ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Awelias and Iriana. ตำนานเทพองครักษ์แห่งซิลวานัส

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ องค์หญิงกับองครักษ์

    • อัปเดตล่าสุด 28 ม.ค. 52


    href="file:///C:\Users\VISTA\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_filelist.xml" /> href="file:///C:\Users\VISTA\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_themedata.thmx" /> href="file:///C:\Users\VISTA\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_colorschememapping.xml" />

    /> /> />

    บทแรก องครักษ์กับองค์หญิง

    ณ ห้องทรงอักษรในพระราชวังหลวงของอาณาจักรมิรานอฟ หนึ่งในมหาอำนาจแห่งแผ่นดินซิลวานัส  สถานที่ซึ่งแท้จริงแล้วควรจะเงียบสงบและเหมาะแก่การศึกษาหาความรู้เป็นที่สุด กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า

    “โอย! น่าเบื่อๆๆ  เมื่อไรไอ้หลักสูตรมารยาทน่าเบื่อนี่มันถึงจะจบลงซักทีล่ะ!

     

    พระธิดาสุดที่รักของกษัตริย์อาเซียรัส เลทรานิน เจ้าหญิงอาร์เวเลียซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดกระโปรงรุ่มร่าม ตรัส (หรืออันที่จริง ควรจะกล่าวว่าแผดเสียงร้อง) ขึ้นอย่างไม่พอใจเป็นที่สุด

     เจ้าหญิงอาเวเลียร์ผู้ทรงมีพระพระชันษาได้ 16 พรรษาแล้วนั้นทรงมีพระสิริโฉมที่งดงามยิ่งดุจดั่งเทพธิดาผู้อาศัยอยู่ในดินแดนของเหล่าเทพ ผิวขาวนวลอมชมพูรับกันเป็นอย่างดีดวงตาสีแซฟไฟร์ เรือนผมยาวประบ่าสีน้ำตาลเข้มดูเงางาม พระพักตร์นั้นหากทรงได้แย้มพระสรวลให้กับชายใด ใจของชายผู้นั้นก็คงละลายเป็นแน่แท้

    “แต่ว่าองค์หญิง... หลักสูตรมารยาทการเข้าสังคมนี้จำเป็นต่อองค์หญิงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนึงเมื่อองค์หญิงจะต้องก้าวขึ้นมาเป็นองค์ราชินีนะพะยะค่ะ” ประโยคของอาจารย์สอนมารยาทหนุ่มท่าทางดัดจริตพยายามจะหาเหตุผลมาเกลี้ยกล่อม แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เส้นด้ายแห่งความอดทนขององค์หญิงซึ่งเบาบางอยู่แล้วใกล้ที่จะขาดเข้าไปอีก

    “โอยๆๆๆๆๆ! ข้าไม่คิดจะเป็นพระราชินีอะไรในเร็ววันนี้หรอกน่า! แล้วยิ่งถ้าเป็นราชินีของท่านดาร์ธารอล์ฟด้วยแล้วละก็...” ว่าแล้วองค์หญิงก็ถอดชุดกระโปรงออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นกางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ตสำหรับผู้หญิงท่าทางทะมัดทะแมงที่ใส่อยู่ข้างใต้ตลอดเวลา

    “เอาละท่านอาจารย์ ข้าจะคุยกับท่านพ่อเองละกัน” ว่าแล้วองค์หญิงก็กระโดดข้ามระเบียงห้องเรียนส่วนพระองค์ที่อยู่บนชั้นสองของตัวพระราชวัง ก่อนจะเกาะต้นไม้โรยตัวลงสู่พื้นโดยสวัสดิภาพ

    “เฮ้อ... แล้วทีนี้จะแก้ตัวกับองค์ราชันย์ยังไงดีละเนี่ย”  อาจารย์หนุ่มคิดอย่างหนักใจ พลางชะโงกมองร่างขององค์หญิงที่อยู่เบื้องล่าง...

     

    ที่อุทยานของพระราชวังหลวง

    องค์หญิงอาเวเลียร์  ประทับบนม้านั่งพลางหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ราวกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่

    ‘ฮึ! ทำไมไม่ว่าใครก็ต้องคอยมาบังคับข้าด้วยนะ ข้าไม่ได้อยากจะแต่งงานกับท่านดาธารอล์ฟซะหน่อย’ กลางจิตใจขององค์หญิงตัวน้อยปรากฏความคิดเอาแต่ใจเช่นนั้นขึ้นพร้อมกับภาพของเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาในชุดเครื่องแบบของเจ้าชายแห่งอัลเธียร์ร่าเมื่อแรกพบ

    เจ้าชายดาธารอล์ฟนั่นเอง

    ท่านดาธารอล์ฟผู้สูงศักดิ์และกล้าหาญ ไม่ว่าผู้หญิงที่ไหนเมื่อเห็นแล้วก็คงต้องหลงใหลเป็นแน่ แต่ทำไมนะทำไม สำหรับข้าแล้วกลับดูเหมือนว่าท่านดาธารอล์ฟเป็นแค่เพียง... พี่ชาย เท่านั้นเองนะ

    “โอ๊ยยยยยยยยยย! หงุดหงิดโว้ย หงุดหงิด! ทำไมข้าถึงต้องมาคิดเรื่องอะไรพรรค์นี้ด้วยเนี่ย!” องค์หญิงตะโกนออกมา ก่อนจะระบายอารมณ์กับหนังสือในพระหัตถ์ด้วยการขว้างไปด้านข้าง

    แล้วทันใดนั้นเอง เสียงคุ้นเคยของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้น

    “ไม่ทราบว่าองค์หญิงของกระหม่อมมีเรื่องหนักใจอันใดหรือพระเจ้าค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมคนนี้จะขออาสาจัดการให้เอง”

    องค์หญิงอาเวเลียร์หันกลับไปมองทางต้นเสียงซึ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับเธอผู้เพิ่งปรากฎตัวออกมาจากพุ่มไม้

    “เฮ้อ จะอะไรซะอีกล่ะ ก็คอร์สฝึกมารยาทมหาโหดนั่นน่ะสิ ข้าล่ะเบื่อจริงๆ เลย ใครๆ ในสภาขุนนางต่างก็ลงความเห็นว่าข้าควรจะหมั้นหมายกับเจ้าชายดาธารอล์ฟเอาไว้เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองอาณาจักรน่ะ เฮ้อ เอเธรอส... ข้าน่ะเกลียดจริงๆ เลยที่จะต้องไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพวกสภาขุนนางเนี่ยองค์หญิงอาเวเลียร์กล่าวพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเบื้องหน้าสายตาขององครักษ์หนุ่มที่คอยเฝ้ามองอยู่

    เอเธรอสเป็นเด็กผู้ชายอายุราวๆ 18 ปี มีผมสีแดงเพลิงและตาสีน้ำทะเล มีใบหน้าที่คมและจัดได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีพอสมควร

    “ฝ่าบาท กระหม่อมว่าเย็นพระทัยก่อนดีกว่าพะยะค่ะ” องครักษ์หนุ่มกล่าวพลางขยับตัวลงนั่งข้างองค์หญิง

    “ทุกคนคงจะหวังดีกับองค์หญิงถึงได้ตัดสินใจไปแบบนั้น กระหม่อมว่าเจ้าชายดาธารอล์ฟ  ก็เหมาะกับองค์หญิงนะ  ทั้งกล้าหาญ สูงส่ง แต่ก็มีจิตใจอ่อนโยมสมกับเป็นราชนิกุลจริงๆ เหมือนกับตัวองค์หญิงเลยพะยะค่ะ แล้วท่านก็ยังเป็นพระสหายที่ดีของทั้งกระหม่อมและฝ่าบาทอีก ข้าว่าท่านคงจะมีความสุขนะถ้าหากท่านได้อภิเษกกับท่านดาธารอล์ฟน่ะ” เอเธรอสกล่าวพลางหันไปมององค์หญิงที่กำลังทำพระพักตร์วิตกกังวล

    “แล้วเรื่องพิธีหมั้นจะมีเมื่อไรล่ะพะยะค่ะ” เอเธรอสถามต่อ

    “เห็นว่าท่านพ่อจะคุยกับราชันย์โครนอฟในงานประชุมสันติภาพครั้งหน้านี่แหละ” องค์หญิงกล่าวก่อนจะเหม่อมองไปยังนภาเบื้องบน

    “อ้อใช่ เอเธรอส เจ้ายังเก็บดาบเพรย์คาลิสที่ข้าให้เจ้าอยู่ใช่ไหม”  องค์หญิงหันมาทางองครักษ์หนุ่มบ้าง พร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อเรื่องสนทนาเสียเรียบร้อย

    “อ๋อ ยังอยู่พะยะค่ะ  ข้าเก็บรักษามันไว้ดียิ่งกว่าชีวิตของข้าเองเสียอีก”  ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะยืนขึ้นพลางหยิบดาบขึ้นมาจากฝักส่งให้องค์หญิง

    “ฝ่าบาทต้องการมันคืนแล้วหรือพะยะค่ะ” องครักษ์หนุ่มเอ่ยปากถามองค์หญิงซึ่งกำลังพินิจพิเคราะห์ดาบในพระหัตถ์อย่างช้าๆ ก่อนจะกวัดแกว่งอย่างถนัดมือ

    “อ๋อ เปล่าหรอก เจ้าเก็บไว้ก่อนละกัน ตราบใดที่เจ้ายังต้องใช้มันน่ะ ตอนนี้สำหรับข้าแค่หอกเวทย์ไลท์เอจิสก็คงพอแล้วละ” องค์หญิงกล่าวพลางลุกขึ้นเดินเข้าไปหาองครักษ์หนุ่มช้าๆ ก่อนจะสอดดาบลงในฝักที่เหน็บอยู่ตรงเอวขององครักษ์หนุ่มอย่างเบามือ

    “ว่าแต่ วันนี้เรียกหม่อมฉันมาทำไมหรือพะยะค่ะ”

    “อืม นั่นน่ะสิ ข้าเรียกเจ้ามาทำไมน้าาาา” องค์หญิงกล่าวพลางเอามือลูบริมฝีปาก มองไปยังองครักษ์หนุ่มด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

    ไอ้หยา แววตาแบบนั้น แล้วยังท่าทางแบบนั้นอีก ท่าทางวันนี้คงจะเจอเรื่องซวยๆ แหงเลยเราเอเธอรอสรู้สึกใจเสียขึ้นมาว่าวันนี้คงต้องเจอเรื่องโชคร้ายอีกแล้ว

     

    อาณาจักรมิรานอฟตั้งอยู่ตรงเชิงเขาฟาราเซลโดยมีอาณาเขตตั้งแต่ตัวเชิงเขายาวไปถึงมหาสมุทรเอควอลินทางทิศใต้และตะวันตก ส่วนพรมแดนทางเหนือติดกับแคว้นรกร้างเดโนลินลากไปจนถึงเทือกเขาฟาราเซล ส่วนทางตะวันออกติดกับป่านิรันดร์วาร์ดิลิน เมืองหลวงของอาณาจักรมีชื่อว่าอะนอร์เดลิน ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาฟาราเซล พระราชวังหลวงของอาณาจักร และบ้านของเหล่าขุนนาง องครักษ์กับเชื้อพระวงศ์นั้นจะตั้งอยู่บนเทือกเขา ส่วนตัวเชิงเขาด้านล่างจะเป็นส่วนของตัวเมืองที่ยังแบ่งออกเป็นสามชั้น โดยมีเหล่าประชาชนและชนชั้นทั่วไปอาศัยอยู่ในตัวเมืองชั้นแรกติดกับกำแพงเมืองหลวง ส่วนตัวเมืองชั้นที่สองนั้นจะเป็นสถานที่ฝึกปรือฝีมือของกองทัพแห่งอาณาจักรมิรานอฟที่นับได้ว่าเกรียงไกรที่สุดในแผ่นดินซิลวานัส และท้ายสุด ตัวเมืองชั้นที่สามจะเป็นส่วนของโรงตีอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับยามสงคราม และยังเป็นส่วนที่ให้ชาวเมืองมาอาศัยหลบภัยในยามสงครามอีกด้วย โดยจะมีอุโมงค์เชื่อมต่อกับ ด้านในของภูเขาที่ถูกออกแบบให้เป็นถ้ำขนาดใหญ่เพื่อใช้สำหรับหลบภัยในยามจำเป็น  เมืองหลวงอะนอร์เดลินของอาณาจักรมิรานอฟจึงถือได้ว่าเป็นเมืองที่ได้รับการออกแบบมาพร้อมรับสงครามตลอดเวลาเช่นนี้เอง เป็นไปได้ยากมากที่กองกำลังของอาณาจักรใดบนแผ่นดินซิลวานัสจะสามารถกรีธาทัพผ่านเข้าสู่ประตูเมืองหลวงของอาณาจักรนักรบแห่งนี้ได้ นอกเสียจากจะใช้กองทัพมังกรหรือเรือเหาะจำนวนมากบุกเข้าโจมตีจากทางอากาศ

     

    สำหรับมังกรนั้น ในแผ่นดินซิลวานัสถือได้ว่าเป็นสัตว์ที่หายากมากๆ เพราะมังกรส่วนมากได้ถูกกวาดล้างไปแล้วในสมัยสงครามชิงบัลลังก์เทพ หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า คริมสันแร็กนาร็อก เมื่อราวๆ ช่วงสี่พันปีก่อนหน้านี้ที่สัตว์ชนิดนี้รับใช้เทพกบฎในสงครามชิงบัลลังก์เทพ ส่วนเรือเหาะนั้นก็เป็นเทคโนโลยีที่ยากต่อการผลิต และยังใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมากด้วย ดังนั้นจึงเป็นการยากหากจะสร้างกองทัพเรือเหาะเพื่อที่จะบุกอาณาจักรแห่งนี้

    เพราะว่าระยะห่างระหว่างพระราชวังหลวงกับตัวเมืองชั้นแรกนั้นไกลอยู่พอสมควร จึงไม่ค่อยจะมีเชื้อพระวงศ์ลงมาเที่ยวที่ตัวเมืองส่วนแรกสักเท่าไหร่ เว้นแต่องค์ราชันย์ที่มักจะเสด็จลงมาเยี่ยมเยียนราษฎรด้วยตัวพระองค์เอง กับองค์หญิงจอมแก่นนามว่า อาเวเลียร์ ผู้นี้ที่มักจะเสด็จพร้อมกับองครักษ์คู่ใจนามเอเธรอสมาเที่ยวในตัวเมืองเป็นประจำอยู่เสมอเท่านั้น และวันนี้ก็เช่นกันที่ทั้งสองเข้ามาในเขตเมืองนี้

    “สร้อยคอนำโชคถูกๆ จากลินดอเรียนจ้า เส้นละห้าสิบเอเธียเท่านั้น”

    “ดาบมิธริลๆ ดาบมิธริลจ้า วันนี้เล่มละ ห้าร้อยเอเธีย “กริซเวทมนตร์ทำจากแร่ชั้นดี สั่งทำมาจากซินเธอเรียเลยคร้าบ อันล่ะสามร้อยเก้าสิบเอเธียคร้าบบบ”

    “พรินเบอรี่ ถูกๆ ห้าลูกสิบ”

    “ทางนี้ถูกกว่า  ห้าลูกแค่แปด”

    “อย่าไปเชื่อมัน มันโกหก ทางนี้ถูกกว่า ห้าลูกแค่หกเอเธีย ห้าสิบโครว์* เท่านั้น”

    “ทางเราลดสุดตัวไม่ต้องสนร้านอื่น ห้าลูกแปดเอเธียคร้าบ”

    ย่านการค้าของตัวเมืองส่วนแรกมีเสียงดังเซ็งแซ่ของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่ต่างก็พยายามหาวิธีการเรียกลูกค้าให้เข้ามายังร้านของตัวเอง โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ตลาดคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากในอีกสี่วันจะมีการจัดประชุมสันติภาพกันที่นครอะนอร์เดลินแห่งนี้ การประชุมสันติภาพนี้จัดขึ้นเป็นทุกๆ 12 ปีที่นครอะนอร์เดลิน โดยมีเหล่ากษัตริย์จากทุกอาณาจักรทั่วแผ่นดินซิลวานัสเข้าร่วมประชุม

    “อุ๊ย เอเธรอส ดูสิ สร้อยคอนี่สวยจังเลย เจ้าซื้อให้ข้าหน่อยได้ไหมนะ นะนะนะ”

    “แต่ว่าองค์หญิงพะยะค่...อุ๊บ!?

    “ชู่! เงียบสิ! เอเธรอส ข้าบอกกี่ครั้งแล้วใช่มั้ยว่าออกมาเที่ยวแบบนี้น่ะ  อย่าใช้ราชาศัพท์ แล้วก็ไม่ต้องเรียกชื่อจริงของข้าด้วย ถ้าชาวบ้านรู้ว่าข้าหนีเที่ยวออกมาจะทำยังไงเล่า? หา!"

    “ก็ได้คร้าบบบ คุณหนูเซียน่...โอ๊ย!” เอเธรอสกล่าวประชด   แต่ไม่ทันสิ้นคำก็โดนสาวเจ้าเตะเข้าที่หน้าแข้งทีนึงเสียก่อน

    “สมน้ำหน้า อิอิ”

    “แค่ล้อเล่นนิดเดียวเองง่ะ อย่าโกรธสิ เดี๋ยวตีนกาจะขึ้นเร็วนาาาาา” เอเธรอสพูดแบบกวนอวัยวะเบื้องล่าง จนองค์หญิงสุดสวยเหยียบเท้าให้เป็นของแถมไปอีกหนึ่งครั้ง

    “อ้ากกกกกก!

    “ไม่รู้ล่ะ ยังไงวันนี้เจ้าก็ต้องซื้อสร้อยคอให้ข้าด้วยไม่งั้น ข้าจะ...”

    “จะทำอะไรหรือขอรับ คุณหนู”

    “จะตะโกนให้ลั่นตลาดเลยว่าเจ้าลักพาตัวข้าออกมา”

    แต่ระหว่างที่องครักษ์หนุ่มกำลังเถียงกับองค์หญิงเรื่องสร้อยคอเจ้าปัญหาอยู่นั้น ทั้งสองคนกลับหารู้ไม่ว่ามีร่างนึงในเสื้อคลุมดำปกปิดทั้งตัว กำลังจ้องมองพวกเขาจากมุมมืดของตลาดด้วยดวงตาสีแดงดุจดั่งโลหิต แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายแห่งความเคียดแค้นราวกับจะแผดเผาโลกทั้งใบให้ไหม้เป็นจุณ

     

    ****หนึ่งร้อยโครว์เท่ากับหนึ่งเอเธีย****

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×