คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : วันแรกในเวียดนาม...เอ๊าลุย!!
เที่ยวละไม....ในเวียดนาม ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ฉันเชื่อว่าหลายคนคงจะวางแผนไปเที่ยวกันอย่างแน่นอน ยิ่งอากาศเย็นสบาย มันเหมาะอย่างยิ่งที่จะพาตัวเองไปหาที่พักผ่อนหย่อนใจ เพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานหรือจะอะไรก็ตามแต่ และฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ผลาดที่จะหาเวลาไปเที่ยวในช่วงนี้เช่นกัน ที่ที่ฉันพาตัวเองมาหาความสุข จะว่าไปก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล (จากประเทศไทย)ซะทีเดียว ฉันเลือกที่จะเดินทางไปเที่ยวที่ เวียดนาม ที่ที่ฉันไม่คิดว่าชาตินี้จะได้ไป ที่ว่าไปอย่างนั้นก็เพราะว่า ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศจริงๆจังๆกับเขาสักที อย่างมากก็แค่ข้ามแม่น้ำโขงไปนิดหน่อย หรือข้ามด่านตรวจคนเข้าเมืองที่อำเภอแม่สาย จ.เชียงราย หลายคนคงจะพอเดาออกนะคะว่าฉันหมายถึงประเทศอะไร อ่ะอ่ะ หรืออาจจะมีบางคนที่ไม่รู้ บอกให้ก็ได้ค่ะ ประเทศที่ว่านั้นก็คือ ลาวกับพม่า บ้านพี่เมืองน้องของเรานั่นเอง ฉันเลือกเดินทางในช่วงกลางเดือน เป็นช่วงที่เหมาะเหมือนกัน เพราะอากาศกำลังเย็นสบายไม่หนาวมากจนเกินไป ฉันเลือกเดินทางโดยเครื่องบิน เพราะสะดวกและใช้เวลาน้อย หรือถ้าใครชอบผจญภัยหรือลุยๆหน่อย ก็สามารถเดินทางโดยทางรถยนต์ก็ได้นะคะ ทริปนี้ฉันไปกับเพื่อนอีกสองคนค่ะ เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ สรุปว่าสามชิกร่วมขบวนการตะลุยเวียดนาม เป็นหญิงล้วน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรนะคะ แม้ว่านี่จะเป็นการเดินทางไปเวียดนามครั้งแรกก็ตาม อันที่จริงที่ไม่กลัวก็เพราะว่า ก่อนที่จะไปฉันได้นัดแนะกับน้องสาวที่ไปเรียนอยู่ที่นั่นแล้วว่าฉันจะไป ก็เลยอุ่นใจขึ้นเยอะ วันแรกในเวียดนาม
ประมาณ บ่ายสองโมงกว่าพวกเราก็เดินทางมาถึงสนามบินนอยไบ (Noi Bai) ประเทศเวียดนามเป็นที่เรียบร้อย สนามบินที่นี่เงียบมาก ไม่คึกคักเหมือนบ้านเรา แต่ก็มีเรื่องน่าประทับใจ ซึ่งก็คือฉันได้เห็นคนที่มารอรับผู้โดยสารนั้น ส่วนใหญ่จะแต่งกายด้วยชุดอ๋าวหย่าย ซึ่งเป็นชุดประจำชาติ หรือไม่ก็แต่งตัวดูดีสวยงาม และในมือของแต่ละคนจะมีช่อดอกไม้เล็กๆไว้มอบให้กับคนที่ตัวเองมารอรับ ก็แปลกดีเหมือนกัน เพราะที่เมืองไทยไม่ค่อยจะมี แต่ที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติ จากนั้นเราก็ไปทำการแลกเงิน ซึ่งก่อนที่จะมาที่นี่ฉันได้แลกเงินจากเงินบาทเป็นเงินดอลลาห์ และนำเงินดอลลาห์มาแลกเป็นเงินด่อง (Dong)อีกทีที่สนามบิน ค่าเงินจะอยู่ประมาณ 375 -390 ด่อง ต่อ 1 บาท โดยประมาณ ก็ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนั้น น้องสาวของฉันแนะนำให้พวกเรานั่งรถแท็กซี่จากสนามบินเข้าสูตัวเมืองฮานอย สนามบินที่ว่านี้อยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควร ประมาณ 40 กิโลเมตรเห็นจะได้ สาเหตุที่เราต้องนั่งรถแท็กซี่เข้าเมืองก็เพราะว่า ถ้าเป็นรถโดยสารประจำทางเขาไม่อณุญาตให้ผู้โดยสารที่มีสัมภาระติดตัวมาเยอะขึ้นไปบนรถ ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม แท็กซี่ที่เวียดนามก็คล้ายๆบ้านเรา เพราะมีมิเตอร์เหมือนกัน แต่ไอ้ที่ต่างกันนี่สิ มันเป็นอัตราเริ่มต้นของมิเตอร์ ที่นี่แปลกมากๆ แท็กซี่แต่ละคันจะราคาเริ่มต้นไม่เท่ากัน บางคันก็ 6000 ด่อง บางคันก็ 10000 ด่อง สำหรับคันที่พวกเรานั่งรู้สึกว่าจะเริ่มที่ 10000 ด่อง ฉันได้ถามเพื่อนของน้องสาว เขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน อ้อ ฉันลืมบอกไป เงินที่เราแลกมา มีธนบัตรตั้งแต่ใบละ 1000, 2000, 5000, 10000, 20000, 50000, 100000 และสูงสุดอยู่ที่ใบละ 500000 ด่อง แล้วเราก็จะสับสนกับเลขศูนย์ที่มากมายซะเหลือเกิน จนเกือบหยิบผิดหยิบถูกอยู่หลายครั้ง เราหมดค่าแท็กซี่ไปประมาณสองแสนกว่าบาท ที่จริงน่าจะหมดประมาณ แสนกว่าๆ แต่นี่คนขับดันพาอ้อม ซึ่งพวกเราเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะต่างไม่ค่อยมีใครชำนาญทาง น้องสาวฉันก็เพิ่งจะมาเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่นี่ได้ 3 เดือนเท่านั้น ส่วนเพื่อนของน้องก็พอๆกัน แต่ก็โอเค เมื่อแลกกับการรอดชีวิตมาได้ ที่บอกเช่นนี้ ก็เพราะการจราจรในเมืองฮานอยเป็นอะไรที่สุดๆ สุดๆในที่นี้ก็คือ รถที่วิ่งบนท้องถนนเยอะมากๆ น้องๆประเทศจีนเลยล่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์กับรถจักรยาน แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือเสียงของแตรรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ บีบกันดังสนั่น ซึ่งก็ดูเหมือนจะกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนที่นี่ไปแล้วก็ได้ ถ้าเป็นที่บ้านเราฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้ามีคนมาบีบแตรไล่หลังคุณ สำหรับคนที่นี่มันเป็นเรื่องปกติค่ะ แล้วไม่ได้บีบด่าถึงบรรพบุรุษใครแน่นอน
ลองติดตามดูนะคะว่าทริปนี้ ฉันและผองเพื่อนจะเจอกับอะไรอีกบ้าง.....แล้วถ้ามีใครอยากรู้อะไร อย่างเช่น อาหารการกิน ที่พัก ก็ถามมาได้เลย ยินดีตอบค่ะ
ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ฉันเชื่อว่าหลายคนคงจะวางแผนไปเที่ยวกันอย่างแน่นอน ยิ่งอากาศเย็นสบาย มันเหมาะอย่างยิ่งที่จะพาตัวเองไปหาที่พักผ่อนหย่อนใจ เพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานหรือจะอะไรก็ตามแต่ และฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ผลาดที่จะหาเวลาไปเที่ยวในช่วงนี้เช่นกัน
ที่ที่ฉันพาตัวเองมาหาความสุข จะว่าไปก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล (จากประเทศไทย)ซะทีเดียว ฉันเลือกที่จะเดินทางไปเที่ยวที่ เวียดนาม ที่ที่ฉันไม่คิดว่าชาตินี้จะได้ไป ที่ว่าไปอย่างนั้นก็เพราะว่า ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศจริงๆจังๆกับเขาสักที อย่างมากก็แค่ข้ามแม่น้ำโขงไปนิดหน่อย หรือข้ามด่านตรวจคนเข้าเมืองที่อำเภอแม่สาย จ.เชียงราย หลายคนคงจะพอเดาออกนะคะว่าฉันหมายถึงประเทศอะไร อ่ะอ่ะ หรืออาจจะมีบางคนที่ไม่รู้ บอกให้ก็ได้ค่ะ ประเทศที่ว่านั้นก็คือ ลาวกับพม่า บ้านพี่เมืองน้องของเรานั่นเอง
ฉันเลือกเดินทางในช่วงกลางเดือน เป็นช่วงที่เหมาะเหมือนกัน เพราะอากาศกำลังเย็นสบายไม่หนาวมากจนเกินไป ฉันเลือกเดินทางโดยเครื่องบิน เพราะสะดวกและใช้เวลาน้อย หรือถ้าใครชอบผจญภัยหรือลุยๆหน่อย ก็สามารถเดินทางโดยทางรถยนต์ก็ได้นะคะ ทริปนี้ฉันไปกับเพื่อนอีกสองคนค่ะ เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ สรุปว่าสามชิกร่วมขบวนการตะลุยเวียดนาม เป็นหญิงล้วน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรนะคะ แม้ว่านี่จะเป็นการเดินทางไปเวียดนามครั้งแรกก็ตาม อันที่จริงที่ไม่กลัวก็เพราะว่า ก่อนที่จะไปฉันได้นัดแนะกับน้องสาวที่ไปเรียนอยู่ที่นั่นแล้วว่าฉันจะไป ก็เลยอุ่นใจขึ้นเยอะ
วันแรกในเวียดนาม
ประมาณ บ่ายสองโมงกว่าพวกเราก็เดินทางมาถึงสนามบินนอยไบ (Noi Bai) ประเทศเวียดนามเป็นที่เรียบร้อย สนามบินที่นี่เงียบมาก ไม่คึกคักเหมือนบ้านเรา แต่ก็มีเรื่องน่าประทับใจ ซึ่งก็คือฉันได้เห็นคนที่มารอรับผู้โดยสารนั้น ส่วนใหญ่จะแต่งกายด้วยชุดอ๋าวหย่าย ซึ่งเป็นชุดประจำชาติ หรือไม่ก็แต่งตัวดูดีสวยงาม และในมือของแต่ละคนจะมีช่อดอกไม้เล็กๆไว้มอบให้กับคนที่ตัวเองมารอรับ ก็แปลกดีเหมือนกัน เพราะที่เมืองไทยไม่ค่อยจะมี แต่ที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติ จากนั้นเราก็ไปทำการแลกเงิน ซึ่งก่อนที่จะมาที่นี่ฉันได้แลกเงินจากเงินบาทเป็นเงินดอลลาห์ และนำเงินดอลลาห์มาแลกเป็นเงินด่อง (Dong)อีกทีที่สนามบิน ค่าเงินจะอยู่ประมาณ 375 -390 ด่อง ต่อ 1 บาท โดยประมาณ ก็ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนั้น
น้องสาวของฉันแนะนำให้พวกเรานั่งรถแท็กซี่จากสนามบินเข้าสูตัวเมืองฮานอย สนามบินที่ว่านี้อยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควร ประมาณ 40 กิโลเมตรเห็นจะได้ สาเหตุที่เราต้องนั่งรถแท็กซี่เข้าเมืองก็เพราะว่า ถ้าเป็นรถโดยสารประจำทางเขาไม่อณุญาตให้ผู้โดยสารที่มีสัมภาระติดตัวมาเยอะขึ้นไปบนรถ ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม แท็กซี่ที่เวียดนามก็คล้ายๆบ้านเรา เพราะมีมิเตอร์เหมือนกัน แต่ไอ้ที่ต่างกันนี่สิ มันเป็นอัตราเริ่มต้นของมิเตอร์ ที่นี่แปลกมากๆ แท็กซี่แต่ละคันจะราคาเริ่มต้นไม่เท่ากัน บางคันก็ 6000 ด่อง บางคันก็ 10000 ด่อง สำหรับคันที่พวกเรานั่งรู้สึกว่าจะเริ่มที่ 10000 ด่อง ฉันได้ถามเพื่อนของน้องสาว เขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน อ้อ ฉันลืมบอกไป เงินที่เราแลกมา มีธนบัตรตั้งแต่ใบละ 1000, 2000, 5000, 10000, 20000, 50000, 100000 และสูงสุดอยู่ที่ใบละ 500000 ด่อง แล้วเราก็จะสับสนกับเลขศูนย์ที่มากมายซะเหลือเกิน จนเกือบหยิบผิดหยิบถูกอยู่หลายครั้ง
เราหมดค่าแท็กซี่ไปประมาณสองแสนกว่าบาท ที่จริงน่าจะหมดประมาณ แสนกว่าๆ แต่นี่คนขับดันพาอ้อม ซึ่งพวกเราเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะต่างไม่ค่อยมีใครชำนาญทาง น้องสาวฉันก็เพิ่งจะมาเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่นี่ได้ 3 เดือนเท่านั้น ส่วนเพื่อนของน้องก็พอๆกัน แต่ก็โอเค เมื่อแลกกับการรอดชีวิตมาได้ ที่บอกเช่นนี้ ก็เพราะการจราจรในเมืองฮานอยเป็นอะไรที่สุดๆ สุดๆในที่นี้ก็คือ รถที่วิ่งบนท้องถนนเยอะมากๆ น้องๆประเทศจีนเลยล่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์กับรถจักรยาน แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือเสียงของแตรรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ บีบกันดังสนั่น ซึ่งก็ดูเหมือนจะกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนที่นี่ไปแล้วก็ได้ ถ้าเป็นที่บ้านเราฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้ามีคนมาบีบแตรไล่หลังคุณ สำหรับคนที่นี่มันเป็นเรื่องปกติค่ะ แล้วไม่ได้บีบด่าถึงบรรพบุรุษใครแน่นอน
ลองติดตามดูนะคะว่าทริปนี้ ฉันและผองเพื่อนจะเจอกับอะไรอีกบ้าง.....แล้วถ้ามีใครอยากรู้อะไร อย่างเช่น อาหารการกิน ที่พัก ก็ถามมาได้เลย ยินดีตอบค่ะ
ความคิดเห็น