ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    K's เส้นทางฝันของฉันกับเธอ

    ลำดับตอนที่ #2 : KyliexK 02

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ย. 57


    Hi”

     

    ไฮ"

    ฉันเงยหน้าขึ้นมาจากนิตยสารที่กำลังอ่านอยู่ และสบตาเข้ากับเขา...ผู้ชายคนนี้เป็นลูกค้าประจำของที่ร้าน เขาสวมเสื้อฮู้ดสีดำ และมีหูฟังอันใหญ่คล้องรอบคอ เขาหน้าตาดีเลยเป็นลูกค้าคนโปรดของเพื่อนร่วมงานฉัน โดยเฉพาะเอมี่ เธอบ่นอิจฉาตลอดว่าฉันโชคดีได้เจอเขาบ่อยๆ เวลาเธอทำงานเขาไม่เห็นเข้ามาบ่อยแบบนี้ ฉันมองหน้าเขาและเลิกคิ้วใส่

    ต้องการอะไรรึเปล่าคะ" ฉันปิดหน้านิตยสารและเดินเข้าไปยืนติดกับเคาท์เตอร์ ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งมาสั่งน้ำเปล่าไป กาแฟแก้วเก่าก็ยังไม่หมด

    คือ...” เขามองหน้าฉันและอึกอักไป "ผม...ขอยืมปากกาหน่อยได้มั้ย"

    ปากกา?”

    ใช่ ผมหาปากกาตัวเองไม่เจอ" เขาอธิบายและเอามือล้วงเข้าล้วงออกกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกง...

    แกร่ก!

    จนปากกาสีขาวแท่งหนึ่งร่วงลงมาจากกระเป๋ากางเกง...

    ...อ้อ อยู่นี่เอง" เขาพึมพำและก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา "ผมก็หาตั้งนาน"

    ดีใจด้วยที่หาเจอแล้วค่ะ" ฉันพยักหน้า เขาเองก็พยักหน้ากับตัวเองและหมุนตัวเดินหนี แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะก้าวไปไหนเขาก็หันมาอีกรอบ เราสบตากันอยู่สักพักก่อนที่เขาจะพูดออกมาในที่สุด

    ผมขอน้ำเปล่าแก้วนึงได้มั้ย"

    ได้สิคะ" ฉันตอบ แม้จริงๆ แล้วเขาจะสามารถเดินไปรินน้ำเปล่าได้เอง ร้านเรามีเคาท์เตอร์พร้อมแก้วกระดาษไว้ให้รินน้ำดื่มอยู่แล้ว ฉันหยิบเอาแก้วกระดาษใบใหญ่มาให้เขาเป็นพิเศษ เพราะเขาเป็นลูกค้าประจำ เขารับน้ำดื่มไป พึมพำขอบคุณ และเดินกลับไปที่โต๊ะ ส่วนฉันก็ยืนมองตามเขาอย่างงงๆ

     

     

    'ข่าวดีสำหรับแฟชั่นดีไซน์เนอร์หน้าใหม่ทุกคน

    Alastair เปิดรับสมัครเด็กฝึกงานในตำแหน่งผู้ช่วยดีไซน์เนอร์ ทางแบรนด์เปิดรับเด็กฝึกงาน 10 อัตรา แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้งานนี้ไป นอกจากจะได้ทำงานร่วมกับดีไซน์เนอร์ระดับโลกแล้ว ผู้ชนะยังได้ไปทำงานกับอลาสแตร์ที่นิวยอร์กอีกด้วย

    แบรนด์อลาสแตร์จะสร้างเฮดควอเตอร์ใหญ่ที่นิวยอร์ก เริ่มต้นปีหน้า เขาต้องการทีมที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และคุณอาจเป็นหนึ่งในนั้น ติดต่อเพิ่มเติมได้ที่...'

     

    ฉันอ่านมาถึงตรงนี้ กระดาษสีขาวก็ถูกวางแปะลงทับหน้ากระดาษที่กำลังอ่าน

    เซ็น" แพทพูดสั้นๆ ฉันสบตาเขาและหัวเราะขืนๆ

    อะไรของนาย"

    ใบสมัครไง ฉันกรอกให้หมดแล้ว เหลือแค่ลายเซ็นเธอเท่านั้น"

    ใบสมัคร" ฉันทวนคำ และถอนหายใจ "ฉันบอกแล้วไงแพทว่าฉันจะไม่สมัคร"

    และพลาดโอกาสครั้งเดียวในชีวิตของเธอน่ะนะ" แพทสบตาฉัน แววตาจริงจังของเขาทำให้ฉันเบือนหน้าหนี "ไม่ต้องหลบตาเลยไคลี่ ฉันรู้น่ะว่าเธออยากสมัครไปทำงานกับเขา"

    อลาสแตร์น่ะนะ" ฉันแค่นเสียง ใครๆ ก็รู้กิตติศัพท์ความเรื่องมากของเขา...อลาสแตร์ แม้แพทจะไม่ใช่คนที่ติดตามแฟชั่นยังรู้เลย ฉันคิดว่าความประสบความสำเร็จของแบรนด์เขาทำให้เขากลายเป็นคนแบบนี้

    เขาเก่ง เธอก็รู้"

    ใช่แต่...”

    เธอคิดว่าโอกาสแบบนี้จะหาได้ที่ไหนอีก ปกติเขาเคยเปิดรับเด็กฝึกงานที่ไหน" คำพูดของแพททำให้ฉันนิ่งคิด เขาพูดถูกแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันควรสมัครอยู่ดี

    แม่ฉันจะต้องเป็นบ้า" ฉันหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ แม่ฉันไม่สนับสนุนอาชีพดีไซน์เนอร์ของฉันเลย เพราะแบบนั้นฉันถึงได้เรียนคณะบริหารแบบที่แม่ต้องการ ฉันทนเรียนมาได้สองปีแล้ว อีกแค่ปีเดียวก็จะจบปริญญาตรี ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องไปสมัครและเสียเวลาชีวิตตัวเองไปกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    ฉันรู้ว่าเธอทำได้ไคลี่"

    ฉันไม่รู้ว่านายไปความคิดนั้นมาจากไหน"

    ฉันเป็นเพื่อนสนิทเธอนะ"

    แปลว่านายรู้จักตัวฉันดีกว่าฉันเองงั้นเหรอ" พอเจอฉันสวนกลับแบบนั้น เขาก็เงียบ แพทเป็นผู้ชายตัวสูง ตาชั้นเดียว หน้าตาของเขาดูน่าสงสาร ฉันรู้สึกผิดที่ทำให้เขาเงียบไปแบบนั้น "ฉันเข้าใจความหวังดีของนายนะแพท แต่...”

    เธอไม่อยากสมัคร" แพทสรุปกับตัวเองและพยักหน้าหงอๆ

    ใช่" ฉันโกหก

    มันไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากสมัคร แต่ฉัน...คิดว่าฉันไม่ควรจะสมัครต่างหาก ถ้าฉันทำแบบนั้นจริงๆ มันจะต้องวุ่นวายมากแน่ๆ แม่ฉันไม่ชอบให้ฉันทำงานสายนี้ พวกงานสร้างสรรค์แบบนี้เหมาะกับบิลลี่ น้องชายฉันต่างหาก แม่มีความคิดเดิมๆ มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นวิชาการต้องจบลงที่ฉัน และอะไรที่เป็นเรื่องศิลปะต้องให้น้อง เช่นการที่ฉันได้เรียนพิเศษเลข แต่บิลลี่ได้เรียนกีตาร์ พ่อกับแม่แยกทางกันนานแล้ว ฉันอยู่กับแม่ บิลลี่อยู่กับพ่อ แต่ถึงแบบนั้นแม่ก็ยังเชื่อใจน้องชายฉันมากกว่าฉันอยู่ดี

    ฉันแค่อยากแน่ใจว่าเธอเข้าใจแล้วว่าโอกาสแบบนี้จะหาที่ไหนไม่ได้แล้ว"

    ฉันเข้าใจ" ฉันพยักหน้า "มันไม่ใช่โอกาสสำหรับฉัน"

    แพทไม่เห็นด้วยกับคำพูดฉัน แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา ฉันยิ้มฝืนๆ ให้และยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามอง

    นายมีงานต้องไปทำต่อนี่"

    อือ ฉันรู้" เขาพยักหน้า และดึงใบสมัครนั้นกลับไปขยำในมือ "แล้วฉันจะโทรหาแล้วกันนะ"

    ขอบคุณนะที่อุตส่าห์แวะมา" แพทกำลังจะเดินไปแล้ว แต่เขาก็หันกลับมาก่อน

    ฉันขอถามอะไรหน่อย" ฉันสบตาแพท และเห็นคำถามชัดเจนดีในแววตาเขา

    เปล่า มันไม่เกี่ยวกับเขา" ฉันตอบชัดเจน เพื่อให้แพทวางใจได้ว่าฉันเดินหน้าต่อไปแล้ว แพทพยักหน้า และยอมเดินออกจากร้านกาแฟไปในที่สุด ส่วนฉันก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ถามตัวเองว่าฉันโกหกแพทไปรึเปล่า

    การตัดสินใจของฉันมันไม่เกี่ยวกับเขาจริงๆ ใช่มั้ย

     

     

    ฉันเงยหน้ามองสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ฉันไม่เคยชอบฝนเลย และฉันเชื่อว่าฝนเองก็ไม่ชอบฉันเหมือนกัน ทุกครั้งที่ฝนตกมักมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับฉันตลอด อย่างตอนที่พ่อแม่บอกว่าพวกเขาจะแยกทางกัน หรือแม้แต่ตอนที่พ่อฉันอุ้มน้องชายขึ้นรถย้ายออกจากบ้าน...วันนั้นก็เป็นวันฝนตก ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาฝนไม่ตกเลย แต่ดันมาตกตอนที่ฉันเลิกงานและกำลังจะกลับบ้าน

    ฉันหันไปมองในร้านและเห็นว่าเอมี่กำลังทำงานอยู่ เธอคงจะมีร่ม แต่ถ้าฉันไปขอยืมและเธอไม่มีร่มกลับบ้านจะทำยังไงล่ะ

    จะว่าไป ฝนก็เริ่มซาแล้ว ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มสว่าง ถ้ามันตกปรอยๆ ฉันอาจจะพอวิ่งฝ่าฝนไปที่รถไฟฟ้าได้ สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดก็ห่างออกไปแค่สิบนาที เปียกเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ใช่พวกป่วยง่ายๆ อยู่แล้ว

    ประตูร้านเปิดออกพร้อมกับเสียงกระดิ่ง คนที่เดินออกมากลับเป็นลูกค้าผู้ชายในชุดเสื้อฮู้ดคนนั้น ลูกค้าคนโปรดของเอมี่ยังไงล่ะ เขาก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตาฉัน มันก็ดีแล้วล่ะ บรรยากาศจะได้ไม่น่าอึดอัด เอมี่คงจะเสียใจแย่เลยที่เขากำลังจะกลับแล้ว เขายืนอยู่ห่างจากฉันไปสามก้าวและก็เว้นระยะแบบนั้นไว้ ท่าทางเขาเองก็คงจะไม่มีร่มเหมือนกัน การที่มีเขามาอยู่ตรงนี้ทำให้ฉันตัดสินใจที่จะฝ่าฝนออกไป ฉันไม่ชอบบรรยากาศกระอักกระอวนแบบนี้ แต่ทันทีที่ฉันก้าวออกไปในสายฝน คนที่ยืนอยู่ด้วยกันก็ร้องตกใจและดึงแขนฉันเข้ามา ฉันสะดุ้งและกระชากแขนคืนกลับ

    ฝนตกหนักออกแบบนี้ จะวิ่งออกไปทำไม" เขาบอกหน้าเครียด ฉันขมวดคิ้วสบตาเขาอย่างไม่พอใจ เขาเป็นใคร ถือดียังไงมาจับแขนฉันแบบนั้น พวกเราไม่รู้จักกันสักหน่อย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะสัมผัสความตึงเครียดจากฉันได้ เขาอึกอักก่อนจะเอ่ยปากขอโทษ "ผมแค่ไม่อยากให้คุณเปียกฝน"

    ขอบคุณ แต่ฉันมีธุระต้องไป" ฉันบอกสั้นๆ อย่าพยายามรักษาน้ำใจ ยังไงซะเขาก็เป็นลูกค้าประจำที่ร้าน

    อย่างนั้นเหรอ" เขาเกาจมูกเก้อๆ ฉันเบือนหน้าหนีไม่คิดจะพูดอะไรต่อ ตอนนี้เราเริ่มเปิดปากพูดกันแล้ว ถ้าฉันยืนอยู่ที่นี่ต่อเราก็ต้องคุยกันอีกน่ะสิ ฉันไม่อยากคุยกับเขาสักหน่อย ต่อให้เปียกฝนก็ต้องยอมไป...

    ฉันสะดุ้งเมื่อมีอะไรเย็นๆ มาแตะที่แขน พอหันไปมองก็พบว่ามันคือด้ามจับร่มสีใสแบบพับได้ที่เขายื่นมาให้ ฉันเลิกคิ้วใส่เขาด้วยความประหลาดใจ เขามีร่มด้วยงั้นเหรอ แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมเขาไม่ออกไปตั้งนานแล้วล่ะ จะมายืนติดฝนกับฉันทำไม

    เอาไปสิ" เขาบอกและคะยั้นคะยอร่มมาทางฉัน

    ไม่เป็นไร" ฉันรีบส่ายหน้า "นายไม่ใช้หรอ"

    ผมไม่รีบไปไหน"

    ฉันรับมาไม่ได้หรอก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้คืน" ฉันไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร มันน่ารำคาญ

    ไว้ผมมาเอาคืนที่ร้านก็ได้" แม้เขาจะพูดแบบนั้น ฉันก็ยังส่ายหน้า

    เก็บไว้ใช้เองเถอะ ฉันเดินไปเองได้" ฉันกำลังจะเดินฝ่าฝนออกไป

    เดี๋ยวก่อน" เขาเรียก และพอฉันหันไปเขาก็โยนร่มนั่นใส่ ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากรับมันไว้ เขายิ้มพอใจที่เห็นร่มใสๆ นั่นตกอยู่ในมือฉันตามที่เขาต้องการ "ผมให้ยืมร่มได้ แต่มีข้อแม้หนึ่ง...”

    นั่นไงล่ะ ฉันไม่ได้ต้องการร่มนี่สักหน่อย ถ้าเขาพูดอะไรบ้าๆ ขึ้นมาฉันจะโยนร่มนี้ทิ้งและวิ่งฝ่าฝนออกไปเลย

    ผมชื่อเค จำชื่อผมไว้หน่อยได้มั้ย"

    ฉันเลิกคิ้วประหลาดใจกับคำขอของเขา 'เค' เกาจมูกตัวเองเก้อๆ อีกครั้ง เขาก้มลงมองพื้นท่าทางงุ่นง่านก่อนจะเงยหน้าสบตาฉัน

    ฉันไม่ได้ต้องการนี่" ฉันยื่นร่มคืน แต่เขาก็ยกมือขยับตัวหนี

    ผมเป็นผู้ชายนะ ต้องเสียสละสิ"

    เราเป็นคนแปลกหน้า" ฉันย้ำอีกรอบ และพยายามจะยัดมันคืนใส่มือเขา แต่เคถอยหลังหนี

    กลับบ้านดีๆ ล่ะ" เขาพูดยิ้มๆ ฉันคงจะพยายามยัดเยียดร่มคืนให้เขาอีกถ้าไม่ติดว่าเขาสวมฮู้ดสีดำและวิ่งฝ่าฝนออกไปเลย ฉันได้แต่มองแผ่นหลังของเขาที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ในสายฝนและขมวดคิ้ว

    ต้องการอะไรของเขาน่ะ...

     

    'ผมชื่อเค จำชื่อผมไว้หน่อยได้มั้ย'

     

    ฉันก้มลงมองร่มในมือและถอนหายใจ... เป็นคนที่แปลกชะมัด

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×