คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : KyliexK 05
“Reminding”
ในที่สุดฉันก็กลั้นใจเปิดมันอ่านจนได้ คอลัมน์ในโว้กที่แดนนี่ได้ลง
เขาได้รับเลือกเป็นหนึ่งในเจ็ดดีไซน์เนอร์เลือดใหม่ไฟแรงที่กำลังมีบทบาทในวงการแฟชั่นที่นิวยอร์ก แดนนี่ทำงานกับ Alexander Wang มาได้สักพัก ตอนนี้เขาออกมาทำงานกับนิตยสารหัวดังอีกที่ ในโว้กเขียนเกี่ยวกับงานเขาไว้ว่า...
'Danny's designs are full with impeccable charms...'
ดูสิว่าเขาไปไกลขนาดไหนแล้ว ฉันสะดุ้งเมื่อเข็มจิ้มเข้าในนิ้ว ความเจ็บจี๊ดตรงนิ้วชี้เรียกสติฉันกลับคืนมา และตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ห่างไกลกับแดนนี่แค่ไหน ฉันกำลังซ่อมกระโปรงของตัวเองที่มันขาดจากอุบัติเหตุเมื่อวันก่อน แม้แต่ซ่อมกระโปรงตัวเอง ฉันยังทำให้เลือดไหลได้เลย
“เย็บแค่นี้ เอาไปให้ช่างเย็บก็ได้" แม่กอดอกมองฉันจากหน้าประตูห้องรับแขก เธอคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ดูจากผมที่ยังเปียกชื้นอยู่
“เย็บแค่นี้ เอาไปให้ช่างเย็บทำไมต่างหาก" ฉันแก้ ฉันเรียนคลาสแฟชั่นดีไซน์มาตั้งแต่อายุสิบเจ็ด เป็นคลาสเล็กๆ ที่สอนวิธีการเย็บ ทำแพทเทิร์นและวาดรูปเบื้องต้น ฉันตั้งใจว่าจะสานต่อความฝันตัวเองตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฉันไม่เคยคิดว่าคลาสเล็กๆ นั่นจะเป็นคลาสเกี่ยวกับแฟชั่นอันสุดท้ายที่ฉันได้เรียน
แม่เดินหายไปในห้องครัว และกลับมาพร้อมกับขวดยาฆ่าเชื้อ ฉันวางเข็มลงและยื่นมือให้แม่แต่โดยดี เธอนั่งบนโซฟาและเทยาฆ่าเชื้อลงบนแผล ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยและรอให้แม่แปะปลาสเตอร์ยาให้
“แม่เห็นใบสมัครบนเตียง...”
ฉันตกใจ แต่พยายามไม่แสดงออก ใบสมัครที่เพิ่งปริ๊นท์ออกมาสดๆ ไม่ใช่สิ่งที่แม่ควรเห็น ไม่ใช่ว่าฉันต้องการจะปิดบัง เพียงแต่มันไม่ใช่เวลาที่ฉันตั้งใจให้แม่รู้
“จะสมัครทำงานเหรอ กับคนที่ชื่ออลาสแตร์อะไรนั่น"
ฉันปริ๊นท์ใบสมัครนั้นออกมาจริง ทั้งๆ ที่ตอนแรกแพทพยายามชักชวนแล้ว แต่ฉันเพิ่งมาคิดพิจารณามันอย่างจริงจังเอาเมื่อวานนี้ นี่เป็นโอกาสที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆ มันอาจจะไม่มีมีอีกเลยในช่วงชีวิตฉันก็ได้ หรืออาจจะตอนฉันอายุสามสิบ ยังไงก็เถอะ ฉันคิดว่าฉันไม่ควรจะปล่อยให้มันลอยผ่านหน้าไปโดยไม่ทำอะไร
การตัดสินใจนี้อาจจะเกี่ยวกับแดนนี่ หรืออาจะไม่เกี่ยวก็ได้
“แม่ถือวิสาสะอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกงานแล้ว" แม่พูดต่อ เธอแปะปลาสเตอร์ยาลงบนนิ้วฉันเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ลุกไปไหน "ถ้าเกิดได้งานมาจริงๆ จะได้ไปนิวยอร์กเลยนะ" ฉันพยักหน้า "เราจะทิ้งที่เรียนมาสองปีเหรอ"
“ก็แค่ลองดู" ฉันอยากจะยิ้ม แต่ยิ้มไม่ออก ร่างกายมันล้าเกินไปกว่าที่จะปั้นแต่ง "ถ้าได้หนูก็ไปนิวยอร์ก มันเป็นโอกาสที่ดีมาก แม่ก็รู้"
“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ" แม่ต้องถามแบบนั้นให้ได้สินะ
“ก็อยู่แบบนี้ต่อไป"
แม่ไม่ได้พูดอะไร เธอแค่มองฉัน ฉันจินตนการออกว่าแม่กำลังคิดอะไร สำหรับแม่แล้ว เรื่องนี้คงฟังดูเพ้อฝัน และลมๆ แล้งๆ แม่คิดว่าฉันไม่มีทางวิ่งไปถึงเส้นชัย เลยจะปล่อยให้ฉันวิ่งไปจนกว่าจะหมดแรงและวกกลับมาที่เดิมเอง
“เราจะไปสู้คนอื่นได้เหรอ" ฉันมองปลาสเตอร์ยาที่แม่เพิ่งแปะให้ มันเรียบเนียนไม่มีที่ติ ถ้าฉันแปะเองจะต้องออกมาทุลักทุเลแน่ๆ
“ถ้าเป็นแบบนั้น แม่คงจะมีความสุข ไม่ใช่หรือไง" ฉันไม่ได้สบตา ไม่กล้า เพราะกลัวจะเห็นความจริงจากแววตาของแม่
อีกฝ่ายเงียบ ฉันรอว่าแม่จะยกเรื่องของบิลลี่ขึ้นมาพูดมั้ย แต่ก็ไม่ เธอนั่งเงียบ ฉันได้ยินเสียงแม่กำลังใช้ความคิด เลยนั่งสงบเสงี่ยมไม่คิดจะแทรกแซง ถ้าแม่บอกว่าไม่ ฉันก็ต้องไม่ทำอยู่แล้ว แต่ฉันไม่คิดว่าแม่จะปฏิเสธ
“คืนนี้อย่าเข้านอนดึกล่ะ" เธอเปลี่ยนเรื่องพูด และจูบบนหน้าผากฉันเบาๆ
ความเงียบนั่นคือไฟเขียว ฉันแค่นยิ้ม ไม่ใช่ด้วยความดีใจ แต่ประชดประชันตัวเองต่างหาก ที่แม่ยอมอนุญาต ไม่ใช่เพราะเธอเชื่อในตัวฉัน แต่เพราะเธอไม่คิดว่าฉันจะไปไหนได้ไกลอยู่แล้ว
และนั่น...ยิ่งอยากทำให้ฉันพยายามมากขึ้น
[และเธอเหลือเวลาแค่สามวันในการทำพอร์ทส่งเข้าประกวด...]
พอเขาย้ำแบบนั้นแล้วก็เริ่มทำให้ฉันกังวลขึ้นมา ฉันขมวดคิ้วขณะที่หยิบกล่องนมส่งให้เอมี่ที่ยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์ แพทถอนหายใจเสียงดังใส่โทรศัพท์และพูดต่อ
[ตอนแรกฉันบอกเธอแล้วว่าโอกาสนี้มันดี ทำไมเพิ่งจะมาคิดได้]
“ฉันไม่อยากได้ยินคำแบบนั้นจากปากนายหรอกนะ" ฉันบอก และรับผ้าเช็ดโต๊ะที่เอมี่โยนมา เธอโบกมือไล่ให้ฉันไปเช็ดโต๊ะ ฉันยอม ไม่ได้คิดจะขัดอะไรเพราะฉันกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ให้เอมี่รับออเดอร์ลูกค้าไปจะดีกว่า
“นายควรจะพูดว่า เย้ ดีจัง เธอจะลงสมัครเหรอ ขอให้เธอได้รับเลือกด้วยเถอะ หรืออะไรแบบนั้น" ฉันพูดด้วยเสียงเนือยๆ ขณะที่เช็ดโต๊ะไปด้วย
[ฉันบอกแล้วไงว่าแม่เธอจะตกลง]
“ฉันแค่โชคดี" ฉันคิดแบบนั้นจริงๆ "ที่แม่ไม่เคยเชื่ออะไรในตัวฉันเลย ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ยอมให้ฉันลงสมัครโครงการนั้นหรอก"
[ไม่เห็นต้องพูดแบบนั้น] แพทแก้ได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเป็นเพื่อนฉัน เขาย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่ฉันพูดคือความจริง
“ถ้าแม่คิดจริงๆ ว่าฉันจะได้งานนั้นจริงๆ เธอไม่ยอมให้ฉันลงสมัครหรอก"
[ช่างเรื่องนั้นเถอะ ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องกังวลคือสิ่งที่เธอต้องเอาไปยื่นสมัครต่างหาก]
“นั่นสิ แบบสเกตช์ยี่สิบรูป แยกเป็นห้าคอลเลคชั่น และก็เสื้อผ้าจริงๆ หนึ่งลุคส์...”
[ฉันช่วยได้นะ]
“ขอบใจ" ฉันไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำของแพท ฉันยังไม่หายโกรธเขาเรื่อง...
[ตกลงเมื่อวันก่อน เธอไม่ได้เจอแดนนี่ใช่มั้ย] ฉันเงียบ ใช้เวลาเกือบห้าวินาทีในการสรรเสริญเชิดชูความกล้าหาญของแพทที่ถามคำถามนั้นขึ้นมา ฉันรู้ว่าเขาอยากจะถามคำถามนี้หลายวันแล้ว แต่ก็เลือกที่จะเงียบไว้ ฉันคิดว่าเขาฉลาดมาก จนกระทั่งตอนนี้
“ฉันคงจะทำเป็นลืมๆ เรื่องนั้นไป ถ้านายไม่ยกมันขึ้นมา" เสียงฉันห้วนขึ้น
[เฮ้ๆ ไม่เอาน่ะ อย่าทำเสียงดุแบบนั้นสิ ฉันก็แค่ทำตามหน้าที่เพื่อน...]
“นายไม่ใช่เพื่อนฉันเหรอ"
[แดนนี่ก็เพื่อนฉันนะ] น้ำเสียงเขาฟังดูลำบากใจ [อีกอย่าง หมอนั่นก็รับปากฉันแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจมาทำให้เธอลำบากใจ เขาแค่มีเรื่องที่อยากคุยกับเธอต่อหน้าต่างหาก]
“ฉันไม่มีอะไรอยากคุยกับเขา ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือทางไหนก็ตาม"
[แต่ว่า...]
“ตกลงนายจะคุยกับฉันเรื่องนั้น หรือจะกลับมาคุยเรื่องอลาสแตร์กันแน่"
[ฉัน...]
[แพท วางโทรศัพท์ได้แล้วน่ะ] ฉันได้ยินเสียงของจีด้า ผู้หญิงที่แพทกำลังคบอยู่ เขาจิ๊ปากไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร
[ฉันต้องวางสายแล้ว]
“ได้ยินแล้วล่ะ" ฉันกดตัดสายก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ ฉันรู้ว่าจีด้าไม่ชอบฉัน มันทำให้ฉันไม่ชอบเธอไปด้วย เราเข้ากันไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะแบบนั้นแพทเลยไม่ค่อยพาเธอมาเจอฉันเท่าไหร่
ฉันรู้สึกได้ว่ากำลังถูกมอง และมันเดาได้ไม่ยากว่าจากใคร ฉันหันไปทางเป้าหมายทันที และเขาก็รีบยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาบังหน้าตอนที่ฉันหันไป ฉันกลอกตาและหันไปเช็ดโต๊ะอีกตัวต่อ เคลดหนังสือพิมพ์ลงและมองมาทางฉันอีกครั้ง ฉันเห็นได้จากหางตา เขานี่แปลกคนจริงๆ
ฉันหันควับไปตั้งใจไม่ให้เขาตั้งตัว และมันก็ได้ผล เคสำลักน้ำเปล่าที่กำลังดื่มพอดีจนพ่นน้ำออกมาเลอะเต็มโต๊ะ เขาไอค่อกแค่กและทุบอกตัวเองเหมือนจะขาดใจ ฉันหัวเราะออกมาเพราะท่าทีน่าเอ็นดูของเขา
เคพยายามทำนิ่งและเก็บอาการมากที่สุดเท่าที่เขาทำได้ แต่มันไม่สำเร็จหรอก ไอจนหน้าดำหน้าแดงแบบนั้นน่ะ ฉันหันไปมองเขาด้วยสายตาเอือมระอา เคหลบสายตาฉันและหยิบทิชชู่มาเช็ดรอบปาก เขาทำตัวไม่เหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดเป็นบางครั้ง แต่ในเวลานี้เขาดูเหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดสุดๆ เลยล่ะ
ฉันเดินเข้าไปหาเขา และวางคุกกี้ช็อคโกแล๊ตชิพที่ได้มาจากผู้จัดการลงบนโต๊ะ เขาเงยหน้ามาสบตาฉันเหมือนรอให้ฉันพูดอะไร แต่ฉันไม่พูด ฉันหวังว่าเขาจะรับคุกกี้ชิ้นนี้ไป และกลับบ้านไปซะ ฉันส่งข้อความนั้นผ่านสายตา และเดินหนี...
“ตก...ตกลงจะสมัครงานนั้นจริงๆ เหรอ" ฉันคงจะทำเป็นไม่ได้ยิน ถ้าคำถามของเขามันน่าสนใจ
“แอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์กันมันเป็นเรื่องผิดกฏหมายนะ"
“ไม่ต้องมาขู่หรอก" เขาโบกมือไปมา "ถึงผมจะไม่ได้โตที่ไทย แต่ผมไม่โง่ขนาดถูกเธอหลอกหรอกนะ"
เขาไม่ได้โตที่ไทยงั้นเหรอ...
“ถามผมสิว่าผมโตที่ไหน" เคทำหน้านิ่ง ไม่เหมือนประโยคที่เขาพูดออกมาเลย
“ไม่สนใจ" ฉันตอบ และเดินหนีอีกครั้ง แต่เขาก็เรียกไว้ก่อน
“ผมได้ยินว่าเขานิสัยไม่ดีนะ"
“ใคร"
“อลาสแตร์" แม้แต่เด็กอายุสิบเจ็ดยังรู้ถึงกิตติศัพท์ของเขาเลย
“เธอรู้ไปอ่านเรื่องพวกนั้นมาจากไหน"
“ฝึกงานกับอลาสแตร์ไง" เขาพูดชื่อโครงการและหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาให้ดู มันขึ้นหน้าเวปกูเกิ้ลที่เขาเสิร์ชชื่อแบรนด์อลาสแตร์ลงไป และตามด้วยคำว่าดีไซน์เนอร์ แหงล่ะว่าเขาต้องเจอรายละเอียดเกี่ยวกับงานนี้ทางออนไลน์ "ตกลงว่าเรียนคณะบริหาร แต่ชอบเรื่องแฟชั่นดีไซน์สินะ"
“ถ้าฉันตอบแล้วเธอจะกลับบ้านมั้ย"
เขาส่ายหน้า
“งั้นเดาต่อไป"
“เพื่อนเธอชวนคราวที่แล้วทำไมไม่สมัคร ทำไมอยู่ๆ มาสมัครเองล่ะ"
“นี่เธอแอบฟังฉันคุยกับเพื่อนบ่อยแค่ไหนเนี่ย"
เคไม่ตอบคำถามฉัน และถามคำถามต่อ "เพราะผู้ชายคนนั้นเหรอ"
“คนไหน"
“แฟนเก่า"
ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้ก็ได้
"อาจจะ หรืออาจจะไม่" มันไม่ใช่คำตอบที่กวนประสาท แต่ฉันคิดแบบนั้นจริงๆ
“เธอคงจะเกลียดเขาน่าดู"
“เปล่า" คำตอบของฉันทำให้เคผิดหวัง หรืออย่างน้อยสีหน้าเขาก็บอกแบบนั้น
เคมองหน้าฉันเหมือนอยากให้ฉันอธิบายอะไรต่อ ฉันควรจะเลือกทำเป็นเมิน เหมือนไม่เห็นคำคาดหวังผ่านแววตาเขา แต่ฉันไม่ทำแบบนั้น ฉันจ้องตาเขาและพูดประโยคสั้นๆ ที่เป็นความจริง
“เขาแค่ทำให้ฉันจำได้ว่าความฝันฉันคืออะไร"
ความคิดเห็น