงุนงง  มือแกร่งสีขาวซีดเซียวนั้นค่อยๆคลายออกเผยให้เห็นเลือดซึมออกมาตามรอยแผลที่โดนเล็บจิกที่ฝ่ามือ หากเขาไม่ใส่ใจมัน  กลับยกมือขึ้นปาดความอุ่นที่เกิดขึ้นบนใบหน้าออกช้าๆ  แล้วเลื่อนมือออกมาดูให้แน่ชัด

     

    น้ำตา...

     

    เขานิ่งแข็งราวกับเป็นหิน  ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง...ความรู้สึกมืดหม่นหมอง หัวใจรู้สึกปวดร้าวราวกับถูกบีบรัดจนถึงที่สุดนี้คืออะไร...แล้วน้ำใสๆนี่อีกล่ะ  พลันใจก็กระหวัดไปถึงภาพของแม่หญิงอิโนะอุเอะที่เคยฟาดฝ่ามือตบหน้าเขา  จำได้ถึงดวงตาสีส้มที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำแบบเดียวกัน...ใช่เขาจำได้  มันคือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าน้ำตาไม่ผิดแน่...

     

    นี่ข้ากำลังร้องไห้อยู่งั้นรึ?

     

    ชายหนุ่มค่อยๆเงยหน้าขึ้น  มองไปยังลานกว้างตรงหน้าอีกครั้ง  ที่ตรงนั้น  สตรีที่มีใบหน้าเหมือนฟรานเชี่ยนของเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน โค้งตัวลงอย่างหมดแรง  เธอรู้สึกเจ็บปวดและทรมานจนไม่เหลือแม้เพียงเรี่ยวแรวที่จะทรงตัว  หากแม้นไม่มีกุญแจเหล็กเส้นโตที่รัดแขนเธอไว้ติดกับเสาคอยคานไว้  ร่างเธอคงลงไปกองกับพื้นที่กำลังถูกเปลวไฟแผดเผาไปแล้ว  ร่างนั้นพยายามเป็นครั้งสุดท้าย  ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา  ฉับพลัน...ดวงตาของเขาและเธอก็ประสานกัน  ราวกับบรรยากาศระหว่างเขาทั้งสองคนถูกแยกออกมาจากคนโดยรอบ  แม้นเสียงจะยังคงอื้ออึง หากแต่หูของอุลคิโอร่าไม่ได้ยินเสียงใดอีกต่อไป  ภาพรอบตัวเขาลานเลือนลง หากที่แจ่มชัดอยู่นั้นมีเพียงหญิงสาวที่ชีวิตใกล้จะดับสลายเต็มที ดวงหน้าของชายหนุ่มจ้องดวงหน้าหวานซึ้งเต็มไปด้วยเขม่าควันนั้น นัยน์ตาสีฟ้าที่มองตอบมาฉายแววไม่คาดฝันขึ้นวูบหนึ่ง หากแล้วก็กลับมาหรี่ลงอย่างอ่อนล้าดังเดิม...ริมฝีปากบางค่อยๆคลี่ยิ้มอย่างยากลำบาก  เอ่ยเสียงเบา หากอุลคิโอร่าสามารถอ่านริมฝีปากของเธอได้อย่างชัดเจน

     

    ...ขอบ...คุณ

     

    ใบหน้าหวานนั้นยังคงมอบรอยยิ้มให้เขาจนวินาทีสุดท้าย หากดวงตาของเธอก็ค่อยๆปรือปิดสนิท  ร่างกายก้มโน้มลงไปรวดเร็วดั่งหุ่นตุ๊กตาที่สายด้ายขาด...พร้อมๆกับชีวิตของนางที่ดับสลายลงท่ามกลางเปลวเพลิงต่อหน้าต่อตา  อุลคิโอร่าพยายามที่จะร่างกายของตนเองให้ก้าวไปหาร่างนั้นอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง  หากไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจขยับได้  เขายกมือไปด้านหน้าราวกับต้องการไขว่คว้าร่างไร้ชีวิตนั้น  ใจเขารู้สึกราวกับจะสลาย

     

    ไม่!  ไม่!!!!!!!!

     

    อาราวเน่!”  ชายหนุ่มคำรามสุดเสียงอย่างตระหนก  ชันตัวลุกขึ้นจากที่นอนทันที  แล้วเขาก็ต้องรีบเอามือกุมหัวเมื่อรู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมา  เขาหอบหายใจหนักราวกับร่างกายขาดอากาศมานาน  ใบหน้ายังคงรู้สึกถึงความอุ่นที่ไล้อาบแก้ม  เมื่อตั้งสติได้เขาจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น  ยกมือขึ้นปาดน้ำใสๆที่บดบังดวงตาออก  แล้วก็ต้องชะงัก

     

    ...นี่เขาเผลอทำสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าร้องไห้ออกมาจริงๆงั้นหรือ...

     

    ร่างโปร่งนั้นละความสนใจจากสิ่งนั้น  เงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ  โต๊ะที่เต็มไปด้วยกองเอกสาร...ตู้หนังสือที่ดูเป็นระเบียบ  บานประตูที่ปิดสนิทอยู่  ทุกอย่างที่เห็นบ่งบอกว่าเขากำลังอยู่ในห้องนอนของเขาไม่ผิดแน่  ทำเอาร่างที่ยังคงมึนด้วยพิษไข้ถอนใจโล่งอก

     

    ...ก็แค่ฝันไป...

     

    แต่เมื่อโล่งใจจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว  คำถามก็ตามมา...ทำไมเขาถึงฝันแบบนั้น?  ทำไมในฝันผู้คนถึงเรียกฟรานเชี่ยนของเขาว่าเฟลิโอน่า? แล้วทำไมในฝันนั้นเขาถึงยืนมองปล่อยให้นางตายไปต่อหน้าต่อตากัน?

     

    พลันภาพที่เธอเอ่ยขอบคุณและยิ้มให้เขาในวินาทีสุดท้ายก่อนจะสิ้นชีวิตก็ฉายซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง  ทำเอาในอกรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาจนต้องเอามือขยุ้มเสื้อตรงตำแหน่งหัวใจไว้โดยไม่รู้ตัว  อุลคิโอร่าขมวดคิ้วก้มมองมือตนเอง

     

    ...เจ็บอีกแล้ว...

     

    ...ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน...

     

    ...ครั้งหนึ่งตอนที่เห็นแม่หญิงกรีดร้องยามที่เห็นคุโรซากิบ้าคลั่งขาดสติข้าก็เคยรู้สึกแบบนี้...แต่ครั้งนี้กลับเจ็บยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า...

     

    ...หรือว่านี่...คือสิ่งที่เรียกว่า หัวใจ

     

    ...แล้วทำไมหลังๆมาความรู้สึกนี้ที่มีต่ออาราวเน่กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆกัน...

     

    ...ในอกเขารู้สึกเจ็บ  ทุกครั้งที่เห็นหล่อนร้องไห้ออกมา...ในใจอยากจะหาวิธีปลอบประโลมให้ความหมองเศร้าในดวงตาสีฟ้าคูนั้นมลายไป...

     

    ...ทั้งๆที่อารันคาร์อย่างพวกเราไม่ควรจะมีสิ่งแบบนี้แท้ๆ...ข้าไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ...

     

    จริงสิ อาราวเน่ล่ะ!? 

     

    พลันเมื่อนึกขึ้นได้เขาก็หับขวับไปมองรอบห้องอีกครั้ง  เมื่อไม่เห็นร่างของฟรานเชี่ยนตัวเองก็รู้สึกใจหายวาบ รีบผุดลุกขึ้นจากเตียง หากเมื่อเท้าแตะพื้นและจะก้าวเดิน  ในหัวก็รู้สึกวูบและเซร่วงลงไปกระแทกพื้น  อุลคิโอร่าใช้มือยันตัวขึ้น อีกมือกุมหัว สะบัดศีรษะไล่ความมึนงง  ดูเหมือนเพราะนอนมานานแล้วรีบลุกเกินไปเลือดในกายเลยหมุนเวียนไม่ทันทำให้หน้ามืด  ทำเอาท่านเอสปาด้าที่ปกติทำอะไรว่องไวเสมอมาอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้... หายใจก็ลำบาก ขยับตัวก็ไม่ค่อยได้...ร่างมนุษย์นี่มันอ่อนแอน่ารำคาญชะมัด!

     

    สักพักเมื่อรู้สึกว่าร่างกายเริ่มเข้าที่ เขาจึงชันตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ  เดินไปเปิดประตูห้อง เสียงประตูเลื่อนออกดังครืด แล้วก็เงียบกริบ  เงียบจนอุลคิโอร่าอดแปลกใจไม่ได้  เพราะตามปกติแล้วน่าจะได้ยินเสียงฟรานเชี่ยนของเขาวิ่งมาสิ  และถ้าเดาจากสภาพของเขาตอนนี้ มันควรจะลงเอยด้วยการที่เจ้าหล่อนรีบวิ่งมาหา  แล้วพอเห็นสภาพของเขาก็เอามือกุมหน้าร้องกรี๊ด  จากนั้นก็มองเขาด้วยสายตาคาดโทษ แล้วก็รุนหลังเขากลับไปนอนบนเตียง  แล้วจบด้วยการบ่นพร่ำสอนถึง สมบัติของผู้(ป่วย)(ที่)ดี สิ

     

    ความเงียบกริบที่โรยตัวโดยรอบทำให้ท่านเอสปาด้าที่ปกติแสนเย็นชาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบาโหวงในใจอย่างประหลาด เขาเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ  เดินไปทั่วบ้าน  เปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วห้องเล่า สอดส่ายสายตามองหาฟรานเชี่ยนคนสนิทของตนเอง  แต่ไม่ว่าจะที่ไหน เขาก็พบแต่ความว่างเปล่า  ความร้อนรนในใจเขาเพิ่มพูนขึ้นทุกๆครั้งที่เปิดเข้าไปแล้วพบเพียงความว่างเปล่า พอๆกับฝีเท้าที่เร่งให้เร็วขึ้นๆ เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้าหากเจ้าตัวก็ไม่สนใจอะไรนอกจากมองหาคนตัวเล็กกว่าที่ต้องการ  ลงท้ายเมื่อหาทั่วบ้านแล้วไม่เจอ...เขาก็ถอดใจเดินเอื่อยๆกลับมาตามระเบียงทางเดิน  ในหัวสมองเพียรคิดไม่เข้าใจว่าคนที่ปกติแล้วถึงแม้ว่าวันๆจะแทบไม่เคยคุยกันแต่ก็เห็นหน้ากัน ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเธอเสมอนั้น หายไปไหน

     

    อาการปวดหัวที่แล่นริ้วขึ้นมา พร้อมๆกับลมหายใจที่ร้อนระอุอัดแน่นอยู่ในอกจากพิษไข้ทำเอาร่างโปร่งเริ่มรู้สึกมึนขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกเหมือนพื้นที่ยืนอยู่เคลื่อนไหวได้ จนต้องเอาแขนยันกำแพงไว้เพื่อทรงตัว  เขาแตะนิ้วไปที่ขมับพลางสูดหายใจลึกๆเพื่อปรับสมดุลร่างกาย  แล้วจึงเงยหน้า  มองไปรอบๆตัว

     

    ...น่าแปลก...นี่รอบตัวข้าเงียบขนาดนี้เลยรึ...

     

    อุลคิโอร่าค่อยๆเอนตัวเอาหลังพิงกำแพง  เงยหน้ามองโคมไฟทอแสงสีเหลืองนวลระเรื่อบนเพดาน...ความเงียบรอบตัวทำให้รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างประหลาด  ใจกระหวัดหวนนึกไปถึงเมื่อครั้งที่เขายังอยู่ที่ฮูเอโก้ มุนโด้  ทั้งที่ก่อนที่จะได้เจอกับอาราวเน่...เขาก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอดแท้ๆ  ตอนนั้นก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย  แต่แล้วหลังจากที่ได้พบกับเธอ  นอกเหนือจากเวลางานแล้วรอบตัวเขาก็แทบจะมีเธออยู่ด้วยตลอด  ไม่ว่าจะต้องทำงานดึกดื่นแค่ไหน  หากเมื่อกลับถึงวัง  เขาก็จะได้พบกับดวงหน้าหวานที่ยิ้มแย้มเอ่ยต้อนรับรอการกลับมาของเขาเสมอ  ภาพในสมองแจ่มชัดราวกับเหตุการณ์เหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้  เขาจำได้ถึงน้ำเสียงหวานในที่เอ่ยกับเขาอย่างดีใจ  รอยยิ้มละมุนที่เมื่อเห็นแล้วความเหนื่อยล้าจากแรงกดดันที่ต้องพบกับท่านไอเซ็นก็มลายหายไป  เส้นผมสีแดงเพลิงที่มัดรวบไว้อย่างลวกๆนั้นพริ้วไหวยามที่เจ้าของร่างวิ่งมาหาเขา  นิ้วมือเรียวนุ่มที่แตะลงมาบนมือของเขาอย่างอ่อนโยน และสายตาห่วงหาอาทรยามที่รับรู้ว่าเขากำลังเหนื่อยล้า...น่าแปลก  ทั้งที่เขาคิดว่าเขาเป็นพวกที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แทบจะไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมาบนใบหน้าแท้ๆ  หากฟรานเชี่ยนของเขากลับรับรู้มันได้เสมอ

     

    พอนึกมาถึงตรงนี้ อุลคิโอร่าก็ถึงกับหลุดหัวเราะหึในลำคอ...เพราะอยู่ใกล้ตัวเกินไป  จึงไม่ทันสังเกต  ไม่เคยเห็นคุณค่า  หากเมื่อยามนี้ต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง ชายหนุ่มถึงได้รับรู้ว่า

     

    ...โลกของเขาที่ไม่มียัยนั่นข้างกาย  มันช่างอ้างว้างสิ้นดี...

     

    เขา...เสพย์ติดการมีตัวตนของเธอไปแล้ว...

     

    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพึมพำกับตนเองอย่างแผ่วเบา แต่แล้วเสียงคลิ๊กเปิดประตูบ้านก็ทำให้เขาสลัดความคิดทิ้ง รีบหันหน้าไปมอง แล้วเมื่อเห็นร่างที่เปิดประตูเข้ามาในอกก็รู้สึกเหมือนหัวใจจะพองโตขึ้นอีกครั้ง

     

    ท่านอุลคิโอร่า!?”  เสียงหวานใสที่เขาโหยหานั้นอุทานออกมา  ดวงตาสีฟ้าใสกลมโตเบิกกว้าง ก่อนกระพริบปริบๆฉายแววงุนงง สงสัยว่าทำไมชายตรงหน้าที่ควรจะนอนอยู่บนเตียงถึงมาอยู่ที่ระเบียงบ้านแบบนี้  มือบางรีบผลักปิดประตู แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งอุ้มถุงกระดาษที่บรรจุของไว้เต็มไปหมดตรงรี่มาหาร่างคนไข้ที่ยืนพิงกำแพงอยู่  เธอวางถุงลงแล้วรีบยกมือบางขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่ายทันที

     

    ...ตัวร้อนจี๋เลย...

     

    โดยไม่ต้องคิด  อาราวเน่ก้มลงจะหยิบของในถุงที่วางพิงขาไว้ แต่เมื่อเลื่อนมือออกจากหน้าผากร่างสูง  อีกฝ่ายกลับยกมือแกร่งขึ้นมาตวัดกุมเอาไว้มั่น  ทำเอาหญิงสาวชะงัก หันไปมองมือที่โดนดึงไว้ สลับกับมองหน้าคนที่หน้าเริ่มระเรื่อจากพิษไข้และจากการวิ่งไปรอบบ้านไม่นานมานี้อย่างงุนงง

     

    เป็นอะไรรึเปล่าคะท่านอุลคิโอร่าน้ำเสียงนั้นเจือความเป็นห่วง  เมื่อสังเกตว่าร่างกายของคนตรงหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ และสีหน้าดูจะแดงหน่อยๆ  แต่เสียงทักนั้นทำเอาอีกฝ่ายชะงัก เพิ่งรู้สึกตัวว่าจับมือหญิงสาวเอาไว้  เขาค่อยๆปล่อยมือนุ่มนั้นออกอย่างเสียดาย ในใจรู้สึกอยากจะจับมือบางเอาไว้ต่อ เพราะมันให้วความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก  หากแต่ก็ยังคงตีสีหน้าราบเรียบ ดวงตาสีเขียวเหลือบลงมองฟรานเชี่ยนคนสนิทตนเองก้มลงควานหาบางอย่างในถุง แล้วจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ

     

    หายไปไหนมา

     

    ออกไปซื้อของจำเป็นนิดหน่อยน่ะค่ะ...อ๊ะ! เจอแล้ว  อาราวเน่ตอบโดยไม่เงยหน้า  แล้วเสียงใสก็อุทานขึ้นมาเมื่อเจอของที่ต้องการ  เจ้าหล่อนรีบชูมันขึ้นจากถุงอย่างเริงร่า แล้วผุดลุกขึ้นยืนพลางง่วนอยู่กับการฉีกซองของในมือ  ทำเอาอีกฝ่ายจ้องมองสิ่งที่กำลังถูกแกะด้วยความสงสัย

     

    นั่นอะไรน่ะ  ถามจบอีกฝ่ายก็ฉีกซองเสร็จพอดี  ซองใสๆบรรจุสารบางอย่างสีฟ้าถูกดึงออกมา  มือบางบรรจงลอกสติ๊กเกอร์ที่อยู่ด้านหลังของมันออก  แล้วจึงเอื้อมมือมาปัดผมสีดำสนิทออกจากหน้าผากคนที่ตัวร้อนจัด  แล้วก่อนอุลคิโอร่าจะรู้ตัว  เจ้าซองประหลาดนั้นก็ถูกแปะติดสนิทไปกับหน้าผากเขา...มันให้ความรู้สึกเย็นดีอย่างน่าประหลาด  ฟรานเชี่ยนสาวลดมือลง  เผยให้เห็นรอยยิ้มฉายชัดบนใบหน้า  ตอบเสียงใส

     

    เจลลดไข้ค่ะ  ข้าจำได้ว่าที่ห้องพยาบาลมีไว้ให้เด็กที่มานอนพักเพราะไข้ขึ้นใช้  ข้าเห็นว่ามันน่าจะดีกว่าเอาผ้าชุบน้ำวางไว้ก็เลยแว่บออกไปซื้อมาน่ะค่ะ  คิ้วบางของอารันคาร์สาวขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้าแผ่นที่ติดนั้นมันเบี้ยวไปนิดหน่อย  จึงยกมือขึ้นไปปรับมันให้เข้าที่อีกครั้งแล้วจึงลดมือลง พลางเอ่ยเสียงนุ่ม

     

    ทีนี้...ต่อให้ท่านนอนยังไง มันก็ไม่เลื่อนตกลงมาให้รำคาญใจแล้วล่ะค่ะพอได้ยินที่อีกฝ่ายพูด อุลคิโอร่าก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อเช้าเขาค่อนข้างจะหงุดหงิดเจ้าผ้าที่วางไว้บนหน้าผากนั่นเล็กน้อยเพราะมันคอยแต่จะเลื่อนหลุดทุกครั้งที่เขาขยับหัว จนเขาต้องยกมือขึ้นกดมันไว้ให้อยู่กับที่  ไปๆมาๆเขาก็โยนมันทิ้งไปเลยจนโดนนางพยาบาลประจำตัวค้อนใส่ทีหนึ่งก่อนจะเดินไปหยิบผ้าผืนใหม่มาวางให้อีกครั้งอย่างไม่ลดละ ดวงตาสีเขียวหลุบลงมองเส้นผมสีแดงเพลิงของหญิงสาวที่สะบัดพริ้วไหวยามเมื่อเจ้าตัวก้มลงเก็บเศษขยะที่เผลอโยนทิ้งไปเมื่อครู่ อดคิดไม่ได้ว่าทั้งๆที่เขาไม่ได้บ่นอะไรออกมาเลยแท้ๆ  เจ้าหล่อนก็ยังอุตส่าห์หาวิธีแก้ปัญหาเพื่อเขาอีกจนได้

     

    อาราวเน่ยัดขยะใส่มือพลางอุ้มถุงขึ้นไว้ในวงแขน  แต่เมื่อลุกขึ้นยืน  ส้มผลโตก็ร่วงลงมา  แต่ก่อนจะตกถึงพื้น  มือแกร่งก็เลื่อนออกมารับไว้ได้ทัน  แล้วจึงหยิบมันกลับใส่ถุง  อาราวเน่เงยหน้าขึ้นมองคนที่ช่วยเก็บของให้  ดวงตาสีเขียวจ้องมาด้วยสายตานิ่งเฉย  แล้วจู่ๆถุงในมือก็โดนคว้าไปเฉยๆ

     

     เอามา  ข้าถือเอง  พูดเสร็จเขาก็เดินจ้ำนำหน้าเธอไปที่ห้องครัว  แต่ระหว่างเดินก็ไม่วายลดสายตาลงสำรวจของสารพัดอย่างในถุง  ทั้งผลไม้เอย ขนมเอย สบู่ แชมพูเอย อาราวเน่ที่เดินตามมาติดๆพอเห็นสายตาเจ้านายของตนเองจึงช่วยแจกแจง

     

    ผลไม้พวกนี้ของท่านค่ะ ข้ากลัวว่าทานแต่แอปเปิ้ลอย่างเดียวเดี๋ยวท่านจะเบื่อซะก่อน ก็เลยไปเดินดูพวกส้มมาให้ค่ะ ส่วนขนมถุงนั่นของลิลิเนตค่ะ จำได้ว่านางชอบมาก แถมเคยแบ่งเจ้านี่ให้ข้าชิมด้วย อร่อยมากๆเลยค่ะ ส่วนแชมพูนั่นของท่านฮาริเบลค่ะ นางบอกว่านางไม่ชอบกลิ่นที่ใช้อยู่ตอนนี้ ข้าเลยเอากลิ่นมารีนมาให้ น่าจะชอบมากกว่า

     

     

    ...อ้อ...สรุปที่หายไปนานก็เพราะต้องเดินตระเวนซื้อของให้ทั่วจนครบเลยสินะ...ก็เลยทิ้งข้าที่ป่วยไว้บ้านอย่างนั้นสิ...

     

    ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ผิด  แต่ไม่รู้ทำไม  ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองต้องอยู่คนเดียว  เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงห้องครัว  อุลคิโอร่าจึงวางถุงลงบนโต๊ะ แล้วหันไปสบตากับร่างบางที่เดินตามมา ตีหน้าเรียบเอ่ยเสียงดุที่ทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง

     

    อาราวเน่

     

    ...คะ?” อีกฝ่ายขานรับเสียงแผ่ว แววตาหมองลง รีบหลุบตามองพื้น ไม่เข้าใจว่าทำอะไรผิดจึงโดนดุ

     

    คราวหน้า...  เขาเว้นไปครู่  รอจนอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

     

    อย่าหายไปไหนโดยไม่บอกข้าอีก...เข้าใจไหมคนได้ยินถึงกับเบิกตาโพลง แทบไม่เชื่อหูในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ  คลี่ยิ้มบางๆ

     

    ค่ะ...ข้าขอโทษครั้งนี้ลืมตัวไป แต่จะไม่มีครั้งหน้าอีกค่ะ ข้ารับรอง น้ำเสียงนั้นยืนยันดั่งคำมั่นสัญญา  ทั้งคู่ต่างก็เงียบไปครู่ใหญ่  แต่เมื่ออุลคิโอร่าไอออกมาเบาๆ  อาราวเน่ก็นึกขึ้นได้ว่าได้เวลาลากอีกฝ่ายไปนอนพักเหมือนเดิมได้แล้ว  เจ้าหล่อนทำหน้ามุ่ยกอดอกมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตำหนิ

     

    ท่านไม่ควรจะลุกออกมาจากเตียงเลยรู้ไหมคะว่าแล้วเจ้าหล่อนก็รีบเดินอ้อมไปรุนหลังคนป่วยดันให้อีกฝ่ายเดินกลับไปที่ห้องนอนทันที

     

    ไป!  กลับไปนอนเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!!”

     

    คนโดนดันก็ยอมเดินนำออกไปแต่โดยดี  ถึงสีหน้าจะยังคงเรียบเฉย  หากในใจกลับรู้สึกดีเมื่อเห็นปฏิกริยาเป็นห่วงของคนตัวเล็ก...และเมื่อโดนลากไปขึ้นเตียงเรียบร้อย  เจ้าหล่อนก็สาธยายวิธีการกระทำตัวเป็นผู้ป่วยที่ดีให้คนตรงหน้าฟังอีกชุดใหญ่ตามที่อุลคิโอร่าคาดไว้ไม่มีผิด...หากเมื่อเขาจะนอนลงอีกครั้ง  หญิงสาวตรงหน้าก็เหมือนจะนึกขึ้นได้

     

    ท่านน่ะเหงื่อออกเต็มไปหมด  ข้าว่าเช็ดตัวอีกครั้งก่อนนอน แล้วทานยาลดไข้อีกเม็ดน่าจะดีกว่านะคะ  พูดจบ อาราวเน่ก็วิ่งออกไปทันที  แล้วเพียงพักเดียว เธอก็กลับมาพร้อมกับอ่างน้ำและผ้าสะอาด  เจ้าหล่อนบรรจงชุบผ้าในน้ำ  ยกขึ้นบิด แล้วจึงยื่นให้คนตรงหน้า  เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายอยากจะทำเอง  หากคราวนี้อีกฝ่ายกลับเพียงเบนดวงตาสีเขียวเข้มมองผ้าในมือ  นิ่ง ไม่ขยับ ทำเอาอาราวเน่งงเต้ก

     

    จะไม่เช็ดตัวเหรอคะ?”

     

    เจ้าเช็ดแล้วกัน  ข้าอยากจะนอนอีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ ไม่สนใจขยายความให้อีกฝ่ายที่ยังคงไม่เข้าใจความหมาย  สองมือแกร่งเลื่อนมาปลดกระดุมเสื้อตัวเองออกเสียเฉยๆ  แล้วจึงถอดเสื้อออกเผยให้เห็นอกแกร่งขาวเนียนที่ไร้ไขมันส่วนเกินหากเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ดูไม่มากไม่น้อยจนเกินไป  เลขสี่สีดำที่สลักอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจนั้นโดดเด่นขึ้นมาจากผิวเนื้อสีขาวราวกระเบื้องเคลือบสะกดสายตาของอาราวเน่ให้จับจ้องไปที่มัน  พอได้เห็นร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าของชายหนุ่มที่นางแอบมีใจให้  ใบหน้านวลนั้นก็อดขึ้นสีระเรื่อร้อนผ่าวไปไม่ได้  อุลคิโอร่าลอบมองสายตาของหญิงสาวตรงหน้าที่แข็งทื่อไปแล้วก็ต้องกลั้นความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นเอาไว้  ตีสีหน้าเรียบเฉย เรียกสติคนตรงหน้า

     

    จะจ้องอีกนานไหม  คนที่สติเพิ่งจะคืนมาสะดุ้งเฮือก  กำผ้าในมือแน่น  หลบสายตา  พลางยื่นผ้าให้ชายตรงหน้า เอ่ยตะกุกตะกัก

     

    ขะ...ข้าว่าข้าไปจัดชองที่วางไว้บนโต๊ะก่อน  นายท่านเช็ดเองไปก่อนละกันนะคะ

     

    ข้าสั่งให้เจ้าทำ  เจ้าก็ทำ อย่าพูดมาก  คนยศสูงกว่าออกคำสั่งตัดบท  แล้วทิ้งตัวลงนอนเอาหน้าเกยหมอน หันหลังให้  หญิงสาวคนที่โดนคำสั่งยังคงนั่งนิ่ง 

     

    ข้าไม่ชอบพูดซ้ำเสียงทุ้มเอ่ยเตือนดุๆ ทำให้อีกฝ่ายกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่  ค่อยๆจรดผ้าในมือลงสัมผัสแผ่นหลังแกร่งสีขาวซีดหากร้อนเป็นไฟอย่างกล้าๆกลัวๆ  มือนั้นติดจะสั่นเล็กน้อย  หากเพียงครู่เจ้าตัวก็ข่มใจให้นิ่งแล้วจึงทำหน้าที่เช็ดตัวให้อย่างเบามือ

     

    คนที่นอนอยู่หลับตาลง  รู้สึกหัวใจที่เบาโหวงกลับมาอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด  สัมผัมเย็นๆของผ้าตัดกับเสี้ยวความอบอุ่นจากปลายนิ้วนุ่มที่โดนผิวของเขายามเช็ดเนื้อตัวนั้นทำให้ใจเขารู้สึกสงบ ดวงตาสีเขียวแอบเหลือบขึ้นมองมือเล็กๆในช่วงที่มือบางนั้นเลื่อนผ้าไปตามแขนของเขาอย่างนุ่มนวล  หากยามเมื่อเบนสายตาขึ้นสบเจ้าของมือเล็กนั้น  เจ้าหล่อนก็กลับสะดุ้งแล้วรีบหลบตา ดวงแก้มเนียนนั้นขึ้นสีระเรื่อน่ามอง  มันทำให้ใจเขารู้สึกสุขอย่างน่าประหลาด  เหมือนเวลาช่างผ่านไปเร็วนัก  ไม่นานมือบางก็ละขึ้นไป  เสียงผ้าถูกจุ่มลงในน้ำอีกครั้ง พร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยเสียงเบา

     

    เสร็จแล้วค่ะ

     

    ไม่...ยังไม่เสร็จ  คนพูดเอ่ยเสียงเรียบ  พลางพลิกตัวขึ้นนอนหงาย  ทำเอาหญิงสาวเบิกตามองคนตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง...ท่านอุลคิโอร่าเป็นอะไรไปน่ะ  ทั้งที่เมื่อเช้าจะเช็ดตัวให้ก็ไม่ยอม  ทีตอนบ่ายนี่จะเอาใหญ่เลยเสียอย่างนั้น  แต่แล้วดวงหน้าก็ค่อยๆเลือนสายตาไปตามอกแกร่งนั้นช้าๆ  อดคิดไม่ได้ว่าร่างกายคนตรงหน้ามันดูมีเสน่ห์น่ามองสำหรับเธอมากทีเดียว  แต่เพียงเหลือบมองแล้วก็ต้องรีบเบนหน้าหนี รู้สึกใจเต้นระส่ำ  หายใจไม่ทั่วท้อง...เย็นไว้ อาราวเน่...เย็นไว้

     

    ...ใช่  ก็แค่เช็ดตัว...จะไปยากอะไร...

     

    มือบางยกผ้าขึ้นจากอ่าง  ออกแรงบิด  แล้วจึงสูดหายใจลึกๆ  ก่อนเอื้อมลงแตะแผงอกแกร่งนั้นอย่างแผ่วเบา...พยายามที่จะไม่มอง  แต่ก็ทำไม่ได้เต็มที่  ลงท้ายแล้วก็เลยต้องหรี่ตาให้เห็นภาพตรงหน้าลางเลือนที่สุดเท่าที่จะทำได้  ไม่อย่างนั้นหัวใจเธอคงจะกระเด้งออกมาเต้นนอกอกก่อนพอดี  หากเมื่อเช็ดที่คอ  ที่ไหล่  ผ่านอกแกร่ง  แล้วไล้ผ้าลงเช็ดต่ำลงไปเรื่อยๆ  ไล่ผ่านกล้ามเนื้อหน้าท้องลงไปทีละน้อยๆ  แต่ก่อนที่จะลงไปถึงขอบกางเกง  ฝ่ายที่ถูกเช็ดก็เป็นฝ่ายที่ทนไม่ได้ขึ้นมาเสียก่อน  ต้องรีบยกมือขึ้นหยุดข้อมือบางก่อนที่มือนิ่มนวลจะไล้ลงต่ำไปมากกว่านี้

     

    ...ไม่ไหว  เขารู้สึกร่างกายร้อนขึ้นมามากกว่าก่อนที่จะถูกเช็ดเสียอีก  อีกทั้งยิ่งมือบางเคลื่อนลงไปเรื่อยๆลมหายใจของเขาก็เริ่มติดขัด  ความรู้สึกแปลกๆก่อขึ้นในใจและที่ช่วงท้องอย่างควบคุมไม่อยู่...เขารู้...ถ้าไม่รีบหยุดมือ  เขาอาจจะควบคุมสติตนเองไม่ไหว...

     

    ...นี่ก็เป็นอีกความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน...แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ดี  ดีมากจนเขาแทบบ้าคลั่ง ไม่อยากให้มันหยุดลง...หากมันก็ทำให้เขารู้สึกกลัวตนเองขึ้นมาเป็นครั้งแรกเช่นกัน...

     

    ดวงตาสีเขียวเงยขึ้นสบกับดวงตาสีฟ้าตรงหน้า...อาราวเน่มองเห็น  ภายในห้วงสีเขียวเข้มลึกล้ำนั้น  เปลวไฟบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น...และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกขวยเขินระคนกลัวขึ้นมาไม่ได้...

     

    ...พอ...ไม่ต้องแล้ว...ออกไป...ข้าจะพัก  ชายหนุ่มกัดฟันเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก  พยายามควบคุมสติและอารมณ์ของตนเองให้เยือกเย็นเข้าไว้  หากดูเหมือนครั้งนี้จะยากยิ่งกว่าครั้งใดๆ  เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมๆอ่อนจากเรือนร่างของหญิงสาวตรงหน้าที่สั่นน้อยๆ กลิ่นนั้นหอมหวาน ยั่วยวนให้เข้าหา และนั่นก็ทำให้เขาต้องหลับตาควบคุมตัวเองให้ถึงที่สุด  ในขณะที่สัญชาติญาณของผู้ล่ากำลังจะปะทุขึ้นมา

     

    ...อยากดึงร่างตรงหน้าเข้ามาโอบกอด...ฉีกกระชากสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างเขากับเธอ...แล้วบดขยี้...

     

    พอ!!”  อุลคิโอร่าคำราม  เรียกสติของตนให้ออกมาจากความคิดเลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในหัวสมอง เขาปล่อยมือจากข้อมือหญิงสาว  เหวี่ยงกำปั้นทุบกำแพงข้างตัวดังโครมจนเนื้อถลอกเลือดไหลซิบ อีกคนสะดุ้งเฮือกด้วยความหวาดผวา  ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ไม่สบายอยู่กันแน่  ชายหนุ่มกัดฟันกรอด  หลับตา  สูดหายใจลึกๆ พยายามอยู่นานสองนาน  ในที่สุดก็สามารถควบคุมตนเองได้อีกครั้ง

     

    ออกไปอาราวเน่  ข้าจะพักแล้ว  เขาพยายามข่มเสียงให้เรียบดังเดิม  อีกฝ่ายเลื่อนสายตาไปมองมือข้างที่บาดเจ็บอย่างลังเล  หากเมื่อชายหนุ่มเลื่อนมือเข้าใกล้ เธอก็สะดุ้งเฮือกเบนตัวออกห่าง  และนั่นถึงกับทำให้วูบหนึ่งอุลคิโอร่ารู้สึกไหววูบในอก  เขาค่อยๆลดมือลงวางบนเตียงช้าๆ  ดวงตาก้มลงมองมือตนเอง

     

    ...ข้า...ทำให้นางกลัว...

     

    อาราวเน่มองนายท่านของเธอที่ก้มหน้านิ่งด้วยความรู้สึกหลากหลาย...หนึ่งในนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าคือความกลัว...หากเธอถามตนเอง  กลัวอะไรล่ะ  นั่นก็ท่านอุลคิโอร่าคนเดิมไม่ใช่หรือ...แล้วเจ้าจะกลัวอะไรกัน  ทันใดนั้นหญิงสาวก็กลั้นใจข่มความกลัวในอก  เรียกพลังขึ้นรวมที่ฝ่ามือแล้วเอื้อมไปแตะมือที่บาดเจ็บนั้น  พลังแม้จะเบาบางนักเมื่อเทียบกับตอนอยู่ในร่างอารันคาร์  หากก็ยังคงทำงานของมันได้ดี  เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นก็เท่านั้น  ดวงตาสีฟ้าใสจดจ้องเพ่งมองไปที่บาดแผลอย่างใช้สมาธิ  เอ่ยออกมาโดยไม่หันขึ้นมามอง

     

    ขอโทษที่ถอยหนีเมื่อครู่ค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ...แผลนี่  ขอข้ารักษาก่อน เสร็จแล้วข้าจะรีบออกไปไม่รบกวนเวลาพักของท่านอีกค่ะ  ประโยคนั้นทำให้ดวงตาสีเขียวที่หม่นแสงลงในทีแรกกลับมามีประกายอีกครั้ง  แต่นั่นก็เพียงวูบเดียวก่อนที่เจ้าของตาคู่นั้นจะซุกซ่อนความรู้สึกไว้หลังหน้ากากน้ำแข็งดังเดิม...มือแกร่งสีขาวอีกข้างยกขึ้นช้าๆอย่างลังเล  หมายจะสัมผัสปลายผมของหญิงสาวตรงหน้าที่ตอนนี้จดจ่ออยู่กับเพียงการรักษา  หากแค่เพียงอีกนิดก็จะได้สัมผัสเส้นไหมสีแดงสดนั้น  ชายหนุ่มก็หักห้ามใจชักมือกลับไปวางไว้ดังเดิมเสียก่อน  การรักษายังคงดำเนินไปเรื่อย หากต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา  ในขณะที่หัวใจยังคงหนักอึ้ง เต็มไปด้วยความสับสนต่างๆ

     

    เมื่อรักษาเสร็จแล้วอาราวเน่ก็รีบผุดลุกขึ้นยืน หยิบผ้าสะอาดที่ตกอยู่ขึ้นมาจากพื้น  แล้วเดินกลับไปทิ้งมันลงในอ่างน้ำอย่างเงียบๆ  ในขณะที่อุลคิโอร่าค่อยๆใส่เสื้อของตนช้าๆ  เบนหน้าไปอีกทาง  ในใจรู้สึกอึดอัดกับความเงียบที่เกิดขึ้น  ทั้งที่ปกติเขาชอบความเงียบแท้ๆ  แต่เขารู้สึกว่าคราวนี้มันต่างออกไป และเขาไม่ชอบมันเลย  เพื่อทำลายบรรยากาศหนักอึ้งนี้  ไม่รู้มีอะไรดลใจให้เขาเล่าเรื่องให้เธอฟัง...ทั้งๆที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยแท้ๆ

     

    เมื่อก่อนที่เจ้าจะกลับมาข้าฝัน...เป็นฝันประหลาดมาก  เขานิ่งไปครู่  ก่อนเอ่ยต่อ  โดยไม่เบนหน้ากลับมามอง  ซึ่งหากทำ  จะเห็นว่าฟรานเชี่ยนของเขายืนนิ่ง  ในมือถืออ่างค้างไว้  หันกลับมามองคนบนเตียงอย่างใคร่รู้

     

    ในฝัน ข้ายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนในลานกว้าง  และตรงกลางนั้น  ข้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเจ้ามาก...นางคนนั้นโดนตัดสินให้ถูกเผาทั้งเป็นด้วยข้อหาที่ว่าช่วยศัตรูหลบหนี...  เขาเอ่ยเสียงเรียบ  แต่ถึงตอนนี้ชื่อที่ชายชราเรียกนักโทษคนนั้นก็ไม่ใช่อาราวเน่  ซึ่งนั่นพอทำให้เขาโล่งใจอยู่บ้าง  อย่างน้อยก็ไม่ใช่นาง...ก็แค่คนหน้าเหมือน

     

    เธอคนนั้น  ถูกเรียกว่า...เฟลิโอน่า  ออทัมนาลิส

     

    เคร้ง!!!

     

    เสียงของตกกระทบพื้นดึงอุลคิโอร่าให้หันกลับมามองทันที  อาราวเน่ยืนค้างเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ  หน้าเธอซีดจัดเมื่อได้ยินสิ่งที่คนตรงหน้าเพิ่งเล่า  อ่างน้ำที่ถือไว้ในตอนแรกถูกปล่อยหลุดมือกระทบพื้น  น้ำมากมายแตกกระจายเลอะพื้นห้อง  ปฏิกริยานั้นทำให้อุลคิโอร่าผิดสังเกต

     

    มีอะไรเขาถามเสียงเรียบเจือความเป็นห่วง  ฉับพลัน...ความจริงบางอย่างที่เขาลืมนึกถึงไปนานก็ตีเข้าแสกหน้า  เขาเอ่ยเสียงเบา

     

    ผู้คนเชื่อกันว่า ดอกอาราวเน่...คือดอกไม้ที่บาน ณ ลานประหาร  ข้าลืมไปได้ยังไงนะว่าใครกันจะบ้าตั้งชื่อนี้ให้ลูกตัวเอง  ดวงตาสีเขียวเข้มขึ้น  จ้องเข้าไปยังลูกแก้วสีฟ้าบนใบหน้าซีดเผือดนั้นอย่างคาดคั้น

     

    ตอบข้ามา...ชื่อจริงๆของเจ้า คือ เฟลิโอน่า สินะ  วินาทีนั้นบรรยากาศกลับแปรเปลี่ยนกดดันยิ่งกว่าเดิม  ทุกอย่างเงียบกริบ  ดวงตาสีฟ้าหลับลง  คิ้วขมวดแน่น  หญิงสาวสูดหายใจลึกๆก่อนพยักหน้า  ซึ่งนั่นก็ทำให้อุลคิโอร่าตกตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน

     

    ...แปลว่าสิ่งที่เขาฝัน  คือเรื่องจริง...

     

    ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าว่าเจ้าชื่อ เฟลิโ...

     

    ข้าชื่ออาราวเน่ค่ะ  เสียงหวานเอ่ยขัด  ดวงตานั้นฉายแววจริงจัง  เอ่ยต่อเสียงเรียบ

     

    ตั้งแต่ข้าได้พบท่านในวันที่โดนรุมทำร้าย...ข้าก็ตัดสินลืมนามเฟลิโอน่าไปแล้ว  ดวงตาสีฟ้านั้นจ้องประสานชายหนุ่มตรงหน้า เอ่ยเสียงแน่นหนัก ยืนยันในสิ่งที่ตนเองพูด

     

    นับจากวันนั้น...ข้าคืออาราวเน่  อาราวเน่ที่จะเป็นดอกไม้ที่ท่านเรียกชื่อวันนั้นเท่านั้น  ดังนั้นเรียกข้าว่าอาราวเน่ตามเดิมเถอะค่ะ

     

    ...เพราะนั่นคือชื่อของสิ่งที่ได้ชักพาข้าให้มาพบกับท่าน  ดอกไม้ที่แม้จะเป็นดอกไม้แห่งความตายในสายตาของมนุษย์  หากนั่นก็เป็นดอกไม้ดอกเดียวที่ฝ่าฟันความแห้งแล้งเติบโตขึ้นมาในดินแดนแห่งความตายได้...

     

    ...ข้าอยากจะเป็นเช่นดอกไม้นั้น  ดอกไม้เพียงชนิดเดียวสามารถที่เบ่งบานท่ามกลางทะเลทรายแห่งความว่างเปล่าในจิตใจของท่าน...

     

    อุลคิโอร่ามองหญิงสาวตรงหน้า  ไม่เข้าใจ...ก็แค่ชื่อดอกไม้ดอกเดียวที่เขาบอกนางทำไมจึงยึดมั่นถือมั่นนักหนา  แต่นั่นก็เรื่องของนาง  หากชอบชื่อนั้นก็ใช้ไปเถอะ  เขาไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรต้องห้าม

     

    ตามใจเจ้า  ถ้าชอบ  อยากจะใช้ชื่ออาราวเน่ก็ใช้ไป  แต่ว่า...คำว่าแต่ทำให้รอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าหญิงสาวจางหายไปแทบจะทันที  รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ

     

    เวลาอยู่กัน 2คน ข้าจะเรียกเจ้าว่า เฟลิโอน่า

     

    ...เพราะนั่น คือชื่อที่มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้...

     

    อาราวเน่ออกจะงุนงงกับข้อแม้ของอีกฝ่าย  เดาใจไม่ถูกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่  แต่คิดๆไปแล้ว  มีความลับร่วมกันที่มีเพียงเธอกับท่านอุลคิโอร่ารู้เท่านั้นมันก็ฟังดู ระรื่นใจไม่หยอก...งั้นก็เอาตามนั้นแหละ!

     

    ตกลงค่ะ  เธอยิ้มให้  แล้วจึงก้มตัวลงเช็ดทำความสะอาดพื้นที่เลอะเต็มไปด้วยน้ำออกอย่างรวดเร็ว  อุลคิโอร่ามองร่างที่กำลังขะมักเขม้นทำความสะอาดไม่วางตา  ในใจหวนนึกไปถึงความฝันนั้นอีกครั้ง  บางทีนั่นอาจจะเป็นอดีตที่เขากับเธอมีร่วมกันก่อนที่จะมาเป็นฮอลโลว์ก็ได้  ในตอนนั้นส่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่ยืนมองเธอถูกทำร้ายตายจากไปอย่างทุกข์ทรมานเท่านั้น  หากตอนนี้มันต่างกัน เขาพูดคุยกับเธอได้  เขาสัมผัสเธอได้  และเขาสามารถควบคุมตนเองได้

     

    ...ประวัติศาสตร์นั้นจะต้องไม่ซ้ำรอยเดิม...

     

    ฟรานเชี่ยนสาวบีบน้ำที่เลอะเทอะลงในอ่าง ก่อนยกมันขึ้นหลังจากทำความสะอาดเสร็จแล้ว  ร่างนั้นเดินหันหลังกำลังจะออกจากห้อง  หากแต่ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อไว้ก่อน

     

    เฟลิโอน่า...หญิงสาวหยุดเดิน  กำลังจะหันไปแต่ก็ต้องชะงัก

     

    ยืนฟังเงียบๆตรงนั้นไม่ต้องหันมา  คำสั่งเสียงเรียบนั้นทำให้เธอต้องพยักหน้า หันกลับไป คนที่นั่งอยู่บนเตียงเงียบเรียบเรียงคำพูดเพียงครู่

     

    ในความฝันนั้น  ข้าไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากปล่อยให้เจ้าตายไปต่อหน้าต่อตา  หากต่อจากนี้ขอให้จำไว้...  ร่างบางกระชับอ่างน้ำในมือแน่น สูดหายใจ  รับฟังประโยคถัดมาที่เป็นดั่งคำมั่นสัญญา

     

    ไม่ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น  ขอให้เชื่อใจในตัวข้า  ข้าขอสัญญาด้วยศักดิ์ศรีของข้า...ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ  ข้าจะปกป้องเจ้าไว้  จะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องเจอเรื่องร้ายๆเพียงลำพังอีกโดยเด็ดขาด  ทำพูดนั้นประทับตราตรึงเข้าสู่จิตใจของหญิงสาวจนทำให้จิตใจสะท้าน  มันสร้างความปิติจนคนฟังกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  เธอคลี่รอยยิ้มบางๆ  เอ่ยเสียงหวานหากมั่นคง โดยไม่หันกลับไปมองเช่นกัน

     

    ข้าเชื่อท่านค่ะ ว่าท่านจะไม่มีวันผิดสัญญา

     

     

    /////////////////////////////////////////////////////

     

     

    ตอนนี้ตอนพิเศษอีกแล้วล่ะค่ะ เซอร์ไพรส์มั้ย!!?

     

    ในที่สุดดาบอุลของเราก็เริ่มเปิดใจมากขึ้นเรื่อยๆแล้วเนอะ  ตอนนี้ซีอุทิศเพื่อให้เห็นอารมณ์ของดาบอุลโดยตรงค่ะ  หลังจากที่ตอนแรกหลงผิดอย่างแรงมาแต่งแนวเล่าเรื่องกับพระเอกที่นิสัยแบบนี้...คราวหน้าคราวหลังจะจำเป็นบทเรียนฝังใจเลยค่ะว่าถ้าจะแต่งแนวเล่าเรื่องผ่านตัวละครห้ามมีฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกตีหน้าตายแบบดาบอุล...ก็แหม! เล่นมีอะไรเก็บไว้ในใจหมด ไม่แสดงออกมาเลยแล้วตัวละครอีกฝ่ายมันจะไปตรัสรู้ได้ไง(วะ)คะคุณชายสี่ขา?

     


    ...ช่วงที่ผ่านมาหัวสมองซีค่อนข้างจะตัน  อาจจะเขียนออกมาน่าเบื่อพอสมควร  แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันอยู่เสมอนะคะ  รักคนอ่านทุกคน และรักคนเม้นท์ทุกเม้นท์ยกกำลังสองค่า

     

    ...จะว่าไป...ที่ตอนที่แล้วที่บอกว่านายท่านน่ารัก น่าแกล้งเนี่ย...ตอนนี้เริ่มรู้สึกกลัวดาบอุลขึ้นมาบ้างรึยังจ๊ะ สาวๆ XD

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×