ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อียิปต์ อาณาจักรโบราณอันเป็นนิรันดร

    ลำดับตอนที่ #1 : ศิลปะอียิปต์โบราณ (ประมาณ 2900-332 ปีก่อนคริสต์ศักราช)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.51K
      1
      27 พ.ย. 51

    ศิลปะอียิปต์โบราณ


    />

    จิตรกรรม

                    งานจิตรกรรมของอียิปต์ เป็นภาพที่เขียนไว้บนฝาผนังสุสานและวิหารต่าง ๆ สีที่ใช้ เขียนภาพทำจากวัสดุทางธรรมชาติ ได้แก่เขม่าไฟ สารประกอบทองแดง หรือสีจากดินแล้วนำมาผสมกับน้ำและยางไม้ ลักษณะของงานจิตรกรรมเป็นงานที่เน้นให้เห็นรูปร่างแบน ๆ มีเส้นรอบ นอกที่คมชัด จัดท่าทางของคนแสดงอิริยาบถต่าง ๆ ในรูปสัญลักษณ์มากกว่าแสดงความเหมือนจริงตามธรรมชาติ มักเขียนอักษรภาพลงในช่องว่างระหว่างรูปด้วย และเน้นสัดส่วนของสิ่งสำคัญในภาพให้ใหญ่โตกว่าส่วนประกอบอื่น ๆ เช่นภาพของกษัตริย์หรือฟาโรห์ จะมีขนาดใหญ่กว่า มเหสี และคนทั้งหลาย นิยมระบายสีสดใส บนพื้นหลังสีขาว

     

    ประติมากรรม

                    งานประติมากรรมของอียิปต์ จะมีลักษณะเด่นกว่างานจิตรกรรม มีตั้งแต่รูปแกะสลักขนาดมหึมาไปจนถึงผลงานอันประณีตบอบบางของพวกช่างทอง ชาวอิยิปต์นิยมสร้างรูปสลักประติมากรรมจากหินชนิดต่าง ๆ เช่น หินแกรนิต หินดิโอไรด์ และหินบะซอลท์ หรือบางทีก็ เป็นหินอะลาบาสเตอร์ ซึ่งเป็นหินเนื้ออ่อนสีขาว ถ้าเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ก็มักเป็นหินทราย นอกจากนี้ยังการมีทำจากหินปูน และไม้ซึ่งมักจะพอกด้วยปูนและระบายสีด้วย งานประติมากรรมขนาดเล็กมักจะทำจากวัสดุมีค่า เช่น ทองคำ เงิน อิเลคตรัม หินลาปิสลาซูลี เซรามิค ฯลฯ

    ประติมากรรมของอียิปต์มีทั้งแบบนูนต่ำ แบบลอยตัว แบบนูนต่ำมักจะแกะสลักลวดลายภาพบนผนัง บนเสาวิหาร และประกอบรูปลอยตัว ประติมากรรมแบบลอยตัวมักทำเป็น รูปเทพเจ้าหรือรูปฟาโรห์ ที่มีลักษณะคล้ายกับเทพเจ้า นอกจากนี้ยังทำเป็นรูปข้าทาสบริวาร สัตว์เลี้ยง และ สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบในพิธีศพอีกด้วย ในที่นี้ทางเราจึงให้ข้อมูลครบถ้วน

     

    สถาปัตยกรรม

                    สถาปัตยกรรมอียิปต์ ใช้ระบบโครงสร้างเสาและคาน แสดงรูปทรงที่เรียบง่ายและ แข็งทื่อ ขนาดช่องว่างภายในมีเล็กน้อยและต่อเนื่องกันโดยตลอด สถาปัตยกรรมสำคัญของชาวอียิปต์ได้แก่ สุสานที่ฝังศพ ซึ่งมีตั้งแต่ของประชาชนธรรมดาไปจนถึงกษัตริย์ ซึ่งจะมีความวิจิตร พิสดาร ใหญ่โตไปตามฐานะ และอำนาจ ลักษณะของการสร้างสุสานที่เป็นสถาปัตยกรรมสำคัญแห่งยุคก็คือ ปิรามิด ปิรามิดในยุคแรกเป็นแบบขั้นบันได หรือเรียกว่า มัสตาบา ต่อมามีการพัฒนา รูปแบบวิธีการก่อสร้างจนเป็นรูปปิรามิดที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีการสร้างวิหารเทพเจ้า เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมของนักบวช และวิหารพิธีศพ เพื่อใช้ประกอบพิธีศพ ในสมัยอาณาจักรใหม่ (1020 ปีก่อน พ.ศ - พ.ศ. 510) วิหารเหล่านี้มีขนาดใหญ่โต และสวยงาม ทำจากอิฐและหิน ซึ่งนำรูปแบบวิหารมาจากสมัยอาณาจักรกลางที่เจาะเข้าไปในหน้าผา บริเวณหุบผากษัตริย์และ หุบผาราชินี ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสุสานกษัตริย์และราชินีฝังอยู่เป็นจำนวนมาก


    ในดินแดนอียิปต์โบราณ ฟาโรห์ถือว่าเป็นเทพองค์หนึ่ง มีทั้งศักดิ์และสิทธิ์ในการปกครองดินแดนอียิปต์ เมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ วิญญาณของพระองค์จะเดินทางกลับไปยังดินแดนแห่งเทพที่พระองค์จากมา พีระมิดที่สูงตระหง่านขึ้นสู่ท้องฟ้าอาจเป็นการช่วยส่งวิญญาณขององค์ฟาโรห์สู่สรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหน ร่างกายของฟาโรห์ต้องได้รับการรักษาเอาไว้ไม่ให้เสื่อมสลาย

    เนื่องจากชาวอียิปต์เชื่อว่าร่างกายจะต้องถูกรักษาไว้หากต้องการให้วิญญาณยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ต่อไปในโลกหลังความตาย นั่นคือเหตุผลที่ชาวอียิปต์ป้องกันร่างกายไม่ให้เปื่อยเน่าด้วยวิธีการการดองศพ (Embalming) และการห่อพันร่างด้วยแถบผ้าอย่างแน่นหนา (Wrapping) กระบวนการที่เราเรียกว่าการทำมัมมี่นั่นเอง (Mummification) เมื่อมัมมี่เสร็จเรียบร้อย จะมีการจัดพิธีศพอย่างสมพระเกียรติและนำมัมมี่ขององค์ฟาโรห์เข้าไปใส่ไว้ในโลงหินซึ่งตั้งอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของพีระมิด ภายในหลุมศพ จะมีการบันทึกภาพและเวทมนตร์คาถาเพื่อช่วยให้ผู้ตายเดินทางไปยังภพต่อไปได้

    ไม่ใช่เพียงแต่โบราณสถานจากโบราณกาลอย่างพีระมิดเท่านั้นที่บอกเล่าเรื่องราวสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ศิลปะ ชาวอียิปต์เชื่อว่าแค่รักษาสภาพศพยังไม่พอ ถ้าหากมีการทำรูปเหมือนขององค์ฟาโรห์เอาไว้ด้วย จะช่วยทำให้แน่ใจได้ว่าพระองค์จะยังคงอยู่ตลอดกาล พวกเขาจึงสั่งให้ประติมากรแกะสลักพระเศียรขององค์ฟาโรห์จากหินแกรนิตอันแข็งแกร่ง และนำมันไปไว้ในหลุมศพในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น ประติมากรรมเหล่านี้มีหน้าที่แห่งมนตราที่จะช่วยให้ดวงวิญญาณขององค์ฟาโรห์ดำรงอยู่ผ่านรูปเหมือนเหล่านี้ คำเรียกประติมากรในภาษาอียิปต์คำหนึ่งมีความหมายว่า ผู้ดำรงความมีชีวิต

    ในช่วงต้น พิธีกรรมเหล่านี้มีไว้สำหรับฟาโรห์และราชวงศ์เท่านั้น แต่ภายหลังขุนนางและชนชั้นสูงเริ่มสร้างหลุมศพขนาดเล็กของตนเองขึ้นรอบๆ พีระมิดขององค์ฟาโรห์ และทีละน้อย ผู้มีหน้ามีตาในสังคมทุกคนต่างวางแผนถึงชีวิตหลังความตายด้วยกันทั้งนั้น โดยมีการสั่งสร้างหลุมศพราคาแพงเพื่อเก็บรักษามัมมี่และรูปเหมือนของตนเอาไว้ อีกทั้งเพื่อเป็นที่ซึ่งดวงวิญญาณของเขาจะได้รับการบูชาด้วยอาหารและเครื่องดื่มไปตลอด

    ตัวอย่างงานชิ้นหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นศิลปะอียิปต์อันสวยงามในช่วงอาณาจักรเก่า (Old Kingdom) ได้แก่ รูปปั้นเหมือน Portrait Head (c.2551-2528 BC) พบในหลุมศพที่เมืองกิซา ทำจากหินปูน (Limestone) สูง 27.8 ซม. ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่ Kunsthistorisches Museum กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย


    จะเห็นได้ว่ารูปปั้นของอียิปต์มิได้มีรายละเอียดปลีกย่อยมากนัก เนื่องจากศิลปะของอียิปต์เน้น
    Essential และประกอบด้วยรูปทรงทางเรขาคณิตที่ขาดความละมุนและดูแข็งทื่อ แต่ก็ทำให้เห็นถึงความงดงามน่าทึ่งในแบบที่สมดุลกับธรรมชาติ ทำให้ดูเหมือนจริง เงียบงันแต่แข็งแกร่ง

     

    ว่ากันว่า ศิลปะอียิปต์คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเป็นระเบียบแบบรูปทรงเรขาคณิตกับการสังเกตธรรมชาติ

     

    ดังที่จะเห็นได้ชัดในภาพสลักตามสุสานต่างๆในอียิปต์ ศิลปะเหล่านี้แฝงความหมายในการดำรงชีวิตของผู้ที่ล่วงไปสู่โลกวิญญาณเอาไว้ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในสมัยโบราณว่า เมื่อใดที่กษัตริย์หรือบุคคลสำคัญเสียชีวิตลง บรรดาข้ารับใช้และทาสจะต้องตายไปในหลุมศพด้วยเช่นกันดังที่ปรากฎในสังคมทั่วทั้งโลก ในส่วนของอียิปต์เชื่อว่าความตายของข้ารับใช้จะเป็นเสบียงส่งให้เดินทางไปยังภพหน้า ภายหลังธรรมเนียมนี้ถูกมองว่าโหดร้ายทารุณ จึงเปลี่ยนเป็นการสลักรูปปั้นและภาพเขียนไว้ในสุสานเพื่อให้ผู้ตายมีข้ารับใช้ติดตามไปยังภพหน้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×