คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter13: รัตติกาลละเลงเลือด
“อือ”
ข้าสะลึมสะลือตื่นขึ้นช้าๆ แล้วก็ต้องครางออกมาเบาๆเมื่อรู้สึกเจ็บปลาบบริเวณลำคอยามพลิกตัว ความเจ็บปวดนั้นทำเอาข้าลืมตาโพลง ตื่นสนิทอย่างรวดเร็ว
“ในที่สุดก็ตื่นซะที”
เสียงทุ้มข้างตัวเรียกให้ข้าเบนหน้าไปมอง ข้ากระพริบตาไล่หยาดน้ำตาที่บังให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือนออกไป แล้วก็พบกับภาพเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่คุ้นตา
“กริมจอว์...”
ร่างนั้นนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่ข้างตัวข้าที่กำลังนอนราบอยู่บนพื้นทราย ข้าใช้เวลาซักพักเพื่อตั้งสติ แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ก็รีบดันตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็รู้สึกมึนหัวและเซจนต้องเอามือยันพื้นไว้
“อย่าเพิ่งรีบลุก ร่างกายเจ้าเสียเลือดไปมาก นั่งพักปล่อยให้เลือดค่อยๆไหลไปทั่วร่างกายก่อน ถ้ารีบขยับตัวเกินไปเดี่ยวก็ล้มหรอก” กิมจอว์เอ่ยเตือน
“ข้าเผลอหลับไปนานเท่าไหร่กัน”
“...ซักพักนึง...ที่จริงไม่น่าจะเรียกว่าหลับหรอกนะ ต้องเรียกว่าทนความเจ็บปวดไม่ไหวแล้วก็เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติมากกว่า...อ่อนแอชะมัด” กริมจอว์แก้คำให้ แต่ไม่วายทิ้งคำเหน็บแนมที่ทำข้าต้องจ้องกลับตาเขียวปั๊ด...ก็แล้วที่ข้าเป็นแบบนี้มันเพราะช่วยใครกันล่ะ?
แล้วข้าก็นึกขึ้นได้ รีบกวาดสายตามองร่างตรงหน้า
“ตอนนี้ร่างกายเจ้าเป็นยังไงบ้างกริมจอว์”
“ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยบาดแผลทั้งหมดก็สมานกันสนิท ถึงจะยังเจ็บอยู่บ้างก็เถอะ” เขากล่าวพลางเหลือบตามองมาที่ข้า
“พลังฟื้นฟูจากเลือดของเจ้านี่สุดยอดจริงๆ”
“ขอบคุณที่ชม” ข้ามองคนตรงหน้าพลางยิ้ม แล้วจึงค่อยๆลุกขึ้น เมื่อยืนแล้วยังรู้สึกมึนๆเล็กน้อยเพราะเลือดไหลเวียนไม่ทัน แต่ครู่เดียวก็เป็นปกติ
“รีบไปหาท่านอุลคิโอร่ากันเถอะ” ข้าเอ่ยพลางหันหน้าไปยังทิศทางที่ข้ารับรู้ได้ถึงการต่อสู้ของนายท่านกับยมทูตคนนั้น แต่แล้วรังสีกดดันรุนแรงมหาศาลก็แผ่พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับความมืดมากมายที่แผ่ขยายเข้าปกคลุมปราสาท กลืนกินทั้งหมดเป็นบริเวณกว้าง...ความรู้สึกนี้ พลังของท่านอุลคิโอร่า!
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ข้ารีบหันหน้าไปถามเอสปาด้าที่อยู่ข้างกายทันที
กริมจอว์ขมวดคิ้ว จ้องมองไปยังทิศทางของพลังมากมายที่ไหลทะลักออกมา
“พลังที่เกิดจากการปลดปล่อยของเอสปาด้าลำดับที่4ขึ้นไป...นี่ถึงขนาดเจ้านั่นยังต้องคืนร่างเลยเหรอเนี่ย”
ท่านอุลคิโอร่าคลายผนึก ทั้งๆที่ข้าไม่เคยเห็นท่านทำมาก่อน...
ไม่ได้การแล้ว...
“รีบไปกันเถอะกริมจอว์”
ข้าพูดพลางรีบออกวิ่งทันที เอสปาด้าลำดับที่หกพยักหน้าตอบรับ แล้วออกตัวตามข้ามา...
เราสองคนวิ่งไปเรื่อยๆตรงสู่จุดเป้าหมาย ทั้งที่ตามจริงแล้วกริมจอว์วิ่งเร็วกว่าข้ามาก แต่เขาก็ลดระดับฝีเท้าลงแล้ววิ่งอยู่ข้างๆข้า พลางคอยสังเกตอาการของข้าตลอด สักพักพอเห็นว่าข้าเริ่มมีอาการหอบ และความเร็วฝีเท้าเริ่มลดลง เขาจึงเอ่ยเตือน
“พักหน่อยดีกว่าไหม เดี๋ยวร่างกายก็ไม่ไหวเอาหรอก”
“ไม่...ข้า...ข้าอยากไปหาท่านอุลคิโอร่าให้เร็วที่สุด” ข้าตอบกลับทั้งที่เริ่มรู้สึกหายใจไม่ทัน แต่ก็ยังกัดฟันวิ่งต่อ เพราะความกังวลมันมีมากกว่า
“ยิ่งเข้าใกล้ท่านอุลคิโอร่าเท่าไหร่ ใจข้าก็รู้สึกกลัวขึ้นเรื่อยๆ...ข้ารู้สึกไม่ดีเลย...กริมจอว์เจ้ารู้ไหม ทุกทั้งที่ข้ารู้สึกแบบนี้ มันจะต้องมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นเสมอ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผิดพลาด ถึงแม้ว่าบางครั้งข้าจะภาวนาให้ข้าคิดไปเองเท่าไหร่ก็ตามที”
“แต่ถ้าขืนเจ้ายังวิ่งต่อไปแบบนี้ เจ้าได้ล้มก่อนถึงที่นั่นแน่ เจ้าฝืนออกแรงมากเกินตัวติดต่อกันมานานเกินไปแล้ว พักก่อนแล้วค่อยไปถึงช้าลงอีกนิดมันไม่เป็นอะไรหรอกน่า” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างหงุดหงิด
แต่พอเห็นว่าข้าไม่สนใจฟังคำเตือนเขาก็สบถออกมา
“โธ่เว้ย! ยัยผู้หญิงดื้อด้าน”
“ห๊ะ!!”
แล้วข้าก็ต้องตกใจร้องกรี๊ดออกมาเมื่อโดนมือแกร่งรวบอุ้มร่างข้าขึ้นสูงจากพื้นโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะวางพาดลงบนบ่าของเขา กริมจอว์เอามืออีกข้างแยงหูเพราะเสียงกรีดร้องของข้า ตวาดออกมาในขณะที่เร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้นไปอีก
“เสียงของเจ้าจะทำให้ข้าหูหนวกเอา หุบปากซะ ไม่อย่างนั้นข้าโยนเจ้าทิ้งก่อนถึงแน่”
“ขะ...ขอบใจ” ข้าพึมพำ รู้สึกเขินอยู่หน่อยๆ แล้วก็เอามือทั้งสองข้างขยุ้มเสื้อของเขาเอาไว้แน่นเพราะกลัวหล่น ระหว่างทางที่วิ่งนั้น ข้าอดคิดไม่ได้เลยจริงๆว่า
...แม้แต่คนที่นิสัยห่ามๆอย่างกริมจอว์เอง ก็มีมุมที่ใจดีกับคนอื่นอยู่บ้างเหมือนกันแฮะ...
///////////////////////////////////////////////////////////////////
สักพักเมื่อเริ่มเข้าใกล้ตัวปราสาทพวกเราทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงประดาบ กริมจอว์จึงลดฝีเท้าให้เบาลง แล้วหลบซ่อนตัวอยู่หลังเศษซากปรักหักพังที่อยู่ใกล้ๆ เขาวางข้าลง พลางยกมือแตะปากบอกให้เงียบ พวกเราลอบมองออกไปเบื้องหน้า แล้วก็พบกับกลุ่มยมทูตและสหายของอิโนะอุเอะ โอริฮิเมะที่กำลังสู้อยู่กับหัวหน้าหน่วยล่าสังหารที่สร้างกองทัพอารันคาร์หัวกะโหลกออกมามากมาย
...ถึงจะถูกรุม แต่ดูเหมือนหัวหน้าหน่วยเอ็กซีคิวส์คนนั้นก็ยังต่อสู้ได้โดยไม่เสียเปรียบเท่าไหร่ และดูเหมือนทั้งสองฝ่ายก็จะต่อสู้กันเพลินจนไม่ทันจับการมีตัวตนของข้ากับกริมจอว์ได้...
“เลี่ยงไปทางนั้นเถอะ”
กริมจอว์หรี่เสียงกระซิบ พลางกลอกตาไปยังมุมอับด้านหลังวัง ห่างจากจุดที่กำลังเกิดการต่อสู้ออกไปไกลพอควร
“ปิดโซนีด กดพลังวิญญาณให้ต่ำที่สุด...แล้วตามมา”
พูดจบเขาก็วิ่งออกไปโดยเร็ว แต่ฝีเท้าเงียบกริบ ข้าจึงทำตามที่เขาบอกแล้ววิ่งตามออกไปทันที เราทั้งคู่ผ่านเข้าไปในตัววังได้โดยไม่มีใครทันสังเกต จากนั้นจึงวิ่งขึ้นไปยังชั้นบนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นข้าก็อดไม่ได้ที่จะมองสภาพโดยรอบอย่างน่าสังเวช
...อดีตวังลาส์ นอเช่ที่เคยตั้งตระหง่าน ยิ่งใหญ่สวยงาม บัดนี้ก็เหลือเพียงแค่เศษซากความเสียหายจากสงครามการต่อสู้เท่านั้น...พังพินาศขนาดนี้...คงไม่มีทางที่จะบูรณะให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้วล่ะ
แล้วข้าก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องดังลั่นอย่างโกรธแค้นจากด้านนอก
“ว้ากกกกกกกกก”
โครม!!!
เสียงเหมือนของหนักร่วงลงกระแทกพื้นเบื้องล่าง ข้าก้มหน้าลงมองด้านล่าง แล้วจึงเงยหน้าพูดลอยๆกับกริมจอว์
“สะ...เสียงเหมือนยามี่เลยเนอะ”
“ไม่เหมือนหรอก เสียงมันแน่นอน” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ ยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ
พอวิ่งขึ้นไปได้ซักพัก บรรยากาศโดยรอบก็พลันบิดเบี้ยวรุนแรง
คว้างงงงง!!!!
“!!”
แรงกดดันวิญญาณหนักหน่วงมหาศาลที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวกดทับจนข้าแทบทรุดลงไปกองกับพื้น ข้าเอามือยันกำแพงข้างตัวไว้ พลางหอบหายใจอย่างยากลำบาก ข้าเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้า กริมจอว์เองก็หยุดวิ่ง ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
“มันเกิดอะไรขึ้นข้างบนนั่นกันแน่?” ข้าได้ยินเขาสบถ แล้วจึงหันกลับมามองข้าที่เกาะผนังหอบหายใจ
“ไหวรึเปล่าเจ้าน่ะ”
“วะ...ไหว ขอปรับพลังแปบนะ เมื่อกี้ข้าไม่ทันตั้งตัวน่ะ” ข้าตอบรับพลางหลับตาสูดหายใจลึกๆ แล้วค่อยผ่อนออกช้าๆ สักพักเมื่อรู้สึกดีขึ้นจึงยันตัวขึ้นอีกครั้ง กริมจอว์มองอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“สถาการณ์ไม่ปกติ พยายามอย่าอยู่ห่างข้าแล้วกัน แล้วก็ระวังตัวให้ตลอดเวลาด้วย” เขาเอ่ยพลางเบนสายตามองขึ้นไปบนยอดปราสาท แล้วจึงเบนสายตากลับมาหาข้า
“จะไปหรือยัง”
“ฮื่อ”
เมื่อข้าพยักหน้าตอบรับ เขาจึงออกตัวอีกครั้ง ข้าพยายามเร่งฝีเท้าตามชายตรงหน้าไปไม่ห่างเช่นกัน เราทั้งคู่วิ่งพลางกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หลุดขึ้นมาถึงยอดปราสาท ท้องฟ้าสีครามซึ่งเป็นบรรยากาศจำลองถูกแทนที่ด้วยสีดำสนิทของผืนฟ้ายามรัตติกาลอันแท้จริง เราทั้งคู่มองขึ้นไปยังแท่นยอดสูงเสียดฟ้าด้านบน บนฉากหลังของเสี้ยวจันทราสีเหลืองนวลนั้น...มีเงาของคนสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่
ข้าพยายามเพ่งมองดูร่างทั้งสองนั้น...หนึ่งในนั้นคือยมทูตที่ชื่อคุโรซากิ อิจิโกะที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดไหลโทรม ต่อสู้อีกเพียงครู่ คอเขาก็โดนรัดแล้วถูกดึงจนร่างลอยสูงจากพื้นโดยส่วนหางของอีกฝ่าย...อารันคาร์เจ้าของปีกมหึมาและหางยาวสีดำทะมึน ที่ตรงศีรษะมีเขาคู่หนึ่งยาวเฉียงออกมา ข้าจ้องมองร่างนั้นนิ่ง
“ท่าน...อุลคิโอร่า?” ข้าเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก
...ร่างกายแบบนั้น คือท่านอุลคิโอร่าแน่เหรอ...
เหมือนจะรับรู้ได้ถึงเสียงของข้า ร่างนั้นหันหน้ามาช้าๆ แววตาสีเขียวสดที่คุ้นเคยนั้นฉายแววประหลาดใจแว่บหนึ่งเมื่อเห็นข้ากับกริมจอว์ ก่อนกลับเป็นปกติ
“ข้าจำได้ว่าข้าสั่งให้เจ้าไปให้ไกลนะ อาราวเน่” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ
ทันใดนั้น ที่ฝั่งตรงข้ามจากจุดที่ข้ายืน ข้ารู้สึกได้ถึงการพลังวิญญาณของอีกสองร่างกำลังมุ่งหน้าขึ้นมาบนนี้เช่นกัน ท่านอุลคิโอร่าเงียบราวกับกำลังตัดสินใจบางอย่าง แล้วจึงกล่าวเสียงเรียบ
“พานางหลบออกไปซะกริมจอว์ อย่าให้นางเข้ามายุ่งกับการต่องสู้ของข้า”
เอสปาด้าลำดับหกที่ยืนกอดอกอยู่เฉยๆมาพักหนึ่งถึงกับเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้ยินคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้าออกคำสั่งใส่ แต่เมื่อจะตวาดกลับก็ถูกดักไว้ก่อน
“เจ้าคิดว่าสภาพร่างกายเจ้าในตอนนี้จะสู้ข้าได้งั้นรึกริมจอว์...? น่าจะรู้นะว่าพลังของเจ้าตอนนี้มันมันเทียบข้าไม่ได้เลยสักนิด”
“หนอย...เจ้าอุลคิโอร่า” กริมจอว์กัดฟันกรอดเมื่อโดนพูดแทงใจ...แต่ข้าว่าเขารู้ดีว่าที่ท่านอุลคิโอร่าพูดน่ะ ถูกต้องทุกประการ กริมจอว์เพิ่งจะฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ พลังของเขายังไม่กลับมาเต็มร้อย แต่ถ้าพูดตรงๆ ต่อให้ตอนนี้เขาแข็งแรงดี ข้าไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะรับมือท่านอุลคิโอร่าในร่างนี้ได้หรอก
“ก่อนตายข้าจะกระทืบไอ้แห้งนั่นให้ได้เลยคอยดู” กริมจอว์สบถออกมาอย่าโมโห พลางลากตัวข้าไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง กำแพงสูงของยอดระฟ้านั้น เขาเอนตัวพิงกำแพงแล้วเอามือทั้งสองข้างรวบข้ากดไว้กับตัวเองแน่น ข้าดิ้นขลุกขลักด้วยความอึดอัด...จะทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย โดนเจ้ากอดไว้แบบนี้ข้าไม่ปลื้มหรอกนะ ถ้าเป็นท่านอุลคิโอร่าล่ะว่าไปอย่าง แต่พอข้าจะเปิดปากบ่น
“หุบปากแล้วอยู่เฉยๆซะยัยตัวถ่วง” ข้าอ้าปากค้าง เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเอาเรื่อง
“ดูเงียบๆ ไม่งั้นข้าจะหาอะไรยัดปาก แล้วถ้ายังไม่หยุดดิ้นข้าหักแขนเจ้าทิ้งแน่” เขาพูดพลางเลื่อนสายตาคมกริบมาจ้องข้า
โอเค ไม่ดิ้นก็ได้ จากสายตาที่มองมาข้ารู้ว่าไอ้หัวฟ้านี่คงทำจริงแน่ๆ...
และแล้วเจ้าของพลังวิญญาณทั้งสองก็ปรากฏตัว ข้าลอบมองผ่านไหล่ของกริมจอว์ออกไป...ใช่จริงๆโอริฮิเมะจัง กับเพื่อนของเธอ รู้สึกจะชื่ออิชิดะ อุริว สินะ
“...มาแล้วรึ แม่หญิง” เสียงของนายท่านเรียกให้หล่อนหันหน้าขึ้นไปมอง แล้วภาพของคุโรซากิ อิจิโกะที่หมดสติแล้วถูกรัดคอลอยสูงเหนือพื้น ก็ทำให้เธอเบิกตากว้าง
“...คุโร...ซากิ...คุง...?”
“มาได้เหมาะเลย ดูเอาไว้ซะ”
ท่านอุลคิโอร่าเลื่อนสายตากลับไปมองเหยื่อที่ถูกรัดไว้ เขาค่อยๆยกมือขึ้นช้าๆ จรดนิ้วเรียวยาวสีดำสนิทลงบนกลางอกของยมทูตคนนั้น เอ่ยต่อเสียงเย็น
“ผู้ชายที่เจ้าฝากความหวังไว้”
ที่ปลายนิ้วสีดำของนายท่าน ซีโร่สีดำสนิทค่อยๆก่อตัวขึ้นช้าๆ
“พริบตาที่มันจบชีวิต”
“หยุดนะ!!!” โอริฮิเมะจังกรีดร้องดังก้อง ทว่า...
ซู่มมมมมมมมมม
ซีโร่ ออสคิวรัส...ซีโร่สีดำสนิทเจาะทะลวงหน้าอกของชายผมสีส้มเป็นวงกว้าง ร่างนั้นสะบัดไปด้านหลังตามแรงอัดกระแทก ปลายหางสีดำคลายออกช้าๆ ปล่อยทิ้งเหยื่อลงมาจากหอสูงอย่างเลือดเย็น ร่างนั้นร่วงละลิ่วตัดผ่านอากาศลงสู่เบื้องล่างราวกับเศษกระดาษ
“อ๊าาาาาาาาาาาาา!!!!!!”
โอริฮิเมะจังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง รีบพุ่งตัวไปยังจุดที่ร่างนั้นกำลังจะตกลงมา พลางเรียกพลังหกบุปผาของเธอออกมาสร้างเป็นโล่รองรับก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะกระแทกลงพื้น
“อา...อาาาา...” เธอครวญร้องอย่างคนเสียสติในขณะที่เท้าทั้งสองก็ยังคงมุ่งไปสู่ร่างที่กำลังจะไร้วิญญาณนั้น แต่แล้วก็ถูกขัดขวางโดยร่างปีศาจสีดำที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าในเสี้ยววินาที โอริฮิเมะชะงักฝีเท้า จ้องมองร่างตรงหน้า
“ไม่มีประโยชน์ ถึงจะเข้าไปหา แต่พลังระดับเจ้าไม่มีทางจะช่วยชีวิตมันได้” ท่านอุลคิโอร่าเอ่ยตอกย้ำความจริงใส่หน้าของหญิงสาวอีกครา แต่แล้วทันใดนั้นอิชิดะก็ลอบโจมตีใส่ท่านจากด้านหลังทันที
...หากพลังที่พุ่งมานั้นช่างน้อยนิดนัก เพียงแค่สะบัดปีกทีเดียวพลังทั้งหมดก็โดนตีกลับไป... ท่านอุลคิโอร่าหันหน้าไปสบตากับควินซี่ในชุดขาวคนนั้น เปิดโอกาสให้โอริฮิเมะจังเบี่ยงตัวหลบท่านอุลคิโอร่า ตรงไปใช้พลังรักษายมทูตผมสีส้มทันที
เกิดการระเบิดเป็นวงกว้าง ฝุ่นควันทั้งหลายคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ บดบังทัศนียภาพการมองเห็นทั้งมวล แต่ตรงกลางกลุ่มควันนั้น ข้ารู้ดีว่าการต่อสู้ระหว่างท่านเอสปาด้าลำดับที่สี่กับควินซี่สหายของยมทูตที่โดนทำร้ายยังคงดำเนินต่อไป
“นี่กริมจอว์...” ข้าเอ่ยเสียงแผ่ว คนถูกเรียกชื่อเลื่อนสายตาจากภาพการต่อสู้ลงมามองข้า
“ท่านอุลคิโอร่าจะชนะแน่ๆ ใช่มั้ย”
“หึ...ระดับเจ้าชุดขาวนั่นสู้มันไม่ได้หรอก” กริมจอว์เอ่ยอย่างเซ็งๆ แล้วหันกลับไปสนใจการต่อสู้ตรงหน้าต่อ ควันเริ่มจางหายไปแล้ว และท่านอุลคิโอร่ากำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“ข้าก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”
แต่ทำไม ข้ากลับสังหรณ์ใจแปลกๆกันนะ
ข้าขยับตัวเล็กน้อย ละสายตาจากการต่อสู้ไปมองที่สตรีชาวมนุษย์ที่นั่งอยู่ไม่ไกล เธอคนนั้นเร่งพลังของตนเองขึ้นถึงขีดสุด รักษายมทูตที่นอนไร้สภาพอย่างรีบเร่ง เธอค่อยๆทรุดลงไปกองกับพื้น หยาดน้ำตามากมายไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยที่แลดูสิ้นหวัง ดูเหมือนว่าสภาพของชายที่ชื่อคุโรซากินั่นจะเกินกว่าที่เธอจะเยียวยาได้ เธอยกมือทั้งสองขึ้นกุมหัว รู้สึกกดดันและเคร่งเครียดราวกับสมองของเธอจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
จริงสิ...เยียวยา...พลังของโอริฮิเมะจังไม่ใช่เยียวยานี่นา? พลังของเธอคือการย้อนเวลา ปฏิเสธเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ ขนาดเมโนรี่ที่ร่างกายสลายไปครึ่งตัวพลังของเธอยังเรียกกลับมาได้เลย
ข้าขมวดคิ้วเมื่อจับได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
ผ่านมาพักนึงแล้วไม่ใช่เหรอ? เวลาขนาดนี้กับคนที่แค่โดนเจาะอกเป็นรูอย่างน้อยก็น่าจะคืนสติได้แล้ว...
“กริมจอว์...ข้าว่ายมทูตที่ชื่อคุโรซากินั่น มีอะไรแปลกๆแล้วล่ะ”
“เจ้าหมายความว่าไง?” กริมจอว์ละสายตาจากการต่อสู้ลงมามองข้า ขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ
เสียงฉีกกระชาก และแรงกระแทกดังบึ้กดังลั่นดึงความสนใจของข้ากับกริมจอว์ไปอีกครั้ง อิชิดะ อุริว โดนท่านอุลคิโอร่าฉีกทำลายส่วนตั้งแต่ใต้ข้อศอกฝั่งซ้ายทิ้งไป ก่อนโดนซัดกระเด็นชนกำแพง ไหลครูดผ่านโอริฮิเมะจังไป เขาพูดกระซิบบางอย่างกับโอริฮิเมะจัง จากนั้นจึงเรียกดาบมาไว้ในมือขวาที่เหลือเพียงข้างเดียว แล้วพุ่งตัวเข้าไปหาท่านอุลคิโอร่าอย่างแน่วแน่อีกครั้ง หากแต่ก็โดนฟันจนเป็นแผลลงไปกองที่พื้นอย่างหมดรูป
ท่ามกลางความตึงเครียดที่ดูเหมือนฝ่ายเธอกำลังจะพ่ายแพ้ เพื่อนๆคนแล้วคนเล่าค่ยอๆล้มลง โอริฮิเมะจังที่ทนความกดดันไม่ไหวอีกต่อไปก็กรีดร้องออกมาเสียงดังทั้งน้ำตาอย่างสิ้นหวัง
“ช่วยด้วย คุโรซากิคุง!!!!”
ทันใดนั้น ร่างของชายเจ้าของชื่อที่นอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นทันที!
ความคิดเห็น