คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : มิติพิศวงที่ 9 [Re]
มิติพิศวงที่ 9
สุดท้ายแล้วขีดจำกัดร่างกายของคางามิก็มาถึงจุดสูงสุด จนกระทั่งควอเตอร์ที่สามได้จบลง อมีเรียก็ยังคงนั่งนิ่งแผ่ออร่าไม่ให้คนเข้าใกล้อยู่ ในขณะที่ตัวสำรองคนอื่นๆนำน้ำและผ้าขนหนูที่ถูกผู้จัดการสาวเตรียมแยกไว้แล้วส่งให้เหล่านักกีฬาแต่คางามิกลับไม่รับ....
เขากำลังหงุดหงิดที่ไม่สามารถบุกลุยเดี่ยวได้อย่างที่ใจหวัง
“บ้าเอ๊ย” คางามิสบถออกมาอย่างหัวเสีย
“คางามิ ใจร้อนเกินไปแล้วนะ นายต้องมองรอบข้างหน่อยสิ” อิซึกิมองรุ่นน้องหนุ่มที่นั่งหัวเสียมาตั้งแต่หลังหมดเวลาควอเตอร์สาม ก่อนจะหันไปมองอมีเรียที่ถูกผ้าพันตาเอาไว้ด้วยฝีมือของคางามิเองนั่นแหละ แถมตอนนี้เธอกำลังแผ่รังสีน่ากลัวออกมาอีกต่างหาก “อมีเรียจังเองก็..ลดออร่าลงหน่อยน่ะ – มันน่ากลัว” เขาบอกพร้อมลูบแขนที่กำลังลุกชัน
“ขออภัยด้วยค่ะ” อมีเรียพยักหน้า แล้วก็นั่งเงียบต่อไป
ฮิวงะที่นั่งดื่มน้ำอยู่หันไปพูดเตือนสติรุ่นน้องแสนใจร้อนอีกคน “ใช่เลย เมื่อกี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ควรจะเข้าไปด้วย น่าจะส่งบอลให้เพื่อน...”
“ส่งบอลเวียนไปมาแล้วจะได้อะไรละ...คนที่พอสู้กับชูโตคุได้มีแต่ผมไม่ใช่หรอ – สิ่งจำเป็นในตอนนี้ไม่ใช่การเล่นเป็นทีมแต่เป็นการทำแต้มของผมต่างหาก”
กึก!
อมีเรียเผลอจิกเล็บกับแขนของตนเองทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นของคางามิ เธอหันไปมองทิศทางของเสียงที่คาดว่าคางามินั่งอยู่ก่อนจะเอ่ยประโยคสั้นๆได้ใจความว่า “ช่วยต่อยหน้าไทกะให้ทีสิคะ” แถมใบหน้าของเธอยังเรียบเฉยยิ่งกว่าครั้งไหนๆเสียอีก
ผลั๊วะ!
ไม่ต้องรอคนคัดค้านหรือส่งเสียงห้ามอะไร คุโรโกะก็กำหมัดต่อยหน้าคางามิไปเสียเต็มแรงตามที่อมีเรียบอกแน่นอนว่าต่อให้ผู้จัดการสาวไม่พูดขึ้นมา เขาก็อยากจะต่อยหน้าคางามิ ไทกะ ที่เลือดร้อนคนนี้อยู่แล้ว ทันทีที่ซิกแมนต่อยหน้าประกายแสง ทุกคนในทีมต่างก็อึ้งกับสิ่งที่คุโรโกะทำไปชั่วขณะหนึ่ง
“....”
“คุโรโกะคุง” ริโกะเรียกชื่อด้วยความตกใจและไม่คาดคิด
“หนอย..คุโรโกะ นี่แก” คางามิฉุนขาด
เขารีบลุกแล้วเข้าไปกระชากคอเสื้อคุโรโกะด้วยอารมณ์โกรธที่โดนต่อยหน้า คนอื่นๆก็ตั้งตัวไม่ทันจึงไม่ได้เข้าไปห้ามการวิวาทของสองคู่หูเงาและแสง เช่นเดียวกับอมีเรียที่นั่งขมวดคิ้วนิ่งไม่ขยับหรือเอ่ยอะไรอีกเลยหลังจากจบประโยคนั้น – ในตอนนี้เธอควรปล่อยให้ผู้ชายด้วยกันอย่างคุโรโกะเป็นคนพูดเพื่อเรียกสติคางามิ ถ้าเขายังทำตัวบ้าไร้สติอีกละก็...ไว้ถึงตอนนั้นเธอจะเตะให้หน้าทิ่มเลยคอยดู
คุโรโกะจ้องเขม็งมองสีหน้าที่กำลังโกรธของคางามิอย่างไม่เกรงกลัว
“บาสเก็ตบอลไม่ใช่กีฬาที่เล่นคนเดียวนะครับ”
“ถ้าทุกคนพยายามไปด้วยกัน ถึงแพ้ก็โอเคงั้นเหรอ! ถ้าไม่ชนะมันก็ไม่มีความหมายหรอก!”
เสียงหวานดังขึ้นแต่กลับเย็นยะเยือกยิ่งกว่าครั้งไหน “และต่อให้ชนะคนเดียว..ก็ไม่มีความหมายเหมือนกัน” อมีเรียที่นั่งนิ่งมาตั้งเมื่อครู่ที่ทั้งสองเถียงกันไปมาเอ่ยแทรก
เสี้ยวหน้าหวานที่ถูกผ้าปิดบังไปครึ่งยังคงมองตรงไปข้างหน้า ทั้งที่ดวงตาถูกผ้าพันปิดเอาไว้ราวกับว่าต่อให้ไม่มีผ้าพันปิดเธอก็จะมองไปข้างหน้าอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อาจด้วยเพราะน้ำเสียงที่เยือกเย็นแบบผิดหูผิดตาของญาติสาว คางามิที่กำลังจะฉุนขาดก็เริ่มได้สติขึ้นมาบ้างทีละน้อย— เล็กน้อยจริงๆ
“.....”
“นายเคยบอกว่าจะโค่นรุ่นปาฏิหาริย์แท้ๆ ไปคิดเหมือนพวกเขาแล้วจะได้อะไรละ?” คุโรโกะจ้องเข้าไปในดวงตาสีแดงที่มีแต่โทสะพวยพุ่งออกมาเต็มไปหมด แต่ถึงกระนั้นคุโรโกะก็ยังคงจ้องด้วยแววตาที่แน่วแน่ เขายังคงพูดต่อไปไม่สนว่าคางามิจะอยู่ในอารมณ์เช่นใด “ ตอนนี้..เราอยู่ในสภาพที่ไม่เชื่อใจกัน..— ถึงแม้จะเอาชนะชูโตคุได้..ก็ไม่มีใครดีใจแน่ครับ”
“อย่ามาทำเป็นโลกสวยหน่อยเลย ถ้าไม่ชนะมันก็เป็นแค่คำพูดสวยหรูเท่านั้นแหละ!” คางามิง้างหมัดขึ้นเตรียมจะต่อยใส่หน้าคุโรโกะที่หลับตารอรับความเจ็บปวดอยู่ก่อนแล้ว ทว่าหมัดของเขากลับถูกหยุดเอาไว้ด้วยมือเรียวเล็กของอมีเรียที่ลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
คุโรโกะมองเด็กสาวด้วยความตกใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่เริ่มกระวนกระวาย หากเป็นตอนที่ไม่มีผ้าปิดตาอยู่
ฉากนี้อมีเรียคงจะเท่มากๆเลยละ แต่ในตอนนี้เธอปิดตาอยู่ถ้าพลาดขึ้นมาอาจบาดเจ็บได้เลยนะ!
“บาสเก็ตบอลเป็นกีฬาที่ต้องเล่นคนเดียวหรอคะ....?” ประโยคคำถามที่ถูกเอือนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบฉุดให้คนขี้โมโหชะงักค้าง แรงที่หมัดของเขาเริ่มผ่อนลงเล็กน้อยเช่นเดียวกับประโยคที่ออกจากริมฝีปากบางนุ่มนั่น “...ดิฉันคิดว่าไทกะเข้าใจดีแล้วเสียอีก”
ขาเรียวเล็กเตะเบาๆที่ขาของคางามิเพื่อเป็นสัญญาณเตือนบอกถึงอะไรบางอย่าง และคางามิก็รู้ตัวดี
“แล้วด้วยสภาพขาแบบนี้..จะกระโดดได้กี่ครั้งเชียวคะ – มันน่าสมเพชสุดๆเลยด้วย หยุดทำตัวพาลเหมือนเด็กสักทีเถอะค่ะ ไทกะ”
“.....”
“.....ก่อนที่ดิฉัน จะหมดความอดทน...”
ถึงแม้พวกเขาจะมองไม่เห็นว่าแววตาของเด็กสาวเป็นแบบไหน แต่กลับรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าในตอนนี้ คงกำลังแดงก่ำเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธอย่างแน่นอน ไม่สิ..อมีเรียโกรธมาตั้งแต่แรกที่คางามิเริ่มฝืนตัวเองบุกทำคะแนนคนเดียวแล้ว เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่โดนตำหนิอมีเรียจึงปล่อยมือจากหมัดของเขาแล้วหมุนตัวหาทางเดินกลับไปนั่งม้านั่งยาวตามเดิม
คุโรโกะรีบเข้าไปช่วยประคองอีกฝ่ายด้วยความกังวลทันที ตัวเธอในตอนนี้ถูกผ้าพันปิดตาไว้ขนาดนั้น ถ้าหากเกิดล้มหัวฟาดพื้นจะทำยังไงละ..? จะไม่แย่ยิ่งกว่าสถานการณ์กดดันในตอนนี้อีกเหรอ
“อมีเรียจังนั่งลงเถอะครับ..ตอนนี้อมีเรียจังมองไม่เห็นอยู่นะครับ” คุโรโกะพยายามเกลี่ยกล่อมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเสียหลายส่วน และอมีเรียก็ยินยอมปล่อยให้ซิกแมนหนุ่มประคองพาเธอไปนั่งม้านั่งให้ดีๆ แต่ก่อนที่จะได้ลงนั่งเสียงแหบทุ้มของคางามิก็เอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงของเขาอ่อนลงไปมากพร้อมสีหน้ารู้สึกผิด
“...มีเรีย”
“กรุณาสงบสติอารมณ์ด้วยนะคะ...ดิฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
“.....”
“แต่ถ้ายังสงบไม่ได้...การแข่งบาสสำหรับไทกะจะไม่มีอีกต่อไป--”
“......”
“คงรู้ใช่ไหมคะ..ว่าดิฉันหมายถึงอะไร”
ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณม้านั่งของทีมเซย์ริน พวกเขาต่างตกใจในคำพูดที่ดูเด็ดขาดและเย็นชาของเด็กสาว จริงอยู่ว่าพวกเขารู้ข้อมูลจากคางามิว่า อมีเรียเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ห่างกันมากๆ แต่ไม่เคยรู้ว่าก่อนว่าสิทธิ์ในการตัดสินใจที่จะเล่นบาสหรือไม่เล่นจะอยู่ที่เด็กสาวตัวเล็กคนนี้นะสิ – ถึงจะไม่เข้าใจแต่ทุกคนก็ได้แต่ยืนเงียบรอฟังว่า คางามิจะทำยังไงต่อไปดี
ยินยอมที่จะสงบใจตัวเองตามที่อมีเรียบอก หรือ ดื้อดึงที่จะทำตามอารมณ์ของตัวเองต่อไป
อันที่จริงแล้วตัวอมีเรียเองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากหรอก เธอแค่อาศัยความทรงจำจากการอ่านไดอารี่ที่อมีเรียคนก่อนเขียนขึ้นมาตลอดระยะเวลา 10 ปี ดังนั้นเลยรู้ว่า ต้นสายปลายเหตุที่คางามิสามารถเล่นบาสได้โดยที่ไม่ถูกห้ามปรามมาจาก การที่อมีเรียเป็นฝ่ายไปขอร้องผู้เป็นลุงอยู่นานจนท่านยอมอนุญาต
ถ้าหากอมีเรียโทรบอกให้เขาสั่งห้ามคางามิเล่นบาส ท่านลุงของอมีเรียคนเก่าต้องทำตามอย่างไม่ต้องสงสัย...
การที่โดนญาติสาวเอาเรื่องนั้นมาขู่ ทำให้คางามิใจเย็นขึ้นมาเล็กน้อย เขามองญาติสาวที่ทำหน้านิ่งสลับกับมองใบหน้าของคุโรโกะที่มีความเจ็บปวดพาดผ่าน
.....ทำไมกัน?
“คางามิคุง...ชัยชนะคืออะไรหรอครับ? –”
.
.
.
.
การแข่งในควอเตอร์สี่เริ่มต้นขึ้นหลังจากสิ้นเสียงสัญญาณจากนกหวีดของกรรมการ
ทุกคนพร้อมใจกันทำตามแผนของคุโรโกะ แน่นอนว่ารอบนี้คุโรโกะได้ลงไปในสนามตามความเห็นของอมีเรียที่นั่งเงียบผิดปกติอย่างชัดเจน ส่วนผ้าปิดตาเธอก็ปล่อยไว้เช่นนั้นแหละ..เธอยังไม่อยากใช้ดวงตาสองสีจ้องใครให้กลัวหัวหดกันหรอกน่ะ – เฮ่อ...ถึงร่างกายนี้จะเป็นเด็กสาววัยรุ่นก็เถอะ แต่จริงๆแล้วตัวเธออายุอารามจะใกล้สี่สิบแล้ว ประสบการณ์ที่เคยพบเจอจากคนเลือดร้อนไม่คิดหน้าคิดหลังก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ
สุดท้ายก็พังไม่เป็นท่าทุกคน...แล้วก็มาร้องอ้อนวอนขอโอกาสซ้ำอีกครั้งอย่างไร้ค่า
แต่จะว่าไป...
เธอไม่ควรที่จะไปใส่ใจเรื่องพวกนี้นิ ทำไมกันจู่ๆจิตใจของเธอกลับสวนกลับการกระทำของตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล เป็นเพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับโลกเดิมของตัวเองเมื่อไหร่เหรอ..? เธอเลยต้องไหลไปตามกระแสของเรื่องราว
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตามแต่...ในตอนนี้ความสุขุมที่เคยมีมาของเธอกำลังถูกสั่นคลอน
ไม่รู้เพราะโดนคุโรโกะต่อว่าหรือเพราะผู้จัดการทีมเอาแต่แผ่ออร่าน่ากลัวก็ไม่รู้ คางามิที่ตอนแรกหัวร้อนเล่นลุยเดี่ยวถึงได้ใจเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ อมีเรียที่นั่งหลังตรงนิ่งก็ไม่ปริพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว แม้แต่คำพูดขอร้องให้แกะผ้าปิดตาของเธอเองก็ด้วย
ข้างสนามก็นิ่งผิดปกติ ในสนามก็ดูน่ากลัวขึ้นแปลกๆ
ตอนนี้ทีมบาสเซย์รินเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศหนาวเหน็บขึ้นมายังไม่รู้
ตอนนี้ภายในสนามไม่ได้มีแค่คางามิเหมือนก่อนหน้านั้น แต่มีคุโรโกะเข้าไปร่วมแจมด้วยจึงทำให้สกอคะแนนไม่ได้ห่างกันมากอย่างที่ควรเป็นและสามารถคุมสถานะการณ์ภายในสนามเอาไว้ได้อีกด้วย ดับว่าเป็นก้าวแรกของการพลิกสถานการณ์ แถมคุโรโกะที่ได้ออกไปนั่งพักดูการเล่นนานถึงสองควอเตอร์เองก็เริ่มจับทางได้บ้างแล้วว่า เขาควรจะหาทางรับมือเช่นไรดี
ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณอมีเรียอีกนั้นแหละที่จับจุดได้ทันแล้วดึงเขาออกมานั่งสังเกตการณ์เพื่อหาทางแก้
ปรี๊ด!
“ห่างกันสิบแต้มแล้ว!”
เสียงเชียร์ที่ดังขึ้นช่วยปลุกให้อมีเรียที่นั่งคิดอะไรเพลินๆต้องเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าในสนามว่าเป็นเช่นไร ก่อนจะส่ายหน้าเมื่อนึกได้ว่า ด้านการฟังของเธอนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ฟังออกว่าผู้เล่นเป็นยังไงกันบ้างแล้ว นอกซะจากว่า ประสาทหูของเธอมันจะเป็นสัตว์ประหลาดก็เท่านั้นแหละ... แต่ของแบบนั้นเป็นได้ที่ไหนละ
หืม...?
อมีเรียเลิกคิ้วด้วยความสงสัยกับเสียงเชียร์สลับกับเสียงของรุ่นพี่ริโกะและตัวสำรองที่บ่นใส่คางามิด้วยความร้อนใจ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเลิกคิ้วอีกรอบเมื่อเสียงนักหวีดขอเวลาของฝั่งชูโตคุดังขึ้น นี่เล่นผ่านไปนานแค่ไหนแล้วทำไมถึงได้มาขอเวลาพักกันละ...?
“...สถานการณ์ในสนามเป็นยังไงบ้างคะ” อมีเรียเอ่ยถามทันทีเมื่อมีใครบางคนมานั่งลงข้างๆเธอ
ยังดีที่สงบสติอารมณ์ได้ ออร่าน่ากลัวที่คนอื่นๆสัมผัสได้จึงหายไปหมด..
คุโรโกะรับผ้าขนหนูมาจากเพื่อนร่วมทีมก่อนจะหันไปมองใบหน้าหวานที่โผล่ออกมาแค่จมูกและปาก เขาเดาสีหน้าของเธอไม่ออกจริงๆละนะว่ากำลังคิดอะไร แต่..จะให้ถอดผ้านั้นออกให้มันก็ยังไงอยู่ เพราะได้ฟังจากปากคางามิมาแล้วว่า ผู้จัดการของพวกเขาในตอนนี้กำลังเผชิญปัญหากับโรคส่วนตัวจึงจำเป็นต้องพักสายตาชั่วคราว
คุโรโกะเงียบไปสักพัก ก่อนจะบอกไปตามจริง
“ตอนนี้แต้มของพวกเราห่าง 6 ครับ – ส่วนคางามิคุง..กระโดดไม่ได้อีกแล้ว”
“อ่อ..” อมีเรียพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยชื่อใครบางคน “คางามิ ไทกะ”
“...เรียกเต็มขนาดนี้..จะบ่นอะไรอีกเล่า!?” คางามิหันมาแว้ดญาติสาว แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใบหน้าที่มีผ้าปิดตาเอาไว้ ตัวเขาลืมนึกไปเลยว่าญาติคนนี้กำลังปิดตาอยู่
เอ่อ..คงเรียกเพื่อหาทิศทางเสียงสิน่ะ
“ไม่ได้จะบ่นค่ะ แค่จะบอกว่าฝ่ายนู้นจะปิดฉากด้วยสามแต้ม – เค้นแรงใจกระโดดให้ได้ด้วยนะคะ ถ้าทำได้เรื่องเวรทำอาหารตลอดหนึ่งเดือน เราจะรับผิดชอบเอง”
“....” คางามิมองญาติสาวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ก่อนกระตุกยิ้มกว้างออกมา “พูดแล้วอย่าคืนคำล่ะ!”
“ดิฉันรักษาคำพูดของตัวเองเสมอค่ะ”
“ดีล!”
และแล้วก็หมดการขอเวลานอกเสียที ตอนนี้ทุกคนลงสนามเพื่อทำการแข่งให้จบควอเตอร์สุดท้ายให้ได้และเพื่อชัยชนะของเซย์รินด้วย อมีเรียก็ยังคงเป็นอมีเรียผู้ถูกปิดตาไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ภายในสนามได้ แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากอยู่แล้ว เพราะยังไงท้ายที่สุด
ชัยชนะก็จะเป็นของเซย์ริน
เฮ!!
เสียงเฮดังขึ้นเมื่อคะแนนของเซย์รินนำ 1 แต้มแล้วทว่าเวลากลับเหลือเพียง 3 วินาที
เป็นระยะเวลาที่ชูโตคุสามารถสวนกลับมาได้ แต่คางามิและคุโรโกะก็สามารถสะกัดและหยุดการทำแต้มของมิโดริมะได้อย่างหมดจด จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายได้จบลงพร้อมเสียงสัญญาณการจบการแข่งขันที่ดังขึ้นมา การแข่งในควอเตอร์ที่สี่จบลงพร้อมกับชัยชนะของเซย์รินที่เป็นไปตามที่อมีเรียคาดการณ์เอาไว้ – คางามิเหลือบมองที่นั่งฝั่งเซย์ริน เขามองใบหน้าเรียบเฉยของญาติสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
แม้จะรู้ว่าญาติคนนี้ของเขามีลางสังหรณ์บางอย่างที่แม่นยำ แต่แค่ไม่คิดว่าจะแม่นยำขนาดนี้...
ปรี๊ดดดด!!!
จบการแข่งขัน
“ไชโย / สำเร็จ”
“คราวนี้เรา..ชนะจริงๆ”
“ชนะแล้ว ชนะแล้ว ชนะแล้ว”
อมีเรียนั่งนิ่งท่ามกลางเสียงเฮด้วยความดีใจของทุกคน “นี่อย่าเอาแต่ดีใจกันสิคะ – กรุณามาถอดผ้าปิดตาให้ด้วยค่ะ” แต่ดูเหมือนเสียงหวานแสนนิ่งของอมีเรียจะไม่ค่อยเข้าหูใครเลยเพราะพวกเขาเอาแต่ตื่นเต้นกับชนะที่ได้มา เธอชักจะปลงกับการถูกเมินเหมือนที่คุโรโกะเคยโดนแล้วละสิ...
ท่ามกลางเสียงเฮที่ดังกระหึ่ม....
คางามิฉีกยิ้มกว้างด้วยความยินดีกับชัยชนะที่ได้มา คุโรโกะเองก็ส่งยิ้มให้คู่หูเหมือนกันในขณะที่กัปตันทีมอย่างฮิวงะเองก็โห่ร้องดีใจกับเพื่อนๆ ที่บางคนเกือบน้ำตาซึมกับชัยชนะในครั้งนี้ของพวกเขา พวกเขาเองก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะชนะได้ ถึงแม้จะชนะได้ด้วยคะแนนที่ฉิวเฉียดก็ตามที – สุดท้ายอมีเรียก็ต้องเอื้อมมือควานหาปมผ้าแล้วแกะมันออกด้วยตัวเอง
เด็กสาวปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างอยู่สักพัก แล้วค่อยมองดูใบหน้าที่ชัดบ้างจางบ้างด้วยแววตาเหม่อลอย
สีหน้าของทุกคน....ทำไมถึงได้ มีความสุขกันละ..?
เด็กสาวเคลื่อนสายตาไปมองทีมชูโตคุที่ยังตกตะลึงกับผลการแข่ง บางคนก็มีปฏิกิริยาที่ไม่ต่างจากที่คาดเดาสักเท่าไหร่ อันที่จริงก็คงมีแค่สมาชิกทีมบาสผมสีเขียวกับผมสีดำเท่านั้นเองที่เธอมองเห็นใบหน้าของพวกเขาสองคน อมีเรียมองมิโดริมะที่ดูมีสีหน้าเจ็บใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเลื่อนสายตาไปมองคางามิที่ต่อจากนี้คงต้องนอนซมอยู่นานกว่าจะลุกมาวิ่งมาเดินได้แน่ๆ ก็เขาเล่นฝืนกำลังขาและกล้ามเนื้อของตัวเอง
เรียกได้ว่าทุ่มเทให้กับการแข่งขันในครั้งนี้จริงๆ..ทุ่มเทแบบหมดเปลือกเลยด้วย
ดวงตาสองสีเหม่อมองออกไปด้านนอกประตูด้วยความรู้สึกเลือนลอย...
ฝนด้านนอกก็ยังคงตกไม่หยุดเลยสิน่ะ กลับบ้านยังไงดีนะ....?
.
.
.
ร่างบอบบางของอมีเรียเดินกางร่มไปยังซุปเปอร์เพื่อซื้อร่มมาให้ทุกคน เพราะในตอนนี้ฝนกำลังตกลงมาหนักมากๆเลย หากให้ทุกคนเดินตากฝนกลับบ้านคงจะได้ไม่สบายกันถ้วนหน้าอย่างแน่นอนโดยเฉพาะกับคนที่ร่างกายอ่อนแออย่างเธอก็ด้วย – ในตอนนี้พวกเขาน่าจะกำลังปรึกษากันว่า ในช่วงที่ฝนตกอยู่จะไปหาอะไรกินที่ไหนดี หากได้ข้อมูลแล้วคุโรโกะก็จะส่งเมลล์มาให้เธอ
ส่วนถ้าจะถามว่าทำไมคุโรโกะมีเมลล์ของเธอน่ะหรอ?
เขาขอไปนะ...เอาไว้ใช้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน... ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงเลยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณที่แวะมาอุดหนุนนะคะ”
อมีเรียก้มมองเมลล์ในโทรศัพท์ที่ส่งมาว่า ทุกคนรอเธออยู่ด้วยความสงสัยและจนใจกับความคิดทุกคน จะไปก่อนเธอก็ได้แท้ๆ จะรอกันทำไม.. ร่างบางยิ้มออกมาบางเบาก่อนจะเดินกางร่มสีขาวพร้อมหิ้วถุงพลาสติกที่มีร่มอยู่ภายในเดินไปตามทางเพื่อกลับไปทางเข้าสนามแข่งบาสที่ทุกคนรออยู่
...??
เด็กสาวชะงักขาที่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้าของตัวเอง เมื่อกี้หางตาของเธอเหลือบเห็นใครบางคนยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา...เรือนผมสีเขียวเข้มราวกับชาเขียว ตัดกันกับชุดนักกีฬาสีส้มขาวที่ยังคงใส่อยู่ราวกับว่า เขาปลีกตัวออกมาทันทีที่การแข่งจบลง
เธอมองไม่เห็นสีหน้าของเขาหรอกว่าอยู่อารมณ์ไหนอะไรยังไง
แต่เขาในตอนนี้คงจะกำลังเศร้าอยู่ไม่น้อยเพราะนี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรก จากที่ได้ยินมา
อมีเรียตัดสินใจที่จะเปลี่ยนทิศทางเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงโปร่งของเขา ก่อนจะเขย่งตัวให้สูงพร้อมกับชูร่มในมือขึ้นกางให้อีกฝ่ายด้วย แต่ด้วยส่วนสูงที่มากเกินไปจึงทำให้อมีเรียแทบเซกับการเขย่ง หากไม่เพราะมิโดริมะรับรู้ถึงการเข้ามาของเด็กสาว เขาคงไม่ได้ยกแขนขึ้นประคองร่างบอบบางเอาไว้ทันท่วงทีก่อนที่อีกฝ่ายจะเซล้มเข้าใส่เขา – เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้นับตั้งแต่หลงมาอยู่ในโลกนี้
เธอขัดใจกับส่วนสูงของตัวเองจริงๆ เริ่มคิดถึงส่วนสูงในร่างวัยสาวแก่ของตัวเองเหลือเกิน..
คิดแล้วมันก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา...(ก้มหน้าปลงตก)
“...ทำอะไร” เขาปรายตามองหญิงสาวร่างเล็กที่กำลังเขย่งกางร่มให้เขาทั้งๆที่ตัวเองก็ตัวเล็กนิดเดียว
ร่างเล็กขมวดคิ้วยุ่ง เรียวปากขยับไปมาพร้อมกับแขนที่เริ่มสั่นเทา “การมาตากฝนแบบนี้จะทำให้ไม่สบายค่ะ ในฐานะคนเป็นผู้จัดการประจำทีมบาสแล้วด้วยจะต้องเข้ามาดูแลค่ะ”
“...ผมไม่เข้าใจความคิดของเธอจริงๆ” มิโดริมะขมวดคิ้วสงสัยในตรรกะความคิดของอีกฝ่าย
แต่เขาก็เอื้อมมือไปแย่งร่มมาถือเองเพื่อกันไม่ให้ร่างเล็กนั่นเซล้มทับเขา แม้แขนอีกข้างจะโอบเอวเล็กบางนั้นเพื่อประคองไม่ให้เจ้าตัวล้ม ทว่าพอหลุบตามองร่างบอบบางของเด็กสาวแล้วเขากลับต้องเลื่อนสายตาหนีแต่มือก็ไม่ยอมละจากเอวบางขอดของเด็กสาว
อมีเรียแย้งด้วยใบหน้ามึน “ดิฉันเองก็ไม่เข้าใจความคิดตนเองเช่นกันค่ะ”
จริงๆนะเธอเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะเข้ามาหาเขาทำไม...?
แต่เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของเด็กน้อย ที่มายืนตากฝนเล่น MV หลังจากจบการแข่งขันได้ไม่นาน คงเพราะเป็นแบบนั้นละมั้งเธอถึงได้...เข้ามาหาเขาแบบนี้ คิดว่านะ...
“แล้ว..ทำไมมายืนตากฝนละคะ?” อมีเรียเงยหน้ามองเขา
ด้วยเพราะสายตาของเธอเริ่มที่จะชินกับใบหน้าของมิโดริมะแล้วบ้าง เธอจึงมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนเหมือนกับไทกะ แต่จะว่าไป..เด็กสมัยนี้ทำไมหน้าตาดีกันจังเลย...? คางามิก็หน้าตาดี คุโรโกะก็อีกคน พวกรุ่นพี่ในทีมบาสก็ด้วย...และยังมิโดริมะอีก— ทานอะไรเป็นอาหารกันนะถึงได้หน้าตาดีแบบนี้...?
“ผม..คิดอะไรนิดหน่อย”
“อย่างงั้นหรอคะ? – อย่าไปเครียดเลยค่ะ มีชนะก็ต้องมีแพ้บ้างแหละ” อมีเรียเลิกคิ้วมองเขาด้วยใบหน้าล้อเลียนแต่ในสายตามิโดริมะ เขากลับรู้สึกว่าท่าทางเมื่อครู่คล้ายกับคนบางคนเหลือเกินน่ะ
เหมือนกับคุโรโกะถึงสีผมจะสีอ่อนกว่าก็ตามเถอะ...แต่สีหน้ากลับแตกต่างจากคุโรโกะชัดเจน
“....”
“ดิฉันคิดว่า..สักวันคุณจะสามารถเอาชนะได้เองแหละค่ะ” อมีเรียส่งยิ้มให้ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีสายเรียกเข้าจากคางามิ เธอมองหน้าจอเล็กน้อยก่อนจะหยิบเอาร่มคันใหม่ในถุงมาแกะแล้วกางออก “ดิฉันต้องขอตัวก่อนค่ะ ส่วนร่มคันนั้นกรุณานำไปใช้ด้วยนะคะ”
“....”
ตึก! ตึก! ตึก!
มิโดริมะมองร่างบางวิ่งกางร่มหายไปจากสายตาเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าควรจะสับสนรึสงสัยดี เขามองร่มในมือที่มีป้ายชื่อห้อยแสดงความเป็นเจ้าของเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับเข้าไปด้านในเพื่อเปลี่ยนชุดกลับบ้าน
ยังไงซะ..รู้ชื่อแล้วไว้มีโอกาสค่อยเอาไปคืนก็แล้วกัน
.
.
.
ใช้เวลาวิ่งไม่นานอมีเรียก็มาถึงจุดที่นัดหมายกับทุกคนเอาไว้ เธอส่งมอบร่มให้พวกเขาก่อนจะขมวดคิ้วใส่คางามิที่ถูกคุโรโกะแบกอยู่ แล้วจึงเลื่อนสายตาไปมองบรรดารุ่นพี่ที่เดินนำหน้าไปแล้ว ก็รู้ว่าทุกคนเหนื่อยแต่ให้คนตัวเล็กบอบบางอย่างคุโรโกะมาแบกคนตัวใหญ่อย่างกับหมีควายอย่างคางามิแบบนี้ เดี๋ยวคุโรโกะก็ล้มซะหรอก..
อะ!!
ตุบ
ไม่น่าจะเตือนทันแล้ว...
อมีเรียมองญาติหนุ่มที่ถูกทิ้งจากหลังของคุโรโกะด้วยความสงสาร ซิกแมนหนุ่มคงจะหนักไม่น้อยเลยเซจนล้มหน้าทิ่มพื้นแบบนั้น ด้วยความรู้สึกจนใจและอนาถใจสุดท้ายอมีเรียเลยต้องเข้าไปช่วยอย่างช่วยไม่ได้ มือเรียวก็ยืดจนสุดแขนเพื่อที่จะกางร่มให้คนทั้งสองที่นั่งลงกับพื้นไปแล้วทั้งคู่ ส่วนคนอื่นๆที่เดินนำหน้าก็เอาแต่หัวเราะคิกคักอย่างน่าประหลาดใจ...
มีอะไรน่าหัวเราะกันนะ...?
สุดท้ายพวกเราก็มาถึงร้าน Okonaami Yaki ได้อย่างปลอดภัย(รึเปล่า?)
ริโกะคือคนแรกที่เดินเข้าไปในร้านก่อนตามหลังด้วยพวกรุ่นพี่ฮิวงะที่พอได้กลิ่นหอมของอาหารก็พร้อมใจกันมีแรงอย่างรวดเร็ว ว่าแต่มื้อนี้จ่ายเองรึว่าเลี้ยงนะ? – อมีเรียเก็บร่มก่อนจะเหล่มองคางามิที่ทำหน้าบูดบึ้งอยู่ด้านขวาของเธอ ส่วนคุโรโกะก็ทำหน้านิ่งอย่างปกติอยู่ด้านซ้ายมือ หากไม่เพราะตัวเธอเธอต้องมายืนคั่นกลางเพื่อไม่ให้สองคนนี้ทะเลาะกัน
“คุโรโกะหนอยแก...ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้บ้า” คางามิกัดฟันกรอดพร้อมมุมปากที่กระตุกถี่
แต่เพราะอมีเรียเงยหน้ามองเขาอยู่ คางามิจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเขม่นใส่คุโรโกะเท่านั้น— เขาไม่ได้กลัวญาติตัวเองหรอกนะ.. ไม่ได้กลัวสักนิด
“ขอโทษครับ ก็ผมหนักนี่นา”
คุโรโกะก็พอกัน เขาตอบเสียงเรียบพร้อมใบหน้านิ่งมึนไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขา
คางามิกวาดสายตามองไปทั่วร้านเพื่อหาที่นั่งก่อนจะสะดุดเข้ากับผมสีเหลืองที่ดูจะเด่นสะดุดตาไม่น้อย แล้วเรียกชื่ออีกฝ่ายซะเสียงดัง ในขณะที่อมีเรียเปิดกระเป๋าเป้อเนกประสงค์ของเธอหยิบเสื้อคลุมตัวใหม่ออกมาให้คางามิ – ดวงตาสองสีกลมโตเงยหน้ามองตามคางามิแล้วเอียงคอเล็กน้อย....ใครกัน?
“คิเซะกับคาซามัตสึ”
“เรียกชื่อห้วนๆเลยเรอะ”
“หวัดดีฮะ”
แถมดูอีกฝ่ายจะรู้จักฝั่งเราเสียด้วย...
ยังไงซะด้วยเพราะที่นั่งไม่พอจึงต้องแชร์กันนั่งกับพวกคิเสะ แต่ที่อมีเรียสงสัยคือ....
ทำไมต้องเป็นเธอที่มานั่งหัวโต๊ะเพื่อคุมคางามิไม่ให้ทำอะไรแปลกๆด้วย...!!
ไหนจะสายตาสงสัยของผู้ชายสองคนที่อมีเรียมองไม่เห็นหน้าตานอกจากสีผมของพวกเขาเท่านั้น โต๊ะที่เธอนั่งมีคุโรโกะ คางามิ เธอ คิเสะและคาซามัตสึ ที่คุโรโกะอาสาแนะนำตัวให้เพราะถ้าให้คางามิแนะนำมันจะเป็นการเสียมารยาทซะส่วนใหญ่...
“ทำไมต้องมาแชร์โต๊ะกันด้วยเนี่ย” คิเสะพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปซักพัก
“ต้องขออภัยด้วยค่ะ โต๊ะมันไม่เพียงพอ” น้ำเรียบเรียบนิ่งเอ่ยเนิบนาบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
เธอมองไม่เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มว่าเป็นยังไง เลยเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายรู้สึกอะไร แต่ถ้าจะให้จ้องเขาเหมือนจ้องมิโดริมะละก็....เธอยังไม่อยากโดนคางามิเอาผ้ามาปิดตาระหว่างการกินหรอกน่ะ อมีเรียถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะผุดลุกขึ้น “ถ้าลำบากใจ เดี๋ยวดิฉันจะออกไปดูว่าแถวนี้มีร้านอาหารอีกรึเปล่าให้นะคะ”
“ไม่ต้อง / ไม่ลำบากใจครับ”
“....??”
อมีเรียเลิกคิ้วใส่คางามิที่ตอนแรกทำหน้าบึ้งแต่ก็ประสานเสียงกับคิเสะห้ามเธออย่างรวดเร็ว เมื่อไม่มีใครปฏิเสธที่จะแชร์โต๊ะร่วมกัน อมีเรียจึงยอมนั่งลงตามปกติอย่างที่สองหนุ่มต้องการก่อนจะปล่อยหน้าที่ในการสั่งให้คางามิ ด้วยเพราะ...
เธอไม่ค่อยออกมาทานอาหารญี่ปุ่นด้านนอกซะเท่าไหร่....ถ้าพูดให้ถูกก็คือ เธอไม่เคยออกมาทานด้านนอกมากกว่า
“ว่าแต่คางามิจจิ ทำไมตัวเปื้อนโคลนอย่างนั้นล่ะฮะ”
“ตกจากหลังคุโรโกะ แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ หยุดเรียกว่าคางามิจจิ ซะที”
“คางามิจจิ?” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในโต๊ะกะพริบตาปริบด้วยความงุนงงกับชื่อของใครบางคนที่เติมคำแปลกๆใส่จนคุโรโกะที่นั่งเงียบอยู่เป็นฝ่ายอธิบายให้แทน
“คิเสะคุงเขา จะชอบเรียกคนที่เขายอมรับโดยเติมคำว่า –จจิ ลงไปนะครับ”
“อ่อ...ประหลาดจังเลยนะคะ”
อมีเรียพยักหน้าเพื่อพยายามทำความเข้าใจกับตรรกะแปลกๆของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายเธอก็ต้องปล่อยผ่านแล้วก้มมองเมนูอาหารที่คางามิยื่นส่งมาให้ ดวงตาสองสีกวาดสายตามองดูอักษรคันจิที่เริ่มจะคุ้นตาด้วยแววตาเฉยเมยเพราะยังไงท้ายที่สุดอมีเรียก็ต้องโยนหน้าที่สั่งให้คางามิอยู่แล้ว...
คลืน..
“ขอโทษครับ..ลุงครับ มีที่ว่าง..2 ที่..--”
เสียงที่ดังจากทางประตูเรียกความสนใจของทุกคนในร้านให้หันไปมองได้เป็นอย่างดี อมีเรียเงยหน้าจากเมนูอาหารมองมิโดริมะและเพื่อนของเขาด้วยความสนใจ แต่เมื่อมิโดริมะเห็นพวกคุโรโกะปุบก็รีบปิดประตูร้านทันทีจนเกิดเสียงดัง ทว่าสายฝนด้านนอกกลับตกแรงมากยิ่งขึ้น..
สุดท้ายแล้วมิโดริมะและเพื่อนของเขาก็ต้องเข้ามาในร้านอย่างช่วยไม่ได้...
“....นี่ค่ะ” อมีเรียส่งผ้าขนหนูสีขาวที่ยังแห้งและไม่ได้ใช้ให้ทั้งสองคน “เช็ดผมหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“โอ๊ะ! ขอบคุณครับคุณผู้จัดการเซย์รินคนสวย”
“...” อมีเรียเพียงพยักหน้ารับคำขอบคุณเบาๆ
ก่อนเลื่อนสายตามามองโต๊ะของตัวเองที่ตอนนี้...
จะว่าไงดี...มีแต่ผมสีแตกต่างกันทั้งหมดเลยล่ะน่ะถ้าไม่รวมเธอด้วย..มั้ง
“ผม…ไม่เข้าใจความคิดของเธอจริงๆครับ” มิโดริมะ
“…..ก็ไม่อยากให้มาเข้าใจนิคะ”อมีเรีย
……………………………………………………………..
รีไรท์ทีละนิดทีละหน่อย อาจจะมาๆหายๆเนื่องจากใกล้จะถึงช่วงสอบมิดเทอมแล้ว แฟรร์ต้องไปเตรียมตัวกันสักหน่อยนะคะ(หัวเราะเสียงแห้ง)
คาดว่าอิมเมจของอมีเรียจะถูกเปลี่ยนนิดหน่อย…คิดว่านะคะ 55555
ทุกท่านสามารถโดเนทสนับสนุนด้านค่าเน็ตและค่าไฟให้แฟรร์ได้นะคะ
วิธีโดเนท
โอนเงินจำนวนแล้วแต่รีดฯเข้ามาได้ที่นี่ :: เลขบัญชี 046-8-34907-8 (ธนาคารกสิกรไทย) และ เบอร์ 0960075277 ( True Money Wallet )
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ //โค้ง
1 คอมเม้นท์ = 100 กำลังใจ
สามารถติหรือชี้แนะไรท์ได้ ไรท์จะรออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนนะคะ
ติดตามข้อมูลข่าวสารและการอัพเดทต่างๆได้ที่เพจ Fairy-แฟรี่กะ จิ้มๆเลย//ชี้
By. ภูติสีเทา
ความคิดเห็น