ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Bleach: Ulquiorra x Original] The Lullaby for my dream

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter13: รัตติกาลละเลงเลือด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1K
      52
      26 ธ.ค. 52

     

    อือ

     

    ข้าสะลึมสะลือตื่นขึ้นช้าๆ  แล้วก็ต้องครางออกมาเบาๆเมื่อรู้สึกเจ็บปลาบบริเวณลำคอยามพลิกตัว  ความเจ็บปวดนั้นทำเอาข้าลืมตาโพลง  ตื่นสนิทอย่างรวดเร็ว

     

    ในที่สุดก็ตื่นซะที

     

    เสียงทุ้มข้างตัวเรียกให้ข้าเบนหน้าไปมอง  ข้ากระพริบตาไล่หยาดน้ำตาที่บังให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือนออกไป  แล้วก็พบกับภาพเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่คุ้นตา

     

    กริมจอว์...

     

    ร่างนั้นนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่ข้างตัวข้าที่กำลังนอนราบอยู่บนพื้นทราย  ข้าใช้เวลาซักพักเพื่อตั้งสติ  แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ก็รีบดันตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว  แต่แล้วก็รู้สึกมึนหัวและเซจนต้องเอามือยันพื้นไว้

     

    อย่าเพิ่งรีบลุก ร่างกายเจ้าเสียเลือดไปมาก นั่งพักปล่อยให้เลือดค่อยๆไหลไปทั่วร่างกายก่อน ถ้ารีบขยับตัวเกินไปเดี่ยวก็ล้มหรอกกิมจอว์เอ่ยเตือน

     

    ข้าเผลอหลับไปนานเท่าไหร่กัน

     

    ...ซักพักนึง...ที่จริงไม่น่าจะเรียกว่าหลับหรอกนะ ต้องเรียกว่าทนความเจ็บปวดไม่ไหวแล้วก็เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติมากกว่า...อ่อนแอชะมัด กริมจอว์แก้คำให้ แต่ไม่วายทิ้งคำเหน็บแนมที่ทำข้าต้องจ้องกลับตาเขียวปั๊ด...ก็แล้วที่ข้าเป็นแบบนี้มันเพราะช่วยใครกันล่ะ?

     

     

    แล้วข้าก็นึกขึ้นได้  รีบกวาดสายตามองร่างตรงหน้า

     

    ตอนนี้ร่างกายเจ้าเป็นยังไงบ้างกริมจอว์

     

    ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยบาดแผลทั้งหมดก็สมานกันสนิท ถึงจะยังเจ็บอยู่บ้างก็เถอะเขากล่าวพลางเหลือบตามองมาที่ข้า

     

    พลังฟื้นฟูจากเลือดของเจ้านี่สุดยอดจริงๆ

     

    ขอบคุณที่ชมข้ามองคนตรงหน้าพลางยิ้ม แล้วจึงค่อยๆลุกขึ้น เมื่อยืนแล้วยังรู้สึกมึนๆเล็กน้อยเพราะเลือดไหลเวียนไม่ทัน แต่ครู่เดียวก็เป็นปกติ

     

    รีบไปหาท่านอุลคิโอร่ากันเถอะข้าเอ่ยพลางหันหน้าไปยังทิศทางที่ข้ารับรู้ได้ถึงการต่อสู้ของนายท่านกับยมทูตคนนั้น แต่แล้วรังสีกดดันรุนแรงมหาศาลก็แผ่พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับความมืดมากมายที่แผ่ขยายเข้าปกคลุมปราสาท กลืนกินทั้งหมดเป็นบริเวณกว้าง...ความรู้สึกนี้ พลังของท่านอุลคิโอร่า!

     

    เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ข้ารีบหันหน้าไปถามเอสปาด้าที่อยู่ข้างกายทันที

     

    กริมจอว์ขมวดคิ้ว  จ้องมองไปยังทิศทางของพลังมากมายที่ไหลทะลักออกมา

     

    พลังที่เกิดจากการปลดปล่อยของเอสปาด้าลำดับที่4ขึ้นไป...นี่ถึงขนาดเจ้านั่นยังต้องคืนร่างเลยเหรอเนี่ย

     

    ท่านอุลคิโอร่าคลายผนึก  ทั้งๆที่ข้าไม่เคยเห็นท่านทำมาก่อน...

     

    ไม่ได้การแล้ว...

     

    รีบไปกันเถอะกริมจอว์

     

    ข้าพูดพลางรีบออกวิ่งทันที  เอสปาด้าลำดับที่หกพยักหน้าตอบรับ แล้วออกตัวตามข้ามา...

     

    เราสองคนวิ่งไปเรื่อยๆตรงสู่จุดเป้าหมาย  ทั้งที่ตามจริงแล้วกริมจอว์วิ่งเร็วกว่าข้ามาก แต่เขาก็ลดระดับฝีเท้าลงแล้ววิ่งอยู่ข้างๆข้า พลางคอยสังเกตอาการของข้าตลอด สักพักพอเห็นว่าข้าเริ่มมีอาการหอบ และความเร็วฝีเท้าเริ่มลดลง เขาจึงเอ่ยเตือน

     

    พักหน่อยดีกว่าไหม เดี๋ยวร่างกายก็ไม่ไหวเอาหรอก

     

    ไม่...ข้า...ข้าอยากไปหาท่านอุลคิโอร่าให้เร็วที่สุดข้าตอบกลับทั้งที่เริ่มรู้สึกหายใจไม่ทัน แต่ก็ยังกัดฟันวิ่งต่อ เพราะความกังวลมันมีมากกว่า

     

    ยิ่งเข้าใกล้ท่านอุลคิโอร่าเท่าไหร่ ใจข้าก็รู้สึกกลัวขึ้นเรื่อยๆ...ข้ารู้สึกไม่ดีเลย...กริมจอว์เจ้ารู้ไหม ทุกทั้งที่ข้ารู้สึกแบบนี้ มันจะต้องมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นเสมอ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผิดพลาด ถึงแม้ว่าบางครั้งข้าจะภาวนาให้ข้าคิดไปเองเท่าไหร่ก็ตามที

     

    แต่ถ้าขืนเจ้ายังวิ่งต่อไปแบบนี้ เจ้าได้ล้มก่อนถึงที่นั่นแน่   เจ้าฝืนออกแรงมากเกินตัวติดต่อกันมานานเกินไปแล้ว พักก่อนแล้วค่อยไปถึงช้าลงอีกนิดมันไม่เป็นอะไรหรอกน่าน้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างหงุดหงิด

     

    แต่พอเห็นว่าข้าไม่สนใจฟังคำเตือนเขาก็สบถออกมา

     

    โธ่เว้ย!  ยัยผู้หญิงดื้อด้าน

     

    ห๊ะ!!”

    แล้วข้าก็ต้องตกใจร้องกรี๊ดออกมาเมื่อโดนมือแกร่งรวบอุ้มร่างข้าขึ้นสูงจากพื้นโดยที่ไม่ทันตั้งตัว  ก่อนจะวางพาดลงบนบ่าของเขา กริมจอว์เอามืออีกข้างแยงหูเพราะเสียงกรีดร้องของข้า  ตวาดออกมาในขณะที่เร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้นไปอีก

     

    เสียงของเจ้าจะทำให้ข้าหูหนวกเอา หุบปากซะ ไม่อย่างนั้นข้าโยนเจ้าทิ้งก่อนถึงแน่

     

    ขะ...ขอบใจข้าพึมพำ รู้สึกเขินอยู่หน่อยๆ แล้วก็เอามือทั้งสองข้างขยุ้มเสื้อของเขาเอาไว้แน่นเพราะกลัวหล่น ระหว่างทางที่วิ่งนั้น ข้าอดคิดไม่ได้เลยจริงๆว่า

     

    ...แม้แต่คนที่นิสัยห่ามๆอย่างกริมจอว์เอง  ก็มีมุมที่ใจดีกับคนอื่นอยู่บ้างเหมือนกันแฮะ...

     

    ///////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    สักพักเมื่อเริ่มเข้าใกล้ตัวปราสาทพวกเราทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงประดาบ  กริมจอว์จึงลดฝีเท้าให้เบาลง แล้วหลบซ่อนตัวอยู่หลังเศษซากปรักหักพังที่อยู่ใกล้ๆ  เขาวางข้าลง พลางยกมือแตะปากบอกให้เงียบ  พวกเราลอบมองออกไปเบื้องหน้า  แล้วก็พบกับกลุ่มยมทูตและสหายของอิโนะอุเอะ โอริฮิเมะที่กำลังสู้อยู่กับหัวหน้าหน่วยล่าสังหารที่สร้างกองทัพอารันคาร์หัวกะโหลกออกมามากมาย

     

    ...ถึงจะถูกรุม  แต่ดูเหมือนหัวหน้าหน่วยเอ็กซีคิวส์คนนั้นก็ยังต่อสู้ได้โดยไม่เสียเปรียบเท่าไหร่  และดูเหมือนทั้งสองฝ่ายก็จะต่อสู้กันเพลินจนไม่ทันจับการมีตัวตนของข้ากับกริมจอว์ได้...

     

    เลี่ยงไปทางนั้นเถอะ

     

    กริมจอว์หรี่เสียงกระซิบ  พลางกลอกตาไปยังมุมอับด้านหลังวัง  ห่างจากจุดที่กำลังเกิดการต่อสู้ออกไปไกลพอควร 

     

    ปิดโซนีด กดพลังวิญญาณให้ต่ำที่สุด...แล้วตามมา

    พูดจบเขาก็วิ่งออกไปโดยเร็ว  แต่ฝีเท้าเงียบกริบ ข้าจึงทำตามที่เขาบอกแล้ววิ่งตามออกไปทันที  เราทั้งคู่ผ่านเข้าไปในตัววังได้โดยไม่มีใครทันสังเกต  จากนั้นจึงวิ่งขึ้นไปยังชั้นบนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ  ระหว่างนั้นข้าก็อดไม่ได้ที่จะมองสภาพโดยรอบอย่างน่าสังเวช

     

    ...อดีตวังลาส์ นอเช่ที่เคยตั้งตระหง่าน ยิ่งใหญ่สวยงาม  บัดนี้ก็เหลือเพียงแค่เศษซากความเสียหายจากสงครามการต่อสู้เท่านั้น...พังพินาศขนาดนี้...คงไม่มีทางที่จะบูรณะให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้วล่ะ

     

    แล้วข้าก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องดังลั่นอย่างโกรธแค้นจากด้านนอก

     

    ว้ากกกกกกกกก

     

    โครม!!!

     

    เสียงเหมือนของหนักร่วงลงกระแทกพื้นเบื้องล่าง  ข้าก้มหน้าลงมองด้านล่าง แล้วจึงเงยหน้าพูดลอยๆกับกริมจอว์

     

    สะ...เสียงเหมือนยามี่เลยเนอะ

     

    ไม่เหมือนหรอก เสียงมันแน่นอนเขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ ยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ

     

    พอวิ่งขึ้นไปได้ซักพัก  บรรยากาศโดยรอบก็พลันบิดเบี้ยวรุนแรง

     

    คว้างงงงง!!!!

     

    “!!”

     

    แรงกดดันวิญญาณหนักหน่วงมหาศาลที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวกดทับจนข้าแทบทรุดลงไปกองกับพื้น   ข้าเอามือยันกำแพงข้างตัวไว้ พลางหอบหายใจอย่างยากลำบาก  ข้าเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้า  กริมจอว์เองก็หยุดวิ่ง  ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน

     

    มันเกิดอะไรขึ้นข้างบนนั่นกันแน่?”  ข้าได้ยินเขาสบถ  แล้วจึงหันกลับมามองข้าที่เกาะผนังหอบหายใจ

     

    ไหวรึเปล่าเจ้าน่ะ

     

    วะ...ไหว ขอปรับพลังแปบนะ เมื่อกี้ข้าไม่ทันตั้งตัวน่ะข้าตอบรับพลางหลับตาสูดหายใจลึกๆ แล้วค่อยผ่อนออกช้าๆ สักพักเมื่อรู้สึกดีขึ้นจึงยันตัวขึ้นอีกครั้ง กริมจอว์มองอย่างไม่ค่อยไว้ใจ

     

    สถาการณ์ไม่ปกติ พยายามอย่าอยู่ห่างข้าแล้วกัน แล้วก็ระวังตัวให้ตลอดเวลาด้วยเขาเอ่ยพลางเบนสายตามองขึ้นไปบนยอดปราสาท แล้วจึงเบนสายตากลับมาหาข้า

     

    จะไปหรือยัง

     

    ฮื่อ

     

    เมื่อข้าพยักหน้าตอบรับ  เขาจึงออกตัวอีกครั้ง  ข้าพยายามเร่งฝีเท้าตามชายตรงหน้าไปไม่ห่างเช่นกัน  เราทั้งคู่วิ่งพลางกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางขึ้นไปอย่างรวดเร็ว  ไม่นานก็หลุดขึ้นมาถึงยอดปราสาท  ท้องฟ้าสีครามซึ่งเป็นบรรยากาศจำลองถูกแทนที่ด้วยสีดำสนิทของผืนฟ้ายามรัตติกาลอันแท้จริง  เราทั้งคู่มองขึ้นไปยังแท่นยอดสูงเสียดฟ้าด้านบน  บนฉากหลังของเสี้ยวจันทราสีเหลืองนวลนั้น...มีเงาของคนสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่

     

    ข้าพยายามเพ่งมองดูร่างทั้งสองนั้น...หนึ่งในนั้นคือยมทูตที่ชื่อคุโรซากิ อิจิโกะที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดไหลโทรม  ต่อสู้อีกเพียงครู่  คอเขาก็โดนรัดแล้วถูกดึงจนร่างลอยสูงจากพื้นโดยส่วนหางของอีกฝ่าย...อารันคาร์เจ้าของปีกมหึมาและหางยาวสีดำทะมึน  ที่ตรงศีรษะมีเขาคู่หนึ่งยาวเฉียงออกมา  ข้าจ้องมองร่างนั้นนิ่ง

     

    ท่าน...อุลคิโอร่า?”  ข้าเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก  

     

    ...ร่างกายแบบนั้น คือท่านอุลคิโอร่าแน่เหรอ...

     

    เหมือนจะรับรู้ได้ถึงเสียงของข้า  ร่างนั้นหันหน้ามาช้าๆ  แววตาสีเขียวสดที่คุ้นเคยนั้นฉายแววประหลาดใจแว่บหนึ่งเมื่อเห็นข้ากับกริมจอว์  ก่อนกลับเป็นปกติ

     

    ข้าจำได้ว่าข้าสั่งให้เจ้าไปให้ไกลนะ อาราวเน่น้ำเสียงนั้นราบเรียบ

     

    ทันใดนั้น  ที่ฝั่งตรงข้ามจากจุดที่ข้ายืน  ข้ารู้สึกได้ถึงการพลังวิญญาณของอีกสองร่างกำลังมุ่งหน้าขึ้นมาบนนี้เช่นกัน ท่านอุลคิโอร่าเงียบราวกับกำลังตัดสินใจบางอย่าง  แล้วจึงกล่าวเสียงเรียบ

     

    พานางหลบออกไปซะกริมจอว์ อย่าให้นางเข้ามายุ่งกับการต่องสู้ของข้า

     

    เอสปาด้าลำดับหกที่ยืนกอดอกอยู่เฉยๆมาพักหนึ่งถึงกับเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้ยินคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้าออกคำสั่งใส่  แต่เมื่อจะตวาดกลับก็ถูกดักไว้ก่อน

     

    เจ้าคิดว่าสภาพร่างกายเจ้าในตอนนี้จะสู้ข้าได้งั้นรึกริมจอว์...?  น่าจะรู้นะว่าพลังของเจ้าตอนนี้มันมันเทียบข้าไม่ได้เลยสักนิด

     

    หนอย...เจ้าอุลคิโอร่ากริมจอว์กัดฟันกรอดเมื่อโดนพูดแทงใจ...แต่ข้าว่าเขารู้ดีว่าที่ท่านอุลคิโอร่าพูดน่ะ ถูกต้องทุกประการ กริมจอว์เพิ่งจะฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ พลังของเขายังไม่กลับมาเต็มร้อย แต่ถ้าพูดตรงๆ ต่อให้ตอนนี้เขาแข็งแรงดี ข้าไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะรับมือท่านอุลคิโอร่าในร่างนี้ได้หรอก

     

    ก่อนตายข้าจะกระทืบไอ้แห้งนั่นให้ได้เลยคอยดูกริมจอว์สบถออกมาอย่าโมโห พลางลากตัวข้าไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง กำแพงสูงของยอดระฟ้านั้น เขาเอนตัวพิงกำแพงแล้วเอามือทั้งสองข้างรวบข้ากดไว้กับตัวเองแน่น ข้าดิ้นขลุกขลักด้วยความอึดอัด...จะทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย โดนเจ้ากอดไว้แบบนี้ข้าไม่ปลื้มหรอกนะ   ถ้าเป็นท่านอุลคิโอร่าล่ะว่าไปอย่าง แต่พอข้าจะเปิดปากบ่น

     

    หุบปากแล้วอยู่เฉยๆซะยัยตัวถ่วงข้าอ้าปากค้าง เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเอาเรื่อง

     

    ดูเงียบๆ ไม่งั้นข้าจะหาอะไรยัดปาก แล้วถ้ายังไม่หยุดดิ้นข้าหักแขนเจ้าทิ้งแน่เขาพูดพลางเลื่อนสายตาคมกริบมาจ้องข้า

     

    โอเค ไม่ดิ้นก็ได้ จากสายตาที่มองมาข้ารู้ว่าไอ้หัวฟ้านี่คงทำจริงแน่ๆ...

     

    และแล้วเจ้าของพลังวิญญาณทั้งสองก็ปรากฏตัว  ข้าลอบมองผ่านไหล่ของกริมจอว์ออกไป...ใช่จริงๆโอริฮิเมะจัง กับเพื่อนของเธอ  รู้สึกจะชื่ออิชิดะ อุริว สินะ

     

    ...มาแล้วรึ แม่หญิงเสียงของนายท่านเรียกให้หล่อนหันหน้าขึ้นไปมอง แล้วภาพของคุโรซากิ อิจิโกะที่หมดสติแล้วถูกรัดคอลอยสูงเหนือพื้น ก็ทำให้เธอเบิกตากว้าง

     

    ...คุโร...ซากิ...คุง...?”

     

    มาได้เหมาะเลย ดูเอาไว้ซะ

     

    ท่านอุลคิโอร่าเลื่อนสายตากลับไปมองเหยื่อที่ถูกรัดไว้   เขาค่อยๆยกมือขึ้นช้าๆ  จรดนิ้วเรียวยาวสีดำสนิทลงบนกลางอกของยมทูตคนนั้น  เอ่ยต่อเสียงเย็น

     

    ผู้ชายที่เจ้าฝากความหวังไว้

     

    ที่ปลายนิ้วสีดำของนายท่าน  ซีโร่สีดำสนิทค่อยๆก่อตัวขึ้นช้าๆ

     

    พริบตาที่มันจบชีวิต

     

    หยุดนะ!!!” โอริฮิเมะจังกรีดร้องดังก้อง ทว่า...

     

    ซู่มมมมมมมมมม

     

    ซีโร่ ออสคิวรัส...ซีโร่สีดำสนิทเจาะทะลวงหน้าอกของชายผมสีส้มเป็นวงกว้าง  ร่างนั้นสะบัดไปด้านหลังตามแรงอัดกระแทก  ปลายหางสีดำคลายออกช้าๆ  ปล่อยทิ้งเหยื่อลงมาจากหอสูงอย่างเลือดเย็น  ร่างนั้นร่วงละลิ่วตัดผ่านอากาศลงสู่เบื้องล่างราวกับเศษกระดาษ

     

    อ๊าาาาาาาาาาาาา!!!!!!”

     

    โอริฮิเมะจังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง  รีบพุ่งตัวไปยังจุดที่ร่างนั้นกำลังจะตกลงมา  พลางเรียกพลังหกบุปผาของเธอออกมาสร้างเป็นโล่รองรับก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะกระแทกลงพื้น

     

    อา...อาาาา...เธอครวญร้องอย่างคนเสียสติในขณะที่เท้าทั้งสองก็ยังคงมุ่งไปสู่ร่างที่กำลังจะไร้วิญญาณนั้น แต่แล้วก็ถูกขัดขวางโดยร่างปีศาจสีดำที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าในเสี้ยววินาที โอริฮิเมะชะงักฝีเท้า จ้องมองร่างตรงหน้า

     

    ไม่มีประโยชน์  ถึงจะเข้าไปหา  แต่พลังระดับเจ้าไม่มีทางจะช่วยชีวิตมันได้ท่านอุลคิโอร่าเอ่ยตอกย้ำความจริงใส่หน้าของหญิงสาวอีกครา  แต่แล้วทันใดนั้นอิชิดะก็ลอบโจมตีใส่ท่านจากด้านหลังทันที

     

    ...หากพลังที่พุ่งมานั้นช่างน้อยนิดนัก  เพียงแค่สะบัดปีกทีเดียวพลังทั้งหมดก็โดนตีกลับไป... ท่านอุลคิโอร่าหันหน้าไปสบตากับควินซี่ในชุดขาวคนนั้น  เปิดโอกาสให้โอริฮิเมะจังเบี่ยงตัวหลบท่านอุลคิโอร่า ตรงไปใช้พลังรักษายมทูตผมสีส้มทันที

     

    เกิดการระเบิดเป็นวงกว้าง  ฝุ่นควันทั้งหลายคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ บดบังทัศนียภาพการมองเห็นทั้งมวล  แต่ตรงกลางกลุ่มควันนั้น  ข้ารู้ดีว่าการต่อสู้ระหว่างท่านเอสปาด้าลำดับที่สี่กับควินซี่สหายของยมทูตที่โดนทำร้ายยังคงดำเนินต่อไป

     

    นี่กริมจอว์...ข้าเอ่ยเสียงแผ่ว คนถูกเรียกชื่อเลื่อนสายตาจากภาพการต่อสู้ลงมามองข้า

     

    ท่านอุลคิโอร่าจะชนะแน่ๆ ใช่มั้ย

     

    หึ...ระดับเจ้าชุดขาวนั่นสู้มันไม่ได้หรอกกริมจอว์เอ่ยอย่างเซ็งๆ แล้วหันกลับไปสนใจการต่อสู้ตรงหน้าต่อ ควันเริ่มจางหายไปแล้ว และท่านอุลคิโอร่ากำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ

     

    ข้าก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”…แต่ทำไม   ข้ากลับสังหรณ์ใจแปลกๆกันนะ

     

    ข้าขยับตัวเล็กน้อย  ละสายตาจากการต่อสู้ไปมองที่สตรีชาวมนุษย์ที่นั่งอยู่ไม่ไกล  เธอคนนั้นเร่งพลังของตนเองขึ้นถึงขีดสุด  รักษายมทูตที่นอนไร้สภาพอย่างรีบเร่ง  เธอค่อยๆทรุดลงไปกองกับพื้น  หยาดน้ำตามากมายไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยที่แลดูสิ้นหวัง  ดูเหมือนว่าสภาพของชายที่ชื่อคุโรซากินั่นจะเกินกว่าที่เธอจะเยียวยาได้  เธอยกมือทั้งสองขึ้นกุมหัว  รู้สึกกดดันและเคร่งเครียดราวกับสมองของเธอจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

     

    จริงสิ...เยียวยา...พลังของโอริฮิเมะจังไม่ใช่เยียวยานี่นา?  พลังของเธอคือการย้อนเวลา ปฏิเสธเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่  ขนาดเมโนรี่ที่ร่างกายสลายไปครึ่งตัวพลังของเธอยังเรียกกลับมาได้เลย

     

    ข้าขมวดคิ้วเมื่อจับได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

     

    ผ่านมาพักนึงแล้วไม่ใช่เหรอ?  เวลาขนาดนี้กับคนที่แค่โดนเจาะอกเป็นรูอย่างน้อยก็น่าจะคืนสติได้แล้ว...

     

    กริมจอว์...ข้าว่ายมทูตที่ชื่อคุโรซากินั่น  มีอะไรแปลกๆแล้วล่ะ

     

    เจ้าหมายความว่าไง?”  กริมจอว์ละสายตาจากการต่อสู้ลงมามองข้า  ขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ

     

    เสียงฉีกกระชาก และแรงกระแทกดังบึ้กดังลั่นดึงความสนใจของข้ากับกริมจอว์ไปอีกครั้ง  อิชิดะ อุริว โดนท่านอุลคิโอร่าฉีกทำลายส่วนตั้งแต่ใต้ข้อศอกฝั่งซ้ายทิ้งไป  ก่อนโดนซัดกระเด็นชนกำแพง ไหลครูดผ่านโอริฮิเมะจังไป  เขาพูดกระซิบบางอย่างกับโอริฮิเมะจัง  จากนั้นจึงเรียกดาบมาไว้ในมือขวาที่เหลือเพียงข้างเดียว  แล้วพุ่งตัวเข้าไปหาท่านอุลคิโอร่าอย่างแน่วแน่อีกครั้ง  หากแต่ก็โดนฟันจนเป็นแผลลงไปกองที่พื้นอย่างหมดรูป

     

    ท่ามกลางความตึงเครียดที่ดูเหมือนฝ่ายเธอกำลังจะพ่ายแพ้  เพื่อนๆคนแล้วคนเล่าค่ยอๆล้มลง  โอริฮิเมะจังที่ทนความกดดันไม่ไหวอีกต่อไปก็กรีดร้องออกมาเสียงดังทั้งน้ำตาอย่างสิ้นหวัง

     

    ช่วยด้วย คุโรซากิคุง!!!!”

     

    ทันใดนั้น  ร่างของชายเจ้าของชื่อที่นอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นทันที!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×