ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Fic Kuroko no Basket ] มิติพิศวงของยัยจอมมึน (All x Oc )

    ลำดับตอนที่ #12 : มิติพิศวงที่ 10 [Re]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.4K
      688
      10 ส.ค. 63

     

     

     

    มิติพิศวงที่ 10

     

     

    “ว่าแต่จะไม่สั่งอะไรหน่อยเหรอครับ ผมชักหิวแล้วล่ะ” 

    คุโรโกะเป็นคนพูดเปิดประเด็น เมื่อไม่มีใครพูดอะไรเลยนอกจากนั่งเงียบจ้องหน้ากันไปมาเท่านั้น ส่วนอมีเรีย...เธอก็กำลังก้มมองเมนูในมือตนเองพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบอยู่แล้ว แม้จะอ่านภาษาคันจิออกแต่เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าควรจะสั่งยังไง อันที่จริงต้องบอกว่า...

    เธอไม่รู้วิธีสั่งอาหารญี่ปุ่นแบบนั่งทานประจำร้านอะไรพวกนี้

    เมื่อคุโรโกะเป็นคนช่วยเปิดบทสนทนาให้ คนอื่นๆที่นั่งเงียบอยู่จึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาบ้าง คางามิเองก็รับเอาเมนูจากอมีเรียมาเปิดอ่านเพื่อสั่งออเดอร์ มิโดริมะเองก็รับแผ่นเมนูมาจากคิเสะเช่นเดียวกัน

    “ส่วนฉันเริ่มจะอิ่มแล้วน่ะนะ” คิเสะยิ้มพร้อมช้อนเหล็กในมือที่แกว่งไปมา “...แค่มอนจะที่กินอยู่นี่ก็พอแล้ว”

    “ออเดอร์ด้วยครับ”

    เมื่อกวาดสายตามองบรรดาเมนูทั้งหมดเสร็จแล้ว คางามิก็ชูมือเรียกพนักงานร้านให้มารับออเดอร์ อมีเรียที่นั่งเงียบอยู่แต่แรกเบนสายตาไปมองญาติหนุ่มความสนใจ ก่อนจะชะโงกหน้าไปดูว่าอีกฝ่ายสนใจอะไรรึเปล่า เธอจะได้สั่งตาม..แต่ความคิดพวกนั้นก็ต้องหายไปเมื่อ คางามิร่ายยาวถึงออเดอร์ของตนเอง

    “เอาหมึกกับไข่ หมูกับไข่ รวมมิตรใส่ไข่ หมึกยักษ์กับไข่ หมูกิมจิกับบไข่ด้วย”

    “จะสั่งเยอะเกินไปแล้ว! / แล้วนั่นมันคาถาอะไรกันน่ะ” 

    มิโดริมะและคิเสะพร้อมใจกันหันมาว๊ากใส่คางามิที่ร่ายยาวถึงออเดอร์ของตน ซึ่งคนปกติที่ไหนเขาสั่งมากินเยอะแยะแบบนั้นกันละ! แต่จะว่าไป...คางามิก็เป็นคนที่ไม่ค่อยปกติอยู่แล้วด้วยสิ ไม่สิๆ สั่งมาเยอะแบบนั้นต่อให้ไม่ใช่คนธรรมดาก็กินไม่หมดหรอกนะ....!!

    “....” 

    คุโรโกะมองปฏิกิริยาของทั้งสองคนราวกับว่านั้นเป็นเรื่องปกติที่จะตกใจ แล้วพูด “ไม่ต้องห่วงครับ คางามิคุงกินคนเดียวหมดอยู่แล้ว” ว่าจบก็หันไปสั่งออเดอร์ของตนกับพนักงาน

    “หมอนั่นเป็นคนแน่เหรอ?” คิเสะดูจะทึ้งไม่น้อย

    “ฉันสั่งมาเผื่อยัยเบื้อกนี้ด้วยต่างหากล่ะ – ยัยนี้ไม่เคยกินอะไรแบบนี้” คางามิมองจิกคิเสะแล้วเบนสายตามองญาติสาวที่ยังคงทำหน้ามึนไม่รับรู้เรื่องราวอะไรเหมือนเคย “ทำตาแบบนั้น..เธอคิดจะสั่งแบบฉันหรอมิเรีย?” เขาถามด้วยความสงสัย

    “อื้อ..” อมีเรียผงกหัวรับคำ ก่อนขมวดคิ้วกับรายการออเดอร์ที่คางามิเพิ่งร่ายยาวจบไปไม่นานมานี้ “ก็แค่อยากลองแต่ไทกะสั่งมาเยอะแบบนั้น – เราสั่งแบบไทกะไม่ได้หรอก” 

    “.....”

    “เราไม่ใช่คนกินจุเหมือนหมูอย่างไทกะนิ”

    “บางทีฉันก็ชักอยากจะจับเธอออกไปนอกร้านแล้วน่ะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นญาตินะ...” คงจะโดนยืดแก้มนิ่มๆนั้นกลางร้านไปแล้ว 

    คางามิไม่ได้พูดประโยคหลังออกมา เขายกนิ้วจิ้มแก้มป่องๆของญาติสาวพร้อมกลั้วหัวเราะในลำคอกับสัมผัสนุ่มนิ่ม ทั้งที่ตัวเล็กแทบจะไม่มีแก้มแท้ๆ แต่แค่จิ้มนิ้วเดียวเองแก้มของอมีเรียกลับเด้งสู้มือ แถมยังเนียนใสอีกต่างหาก— มันคือความแตกต่างของร่างกายระหว่างชายและหญิงรึเปล่านะ?

    “ไทกะ..เราเจ็บแก้มนะคะ” อมีเรียขมวดคิ้ว เหล่มองนิ้วที่เอาแต่จิ้มแก้มเธอเพื่อฆ่าเวลาออเดอร์มา

    “แก้มนิ่มไปรึเปล่า?” คางามิยู่ปากคล้ายไม่ชอบใจแต่นัยน์ตาของกลับเปล่งประกายยิ่งกว่า

    อมีเรียไม่ได้ปัดมือญาติหนุ่มออกแต่เธอก็ไม่ได้ยินยอมให้เขาจิ้มตลอดไปจนกว่าออเดอร์จะมา เด็กสาวเบี่ยงสายตาไปมองสำรวจเหล่านักเรียนชายที่เอาแต่นั่งจ้องตากันเป็นมันมาตั้งแต่เมื่อกี้ –  รอไม่นานอาหารที่สั่งไปก็ส่งกลิ่นหอมลอยมา เพราะอมีเรียเป็นที่นั่งพิเศษที่ต่อเติมแบบฉุกเฉินเธอเลยไม่ต้องตักเอง 

    แต่เป็นคางามิที่คอยบริการและสอนว่าให้ทำยังไง ถึงจะเก้ๆกังๆในตอนแรก

    ทว่าพอผ่านไปสักพัก อมีเรียก็เริ่มชินและตักเองได้โดยที่คางามิไม่ต้องสอนอีก

    ด้วยเพราะเป็นชาวต่างชาติเลยทำให้ไม่มีใครถือสาอะไรมากกับการที่จ้องเขม็งมองพวกเขากิน แต่..พอคิดดูดีๆแล้ว ที่คางามิสั่งมาดูเหมือนจะไม่พอสำหรับกินสองคนแล้วแฮะ...?

    คุโรโกะมองร่างเล็กที่กินจุไม่ต่างจากคางามิด้วยแววตาเรียบเฉย แม้จะตกใจกับปริมาณการกินที่ไม่ต่างอะไรกับคางามิมากนัก แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้เลยถึงจำนวนอาการที่ทานเข้าไป อาจเป็นเพราะเด็กสาวนั่งทานอยู่เงียบๆ เธอตักชิมทีละนิดทีละหน่อยอย่างมีมารยาท แตกต่างจากคางามิที่กินเอากินเอาเลอะปากไปหมด จนอมีเรียต้องหยิบเอาผ้ามาเช็ดให้เขา 

    ถ้าไม่รู้จากปากทั้งสองว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน บางทีเขาก็คงแอบคิดไปแล้วล่ะว่า....

    ทั้งสองคน เป็นแฟนกันแน่ๆ

    “ว่าแต่...คางามิจจิ คุณผู้จัดการเขาเป็นแฟนนายหรอ?”

    อมีเรียที่กำลังจะตักมอมจะเข้าปากชะงักมือเล็กน้อย ก่อนช้อนตามองคิเสะ

    “.....”

    “...??”

    “ถ้าเราจะต้องเป็นแฟนกับไทกะ ขอบวชชีดีกว่าค่ะ” 

    อมีเรียวางตะเกียบลงขณะมองหน้าคนถามด้วยแววตานิ่งเฉย หน้าตาของเธอไม่แม้แต่จะแสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลย ชวนให้แอบรู้สึกว่าที่พูดเมื่อครู่เธออาจจะทำจริงๆก็ได้ ส่วนคางามิเขาเหล่มองคิเสะด้วยแววตาประหลาดพร้อมกลืนอาหารในปากลงกระเพาะอย่างรวดเร็ว

    “มีเรียเป็นญาติฉัน...แล้วอีกอย่างใครอยากได้ยัยเตี้ยนี้เป็นแฟนกัน – โอ๊ย!” คางามิสะดุ้งแล้วก้มมองเอวของตนเองที่ถูกมือเล็กๆหยิกอยู่ “ชอบทำร้ายฉันจังน่ะยัยบ้า”

    “ไทกะปากเสียก่อนค่ะ”

    “ก็มันความจริงไหมเล่า”

    “ไม่ค่ะ” อมีเรียพองแก้มพร้อมกับเพิ่มแรงหยิก “เราไม่ได้เตี้ย แค่ส่วนสูงยังไม่พัฒนาค่ะ!”

    คางามิเลิกคิ้วอย่างสงสัย “....แล้วมันต่างกันตรงไหน?”

    เพราะโดนคางามิย้ำเรื่องส่วนสูงที่ตอนนี้ทำร้ายจิตใจของเธอมากพอแล้ว เด็กสาวไม่ได้โกรธเคืองอะไรแค่ไม่พอใจที่ถูกย้ำถึงส่วนสูง เห็นแบบนี้เธอก็เคยมีส่วนสูงถึง 170 เกือบ 180 เลยน่ะ! แค่ตอนนี้มันยังไม่พัฒนาเพราะยังไม่โตเต็มวัยต่างหาก คางามิ ไทกะ เป็นผู้ชายที่ปากเสียชนิดร้ายแรงมาก!!

    สุดท้ายเลยจำยอมเลิกเถียงกับคางามิแล้วก้มหน้าทานมอนจะอยู่เงียบๆตามเดิม อาจมีหยิบทิชชู่เช็ดปากให้คุโรโกะกับคางามิบ้างเป็นบางครั้ง แต่โดยส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นคางามิที่สนใจแต่กินมากกว่ารักษาความสะอาดบนใบหน้าของตัวเอง อมีเรียนั่งทานอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้ามองมิโดริมะที่มีบางอย่างส่งกลิ่นหอมบนหัวเขา..

    เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ....?

    เธอไม่ได้ตั้งใจฟังว่าพวกเขาทั้งสี่คนพูดอะไรเลย เพราะมัวแต่เคืองกับคำพูดแทงใจดำของคางามิที่เอ่ยถึงเรื่องส่วนสูงของเธอ รู้ตัวอีกทีมิโดริมะก็แยกตัวกลับไปเสียแล้ว แต่ก่อนกลับเขาได้เอาร่มมาส่งคืนให้กับเธอทว่าอมีเรียกลับเลือกที่จะมองออกไปด้านนอกแทน – นัยน์ตาสองสีมองสายฝนที่ตกปรอยๆเหมือนละอองแล้วกลับมามองนัยน์ตาสีชาเขียวของมือชู้ตอันดับหนึ่งแห่งชูโตคุ

    เด็กสาวส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมชี้ให้เห็นถึงละอองฝนที่ตกลงมาปรอยๆ แม้จะไม่ได้หนักมากเหมือนตอนแรกแต่อย่างน้อยมันพอมองเห็นได้ชัดอยู่ว่า ยังมีละอองฝนอยู่ดังนั้นอมีเรียจึงเลือกที่จะปฏิเสธการรับคืนแล้วบอกให้เขาเก็บมันเอาไว้จะดีซะกว่า..

    ดังนั้นมิโดริมะจึงได้ร่มติดมือกลับบ้านไปท่ามกลางสายตาอิจฉาของคิเสะ

     

    .

    .

    .

     

    พวกเรานั่งทานและรอให้ร่างกายหายปวดเมื่อยอยู่สักพักจึงเดินออกจากร้านกัน..

    แต่เหมือนจะมีใครบางคนหายไป..ในตอนนี้ทุกคนต่างออกมายืนหน้าร้านแล้วโดยที่อมีเรียก็กำลังยืนจ้องตาสุนัขตัวน้อยหน้ามึนเหมือนคุโรโกะอยู่ เธอจับเจ้าตัวน้อยไปวางแหมะบนกลุ่มผมสีบลูไลท์แล้วถอยห่างออกมา นัยน์ตาสองสีเปล่งประกายอย่างยินดีกับภาพตรงหน้า – ยิ่งการนำเอาเจ้าหนูมาวางบนหัวคุโรโกะ หนึ่งน้องหมากับหนึ่งมนุษย์ยิ่งเหมือนกันเข้าไปใหญ่ ทว่ากว่าทุกคนจะรู้ตัวก็นานเหมือนกัน

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความจืดจางของคุโรโกะรึเปล่า...หากไม่ส่งเสียงก็ไม่มีใครสังเกตเห็นกันเลยสักคนเดียว

    “คุโรโกะกับอมีเรียจัง..หายไปไหนแล้วละ”

    ฮิวงะที่รู้ตัวก่อนใครเพื่อนว่าคุโรโกะหายไป ก็รีบมองหาทันทีด้วยกลัวว่าความจืดจางนั่นจะทำให้เขาหลงทาง..ไม่สิ! ยังมีอีกคนที่เหมือนหายไปจากครรลองสายตา ผู้จัดการประจำทีมของพวกเขายังไงละที่หายไป..

    “เอ่อ..ผมอยู่นี่ครับ” คุโรโกะส่งเสียงพร้อมลังกระดาษในมือที่มีป้ายติดว่า ‘รับไปเลี้ยงด้วย’ แปะหลาอยู่ตัวเบอเร่อ แล้วหันไปมองหญิงสาวที่กำลังอุ้มเจ้าตัวน้อยอยู่แล้วพูดต่อ “อมีเรียจังก็อยู่นี่ครับ”

    “ไปไหนมา..”

    “ผมเก็บได้ครับ” ไม่รอให้ฮิวงะถามจบหรือรอให้ทุกคนสั่งเกตเห็นเจ้าตัวน้อย คุโรโกะเอ่ย 

    “หมาครับ”

     

    “หมาเหรอ?!”

     

    อมีเรียส่งเจ้าตัวน้อยให้ริโกะที่พุ่งเข้ามาอุ้ม แถมเมื่อมีคนพูดว่าไม่อยากจะเลี้ยงมัน เจ้าหมาน้อยก็ทำหน้าหงอยให้ทุกคนอีกต่างหากจากเมื่อครู่ที่ร่าเริงตอนเธออุ้ม อมีเรียชักจะรู้สึกว่าเจ้าหมาตัวน้อยแสนรู้มากกว่าที่เห็นเสียอีก แถมสายพันธ์ของมันยังไซบีเรียนฮัสกี้ที่ราคาค่อนข้างแพงมาก 

    โดยเฉพาะกับลูกหมา...แต่ใครนะที่ใจร้ายเอามันมาทิ้งแบบนี้...

    และพอดูจากลังที่เปียกคงอยู่มานานตั้งแต่ฝนตกหนักแล้ว...ยังดีที่เจ้าตัวน้อยไม่ได้เปียกฝนไปด้วย

    “ขนปุกปุย น่ารักสุดๆเลย นุ่มนิ่มน่าร้าก” 

    คุโรโกะกับสมาชิกทีมบาสเซย์รินต่างมองปฏิกิริยาของโค้ชริโกะกับเด็กสาวอีกคนที่ทำหน้ามึนเอื่อย ปฏิกิริยาที่ว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน ไม่สิ..ถ้าหากมองจากแววตาก็ไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่...มั้ง!? 

    อมีเรียเองก็คิดว่าปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งของน่ารักของตัวเอง แตกต่างกับรุ่นทั่วไปอีกต่างหาก รึเป็นเพราะเธอไม่ใช่เด็กสาวเหมือนคนปกติทั่วไปแล้วนะ เลยไม่มีปฏิกิริยาอะไรแบบนั่น....?

    ริโกะอุ้มเจ้าตัวน้อยหมุนไปมาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหยุดหมุนแล้วมองหมาน้อยดูดีๆ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อเธอนั้นดันจับสังเกตอะไรบางอย่างได้...

    “มันดู...คล้ายๆใครบางคนนะ” ริโกะมองแววตาของเจ้าหมาสลับกับมองแววตาของคุโรโกะ

    เธอทำอย่างนี้อยู่สองสามครั้งแล้วค่อยโวยวายออกมาเสียงดัง จนอมีเรียที่กำลังจ้องตาเจ้าหมาน้อยอยู่ต้องเงยหน้ามองทุกคนด้วยความสงสัยว่ากำลังโวยวายอะไร แล้วก็ต้องทำหน้าเครียดกับการตั้งชื่อแบบง่ายๆของพวกรุ่นพี่ พวกเขาไม่คิดจะตั้งชื่อให้มันดีๆหน่อยรึยังไง..?

    “ดีล่ะ ชื่อของนายคือเท็ตสึยะหมายเลข 2”

    “....ตั้งง่ายไปไหมคะ?” อมีเรียมองเจ้าหนูสลับกับมองพวกรุ่นพี่ที่กำลังเถียงกันว่าจะเอากลับรึไม่เอากลับดี “แต่..เจ้าหนูดูจะชอบชื่อนี้ซิน่ะ” เธอจิ้มจมูกเล็กๆนั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว

    “ยังมีอยู่อีกเหรอเนี่ย คนใจร้ายทิ้งหมาแบบนี้”

    “นี่ๆ..คือว่า ฉันสงสัยอยู่เรื่องนึงน่ะ...” ริโกะสะกิดเรียกทุกคนที่กำลังให้ความสนใจกับน้องหมาก่อนจะชี้นิ้วไปยังใครบางคนที่ไปหลบอยู่หลังแผ่นป้ายหน้าร้านอย่างน่าสงสัย “ทำอะไรอยู่เหรอคางามิคุง..?”

    คางามิหันมามองด้วยใบหน้าซีดเผือดพร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงกลัวๆ“คือว่า...ผมไม่ถูกโรคกับหมาอย่างแรงน่ะ...ครับ” แต่ก็ไม่ลืมคำลงท้ายอันสุภาพ...

    “....”

    “โอ๊ะ..ลืมไปเลยแหะ” อมีเรียกะพริบตาปริบ “ไทกะกลัวสุนัขนิน่า” 

    ในไดอารี่ของอมีเรียโลกนี้มีเขียนไว้...อย่างชัดเจนเลยว่า

    คางามิเป็นโรคกลัวสุนัขขึ้นหัว เพราะเคยโดนสุนัขตัวโปรดของอมีเรียกัดสมัยเด็กเอง 

    เธอเลิกคิ้วมองด้วยความจนใจปนเอ็นดู ถึงยังไงซะร่างจริงของเธอก็เป็นหญิงสาวอายุอานามใกล้ 40 ละนะแถมท่าทางเมื่อครู่ของคางามิ ไทกะ มันยังน่าเอ็นดูอีกต่างหาก หนำซ้ำยังน่าแกล้งอยู่ไม่น้อยเลย – แต่ในฐานะผู้อาวุโสกว่า..จะยอมไม่แกล้งวันหนึ่งละกัน

     

    .

    .

    .

    .

     

    เป็นเวลากว่าสองวันหลังจากการแข่งขันที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นเวลาพักฟื้นร่างกายของทุกคนแต่คงไม่ใช่กับคางามิ ด้วยเพราะเขาฝืนร่างกายจนสภาพขาค่อนข้างจะเกือบสาหัส ตอนนี้อมีเรียกำลังนั่งมองทุกคน ข้างกายเธอก็เป็นคางามิที่หงุดหงิดเพราะถูกสั่งห้ามไม่ให้เล่นบาส เนื่องจากสภาพขาที่ยังไม่ฟื้นตัวดี แถมยังมีน้องหมาเท็ตสึยะเบอร์2 นั่งเฝ้าจับตามองเพื่อรายงานริโกะอีกด้วย... 

    เขาไม่หงุดหงิดก็แปลกแล้วละ...

    “ไนซ์พาส”

    ตั้งแต่วันที่อมีเรียถูกปิดตาเอาไว้ประสาทรับเสียงของเธอดูจะดีกว่าเมื่อก่อน

    แต่มันก็น่ารำคาญอยู่ไม่น้อยเพราะมันทำให้เธอได้ยินเสียงนินทาอันน่าหนวกหูของบรรดาผู้หญิงเวลาไปเข้าห้องน้ำหรือแอบงีบหลับตอนพักเที่ยง ไม่ว่าจะเป็นโรคไหนสถานที่แบบไหน...มนุษย์ผู้หญิงก็เป็นตัวตนที่นินทาผู้อื่นได้ทุกที่ทุกเวลาแถมยังทำตัวน่ารำคาญด้วยการตีสองหน้าอีกต่างหาก – แม้จะไม่อยากไปใส่ใจอะไรมาก แต่สุดท้ายเมื่อมีชื่อของเธอหลุดจากปากของกลุ่มคนนินทา 

    อมีเรียก็ชักจะรู้สึกรำคาญจนอยาก...จับซัดให้หมดสภาพไปซะตรงนั้น

     

    โฮ่ง

     

    นัยน์ตาสองสีตวัดไปมองเจ้าตัวน้อยที่นั่งกระดิกหางส่งเสียงร้องอยู่หน้าประตูโรงยิม เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่หันไปสนใจมองเพราะเจ้าตัวน้อยส่งเสียงร้องทุกครั้งที่ทุกคนชู้ตเข้าหรือเล่นกันได้ดี ราวกับว่าเขารับรู้ในสิ่งที่ทุกคนทำด้วย เป็นสุนัขตัวน้อยที่แสนรู้จนอยากเอากลับห้องเหลือเกิน แต่เธอก็ติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง....

    อมีเรียเลื่อนสายตามองไทกะที่สะดุ้งโหยงมาหลบหลังเธอ มันเป็นความรู้สึกอนาถใจจนเกินจะบรรยาย 

    ไทกะดันกลัวน้องสุนัขซะได้... เฮ่อ..ทีกับแมวล่ะพุ่งเข้าใส่ลูกเดียว อมีเรียปลงกับท่าทางตื่นตัวแสนเวอร์วังของคางามิก่อนจะอ้าปากเหวอเมื่อคุโรโกะอุ้มเจ้าเบอร์2 เข้าไปใกล้คางามิพร้อมทำหน้าน่าสงสาร

    “อย่าทำตาแบบเดียวกันสิ!!”

    “น่ารักออกน่ะครับ”

    “อย่านะ หนอยคุโรโกะ เดี๋ยวฉันฆ่าแกแน่คอยดู”

    อุบ!

    อมีเรียยกมือปิดปากหัวเราะเสียงเบา “คิกๆ”

    เธอกำลังขำกับคางามิที่ปวดขาแต่ก็มีแรงวิ่งหนีคุโรโกะและเบอร์2ได้ แถมทั้งคุโรโกะและเบอร์2ยังทำตาหงอยเหมือนกันอีก ทั้งน่ารักและตลกในเวลาเดียวกันเกินไปแล้ว ส่วนรุ่นพี่และคนอื่นๆกลับทำหน้าปลง พวกเขาพูดออกมาพร้อมเพียงกัน “จงใจชัดๆ”

    ใช่..คุโรโกะกับเบอร์2 จงใจแกล้งคางามิจริงๆนั่นแหละ...เพราะงั้นอมีเรียถึงได้พยายามกลั้นขำจนตัวสั่นยังไงล่ะ

    “อุบ 55555”

    สุดท้ายเธอก็กลั้นขำไม่ได้อยู่ดี...

     

    .

    .

    .

     

     

    วันนี้ทุกคนมีตารางฝึกกันที่สระว่ายน้ำและต้องใส่ชุดว่ายน้ำเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ อมีเรียที่ไม่มีเลยต้องขอตัวไปซื้อก่อน แต่ว่า..ชุดว่ายน้ำไซส์หน้าอกแบบเธอหายากยิ่งกว่าอะไรซะอีกเนื่องด้วย ไซส์มาตรฐานของเพศหญิงในญี่ปุ่นต่างจากไซส์มาตรฐานของคนต่างชาติฝั่งยุโรปชัดเจน นอกจากจะเป็นทรูพีชหรือบิกินี่แล้ว เธอก็ไม่เคยลองใส่ชุดว่ายน้ำแบบอื่นมาก่อน

    ถ้าพูดให้ถูกก็..นับตั้งแต่ทิ้งชีวิตอิสระเพื่อไปใช้ชีวิตในแลปซะส่วนใหญ่....

    เธอก็เคยเลยแม้กระทั่งจะไปสระว่ายน้ำ – ก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในแลปนิ!

    “แล้วก็..คุณริโกะโค้ชสาวเกือบๆคัพ B”

    หืม...?

    อมีเรียกระชับเสื้อคลุมของตนเองเพื่อปกปิดชุดด้านใน ไม่ใช่เพราะอายแต่เป็นเพราะอากาศหนาวต่างหาก ด้วยเพราะร่างกายของเธอโดนอากาศเย็นนานๆไม่ได้ด้วยแหละ ดังนั้นเซฟร่างกายของตัวเองด้วยน่าจะดีซะกว่า...ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงหวานใสของผู้หญิงที่เธอไม่คุ้นเลยดังมาจากข้างสระ

    แถมคำพูดเมื่อครู่ก็ดูจะจิกกัดรุ่นพี่ที่เคารพของเธอเสียด้วย...

    เด็กสาวถือกล่องที่ใส่อุปกรณ์ต่างๆเดินเข้าไปแล้วก็ต้องหรี่ตามองเมื่อเห็นเส้นผมสีชมพูยาวสลวยของใครบางคน

    เธอไม่ชอบสีชมพู...

    เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว อาจเป็นเพราะน้องสาวที่เธอไม่คิดจะนับญาติมีเรือนผมสีชมพูแบบผู้หญิงคนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสีชมพู เธอเลยพลานไม่ชอบไปหมด อมีเรียมองใบหน้าของริโกะที่เธอเริ่มจดจำโครงหน้าได้บ้างแล้วสลับกับมองใบหน้าที่ถูกเบลอของผู้หญิงผมชมพูคนนั้น

    ร่างบอบบางถือวิสาสะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจแล้ววางของลงก่อนจะหันไปเผชิญหน้าพร้อมแววตาเรียบเฉย

    “พูดจาไม่มีมารยาทเลยนะคะ เรื่องหน้าอกมาพูดในที่สาธารณะแบบนี้ได้ยังไง?” อมีเรียมองอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้คิดจะเพ่งสายตา ด้วยเหตุผลส่วนตัวนั่นคือความอคติกับสีชมพูอย่างรุนแรง ต่อให้เป็นสีเดียวกับดอกซากุระที่เธอชอบก็ตามเถอะ 

    และนี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยที่อมีเรียนึกขอบคุณโรคลืมใบหน้าของตนเอง

    “อุ๊ยตาย..คุณคงเป็นผู้จัดการคนใหม่สินะคะ..อ่า..ชื่ออะไรน่า.”

    “อมีเรีย เกรซ คาร์เชล ค่ะ” นัยน์ตาสองสีมองเลยผ่านไปยังคุโรโกะที่กำลังปีนขึ้นจากสระ ไม่แม้แต่จะมองตรงไปเบื้องหน้าที่มีเด็กสาวเรือนผมสีชมพูเลยแม้แต่นิดเดียว ริมฝีปากบางยังคงเอ่ยต่อไป “ดิฉันเพิ่งมาเป็นผู้จัดการให้ทีมเซย์ริน ดังนั้นคุณคงไม่มีข้อมูลของดิฉันให้ไปวิเคราะห์หรอกค่ะ...”

    “แล้วก็นะคะ...ดิฉันไม่ชอบสีชมพูค่ะ”

    เอ๋...?!!

    หลังจากที่บอกว่าไม่ชอบสีชมพูไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย อมีเรียก็ไม่ได้เข้าไปใกล้โมโมอิอีกเลย 

    ส่วนคุโรโกะก็พาโมโมอิไปคุยส่วนตัวต่างหากโดยที่ทุกคนเห็นชอบด้วย แต่ก่อนไป...ไม่รู้ทำไมคุโรโกะถึงได้เดินเข้ามาผูกผ้าคลุมของเธอให้จนเรียบร้อยปกปิดชุดด้านในอย่างดี เมื่อเห็นว่าการซ่อมในวันนี้เธอคงไม่ต้องไปยืนคุมอีกต่อไปแล้ว อมีเรียจึงได้เดินออกไปข้างนอก – เธอได้แต่เดินไปอย่างเรื่อยเปื่อย จนนัยน์ตาสองสีของเธอไปสะดุดเข้ากับผมสีแดงแสนคุ้นตาที่สนามบาส...

    ร่างเล็กจึงได้เปลี่ยนทิศทางเดินของตัวเองในทันที...จุดมุ่งหมายของเธอคือ ญาติแสนหัวดื้อ

     

    “เน..ไทกะ”

     

    อมีเรียนั่งเท้าคางมองญาติหนุ่มที่แอบหลบมาเล่นบาสด้วยแววตาเอื่อยเฉื่อย

    “รุ่นพี่ริโกะสั่งห้ามไทกะเล่นบาสอยู่นะคะ”

    คางามิสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงหวานแสนคุ้นหู เขาหันไปมองเธอก่อนจะรีบเข้าไปคุกเข่าอ้อนวอนขอซ้อมบาสสักเล็กน้อยก็ยังดี แต่อมีเรียก็ยังปฏิเสธหน้านิ่งในมือก็กำลังกดโทรศัพท์เลื่อนหาเบอร์โทรของรุ่นพี่ริโกะไปด้วย ก่อนที่นิ้วเรียวจะได้กดโทรออก ห่างตาของเธอกลับมองเห็นใครบางคนเดินมาทางพวกเขาอย่างไม่น่าไว้ใจ

    “ไง คางามิ ไทกะ...ใช่มั้ย?”

    “....ไทกะ” อมีเรียมองญาติหนุ่มด้วยสายตาระแวดระวัง “แอบไปมีเรื่องกับนักเลงมาหรอคะ?”

    “....ฉันไม่รู้จักนะ?”

     

    .

    .

    .

    .

     

     

     

    อมีเรียนั่งมองสองชายหนุ่มดวลบาสกันด้วยแววตาเหม่อลอย

    สรุปแล้วผู้ชายที่เข้ามาทักด้วยท่าทางหาเรื่องเมื่อก่อนหน้านั้นคือ อาโอมิเนะ ไดกิ หนึ่งในรุ่นปาฏิหาริย์ที่เป็นเพื่อนกับคุโรโกะและเล่นตำแหน่งเดียวกับคางามิ ที่เขามาในวันนี้ก็เพื่อทดสอบอะไรบางอย่างในตัวไทกะ ส่วนเธอไม่มีใครสนใจเหมือนอย่างเคย ทั้งการเมินที่ถูกกระทำแบบสองต่อ...

    ในตอนนี้..ความหงุดหงิดของเธอเลยยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้น

    ต่อให้สีหน้าของเธอจะยังคงเรียบเฉยอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้สึกเสียหน่อย อมีเรียอยากจะเข้าไปตบหัวทั้งสองคนว่าคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่อยากเข้าไปห้ามรึไปขัดเพราะเกรงว่านี่จะเป็นไปตามเนื้อเรื่อง ถ้าเธอไปขัดขึ้นมาแล้วมันไปในทิศทางที่แย่ลง เธอจะไม่ซวยเหรอ? 

    แค่หาทางกลับบ้านก็ยากเต็มกลืนแล้วด้วยไหนจะต้องหาเบาะแสการข้ามโลกคู่ขนานนี้อีก – เฮ่อ...หญิงสาวถอนหายจด้วยความปลงตกแล้วนั่งมองสองหนุ่มดวลบาสต่อไป

    แต่ผลก็เป็นแพ้ละนะ...

    ก็ไม่ต่างจากที่คาดการณ์ไปสักเท่าไหร่เลย สภาพร่างกายของคางามิในตอนนี้ยังไม่ถึงครึ่งของสภาพร่างกายคนที่มาท้าเสียอีก.. ไม่แปลกหรอกที่แค่มองก็จะรู้ได้โดยง่าย

    “พอได้แล้วค่ะ”

    อาโอมิเนะหันไปมองเสียงเล็กหวานที่ดังขึ้น ก่อนจะก้มหัวลงเมื่อรับรู้ถึงสายตาไม่พอใจจากร่างเล็กจนเขาเผลอสบเข้ากับดวงตาสองสีที่มีประกายแววโทสะนิดหน่อย ทว่าใบหน้าของเธอกลับมึนตึงเหมือนกับใครบางคนที่เขารู้จัก แถมสีผมยังคล้ายๆกันอีกด้วย..

    ต่างกันที่ดวงตาและโครงหน้า แล้วก็...อะไรบางอย่างที่นูนๆผ่านคอเสื้อนั้นด้วย

    ด้วยเพราะเขาอยู่ในมุมที่สูงกว่า เลยมองเห็นได้ถึงเนินอกที่โผล่พ้นคอเสื้อมาให้เห็นแวบหนึ่ง ทำเอาอาโอมิเนะรู้สึกร่างกายร้อนพร่าวขึ้นมายังไงไม่รู้ ณ วินาทีนั้นหัวสมองของเขาราวกับโล่งไปชั่วขณะแต่ก็ยังคิดได้ว่า ผิวภายใต้ร่มผ้าของสาวร่างเล็กคนนี้ขาวแค่ไหน... – อมีเรียขมวดคิ้วไม่พอใจกับสายตาของอีกฝ่าย หนำซ้ำยังถูกจ้องสำรวจอย่างเสียมารยาท ไหนจะท่าทางราวกับตาแก่ลามกที่จ้องหน้าอกผู้หญิง..

    หน้าอก....?

    อมีเรียก้มมองหน้าอกตนเอง และนั้นจึงทำให้ได้รับรู้ว่าสายตาของอาโอมิเนะมองไปที่ใด

    ใบหน้าเรียบเฉยพลันเห่อร้อนแดงก่ำแทบจะทันทีเช่นเดียวกับคางามิที่เบิกตาโตกับปฏิกิริยาตอบสนองแบบเฉียบพลันของญาติสาว – ถ้าบอกให้ถูกก็คือ..ร่างกายของอมีเรียขยับโดยไม่ได้คิดอะไรเลยมากกว่า ขาเรียวเล็กตวัดเตะเข้าที่ขาพับของอาโอมิเนะเต็มแรงจนคนโดนเตะสะดุ้งด้วยความตกใจและเจ็บจากแรงเตะ ก่อนจะทำหน้าเหวอเมื่อเห็นขาเรียวเล็กนั้นกำลังจะฟาดลงบนหัวของเขา! 

    เธอยกขาได้สูงมากกว่าส่วนสูงของตัวเองอีกน่ะ!!

    โป้ก!!

    “ไอ้คนลามก!!”

    “โอ้ย!”

     

     

     

     

     

    “โฮ่ง!” เบอร์สอง

    “….อนาคตเดี๋ยวก็มีบทเพิ่มเองนะคะเบอร์สอง” อมีเรีย

    “โฮ่ง!”

    ………………………………………………………………..

    รีไรท์ทีละนิดทีละหน่อย อาจจะมาๆหายๆเนื่องจากใกล้จะถึงช่วงสอบมิดเทอมแล้ว แฟรร์ต้องไปเตรียมตัวกันสักหน่อยนะคะ(หัวเราะเสียงแห้ง)

     

    ทุกท่านสามารถโดเนทสนับสนุนด้านค่าเน็ตและค่าไฟให้แฟรร์ได้นะคะ

    วิธีโดเนท

    โอนเงินจำนวนแล้วแต่รีดฯเข้ามาได้ที่นี่ :: เลขบัญชี 046-8-34907-8 (ธนาคารกสิกรไทย) และ เบอร์ 0960075277 ( True Money Wallet )

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ //โค้ง

     

    1 คอมเม้นท์ = 100 กำลังใจ

    สามารถติหรือชี้แนะไรท์ได้ ไรท์จะรออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนนะคะ

     

    ติดตามข้อมูลข่าวสารและการอัพเดทต่างๆได้ที่เพจ Fairy-แฟรี่กะ จิ้มๆเลย//ชี้

     

    By. ภูติสีเทา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×