คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : วางแผน
ณ ท้องพระโรงอันมืดมิดและกว้างใหญ่ของปราสาทแห่งรัตติกาลที่ไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ที่สถานที่ใด ภายในท้องพระโรงนั้นถูกแต่งแต้มไปด้วยรูปปั้นและรูปภาพของเหล่าอสูรและเทพกำลังโรมรันกันอย่างดุเดือด ที่พื้นถูกปูด้วยพรมสีโลหิตซึ่งไม่ต่างจากสีของดวงตาของเจ้าของสถานที่แห่งนี้นัก และที่ใจกลางของท้องพระโรงมีร่างสูงร่างหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ ร่างนั้นมีรอยสักสีดำเต็มตัวและมีผมสีแดงเพลิงดุจดั่งสีผมของเอรอส ที่ดวงตาข้างซ้ายของเขามีแผลเป็นลึกลากเป็นทางยาว และที่เบื้องล่างบัลลังก์ของเขามีร่างชายหญิงสี่ร่างกำลังคุกเข่า ซึ่งบ่งบอกถึงความเคารพและยำเกรงที่มีต่อเจ้าของสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
“นายท่านคะ แผนขั้นแรกของเราสำเร็จแล้วค่ะ”หญิงสาวเพียงคนเดียวที่อยู่เบื้องล่างกล่าวพลางชูขวดแก้วใสขึ้นมา
“อืม วิเศษมากเฟร่า” ร่างบนบัลลังก์กล่าวพลางดีดนิ้วเป๊าะ และขวดแก้วในมือของเฟร่าก็เลื่อนมาอยู่ในมือเขาทันที
“หึ หึ หึ ข้าอยากเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเจ้าทรยศเอวาเลียส จริงๆเลย เมื่อข้าจับเทวีสุดที่รักทรมานต่อหน้าต่อตามันเนี่ย” ร่างสูงยิ้มเหี้ยมพร้อมกล่าวต่อ “และเมื่อนั้น หึ หึ เมื่อท่านพี่พ่ายแพ้ ท่านจะรู้ว่าข้าคิดถูก”
“แล้วท่านล่ะธอเรส งานตามหาผลึกพลังของเทพเอวาเลียสน่ะไปถึงไหนแล้ว” ร่างบนบัลลังก์ถามต่อ
“คะ คะ คือนายท่าน ข้าต้องขออภัยแต่ทางเรายังไม่สามารถตามหาผลึกได้เลยขอรับ”ชายวัยกลางคนผมสีเทานามธอเรสกล่าว
“งั้นเหรอ”ดวงตาสีเลือดมองมาที่ธอเรสอย่างเย้ยหยัน
วาบ .........ร่างบนบัลลังก์หายไปในบัดดล ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าธอเรสในเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที และ
พลั่ก!!!!!!!!!!!! ร่างของธอเรสถูดซัดติดกับผนังอย่างแรง ก่อนที่เขาจะกระอักเลือดจำนวนมากออกมา
“ท่านธอเรส ข้าช่วยท่านชิงบัลลังก์แห่งซินธอเรีย ให้ทหารอสูรแก่ท่าน และยังให้ข้อเสนอว่าอาณาจักรของท่านจะได้ปกครองซิลวานัสอีก แต่อีแค่ผลึกเพียงไม่กี่ก้อนท่านกลับนำมาให้ข้าไม่ได้หรอ” ชายหนุ่มหัวเสีย ท่าทางเยือกเย็นเมื่อกี้ดูเหมือนจะหายไปทันที
“จำไว้ ข้าไม่ชอบความล่าช้า ความอดทนข้ามีขีดจำกัด”
“เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำตามแผนต่อไปได้แล้ว”
“ขอรับ/ค่ะ”สิ้นเสียงร่างเบื้องล่างก็พากันแยกย้ายออกไปจากท้องพระโรงทันที แต่ในขณะที่กำลังจะออกไปนั้น ร่างบนบัลลังก์กลับเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “เฟร่า เจ้าช่วยอยู่กับข้าก่อนได้ไหม ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ”
เฟร่าซึ่งไม่อาจจะขัดคำสั่งได้ ก้าวเข้าไปหาร่างที่อยู่บนบัลลังก์อย่างช้าๆ
หมับ ทันใดนั้นเองร่างบนบัลลังก์ก็คว้าหญิงสาวเข้ามากอดเอาไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะจรดริมฝีปากของเขาเข้ากับริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา ซึ่งเฟร่าเองก็ไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย น้ำตาเริ่มหลั่งรินออกมาจากดวงตาของเธอ แต่ก็หาใช่เป็นเพราะจากการกระทำของชายหนุ่มไม่ เขาค่อยๆคลายวงแขนที่กอดเธอออกอย่างเบามือก่อนจะปาดน้ำตาของเธอออก
“ฮึกๆ นายท่านๆ พวกมัน ๆฆ่าท่านแม่ข้า พวกมันเกลียดข้า พวกมัน ฮึก ฮึก”เฟร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ ต่อหน้าร่างของชายหนุ่มเจ้าของสถานที่แห่งนี้
“ข้ารู้ เฟร่า วาลคิรีพวกนั้นมันอิจฉาเจ้า พวกมันรังเกียจตระกูลของเจ้า มันคิดว่าเจ้าน่ะเป็นได้แค่วาลคิรีชั้นต่ำเท่านั้น” ชายหนุ่มกล่าวพก่อนจะเชยใบหน้างามของเฟร่าขึ้นมา “แต่ข้าไม่ ข้าไม่รังเกียจเจ้าเลย หลังจากข้าได้บัลลังก์ของหลานข้าแล้ว เจ้าก็จะได้เป็นมหาเทวีของข้า และหลังจากที่ข้าจัดระเบียบให้สวรรค์และเหล่ามวลมนุษย์ใหม่แล้วเหล่าทวยเทพและมนุษย์ทั่วหล้าก็จะคุกเข่าแทบเท้าเราสองคนตลอดไป ฮึ ฮึ ฮึ” แล้วเขาก็ชูขวดแก้วขึ้นมาก่อนจะขยับปากร่ายเวทย์อะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเอง ขวดแก้วใสก็แตกกระจายออกกลายเป็นแสงสีขาวกระจายไปทั่วทิศทาง
...............................
ภายในห้องประชุมของพระราชวังแห่งมิรานอฟ บรรยากาศสบายๆในยามบ่ายแก่ๆของพระราชวังแห่งนี้กำลังถูกทำลายอันเนื่องมาจากความคิดเห็นของเหล่าขุนนางแตกเป็นสองฝ่ายโดยฝ่ายหนึ่งยืนยันว่าจะให้จัดกองทัพแล้วถล่มซินธอเรียให้ราบคาบไปเลยโดยผู้ที่อยู่ฝ่ายนี้ล้วนเป็นขุนนางฝ่ายทหารเกือบทั้งหมด ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเสนอว่าควรจะทำการสืบหาตัวผู้บงการให้แน่ชัดเสียก่อนที่จะดำเนินการอะไร โดยฝ่ายนี้มีเสนาบดีอาร์ซัส รวมอยู่ด้วย
ปึงงงงงงง
“ฝ่าบาท ซินธอเรียทำแบบนี้ กับเรา มันหยามกันชัดๆ จัดกองทัพแล้วถล่มซินธอเรียให้ราบคาบไปเลยดีกว่าพะยะค่ะ”นายพลวาลลอสระเบิดอารมณ์ อย่างหัวเสียต่อหน้าเหล่าขุนนางแห่งเออันเดียอย่างหัวเสีย ในขณะที่การประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด
“องค์กรนักฆ่าบัลลังก์อสรพิษน่ะ ถึงจะได้รับการสนับสนุนและตั้งอยู่ในเขตซินธอเรียก็จริงอยู่แต่ว่าก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องจ้างวานโดยซินธอเรียเสมอไปนะ ท่านนายพล” เสนาบดีฝ่ายพลเรือนเอครอสแย้งขึ้นเมื่อเห็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งเออันเดียกำลังหงุดหงิด “ชื่อเสียงของอาณาจักรเราน่ะ หาใช่อยู่ที่แสนยานุภาพนะ แต่อยู่ที่บทบาทของเราในการเป็นผู้รักษาสันติภาพต่างหาก ถ้าทำแบบท่านพูดมาชื่อเสียงของเรามีหวังไม่เหลือแน่”
“ใช่ ๆ ข้าเห็นด้วยกับท่านเอครอส ทางที่ดีน่ะเราควรจะส่งคน ออกตามหาพลังเวทย์ขององค์หญิงอย่างลับๆจะดีกว่า เพราะเรื่องนี้ถ้าแพร่งพรายไปถึงอาณาจักรอื่นๆ เมือ่ไรละก็ ความน่าเชื่อถือของเออันเดียมีหวังสั่นคลอนแน่” เสนาบดีอาร์ซัสกล่าว ก่อนจะหันไปทางองค์ราชันย์อาเซียรัสที่ยังทรงเงียบตลอดการประชุม “แล้วฝ่าบาทล่ะ จะตัดสินใจว่าอย่างไรพะยะค่ะ”
“เฮ้อ อาเวเลียร์ ก็เป็นลูกสาวเรา เราก็คงนิ่งดูดายไม่ได้หรอก แต่จะให้นำกองทัพเข้าถล่มซินธอเรียแบบที่ นายพลวาลเดสพูดน่ะ มันก็ไม่ถูกนะยิ่งเป็นช่วงการประชุมสันติภาพด้วยแล้ว อาณาจักรเราจะมีแต่เสียกับเสียนะ แต่ว่าเราก็ประมาทไม่ได้เหมือนกันเรื่องการศึกที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหมือนกันนะ” หลังจากสิ้นพระสุรเสียงแรกขององค์ราชันย์ เหล่าขุนนางต่างพากันนิ่งเงียบ โดยมี่ใครเอื้อนเอ่ยอะไรขึ้นมาอีกก่อนที่องค์ราชันย์จะกล่าวต่อ
“เอาละ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะทำตามแผนของท่านอาร์ซัส แต่เพื่อความไม่ประมาท ท่านนายพลวาลเดส ถ่ายทอดคำสั่งนี้ไปยังเหล่าทหารด้วยว่าให้พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับการศึก และซ้อมรบให้มากขึ้นอีกเป็นสองเท่า”
“รับคำบัญชา ฝ่าบาท”
“เอาล่ะ เลิกประชุมได้ อ้อท่านอาร์นิสเดี๋ยวท่านช่วยอยู่ปรึกษางานกับข้าก่อน” สิ้นพระสุรเสียง ทั้งห้องประชุมก็เหลือแต่เพียงเสนาบดีหนุ่มเพียงคนเดียว
“อย่าบอกนะ อาร์เซียรัส ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับคนๆนั้นน่ะ” อาร์ซัสถามเพื่อนรัก แต่ทว่าอาเซียรัสกลับตอบมาด้วยเสียงเครียดกว่าที่เป็นทุกครั้ง
“ใช่ ข้าคิดว่ามันเกี่ยว”
.............................................
เย็นวันวั้น ร่างงามระหงขององค์หญิงอาเวเลียร์ยังคงสลบไสลอยู่บนเตียงขาวสะอาดภายในห้องบรรทมมาได้หลายชั่วโมงแล้ว ที่ข้างเตียงมีชายชราในชุดขาวกำลังวินิจฉัยอาการของผู้ที่อยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล ภายหลังจากการจู่โจมอันไม่คาดฝันกลางเมืองหลวงอะนอร์เดลิน จนกระทั่งถึงตอนนี้เหล่าแพทย์และนักเวทย์ผู้ถวายการรักษาก็ยังไม่สามารถหาหนทางที่จะรักษาอาการของดวงใจขององค์ราชันย์แห่งมิรานอฟได้
ปึง!!!!!!!! บานประตูห้องบรรทมเปิดออก อย่างแรงก่อนจะปรากฎร่างของชายวัยกลางคนสองคน ซึ่งทำให้อริยาบทของชายชราเปลี่ยนไปทันที
“ฝ่าบาท”ชายชรารีบก้มลงกราบแทบเท้าราชันย์อาเซียรัสในทันใด
“กระหม่อมไร้ความสามารถได้โปรดลงพระอาญาด้วย เนื่องตอนนี้อาการขององค์หญิงนั้นกระหม่อมยังมิสามารถหาวิธีใดมารักษาได้เลยพะยะค่ะ”
“ลุกขึ้นขึ้นเถิด ท่านหมอหลวง” องค์ราชันย์กล่าวกับชายชราด้วยพระสุรเสียงเรียบๆ ไม่มีความขุ่นเคืองในเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าท่านรักษาอาการแบบนี้ได้ ท่านคงเป็นเทพไปแล้วล่ะ” รับสั่งขององค์ราชันย์ทำให้หมอหลวงประจำราชสำนักค่อยๆยืนขึ้นอย่างช้าๆ
“ท่านออกไปก่อนเถิด ข้าขอขอบใจท่านหมอ ท่านทำดีที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้ข้าขอเวลาอยู่กับลูกข้าก่อนได้ไหม” สิ้นพระสุรเสียง หมอหลวงก็รีบปฎิบัติตามรับสั่งทันที
“เฮ้อ มนตราเวทย์ปีศาจ ท่านอาร์ซัส” องค์ราชันย์อาเซียรัสเอ่ยก่อนเปิดหนังสือปกแดงขึ้น “ท่านคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่ซินธอเรียจะได้รับความเหลือจากเหล่าปีศาจ”
เสนาบดีหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะอ้าปากตอบคำถามขององค์ราชันย์ แต่ก็ไม่ไม่มีทางได้ตอบ เพราะเสียงเย็นยะเยือกของอิสตรีผู้ไม่ได้รับเชิญนางหนึ่งดังขึ้นในห้อง
“เวทย์ปีศาจน่ะ ถ้าจะแก้มันต้องแก้ด้วยพลังเวทย์แสงสว่างของเหล่าเทพเท่านั้น”
“เจ้าเป็นใคร”บุรุษทั้งสองเอ่ยปากถามผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่อาร์ซัสจะชักปืนจ่อที่ใบหน้างามของเธอ
อาคันตุกะผู้ไม่ได้รับเชิญยืนอาบแสงอาทิตย์ยามเย็น อยู่ริมหน้าต่างห้องบรรทม แสงอาทิตย์ในยามนี้เผยให้เห็นใบหน้าสวยขาวดุจน้ำนมซึ่งรับกันกับเรือนผมสีน้ำตาลแดงยาวสยายถึงกลางหลังและดวงตาสีม่วงอมชมพูเของเธอเป็นอย่างดี เธออยู่ในชุดแซกสีขาวปนดำ หมวกทรงแปลกตาที่ถูกประดับด้วยขนนกสองเส้มถูกสวมไว้เหนือเรือนผม มีดาบยาวและคทาสะพายอยู่อย่างหลวมๆ ใบหน้างามของเธอตอนนี้ปราศจากอารมณ์ใดๆทั้ง สิ้นแม้จะถูกปืนจ่อหัวอยู่ก็ตามที
“ข้ามีนามว่า ไอริส” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบก่อนจะกล่าวต่อ “และถ้าท่านจะกรุณา ช่วยลดปืนลงด้วย ข้ามาดี”
“อาร์ซัส” คราวนี้เป็นองค์ราชันย์ที่กล่าวขัดขึ้น”ข้าว่าเจ้าวางปืนลงก่อนเถฮะ ถ้าเธอมาร้ายจริงๆเราคงจะตายไปแล้วละ”
สิ้นพระสุรเสียง อาร์ซัสก็รีบลดปืนลงทันที
“เอาละ เจ้าพอจะบอกข้าได้ไหมว่าเจ้ามีธุระถึงได้เข้ามาที่นี่ ถ้าเจ้ายังไม่ได้บอกข้าโดยเร็วละก็ ข้าอาจหมดความอดทนก็ได้นะ”อาเซียรัสกล่าวกับไอริส
“ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกกับท่าน” หญิงสาวพูดพลางเคลื่อนตัวไปใกล้ๆ ร่างที่อยู่บนเตียงอย่างช้าๆก่อนจะผายมือไปที่หน้าผากขององค์หญิงอาเวเลียร์ “ท่านคงทราบแล้วว่าอาการขององค์หญิง หาใช่จากฝีมือมนุษย์ไม่” ไอริสกล่าวพลางร่ายเวทย์อะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นเองก็เกิดแสงสีขาวสว่างไปทั่วห้อง พร้อมกับความรู้สึกกวิตกกังวลของบุรุษทั้งสองก็มลายหายไปด้วย
“เอาล่ะ ข้าร่ายเวทย์รักษาให้แล้วอีกไม่นานนางก็คงฟื้น แต่ข้าก็ทำได้แค่เพียงประวิงเวลาเท่านั้นนะ ถ้าท่านยังรีรออาการของนางอาจจะหนักขึ้นอีกก็ได้”
“เจ้า ร่ายเวทย์อะไรใส่นาง ” อาร์ซัสถาม
“ก็ไม่มีอะไร แค่เวทย์รักษาพื้นๆของเหล่าเทพเท่านั้นเอง” ไอริสกล่าวเสียงเรียบ
“ทีนี้เข้าเรื่องกันได้แล้ว พวกท่านน่ะคงไม่คิดกันหรอกนะ ว่าแค่อาณาจักรซินธอเรียจะมีปัญญา ใช้กองกำลังปีศาจก่อเรื่องในวันนี้”
สิ้นคำถามสองบุรุษในห้องถึงกับเอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “แล้วจะให้คิดว่าใครล่ะ ในเมื่อ.........”
“ท่าน คงรู้จักสงครามคริมสันแร็กนาร็อกดีใช่ไหม”ไอริสตัดบทเสียงเรียบ สองบุรุษพยักหน้าพร้อมกันโดยทันที ก่อนที่ไอริสจะหยิบหนังสือปกแดงที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาทันที
“สงครามชิงบัลลังก์เทพ เมื่อสี่พันปีก่อน” อาเซียรัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงฉงนเล็กน้อย
“ใช่แล้วสงครามครั้งนั้นที่พรากน้องสาว ข้าไปนั่นแหละ ” ไอริสกล่าวก่อนจะตีหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้ามาเตือนให้ท่านระวังตัวเอาไว้ให้ดี และรีบช่วยองค์หญิงให้เร็วที่สุดพราะตอนนี้ เทพฟอร์ดูนกำลังเดินหมากตัวสำคัญอยู่”
“เดี๋ยว เจ้าว่าน้องสาวเจ้า นั่นมันตั้งสี่พันปีแล้วนี่!!!!!!!แล้วเรื่องเทพฟอร์ดูนอีก เจ้าเป็นใครกันแน่” อาร์ซัสถามโดยไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา
วิ้ง!!!!!!!!
แทนคำตอบจากปากของหญิงสาว เธอกลับหลับตาร่ายมนอะไรบางอย่าง ร่างทั้งร่างของเธอเรือง แสงสีฟ้าอ่อนๆ
พรึ่บ!!!!!!!!!!!
ทันใดนั้นเองปีกสีขาวคู่งามดุจดั่งปีกของนกนางนวลก็ค่อยๆโผล่ออกจากหลังของเธอ ปีกนั้นมีขนาดใหญ่พอที่จะยกร่างมนุษย์ให้ลอยขึ้นได้
“จะจะเจ้า เป็น ..........” อาร์นิสเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ท่ามกลางความตกตะลึงของเขาและอาเซียรัส
“ใช่อย่างที่ท่านคิด ข้าคือนางฟ้าแห่งสงครามหรือวาลคิรีนั่นแหละ” ไอริสกล่าวก่อนชี้นิ้วเรียวงามไปที่หนังสือปกแดงในมือของอาเซียรัส
“หนังสือปกแดงเล่มนั้นน่ะ ฝ่าบาทก็รู้ดีนี่ว่าผู้ใดเป็นผู้บันทึกมันไว้”
“เทวีแห่งแห่งคำทำนาย ไนเรียน่า” อาเซียรัสกล่าวช้าๆ
“งั้นท่านควรจะรู้เอาไว้ด้วย คำทำนายของเทวีไนเรียร่ากำลังจะเป็นจริง ตอนนี้พลังของเทพฟอร์ดูนเกือบจะเทียบเท่ากับเมื่อสี่พันปีก่อนแล้ว กองทัพพันธมิตรของเหล่าเทพกบฎและปีศาจของเทพฟอร์ดูนก็กำลังจะกลับมาเกรียงไกรเหมือนดั่งแต่ก่อนด้วย แต่ความน่ากลัวของเทพฟอร์ดูนยังหาได้จบเพียงเท่านี้ไม่ คำเพ็ดทูลของเทพฟอร์ดูนได้ชักนำให้เหล่าผู้หลงผิดในอำนาจก้าวเข้าสู่ความมืดมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าสายลับของปีศาจก็มีอยู่ทั่วทุกแห่งไปหมด ในตอนนี้เทพฟอร์ดูนใกล้ที่จะระเบิดสงครามแล้ว ” ไอริสกล่าวยาวที่สุดนับตั้งแต่เข้ามา ณ ที่แห่งนี้ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “แต่เทพฟอร์ดูนตอนนี้ก็ยังไม่กล้าที่จะทำการใดๆเนื่องด้วยมันเกรงกลัวในเทพและเทวีผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งมีอำนาจทำลายกองทัพปีศาจนับล้านได้ในเวลาไม่ถึงนาที ”
“เทพอาเวเลียส กับเทวีไอเรียน่า” สองบุรุษพูดขึ้นพร้อมกัน
“จำไว้ การตามหาพลังเวทย์ขององค์หญิงอาเวเลียร์จะ ปลุกเทพทั้งสองพระองค์ให้ตื่นขึ้นมา” ไอริสกล่าวก่อนจะเสกเข็มทิศพร้อมกับแผ่นหนังขึ้นมาจากอากาศธาตุ และวางมันไว้ที่บนโต๊ะ”
“เข็มทิศนี้เมื่อ อยู่ในมือของผู้ที่พร้อมจะพลีชีพเพื่อองค์หญิงแล้ว มันจะนำพาไปสู่พลังเวทย์ของนาง” หญิงสาวกล่าวก่อนจะเปิดหน้าต่างห้องบรรทมออก “ธุระของข้าเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้พวกท่านโปรดรักษาตัว วันนึงเราคงจะได้พบกันอีก” ว่าแล้วเธอก็กระโดดลงไป จาก หน้าต่างลงไปสู่ตัวเมืองมิรานอฟเบื้องล่างทันที แต่เมื่อ อาเซียรัส กับอาร์ซัสมองตามกลับไม่พบอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า
ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีอันเงียบสงบเหนือแผ่นดินซิลวานัส ร่างบางของหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่กลางผืนนภา ดวงตาสีม่วงอมชมพูบนเรือนหน้างามของไอริส เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ยามที่พลันนึกคิดถึงความทรงจำที่ผ่านพ้นเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
ทุ่งดอกไม้งามไกลสุดลูกหูลูกตา ราวกับว่าจะปกคลุมโลกทั้งใบ เสียงลำธารที่กำลังไหลรินก็แว่วมาแต่ไกล พฤกษามากมายกำผลิบานบานราวกับจะแข่งกันอวดโฉม เหล่าปักษาต่างร้องเพลงขับขานทั่วท้องทุ่ง
“ท่านพี่ ท่านพี่ ดูสิ ข้าเอาอะไรมาให้แน่ะ” เด็กหญิงร่างเล็กเอ่ยหน้าตาน่ารักเอ่ยปากถามพลางหยิบยื่นดอกไม้ในมือให้กับเด็กหญิงอีกคนที่น่าจะอายุไม่มากกว่ากันเท่าไร เด็กหญิงทั้งสองมีปีกสีขาวเล็กๆติดอยู่ที่กลางหลังบ่งบอกถึงเผ่าพันธ์ได้เป็นอย่างดี
“เอ๋ ดอกลาเรียน่า นี่ สวยจังเลย”
“ถ้าท่านพี่ชอบละก็ ข้าจะหามาให้ท่านทุกวันเลยนะ” เด็กหญิงร่างเล็กกล่าวพร้อมรอยยิ้มงามที่ปรากฎบนหน้า
ความคิดเห็น