ตอนที่ 14 : การกลับมาของคนที่เฝ้ารอ
ตอนที่ 14
เพียงไม่กี่วันที่นิตยสารเล่มนั้นวางแผง ก็ได้รับทั้งคำชมและคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายส่งผลให้แพรลดากลายเป็นนางแบบสาวสุดฮอต ที่มีคิวยาวเหยียดไปจนถึงกลางปีหน้า จากที่เคยมีวันว่างมากมายกลายเป็นต้องวิ่งรอกงานโน้นออกงานนี้ โดยมีวีร์ธิรา ที่นอกจากจะรับบทเป็นคนรักกำมะลอแล้วยังควบหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวไปอีกด้วย ในขณะเดียวกันพอนักข่าวสืบทราบมาได้ว่านิยายรักหวานแหววที่ติดอันดับขายดีที่สุดและกำลังจะถูกนำมาสร้างเป็นละครเรื่องใหม่ เป็นผลงานของสาวหล่อคู่รักของนางแบบสาวคนสวยด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้นักเขียนธรรมดาๆ อย่างวีร์ธิรากลายเป็นคนดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วทันที
.
.
.
มือเล็กๆ พลิกหน้ากระดาษของนิตยสารเล่มดังที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ไล่ดูภาพต่างๆ ของนางแบบสาวสุดเซ็กซี่ที่กำลังหยอกล้อกับสาวหล่อคู่รักของเธออย่างสวีทหวาน จนมาถึงภาพสุดท้ายที่แพรลดาขี่หลังของสาวร่างสูงพลางซบหน้าลงกับไหล่กว้างนั้น มือเรียวเล็กลูบไล้ไปบนใบหน้าของนางแบบสาวในภาพนั้นอย่างอ้อยอิ่ง ทว่า สายตากลับจับจ้องอยู่ที่รอยคิสมาร์กตรงซอกคอของสาวหล่อคนนั้นอย่างไม่วางตา พลันน้ำใสๆ หยดแหมะลงบนกระดาษ ตามมาด้วยเสียงสะอื้นร่ำไห้ของหญิงสาวที่ฟุบหน้าลงกับเตียงเคียงข้างนิตยสารเล่มนั้น ภายในห้องที่เงียบสงบ ธรัตรารำพึงรำพันออกมาเบาๆ พร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูลงมาเป็นสายอาบแก้มขาวทั้งสองข้างจนเปียกชื้นไปหมด
"ผึ้งไม่อยากเชื่อเลยว่าดาจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ไหนดาบอกว่ารักผึ้งมาก แล้วก็จะพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อผึ้งไง แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ เพราะอะไรกัน ทั้งที่ผึ้งตั้งใจกลับมาหาคนที่คิดว่าจะรักผึ้งเพียงคนเดียวตลอดไป แต่ทำไม. . .ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ"
ที่สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเสื้อโค้ทสีน้ำตาลตัวใหญ่ กำลังยืนอยู่หน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะที่อยู่ภายในสนามบินนั้น ปลายนิ้วภายใต้ถุงมือหนังสีดำกดโทรออกไปยังเลขหมายปลายทางด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ไร้ชีวิตชีวา ไม่นานนักเสียงของใครบางคนก็ดังแว่วมาจากปลายสาย เธอพยายามปรับน้ำเสียงให้ดูร่าเริงขึ้นระหว่างที่พูดกับปลายทาง
"สำนักพิมพ์เลิฟลี่ สวัสดีค่ะ"
"ฮัลโหล อาแก้วเหรอคะ นี่เมเองนะคะ ตอนนี้เมอยู่ที่สนามบินแล้วค่ะ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงเครื่องก็คงจะออก ซักหกโมงเย็นก็คงจะถึงกรุงเทพฯ ค่ะ อาแก้วออกมารับเมได้มั้ยคะ"
"อ้าว. . .ไหนน้องเมบอกว่าจะกลับมาเดือนหน้าไงจ๊ะ แล้วทำไมรีบกลับล่ะ เคลียร์งานที่นู่นเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ แล้วนี่พี่ธนารู้รึเปล่าจ๊ะ ว่าน้องเมจะกลับวันนี้เนี่ย เอายังงี้ดีกว่าเดี๋ยวอาจะโทรไปบอกคุณพ่อน้องเมให้นะ จะได้ส่งคนไปรับที่สนามบิ. . ." สาวใหญ่เอ่ยทักทายปลายสายอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลานสาวคงยังไม่ได้บอกให้ทางบ้านรู้ ยังไม่ทันจะพูดจนจบประโยค สาวน้อยก็ส่งเสียงขัดขึ้นมาเสียก่อน
"อ๊ะ. . .อาแก้วคะ อย่าเพิ่งบอกคุณพ่อนะคะ คือ . . . เม . . .เมมีเรื่องที่จะต้องทำก่อนค่ะ ถ้ากลับไปบ้านตอนนี้คงจะไม่สะดวกนัก อาแก้วคะ ให้เมไปอยู่กับอาแก้วก่อนได้มั้ยคะ นะคะ แค่สองสามวันก็ได้ เมยังไม่อยากกลับบ้านค่ะ อาแก้วช่วยปิดเรื่องที่เมกลับวันนี้ไม่ให้คุณพ่อรู้ได้มั้ยคะ"
เมษยาหรือเม หลานสาวของกรอบแก้ว เอ่ยขอร้องผู้เป็นอาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แม้กรอบแก้วจะรู้สึกไม่สบายใจนักถ้าหากพี่ชายของเธอรู้ว่าลูกสาวสุดรักสุดหวงเพียงคนเดียวกลับมาแล้วแต่ไม่ยอมไปพบพ่อแม่ก่อน คงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เหมือนเมื่อครั้งที่เมษยาผลุนผลันออกจากบ้านแล้วไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นกับเพื่อนสาวอีกคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนเป็นแน่
ในคราวนั้น ธนาชัย พี่ชายของเธอโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง แทบจะบินตามไปถึงที่ญี่ปุ่น เพื่อลากตัวลูกสาวที่แอบหนีออกจากบ้านไปไม่บอกไม่กล่าวเสียให้ได้ โชคดีที่เธอกับพี่สะใภ้รั้งตัวเอาไว้ได้ก่อน เขาจึงจำต้องยอมปล่อยให้ลูกสาวไป แต่ถึงกระนั้น เขาก็ได้เอ่ยปากหมั้นหมายลูกสาวของตัวเองกับลูกชายของเพื่อนรักเอาไว้ โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าเมษยาเรียนจบและกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ จะจัดงานแต่งงานให้ทันที
ลึกๆ แล้วกรอบแก้วก็อดสงสารหลานสาวของเธอไม่ได้ เพราะนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเมษยาจึงไม่อยากกลับมาที่เมืองไทย และอีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้เป็นอาอย่างเธอรับรู้เพียงคนเดียว นั่นก็คือหลานสาวของเธอเป็นเลสเบี้ยน และคู่รักของเธอก็คือคนที่หนีไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นด้วยกันในตอนนั้นนั่นเอง ถ้าหากเมษยากลับมาที่นี่ ย่อมหมายถึงว่า เธอต้องยอมรับการแต่งงานครั้งนี้แต่โดยดี ไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น สาวใหญ่ถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มเสียงนัก
"เอาอย่างนั้นก็ได้จ้ะ น้องเมมาอยู่ที่คอนโดของอาไปก่อนแล้วกัน อืม. . .ว่าแต่ น้องเมกลับมาคนเดียวหรือคะ แล้วเพื่อนคนนั้นมาด้วยกันรึเปล่าจ๊ะ"
คำถามของกรอบแก้ว ทำเอาผู้เป็นหลานสาว แทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ พยายามกัดริมฝีปาก ข่มใจตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาให้ปลายสายได้ยิน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"เปล่าค่ะ ไม่ได้มาด้วยกัน เอ่อ. . .แค่นี้ก่อนนะคะอาแก้ว เค้าประกาศเรียกขึ้นเครื่องแล้วล่ะค่ะ เจอกันที่กรุงเทพฯ นะคะ"
วางสายแล้ว เมษยาก็ยกผ้าพันคอที่พันอยู่บนลำคอระหงขึ้นมาซับหยดน้ำตาเบาๆ ก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้าไปยังจุดตรวจ เพื่อขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับสู่แผ่นดินเกิดของตัวเอง ด้วยความรู้สึกที่หดหู่ยิ่งนัก กรอบแก้วค่อยๆ วางหูโทรศัพท์ลงที่เดิม นึกสงสารหลานสาวขึ้นมาจับใจเมื่อคำตอบที่ได้รับ ทำให้เธอเดาได้ทันทีว่า ระหว่างเมษยากับคนรักคงจะมีเรื่องผิดใจอะไรกันสักอย่างแน่นอน เพราะเมื่อถามถึงคนรัก น้ำเสียงที่สดใสเมื่อครู่กลายเป็นเสียงที่สั่นเครือขึ้นมาทันที พลันส่ายหน้าน้อยๆ แล้วหันกลับไปจัดการกับงานของตัวเองต่อ พยายามรีบทำให้เสร็จเพื่อที่ว่าจะได้ไปรับหลานสาวได้ทันเวลา
.
และแล้ววันเปิดกล้องละครเรื่องแรกของแพรลดาก็มาถึง สาวร่างสูงนั่งสังเกตการณ์อยู่ภายในรถคันงามของแพรลดามิได้ลงไปนั่งรอด้านในกองถ่ายเหมือนที่เคยไปนั่งรอหญิงสาวถ่ายแบบเมื่อครั้งก่อน วีร์ธิราบอกกับนางแบบสาวซึ่งตอนนี้กำลังจะกลายเป็นนางเอกดาวรุ่งดวงใหม่ว่า ในวันนี้ผู้คนมากันเยอะแยะ เธอไม่อยากจะลงไปเป็นตัวเกะกะของนักแสดงและทีมงานคนอื่นๆ จึงขอนั่งรออยู่ที่รถแต่เพียงลำพังจะดีกว่า ซึ่งนางแบบสาวก็ไม่ขัดข้องอะไร ด้วยรู้ดีว่าเหตุที่ร่างสูงไม่อยากไปนั่งรวมกับบรรดาทีมงานนั้น เป็นเพราะไม่อยากประจันหน้ากับใครบางคนมากกว่า
บรรยากาศในวันแรกของการเปิดกล้องละครเป็นไปอย่างคึกคัก บรรดานักแสดงต่างพากันมาจุดธูปบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นสิริมงคลและเพื่อให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น ระหว่างที่บรรดานักข่าวกำลังระดมถ่ายภาพบรรยากาศของการเปิดกล้อง ก็มีเสียงเรียกร้องของนักข่าวเอ่ยปากขอถ่ายภาพคู่ระหว่างนางเอกหน้าใหม่กับพระเอกหนุ่มเจ้าเสน่ห์คนดัง
แพรลดาทำท่าอิดออดแต่พระเอกหนุ่มกลับยิ้มอย่างชื่นบาน พลางถือวิสาสะคว้าข้อมือนางเอกสาวฉุดให้มายืนใกล้ๆ กัน เธอจึงจำต้องยอมยืนนิ่งเคียงข้างชายหนุ่มที่ยังถือโอกาสโอบไหล่ของเธอเอาไว้ พลางอ้างว่าพี่ๆ นักข่าว อยากได้ภาพพระเอกนางเอกแบบใกล้ชิดกัน นางแบบสาวจำใจฉีกยิ้มให้กับนักข่าวบันเทิงสิบกว่าคนรัวชัตเตอร์กันไม่ยอมหยุด จากนั้นเมื่อนักข่าวขอตัวไปถ่ายภาพของนักแสดงคนอื่นๆ ต่อ แพรลดาจึงหันไปกล่าวกับพระเอกหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงเรียบทว่าแฝงด้วยความรู้สึกเอือมระอาอยู่ในที
"ช่วยกรุณาจำไว้ด้วยนะคะว่า ดิฉันไม่ชอบให้ใครมาฉวยโอกาสแตะต้องตัวดิฉันโดยไม่จำเป็น คราวหลังอย่าทำอะไรแบบนี้อีก แล้วจะหาว่าดิฉันไม่เตือน"
ดวงตาวาวโรจน์จ้องมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินจากไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่งทะนงตน ทว่าสายตา ท่าทางและคำพูดที่บ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตรของหญิงสาวเมื่อครู่นี้ ไม่ได้ทำให้ธนภัทรสลดลงได้เลย กลับยิ่งเหมือนยั่วเย้าให้เขานึกอยากจะเข้าใกล้เธอให้มากขึ้นกว่าเดิม อยากรู้นักว่าทำไมเธอถึงได้ถือเนื้อถือตัวกับเขานัก ในขณะที่หญิงสาวคนอื่นๆ โดยเฉพาะนักแสดงหน้าใหม่ที่ต้องอาศัยชื่อของเขาในการผลักดันตัวเองให้เด่นดังขึ้นมาด้วยอย่างนั้นแล้ว มีแต่จะรี่เข้าหาและพร้อมจะยอมพลีกายให้เขาได้เชยชมโดยที่เขาแทบไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยเลยสักนิด
ไม่เหมือนกับผู้หญิงคนนี้ เขารู้สึกเหมือนเธอเป็นเหมือนดอกกุหลาบสีแดงสดที่ห้อมล้อมด้วยหนามแหลมรอบกาย ส่งกลิ่นหอมหวนยั่วยวนใจ ดึงดูดให้เหล่าภมรทั้งน้อยใหญ่ เวียนวนมาใกล้เธอ ไม่เว้นแม้แต่ภมรหนุ่มเจ้าเสน่ห์อย่างเขา ที่หลงเข้ามาติดกับสาวเจ้าเข้าอย่างจัง จนถอนตัวไม่ขึ้น แต่ทว่า หนามแหลมคมที่เธอสร้างมันขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะกำบังกาย หวังใช้คัดเลือกอัศวินใจกล้าที่จะฝ่าฟันเข้ามาจนสามารถเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของหัวใจของเธอ กลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดายด้วยผู้หญิงมาดทอม หน้าตาธรรมดาคนนั้น
เขาไม่อยากยอมรับจริงๆ ว่าหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอจะเทหัวใจให้กับเพศเดียวกัน มากกว่าที่จะเป็นพระเอกหนุ่มอย่างเขา ผู้เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติครบครัน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหล่อเหลาที่สาวคนไหนได้เห็นเป็นต้องเหลียวหลัง หรือแม้แต่ฐานะทางบ้านที่จัดว่าร่ำรวยถึงขนาดที่เขาสามารถกินนอนอยู่เฉยๆ ได้เป็นร้อยปีอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องทำงานอันใดให้เหน็ดเหนื่อยเลยก็ตาม เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอก้มหัวยินยอมให้ใครต่อใครในสังคมตราหน้าเธอว่าเป็นเพศที่สาม เพศที่ผิดธรรมชาติ แถมยังออกมายอมรับด้วยความภาคภูมิใจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
.
"น้องผึ้งคะ ถ้าแต่งตัวเสร็จแล้วเตรียมสแตนด์บายได้เลยนะคะ ฉากแรกวันนี้เป็นซีนที่น้องผึ้งต้องปะทะคารมกับน้องเมฆที่เล่นเป็นเพื่อนของพระเอกก่อนนะ"
ชื่อที่คุ้นหูทำให้แพรลดาต้องหันขวับไปมองหญิงสาวที่ถูกสต๊าฟเรียกทันที แต่ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้า ร่างบอบบางของหญิงสาวคนนั้นในชุดแซกตัวยาวสีขาว ปล่อยผมดำขลับยาวสลวยจนถึงบั้นเอว ก็พาตัวเองเดินออกไปพ้นประตูห้องแต่งตัวเสียแล้ว เธอจึงเห็นแค่เพียงหลังไวๆ ของคนที่ถูกเรียกเท่านั้น พลางมองค้างอยู่นาน เมื่อรู้สึกคุ้นตากับท่าเดินไหวสะโพกน้อยๆ ของหญิงสาวคนนั้น ก่อนจะรีบหันหน้ากลับมาเมื่อถูกช่างแต่งหน้าตำหนิที่จู่ๆ ก็หันหน้าหนีจนเกือบจะเขียนคิ้วลากยาวเป็นปีศาจให้เธอไปแล้ว นางแบบสาวรีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยทันทีก่อนจะนั่งนิ่งเพื่อให้ช่างแต่งหน้าได้ทำงานของตัวเองต่อไป
แต่ในสมองของเธอกลับครุ่นคิดถึงแต่หญิงสาวปริศนาคนนั้น ที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าใช่คนรักเก่าหรือเปล่า แม้ว่าทั้งชื่อและท่าเดินจะสอดคล้องกันอยู่มากก็ตามที นางแบบสาวหวังแต่เพียงว่าอย่าให้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับธรัตราในเวลานี้ แม้จะหาเหตุผลให้กับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมจึงได้คิดเช่นนั้น ทั้งที่เมื่อหลายวันก่อนเธอยังภาวนาให้หญิงสาวกลับมาหาเธอโดยเร็ว เธอจะได้เลิกแสดงละครตบตาชาวบ้านอย่างนี้เสียที
"ซีนต่อไปเป็นของน้องพริตตี้นะคะ ถ้าเรียบร้อยแล้วไปสแตนด์บายข้างนอกเลยนะ"
เสียงของสต๊าฟสาวคนเดิมร้องบอกอยู่หน้าประตู แพรลดารับคำสั้นๆ แล้วจึงเดินไปหาฝ่ายเสื้อผ้าที่ถือชุดเตรียมไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว
ในขณะเดียวกันร่างสูงที่นั่งรออยู่ในรถก็เริ่มรู้สึกเบื่อจึงเปิดประตูออกมายืนพิงข้างๆ รถ พลางชะเง้อคอมองไปยังบริเวณที่กำลังถ่ายทำอยู่ ดวงตากลมโตสอดส่ายสายตามองหาคนรักกำมะลอของตน พลันยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่ตนมองหา หันมาแอบยิ้ม พลางโบกมือน้อยๆ ให้ตน ก่อนที่ร่างเพรียวบางนั้นจะหันกลับไปให้ความสนใจกับผู้กำกับหนุ่มที่กำลังอธิบายสิ่งที่จะต้องทำขณะเข้าฉากรวมไปถึงมุมกล้องที่นางเอกใหม่อย่างเธอควรจะต้องรู้ด้วย ร่างสูงยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี พลางยืนกอดอกพิงกับรถคันสวย มองคนรักจอมปลอมของตนแสดงท่าทางไปตามบทบาทที่ได้รับ ปากก็ขยับพูดไปตามบทสนทนาที่แพรลดานั่งท่องอยู่กับเธอทั้งคืนจนเกือบรุ่งเช้า
"มายืนรอคนเดียวอย่างนี้ไม่เบื่อแย่หรือคะ"
เสียงหวานของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นข้างกาย ร่างสูงสะดุ้งอย่างตกใจ พลางหันไปมองผู้มาเยือนอย่างเงียบๆ ด้วยอาการหวาดระแวงเล็กน้อย ทั้งสีหน้าและแววตาของวีร์ธิราบ่งบอกถึงความไม่ไว้ใจในการมาเยือนของบุคคลแปลกหน้าคนนี้ และดูเหมือนฝ่ายนั้นพอจะมองออกจึงส่งยิ้มอย่างอ่อนหวานให้พร้อมกับแนะนำตัว
"ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ตกใจ ฉันชื่อธรัตราค่ะ เรียกว่าผึ้งก็ได้ ผึ้งเห็นคุณยืนเฝ้ารถคันนี้อยู่นานแล้ว ก็เลยคิดว่าจะมาชวนคุยด้วยเพราะกลัวคุณจะเบื่อ ซีนนี้เป็นฉากเปิดตัวพระเอกนางเอกของเรื่อง คงจะนานซักหน่อยกว่าที่คุณพริตตี้เธอจะแสดงจนเสร็จนะค่ะ"
เมื่อได้ทราบจุดประสงค์ในการมาเยือนของหญิงสาวตรงหน้าแล้ว วีร์ธิราก็ค่อยคลายความรู้สึกไม่ไว้ใจเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ ส่งกลับไปให้หญิงสาว
"อ่อ. . .ขอบคุณคุณผึ้งมากนะฮะที่เป็นห่วง ผะ. . . เอ้อ วี ฮะ วีร์ธิรา ยินดีที่ได้รู้จักคนมีน้ำใจอย่างคุณนะฮะ"
ร่างสูงรู้สึกกระดากปากที่จะเรียกแทนตัวเองว่าผมอย่างที่แพรลดาเคยสอน จึงเปลี่ยนเป็นพูดชื่อของตัวเองออกไปลอยๆ พลางเอ่ยขอบคุณในความหวังดีของหญิงสาว
"ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ พอดีผึ้งเพิ่งจะแสดงเสร็จ แล้ววันนี้ก็ไม่มีซีนแล้วด้วย ว่าจะกลับบ้านเลย แต่เห็นคุณวียืนรออยู่ กลัวว่าจะเบื่อๆ เพราะกว่าคุณพริตตี้เธอจะเล่นจบคงจะนานพอดูอยู่เหมือนกัน ก็เลยกะว่าจะมาชวนคุยเป็นเพื่อนระหว่างรอน่ะค่ะ"
รอยยิ้มอ่อนหวานอวดไรฟันขาวที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบภายในเรียวปากบางของธรัตรา ทำให้ร่างสูงอดนึกไปถึงรอยยิ้มหวานของแพรลดาเมื่อหลายวันก่อนไม่ได้ เผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับหญิงสาวที่อุตส่าห์หวังดีมาชวนเธอคุย ด้วยกลัวจะเสียมารยาท
"วีเพิ่งทราบว่าคุณผึ้งก็เป็นนักแสดงเหมือนกัน เอ่อ. . .จะเสียมารยาทหรือเปล่าฮะ ถ้าวีจะบอกว่า วีไม่เคยเห็นคุณในละครเรื่องไหนมาก่อนเลย"
ร่างสูงเอ่ยถามอย่างซื่อๆ เล่นเอาหญิงสาวตรงหน้าถึงกับทำหน้าเหวอ เมื่อถูกถามด้วยคำถามที่ไม่คิดว่าจะมีคนถามอะไรเช่นนี้ ในขณะที่ตัวคนถามกลับรู้สึกเหมือนตัวเองถามอะไรโง่ๆ ออกไป แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้มีทีท่าโกรธขึ้งแต่อย่างใด เพียงแต่ยิ้มมุมปากน้อยๆ ก่อนจะตอบคำถามนั้น
"ไม่หรอกค่ะ เพราะผึ้งเองก็เพิ่งจะรับเล่นละครเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเหมือนคุณพริตตี้นั่นแหละค่ะ ผึ้งเองก็เพิ่งจะเข้าวงการนี้ได้ไม่นาน พอดีพี่ต่ายเค้าติดต่อผ่านมาทางโมเดลลิ่ง ก็เลยมีโอกาสได้เล่นละครเรื่องนี้น่ะค่ะ แล้วคุณวีล่ะคะ มีเวลาว่างมานั่งเฝ้าแฟนสาวทั้งวันอย่างนี้ คงมีธุรกิจเป็นของตัวเองแน่ๆ เลย"
ธรัตรายิ้มให้พลางถามร่างสูงกลับไปบ้าง ดูเผินๆ คงเหมือนเป็นการชวนคุยธรรมดาๆ แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวกำลังพยายามจะสืบสาวเอาความจริงกับสาวหล่อตรงหน้า คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของแพรลดาซึ่งเป็นคนรักเก่าของเธอมาก่อน ด้วยความสงสัยในรสนิยมที่เปลี่ยนไปของอดีตคนรัก เธอไม่อยากเชื่อว่าแพรลดาสามารถที่จะกลับตัวกลับใจเลิกเป็นทอมได้ แถมยังมีคนรักเป็นทอมแท้ๆ อีกด้วยเช่นกัน เธอคิดว่าความสัมพันธ์ของผู้หญิงสองคนนี้อาจจะมีเบื้องหลังอะไรอยู่ก็เป็นได้
"อ๋อ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกฮะ คือ วี เป็นนักเขียนนิยาย ก็เลยมีเวลาว่างมากกว่าคนอื่นเค้าหน่อยเท่านั้นแหละฮะ ก็พริตตี้เค้าอยากให้มาด้วย วีเองก็ไม่อยากขัดใจเค้า ก็เลยมานั่งรอเค้าอย่างที่คุณเห็นนี่แหละฮะ"
วีร์ธิราตอบกลับไปตามที่คิด พลางยิ้มนิดๆ ให้คนถาม ก็เป็นเรื่องจริงนี่นา เธอเคยขัดใจคนรักจอมปลอมได้ที่ไหนกัน ไม่ว่าแม่คุณจะสั่งอะไร เธอก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำไปตามที่สั่ง ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ปริปากบ่นอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับคิดไปว่าที่ร่างสูงอุตส่าห์มานั่งอดทนรอได้ตั้งครึ่งค่อนวันเช่นนี้ คงเป็นเพราะรักแพรลดามากเป็นแน่ นึกแล้วก็ได้แต่เสียดายอดีตคนรักขึ้นมาเสียอย่างนั้น ที่ในวันนี้คนที่เธอเคยเป็นเจ้าของอย่างเต็มตัว กลับกลายไปเป็นคนรักของคนอื่นเสียแล้ว ถึงกับรำพึงรำพันออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว
"คุณคงจะรักดามากสินะคะ น่าอิจฉาจริงๆ ที่เค้ามีคนรักดีๆ อย่างคุณวี"
ร่างสูงเกือบจะพยักหน้าออเออไปกับคำพูดของหญิงสาวแล้ว หากไม่ติดตรงชื่อที่ธรัตราใช้เรียกคนรักจอมปลอมของเธอ ซึ่งเป็นชื่อที่แพรลดาบอกกับเธอว่า นั่นเป็นชื่อเล่นที่แท้จริงของหญิงสาว และคนทั่วไปก็ไม่มีใครรู้ว่าแพรลดาไม่ได้ชื่อพริตตี้อย่างที่ใครหลายคนรู้จัก แต่ชื่อเล่นนั้นคือ 'ดา' ต่างหากเล่า จึงเอ่ยถามออกไปด้วยความแปลกใจ
"เอ๊ะ เมื่อกี้คุณผึ้งเรียกพริตตี้ว่าอะไรนะฮะ"
"อ๋อเปล่าค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ คุณวีอย่าสนใจเลย เอ่อ เดี๋ยวผึ้งขอตัวก่อนนะคะ"
หญิงสาวเมื่อรู้ตัวว่าหลุดปากพูดออกไปแล้ว จึงรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน พลางเอ่ยตัดบทและทำท่าว่าจะเดินจากไปเสียก่อน ถ้าไม่ติดว่าเสียงเรียกของใครบางคนที่ทำให้เธอต้องหยุดชะงัก พลางหันกลับไปมองตามที่มาของเสียงนั้น
"ผึ้ง!!!"
"ดา. . ."
ธรัตราพึมพำออกมาเบาๆ สองสายตาประสานกันเนิ่นนาน ท่ามกลางความงุนงงของร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงกลาง พลางกรอกตามองใบหน้าของหญิงสาวทั้งสองคนซ้ายทีขวาทีสลับกันไปมา
.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่น่ะ ..
มันม่ายช่ายอย่างที่คิดช่ายม๊ายยยยยยยยย
แบบยกกำลังเลยล่ะ