ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TWO? Part II Magical Faculty of Metropolitan University

    ลำดับตอนที่ #2 : Episode1 Act 2 : วิทยาเขตใหม่..ตึกใหม่..สายลับ!

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 47


    11:00 ห้องอธิการบดี วิทยาเขตหลัก มหาวิทยาลัยเมโทรโพลิแทน



        ห้องนั้นเป็นห้องทำงานเล็กๆไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็สามารถวางชุดรับแขกสำหรับห้าคนได้อย่างไม่แออัด ผู้ใช้ชุดรับแขกในวันนี้มีเพียงสองคนเท่านั้น ทั้งสองจึงต่างเลือกนั่งเก้าอี้นวมเดี่ยวที่หันประจันหน้ากัน เบื้องหน้าทั้งสองคือเหยือกกาแฟสดกลิ่นหอมกรุ่นกับเหยือกน้ำแครอทสีส้มอ่อน พร้อมคุกกี้และบิสกิตสำหรับกินแกล้มเครื่องดื่ม ทั้งที่อาหารตรงหน้าต่างเป็นที่ชื่นชอบของบุคคลทั้งสองแท้ๆ แต่กลับไม่มีใครแตะต้องอาหารว่างอันหอมหวนนี้เลยแม้เพียงนิดเดียว เพราะบทสนทนาอันเคร่งเครียดในวันนี้ เกี่ยวพันถึงเส้นทางการศึกษาของนักเรียนอีกร่วมร้อยชีวิตซึ่งสูญเสียสถานที่เรียนไปนั่นเอง



        \"เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวนะ\"

    บุรุษเจ้าของห้องเอ่ยทำลายความเงียบหลังจากเบื่อหน่ายเกมประสานสายตาที่ดำเนินมาถึงสามสิบนาที พลางหยิบแก้วน้ำแครอทมาดื่มเสียสมใจอยาก

        \"ก็ไม่ใหญ่เท่าไรหรอก แค่ตึกเรียนถล่มลงมาเท่านั้น ใช้เวทมนตร์สร้างขึ้นใหม่ในเจ็ดวันยังได้\"

    หญิงสาวผู้มาเยือนตอบด้วยท่าทางไม่เคร่งเครียดผิดกับเวลาเล่นเกมจ้องตากับอธิการบดีของตนลิบลับ



        \"ถ้าทำได้คงไม่ถ่อสังขารมาจากเดดวัลเล่ย์ล่ะมั้ง\"

    บุรุษหนุ่มซึ่งคาดคะเนอายุแล้วไม่น่าเกินยี่สิบปียิ้มยิงฟันขาวสะอาดอย่างขบขันเมื่อเห็นสีหน้าปั้นยากของคณบดีในสังกัด



        \"ใช่! ถ้าทำได้\"  เรย์ชู ลูน่ากัดฟันตอบก่อนอธิบาย



        \"ถ้าพวกผีดิบไม่ผุดขึ้นมาจากนรกนับพันนับหมื่น แถมเพ่นพ่านไปทั่ววิทยาเขตจนผู้ดูแลต้องประกาศการอพยพอย่างปัจจุบันทันด่วน และเรียกหน่วยรักษาความปลอดภัยมากางกั้นอาณาเขตสะกดพวกมันไม่ให้ออกจากเดดวัลเล่ย์ได้ทันการ\"

    หญิงสาวซึ่งคาดคะเนอายุจากริ้วรอยบนใบหน้ายามไม่สบอารมณ์ว่าคงไม่เกินสามสิบขมวดคิ้วพร้อมเม้มปากแน่นเมื่อเห็นท่าทีไม่อนาทรร้อนใจของอีกฝ่ายผู้เป็นคนก่อตั้งมหาวิทยาลัยนี้มาเมื่อหกสิบปีก่อน



        \"คงรู้สึกเสียหน้ามากสินะที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในวาระดำรงตำแหน่งตลอดห้าสิบปีนี้\"

    ลูซิเฟอร์ ลูซิกา พูดยิ้มๆเช่นเคยพลางหยิบคุกกี้องุ่นขึ้นมาเคี้ยวแกล้มน้ำแครอทแก้วที่สอง



        \"ไม่ใช่อย่างนั้น!\"

    คณบดีคณะเวทมนตร์ศาสตร์ถลันลุกขึ้นกรีดร้องใส่อีกฝ่ายอย่างลืมตัว แต่ชั่ววินาทีต่อมาก็ได้สติเลยหยิบถ้วยกาแฟคาปูชิโนใส่ฟองนมเยอะๆมาจิบแก้เกี้ยวและแก้ตัวแบบน้ำขุ่นเล็กน้อย



        \"ฉันแค่ตกใจนิดหน่อยที่เรื่องมาเกิดขึ้นในคืนพระจันทร์แดงพอดี และจนบัดนี้อาจารย์ที่อาสาเข้าไปกู้ข้อมูลเอกสารต่างๆในตึกก็ยังทำไม่สำเร็จร้อยเปอร์เซนต์ หากเป็นเช่นนี้กว่าจะกำจัดผีดิบจากนรกนั่นได้หมด และฟื้นฟูวิทยาเขตขึ้นมาใหม่คงไม่ทันเปิดเทอมนี้แน่\"

        \"ถ้าฟื้นฟูไม่ทันก็หาที่ใหม่เลยซิ\"

    อธิการบดีหนุ่มแต่ภายนอกพูดยิ้มๆ และให้ข้อเสนอที่ทำเอาคณบดีซึ่งรู้จักกันมามากกว่าร้อยปีอ้าปากค้าง



        \"ตึกใหม่คณะเศรษฐศาสตร์สร้างเสร็จพอดี ตอนแรกว่าจะใช้ตึกเก่าเป็นที่พักอาจารย์และเก็บเอกสาร แต่ในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็ยกให้คณะเวทมนตร์ศาสตร์ละกัน\"



        \"หมายความว่าจะให้เด็กคณะฉันมาเรียนร่วมกับคณะอื่นๆได้อย่างนั้นเหรอ?\"

    สาวผมทองละล่ำละลักถามอย่างไม่เชื่อหูตนเอง



        \"ไหนๆก็มีเด็กคณะเวทมนตร์ศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่เลือกเรียนวิชาโทของคณะในวิทยาเขตนี้นี่นา มาเรียนร่วมกันก็ไม่เป็นไรหรอก เธอจัดการดัดแปลงตึกเก่าๆนั่นให้เป็นคณะเวทมนตร์ศาสตร์ภายในปิดเทอมนี้ได้ก็พอ แล้วหอพักก็ให้มาใช้ที่MU-DORM(เอมยูดอร์ม)ของวิทยาเขตนี้ แต่อย่าให้เด็กเธอไปรุกรานตึกใหม่ของคณะเศรษฐศาสตร์แล้วกัน!\"

    เน้นประโยคสุดท้ายเป็นพิเศษ เพราะรู้กิตติศัพท์ของเด็กในสังกัดอีกฝ่ายดี



        \"เธอช่างรู้ใจฉันอะไรเช่นนี้!\"

    เรย์ชู ลูน่าแทบจะโผเข้ากอดอีกฝ่ายทีเดียว ถ้าลูซิเฟอร์ ลูซิกาไม่ยกเท้าขึ้นมาพาดโต๊ะรับแขกเสียก่อน



        \"รับรองว่าเด็กของฉันไม่ทำตัวเป็นอันธพาลเหมือนหลายๆคนในวิทยาเขตนี้แน่นอน\"

    คณบดีสาวไม่ทราบอายุที่แท้จริงรับคำอย่างแข็งขัน แต่หากเจ้าตัวมีพลังพยากรณ์สักเล็กน้อยละก็คงจะหนักใจในไม่ช้าเป็นแน่ เมื่อจอมเวทย์ฝึกหัดทั้งหลายที่ไปเที่ยวพักผ่อนช่วงปิดเทอมจะกลับมาพบว่าต้องอยู่ร่วมวิทยาเขตเดียวกันกับใครบางคน และยังต้องใช้ตึกตรงข้ามกับคณะของใครบางคนที่ร้ายกาจเหล่านั้นเสียอีก!



    เจ็ดวันต่อมา คณะเวทมนตร์ศาสตร์(อาคารคณะเศรษฐศาสตร์เก่า) วิทยาเขตหลัก มหาวิทยาลัยเมโทรโพลิแทน



        วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสไม่มีเมฆหมอกปกคลุมสมเป็นกลางฤดูร้อน ดวงอาทิตย์ส่องแสงแผดกล้าเหนือพื้นซีเมนต์จนร้อนระอุระดับสามารถมองเห็นมิราจได้ในระยะสามเมตร



    แต่มีเพียงที่เดียว…ที่แห่งเดียวซึ่งมีหิมะโปรยปรายลงมาตั้งแต่เช้า

    สถานที่เดียวซึ่งหันหลังชนกันกับอาคารใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จไม่ถึงเดือนของคณะเศรษฐศาสตร์ สถานที่นั้นเป็นอาคารก่ออิฐสีแดงเก่าแก่ขนาดแปดชั้น สูงใหญ่ สวยงาม และเข้มขลังด้วยอำนาจของกาลเวลา ป้ายศิลาหินอ่อนเก่าแก่ขนาดหนึ่งคูณสองเมตรซึ่งตั้งอยู่เหนือบันไดทางขึ้นอาคารจารึกอักษรด้วยหมึกสีทองเป็นประกายวาววามเอี่ยมอ่องว่า



                                                             ‘The Faculty of Magician คณะเวทมนตร์ศาสตร์’



        ชายสี่และหญิงหนึ่งซึ่งคาดคะเนจากหน้าตาและการแต่งตัวทันสมัยแล้ว น่าจะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ก้าวเท้าเข้าไปในอาคารอย่างไม่ลังเลแม้แต่จะมองป้ายชื่อคณะ หรือใส่ใจกับหิมะที่โปรยปรายลงมาเหนือตัวอาคารและอาณาบริเวณล้อมรอบในระยะหนึ่งร้อยเมตร ทั้งห้าสาวเท้าอย่างสบายๆพลางปัดละอองหิมะที่ติดตามเนื้อตัวจนกระทั่งมาถึงห้องชั้นบนสุด แผ่นป้ายดินเผาเก่าคร่ำแปะตัวอักษรภาษาอังกฤษซึ่งทำจากกระเบื้องเคลือบสีครามอ่านได้ใจความว่า



                                                                      ‘Reishuu Luna, Dean of Magical Faculty’



        หญิงสาวหน้าตาสดใสเพียงคนเดียวในกลุ่มเคาะประตูสามครั้ง ก่อนก้าวเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาต เบื้องหน้าผู้มาเยือนทั้งห้าคือหญิงสาวร่างผอมบาง เรือนร่างสูงโปร่ง ผิวขาวใสอมชมพูราวตุ๊กตากระเบื้องยุโรปเก่าแก่เนื้อดี ปล่อยผมสีทองยาวเลยบ่าโดยรวบปลายผมไว้ด้วยยางรัดสีแดงแบบจะหลุดมิหลุดแหล่ สวมแว่นกรอบวงรีใหญ่ไม่มีหมอนรองจมูกแต่กลับสามารถเกาะติดสันจมูกโด่งเหมือนยัดซิลิโคนเข้าไปได้อย่างพอเหมาะ ตรงลำคอระหงดั่งนางหงส์มีเชือกหนังร้อยไม้กางเขนเงินประดับอยู่ เรือนร่างผอมบางนั้นยิ่งดูโดดเด่นสะดุดตาเมื่อสวมใส่เสื้อยืดคอกว้างแขนล้ำ กับกางเกงยีนส์เอวต่ำรัดรูปประดับโซ่เงินมากมายส่งเสียงกรุ๊กกริ๊กยามเจ้าตัวขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

        \"ขอโทษค่ะที่มาสาย\"

    หญิงสาวเพียงคนเดียวในคณะเดินทางกล่าวขึ้นเมื่อเจ้าของห้องยังไม่ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าพร้อมเสียงบ่นพึมพำเรื่องค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณ



        \"อ้า…มิซูกิจังนี่เอง\"

    คณบดีคณะเวทมนตร์ศาสตร์ลุกจากเก้าอี้นวมหนานุ่มหมุนได้ ปรับระดับได้สำหรับใช้นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะมาต้อนรับเหล่าอาจารย์ในสังกัด

        \"สถานการณ์ที่เดดวัลเล่ย์เป็นไงบ้าง\"



        \"อาจารย์ภาควิชาเอกเนโครมันเซอร์ ทั้งห้ารับหน้าที่สร้างอาณาเขตผนึกดินแดนอยู่ค่ะ คาดว่ากว่าจะหาทางปิดมิตินรกที่ซ้อนทับวิทยาเขตสำเร็จคงต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปี แต่เอกสารสำคัญทั้งหมดก็กู้กลับคืนมาได้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ผลการสืบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้นค่ะ\"

    มิคาซึกิ มิซูกิ อาจารย์หัวหน้าภาควิชาไสยเวทตะวันออก สอนวิชาสายองเมียวจิรายงานอย่างเป็นทางการ ผมสีส้มเหมือนชาดำเย็นของหล่อนรวบตึงเป็นหางม้าโชว์ลำคอเรียวระหงงดงาม ดวงตาแดงก่ำเหมือนทับทิมสีเลือดทอประกายลึกล้ำจริงจัง



        \"จากการตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องในที่เกิดเหตุ ณ คืนนั้น พบว่ามีนักศึกษาสาขาวิชาเอกเนโครมันเซอร์สิบสามคนหายสาปสูญครับ\"

    อาจารย์เจ้าของวิชาประวัติศาสตร์ผูกพยนต์ในยุคต่างๆของโลกซึ่งใครๆเรียกกันว่า ‘โมโมะ’ โดยไม่ใส่ใจนามที่แท้จริงกล่าวรายงาน ประกายในดวงตาคนละสีคู่นั้นบ่งบอกว่าคนพูดยังเยาว์วัยยิ่งนัก หากแต่ระดับภาษาที่ใช้บ่งบอกถึงความสามารถของสมองได้เป็นอย่างดี

    ในศตวรรษที่ยี่สิบสองนี้มีมนุษย์ผู้สามารถใช้สมองได้ถึงร้อยเปอร์เซนต์เพิ่มขึ้นมากทีเดียว แต่ก็นับเป็นอัตราส่วนเพียงหนึ่งในล้านอยู่ดีเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรโลก และโมโมะก็เป็นชนกลุ่มน้อยในอัตราส่วนที่ว่านั้น ด้วยความสามารถในการจดจำที่แม่นยำไม่มีวันสูญหายเหมือนฮาร์ดดิสก์อันบอบบางนี้ จึงได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์ภาควิชาผูกพยนต์กลไกเมื่ออายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น

        \"นักศึกษาทั้งสิบสามคนนี้พักอยู่ในหอพักนักศึกษาช่วงปิดเทอมปลาย เพื่อทำวิทยานิพนธ์ให้เสร็จ ในคืนวันเกิดเหตุไม่มีนักศึกษาคนอื่นพบเห็นในหอพักตลอดทั้งวัน คาดว่าคงอยู่ในอาคารเรียนจนเกิดเหตุขึ้นครับ\"



        \"แต่ยังไม่สามารถชี้ชัดไปได้ว่าทั้งสิบสามคนเสียชีวิตระหว่างทำการทดลอง จึงประกาศว่าไปทำวิจัยนอกสถานที่แทน!\"

    ชายหนุ่มหน้าอ่อนกว่าอายุนับร้อยปีอีกคนรายงานแบบห้วนๆ เป็นกันเองสมกับชุดลำลองที่สวมใส่เหมือนนักศึกษาชายที่ชอบแหกกฎมหาวิทยาลัยทั้งหลาย นัยน์ตาสีเขียวคล้ำดั่งเม็ดมรกตยังไม่ถูกหุงนั้นทอประกายกรุ่นโกรธบางสิ่ง คณบดีเรย์ชูที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของอาจารย์ภาควิชาจิตวิญญาณ จึงอธิบายให้หายข้องใจ



                                 \"ถ้าเราไม่โกหก นักศึกษาคนอื่นๆจะเกิดความหวาดกลัว และร่ำลือถึงอาถรรพ์ของคณะที่ไม่มีจริงมากขึ้นไปอีก และถ้าเด็กสิบสามคนนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่หายสาปสูญไปเพราะเหตุสุดวิสัย ก็จะกลายเป็นแพะรับบาป โดนนินทาว่าร้ายต่างๆนานา ทำให้ไม่สามารถทนศึกษาต่อไปได้ เท่ากับเราตัดอนาคตเด็กหนึ่งโหลกับหนึ่งคนเชียวนะ…ไทน่า ยู\"



        ดูเหมือนคำอธิบายอย่างละเอียดยิบของหัวหน้าคณะจะทำให้อาจารย์มอซอสงบลงได้บ้าง อาการยีผมกระเซอะกระเซิงให้ยุ่งเหยิงเหมือนเพิ่งตื่นนอนมากขึ้นไปอีกก็บอกใบ้ให้รับรู้แล้วว่าอารมณ์ที่คุกรุ่นกลับสู่สภาวะสงบแล้ว



        \"เปิดตัวคณะได้มหัศจรรย์เกินไปหรือเปล่า ท่านเรย์ชู\"    เซราฟิม อัลบิส ไซเคียว ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาแต่มักจะปิดบังรูปลักษณ์ภายใต้ชุดเสื้อคลุมสีดำมีหมวกคลุมลงมาถึงดวงตา เว้นแต่วันนี้ซึ่งสวมใส่เสื้อแขนยาวกับกางเกงสแลคสีสุภาพ เอ่ยเรียบๆเมื่อการรายงานจบสิ้นลงแล้ว



        \"หึ หึ แค่นี้ยังน้อยไปนะสำหรับตึกใหม่ที่เราได้รับมาจากท่านอธิการผู้ใจดี\" คณบดีคณะเวทมนต์ศาสตร์ทำเสียงมีเลศนัย ก่อนเกริ่นถึงการเปิดตัวครั้งต่อไป

        \"กะว่าพอเปิดเทอมจะทำให้ดอกซากุระปลิวว่อนทั่วทั้งคณะเลยล่ะ\"



        อาจารย์ทั้งห้าอยากจะค้านเต็มแก่ว่า นิสัยชอบเล่นสนุกแบบนี้นี่แหละที่จะทำให้คนธรรมดาเขม่นนักเรียนในคณะ แต่ก็ไม่กล้าเพราะรู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คอขาดบาดตายแล้ว อย่าหวังเลยว่าจอมเวทย์อัจฉริยะผู้ไม่ยอมแก่ยอมตายจะเปลี่ยนใจ



        \"แล้วเรื่องการสืบสวนสาเหตุในหมู่นักเรียนล่ะครับ\"

    ทรอล…อาจารย์ร่างยักษ์ซึ่งพูดน้อยจนแทบจะนับคำได้ แต่หารู้ไม่ว่าถ้าเป็นสัตว์แล้วล่ะก็จะคุยจ้อจนลิงหลับไปเลย รีบกลับเข้าประเด็นที่ทุกคนกำลังเบี่ยงเบนไป



        \"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ฉันได้เชิญนักสืบกิตติมศักดิ์ทั้งสี่มาเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง เพื่อสืบสวนจากพวกนักเรียนแล้ว\"

    รอยยิ้มอย่างมั่นใจยิ่งยวดของท่านคณบดีไม่ได้ทำให้อาจารย์ทั้งห้ารู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเลยแม้แต่น้อย จนอาจารย์สังกัดภาควิชาไสยเวทตะวันตก เอกมนต์อินเดียนแดง แต่กลับมวยผมสีดำสนิทเป็นจุกอยู่กลางกระ หม่อมคนเดิมต้องถามอีกครั้ง



        \"ไม่ทราบว่าพอจะแจ้งชื่อให้พวกเรารับรู้ได้ไหมครับ จะได้ไม่เผลอไปขัดขวางการสืบสวน\"



        \"ไม่ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นพิเศษนักหรอกน่า อย่าลืมนะว่าเด็กๆของเราน่ะความรู้สึกไวเป็นพิเศษ แต่จะบอกชื่อให้ก็ได้ เผื่อทุกคนจะโล่งใจขึ้นบ้างว่าฉันไม่ได้จ้างมือสังหารมาฆ่าตัดตอนใคร!\"

    แล้วเรย์ชู ลูน่าก็หยิบปากกาทาหมึกซึมบนโต๊ะทำงานมาขีดเขียนเป็นตัวอักษรเหมือนไอน้ำสีแดงกลางอากาศ คำเหล่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ทั้งห้าก็เป็นเพียงอักษรกลับด้านในกระจกเท่านั้น แต่เมื่อคณบดีสาวเขียนนามทั้งสี่เสร็จสิ้น และตวัดปากกาเป็นสายสีแดงยาวผลักข้อความทั้งหมดให้กลับด้านมายังฝั่งตรงข้าม

    เหล่าอาจารย์จึงได้อ่านเป็นรายนามดังต่อไปนี้…

    1. เซเรน่า ชาราตัน (Serena Sharatan)

    2. นาซเซิล คออัส (Nassl Kaus)

    3. อาซากิริ ซากุระบะ (Asagiri Sakuraba)

    4. มิลฟิล เชอร์รี่ลีฟ (Milfeulle Cherryleaf)



    To be continued...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×