ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] เพื่อนบ้านของฉันคือ 'เซเวอรัส สเนป' (SS/OC)

    ลำดับตอนที่ #2 : ความลับ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.35K
      310
      15 พ.ค. 64

     

    จากเหตุการณ์ที่เหมือนใส่แว่นสามมิติเข้าโรงหนัง กับการได้เจอตัวละครที่มีตัวตนจริงๆตรงหน้า ทำฉันวิ่งหนีเขามาเสียดื้อๆแล้วเข้าบ้านตัวเองที่ถัดไปจากเขาไปไม่ไกล

    นี่มันบ้ามาก!? เซเวอรัส สเนปอยู่ตรงหน้าฉัน!?? ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่สาปฉันซะก่อนตอนหนีมา เพราะเขาทำท่าจะชักไม้กายสิทธิ์ออกมาจากเสื้อคลุมทันทีที่เห็นฉันด้วย รูปหน้าได้รูปและยังหนุ่มขมวดคิ้วชนกันแทบเป็นปมไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาสูงจนต้องก้มมองฉันที่ล้มตรงหน้าเขาผ่านหมวกคลุมทรงประหลาด แถมยังมองฉันราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจที่สุดเสียอย่างนั้น 

    ฉันยังคิดว่าตัวเองกำลังฝันไปอยู่.. แต่อีกความคิดมันก็คิดว่านี่คือความจริงมาตลอดตั้งแต่ที่ฉันลืมตาตื่นมาเจอผู้หญิงคนนั้นพยายามจะฆ่าฉัน..

    นี่มันหมายความ.. แบบไอ้นั่นใช่ไหม? ข้ามมิติมาในนิยายหรือภาพยนตร์นั่นน่ะ??

    มันพอจะมีเหตุผลในหลักฟิสิกส์ไหม หรือเป็นความต้องการของผู้แต่งวะ...

    "โอ้ย!! ปวดหัว!"

    มันจะเบรคเดอะโฟร์วอร์ไปไหนเนี่ย!?

    โอเค!! ฉันจะกลับไปนอน!

    แล้วมารอดูกันว่านี่คือฝันที่ยาวนานที่สุดของฉัน!!

    ฉันจะต้องตื่นมาบนเตียงของฉันตามด้วยเสียงด่าทอของพ่อแม่ที่ฉันนอนนานไปเนี่ยแหละ!!

    ราตรีสวัสดิ์!

    -------------------------

    "มะ ไม่กลับไป.. มันไม่ใช่ฝัน!"

    ฉันคลุมโปงพร้อมทั้งดิ้นไปมาบนเตียงในตอนเช้าที่ตื่นมาด้วยแสงอาทิตย์ที่แยงตา

    แต่ก่อนที่ฉันจะเป็นไบโพล่าร์ไปซะก่อน ฉันต้องควบคุมให้ตัวเองใจเย็นลง..

    ช่ายยยยยย.. ฟู่~ ยุบหนอ.. พองหนอ

    ฉันนอนหงายแล้วทำมือผ่ายเข้าออกตามจังหวะการพ่นลมจากปากตัวเองเพื่อให้ใจเย็นลง ซึ่งมันก็.. ได้ผล..มั้ง?

    ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย~ ก็แค่ข้ามมิติมาในหนังสือนิยายแฟนตาซีของนักเขียนเก่งๆคนหนึ่ง ที่มีตัวเด่นใส่แว่นตามด้วยรอยแผลเป็นสายฟ้า และกำลังจะเกิดสงครามในเวลาต่อมาที่มีคนตายอย่างล้นหลามแทบตลอดทุกเล่มก็เท่านั้นเอง..........

    ตาย!! ฉันตายแน่ๆ!!

    แล้วฉันก็กลับมาดิ้นพล่านบนเตียงจนหมอนและผ้าห่มตกลงไปกองรวมกันบนพื้นอย่างน่าสงสาร

    ก็ฉันไม่ได้มีเวทมนตร์อะไรสักหน่อยนี่!

    ถ้าได้หลงมาในโลกนิยายนี่จริงๆ ฉันคงจะมีบทบาทไม่ต่างกับตัวประกอบที่รอความตายแน่ๆ

    "........."

    เอ้ะ เดี๋ยวนะ! ถ้าเซเวอรัส สเนปยังหนุ่มยังแน่นขนาดนั้น ช่วงเวลาในตอนนี้คือปีอะไรน่ะ?

    ฉันรีบเด๋งตัวออกจากเตียงแล้วลงมาชั้นล่าง มองหาปฏิทินและเจอมันแขวนอยู่ในครัว กระดาษของมันขึ้นเหลืองและแห้งกรอบจนฉันไม่กล้าจะแตะมัน จึงดูปีเป็นสิ่งแรกในหน้ากระดาษนั้น

    แล้วตาสีฟ้าอันใหม่ของฉันก็ได้เบิกกว้างอีกเป็นครั้งที่สอง

    นี่ปี 1981!!

    พระเจ้า!? นี่ฉันย้อนเวลาหรอ?? ปีที่ฉันจากมายังมีโน้ตบุ๊คใช้กันแล้วนะ!

    แล้วปีนี้มันเป็นปีที่ครอบครัวพอตเตอร์ต้องตายไม่ใช่หรือไง!?

    ไม่ว่าเปล่าฉันคว้าเสื้อคลุมที่ใหญ่เกินตัวมาสวมแล้ววิ่งออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังบ้านของคุณยายบาร์เน็ตต์ที่อยู่ไม่ไกลนัก

    ตอนนี้เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันพอจะปรึกษาได้ ฉันรีบวิ่งออกไปโดยไม่รู้ถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมาตั้งแต่วิ่งพรวดออกจากบ้านไปแล้ว

    "ยายคะ! วันนี้วันที่เท่าไหร่!?"

    "โอ้ อรุณสวัสดิ์นะแม่หนู วันนี้วันที่ 3 จ้ะ ปิดประตูด้วยนะ"

    "เดือนละคะ!? "

    "มีนาคม หยิบหนังสือพิมพ์มาให้ฉันที"

    ฉันทำตามที่เธอบอกตั้งแต่ปิดประตูยันหยิบหนังสือพิมพ์หน้าบ้านให้เธอ แล้วถือวิสาสะเข้าไปนั่งเก้าอี้ไม้โต๊ะกินข้าวของยายก่อนที่เธอจะบอกให้ฉันนั่งเสียอีก

    วันที่ 3 มีนาคม 1981..

    แฮร์รี่ พอตเตอร์คงอายุได้ราวหนึ่งขวบในเดือนกรกฎาคมนี้ แล้วเจมส์ พอตเตอร์กับลิลี่ก็ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันฮาโลวีนปีนี้

    พวกเขาจะถูกสังหารโดยลอร์ดมืด!?

    "โอ้ ดูสิ มีคนตายเป็นปริศนาอีกแล้ว พวกเขาชอบเขียนว่ามันเกิดจากอุบัติเหตุทั้งที่จริงๆมันเกิดจากพวกผู้วิเศษน่ากลัวพวกนั้น"

    คุณยายบาร์เน็ตต์บ่นงึมงำออกมา ระหว่างจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์ในมือ

    "ใช่.. ฝีมือของพวกผู้เสพความตาย.."

    ฉันพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    เดี๋ยวนะ..

    "คุณยายรู้เรื่องโลกเวทย์มนต์!?"

    ฉันหันควับไปที่หญิงชราที่กำลังจิบกาแฟสีดำปี๋ พร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยรอยยิ้มเหี่ยวย่นของเธอเต็มไปด้วยท่าทีสงบ หรือว่าคุณยายบาร์เน็ตต์จะเป็นแม่มดด้วยน่ะ!?

    "ไม่ได้มีแค่ฉันเป็นผู้วิเศษคนเดียวแถวนี้สักหน่อยนี่จ้ะ"

    ฮ่า.. ใช่ อีกคนก็คือศาสตราจารย์ปรุงยาที่บังเอิญเจอเข้าเมื่อคืนด้วยยังไงละ

    "ทำไมยายไม่บอกหนู? "

    "ฉันนึกว่าเธอรู้อยู่แล้วเสียอีก อีกอย่างสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะป่าวประกาศให้ทุกคนรู้หรอกนะว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษน่ะ"

    "ทำไมคะ? "

    หญิงชราส่งหนังสือพิมพ์ให้ฉันแทนคำตอบ ในตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่าหนังสือพิมพ์นี่เป็นของผู้วิเศษ ที่มันมีภาพเคลื่อนไหวทั้งกับตัวอักษรที่สลับประโยคกันไปมา

    นี่มันเจ๋ง!

    ในข่าวระบุว่า มีผู้วิเศษเคราะห์ร้ายถูกเหล่าผู้เสพความตายทรมาน และข่าวที่กระทรวงเวทมนตร์ทำการปิดกั้นทางเข้าลับในที่ต่างๆจากโลกผู้วิเศษไปยังโลกมักเกิ้ลและการใช้กุญแจนำทาง เพื่อความปลอดภัย พร้อมกับภาพเคลื่อนไหวของคนในกระทรวงที่เดินไปมากันให้วุ่นวาย

    โอ้ นี่มันไม่เจ๋งละ

    "ในตอนนี้ผู้วิเศษที่แอบอยู่ในโลกมักเกิ้ลต่างหลบซ่อนตัวกันทั้งนั้นแม่หนู คงเป็นโชคร้ายของเธอสักหน่อยนะที่ดันเกิดเรื่องในช่วงที่ลอร์ดมืดกำลังเรื่องอำนาจแบบนี้"

    "พระเจ้า.. นี่มันผิดคาดกับที่หนูคิดไว้มากเลย"

    ฉันกุมขมับ ในทามไลน์ที่ฉันรู้มาจากเรื่องนี้ก็คือโวลเดอมอล์ในตอนนี้อำนาจของเขากำลังรุ่งโรจน์ไปทั่วโลกเวทมนตร์เลยทีเดียว ทุกๆที่คือที่ๆอันตรายและมีผู้วิเศษถูกสังหารไปมากมาย

    ขนาดผู้วิเศษยังตาย แล้วฉันจะไปเหลืออะไรเนี่ย! โผล่มาเป็นตัวประกอบแท้ๆ

    "เธอคิดว่าอะไรอย่างนั้นหรอ? แค่การที่เธอหลงเข้ามาในโลกอันแปลกประหลาดแบบนี้ก็เหลือเชื่อเกินแล้วสินะ"

    หญิงชราเอ่ยออกมาทั้งใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม ในมือเธอเทชาในถ้วยแล้วส่งให้ฉัน ฉันรับมันมาพลางมองหน้าเธอด้วยความฉงน ทำไมเธอถึงใจเย็นได้กับเรื่องของฉันแบบนี้นะ? ทั้งที่ฉันโคตรจะร้อนรนราวกับมีไฟจี้ก้นขนาดนี้

    "คุณเชื่อที่หนูมาจากที่อื่น.. ที่ไม่ใช่โลกนี้หรอคะ?"

    "ใช่จ้ะ หรือว่าแม้แต่ตัวเธอก็ไม่เชื่ออย่างนั้นหรอ?"

    เธอสบตาเข้ากับฉัน

    "ก็... มัน.. ไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่.."

    "แล้วเธอคิดว่าการมีเวทย์มนต์มันควรจะสมเหตุสมผลไหมละจ้ะ"

    ว่าแล้วเธอก็โบกไม้กายสิทธิ์สีดำเข้มในมือ นำอาหารเช้าทั้งหลายมาวางบนโต๊ะตามลำดับกัน ทั้งไข่ดาวที่สุกกำลังดีและขนมปังที่มีเปลวไฟล้อมรอบจนมันสุกเปลวไฟก็หายไป ขนมปังทั้งสองแผ่นจึงมาวางบนจานตรงหน้าฉัน

    "สุดยอดเลย!!"

    ฉันอุทานและยิ้มออกมาด้วยสีหน้าทึ่งๆ อาหารกำลังถูกปรุงกลางอากาศ!! แล้วก็บินไปมาได้!? อย่างกับในหนังเลยแต่มันคือความจริงแบบไม่ต้องพึ่งซีจี

    นี่น่ะหรอเวทมนตร์ ฉันก็อยากมีบ้างเลย

    "เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงชอบใช้เวทมนตร์ต่อหน้าเด็กๆ" คุณยายบาร์เน็ตต์ยิ้มขำออกมาอย่างอารมณ์ดีที่เห็นฉันตื่นเต้นกับการที่เธอใช้เวทมนตร์ทำอาหาร “ตอนพวกเขายิ้มและหัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้น มันน่ารักมาก”

    "แหงอยู่แล้วค่ะที่ตื่นเต้น หนูไม่เคยเห็นคนใช้เวทมนตร์มาก่อน"

    ฉันพูดทั้งยังคงมองอาหารที่ลอยอยู่บนหัว แล้วก็หยิบขนมปังมากินไปด้วย

    "ที่ๆหนูจากมาทุกๆอย่างก็แค่โลกมักเกิ้ลธรรมดา"

    "งั้นเธอก็ต้องเรียนรู้มันเอาไว้ และเป็นโชคดีของเธอนะ ที่ฉันพอจะมีหนังสือจากโลกผู้วิเศษให้เธอได้ศึกษามากมายทั้งชั้นหนังสือทางนั้นเลยล่ะเมอร์ซี่" เธอพ่ายมือไปทางตู้หนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายขนาด ตั้งแอบอยู่หลังตู้หนังสืออีกหลังที่มีหนังสือน้อยกว่า

    "จริงหรอคะ!! งั้นหนูขอยืมตอนนี้เลยได้ไหม"

    "ได้แน่นอน แต่หลังจากจัดการกับมื้อเช้านี่แล้วนะจ้ะ"

    ฉันพยักหน้ายึกยักเหมือนเด็กน้อย แล้วใช้ส้อมจิ้มกับไข่ดาวเข้าปาก ตายังคงมองคุณยายใช้เวทย์มนต์ให้ดูไปด้วย เธอก็ดูฉันแสดงอาการตื่นเต้นแล้วยิ้มเอ็นดูไปด้วยเช่นกัน

    โลกที่ฉันอยู่ตอนนี้เป็นโลกที่มีผู้วิเศษ มีเวทมนตร์! ไม่อยากเชื่อเลย.. แต่หลังจากฟังเหตุผลของโลกเวทมนตร์ที่ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ฉันก็พอจะเชื่อแล้วละว่าตัวเองหลงมาอยู่ในนิยายจริงๆ

    "หนูอยากมีเวทมนตร์บ้างจังเลย" ฉันเท้าคางกินไข่ดาวและพร่ำเพ้อไปด้วย

    "หืม เธอก็เป็นแม่มดอยู่แล้วนะเมอร์ซี่"

    "อ้อ ....."

    ห้ะ!!?

    ---------------

    'เธอก็เป็นแม่มดนะ ไม่สงสัยหรือไงทำไมแม่ของเธอถึงเกลียดเธอขนาดนั้น'

    คำพูดของยายบาร์เน็ตต์วนเวียนในหัวของฉันระหว่างทางที่กำลังเดินกลับบ้านในช่วงสายของวันที่ควรจะมีแดดส่อง แต่เพราะกลุ่มเมฆสีดำมาบังจึงทำให้ท้องฟ้าครึ้มไปส่วนมาก

    เอิ่ม.. เรื่องเมฆน่ะฉันอ้างขึ้นมาต่างหากเพราะชอบมองท้องฟ้าตอนกำลังนึกคิดบางอย่างอยู่จนเป็นนิสัยเสียแล้ว

    และตอนนี้ก็กำลังนึกถึงความทรงจำที่เคยเข้ามาในหัวฉันก่อนหน้านี้ในห้องนอน

    และใช่ ก็เห็นๆอยู่ว่าแม่ของเจ้าของร่างนี้ไม่รักลูกเอาซะเลย ดูจากบาดแผลตามตัวเป็นหลักฐานได้ แต่ทำไมเมื่อคืนเธอถึงวิ่งพรวดจากบ้านไปแทนที่จะฆ่าลูกสาวให้ตายคามือตัวเองละ?

    (ก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นจริงๆหรอกนะ แค่สงสัยน่ะ)

    หรือเพิ่งจะมาสำนึกผิด??

    ฉันสาวเท้าเดินต่อไปพร้อมกับดึงเสื้อคลุมตัวใหม่ที่คุณยายบาร์เน็ตต์ให้มากับฉันและตะกร้าอาหารเที่ยงด้วย ดูเหมือนเที่ยงนี้เธอจะไม่อยู่

    ถ้าเย็นนี้คุณยายกลับมาไม่ทัน ฉันก็คงต้องท้องเปล่าๆนอนตายแน่ๆ เพราะฉะนั้นฉันจะต้องเหลือมื้อเที่ยงนี่ไว้ครึ่งหนึ่ง--

    "เฮือก!!??"

    ฉันถูกกระชากตัวโดยแรงดึงบางอย่างเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วก็ล้มกระแทกกับพื้นอย่างแรง ยิ่งใช้แขนเป็นที่รองยิ่งเจ็บเป็นบ้าเลย!

    "โอย~ มันเจ็บ... นะ"

    คำพูดของฉันหายไปในคอ เมื่อตรงหน้าฉันคือไม้กายสิทธิ์ที่จ่อหน้าฉันแทบจิ้มเข้ามาในตา

    เจ้าของมันไม่ใช่ใครที่ไหนเลย นอกจากคนที่ฉันวิ่งหนีเขามาเมื่อคืน

    เซเวอรัส สเนป ที่พอฉันได้เห็นเขานอกเสื้อคลุมและอยู่ในช่วงมีแสงพอจะเห็นเขา ทำให้รู้ว่าเขายังหนุ่มกว่าที่คิดมาก เขาคิ้วขมวดกันอย่างไม่พอใจและเขาก็เสกให้ทั้งประตูและหน้าต่างทุกอย่างปิดสนิท เพื่อกันการสอดรู้สอดเห็นของพวกข้างนอก หรือก็คือ.. ไม่ให้ฉันหนีไปได้

    ฉันมองเขาอย่างหวาดๆแล้วยันตัวลุกมานั่ง พร้อมทั้งดันตัวด้วยมือถอยหลังหนีเขาไปด้วย

    นัยน์ตาสีฟ้าของฉันสบเข้ากับดวงตาสีรัตติกาลของเขาที่ดุดันไม่พอใจบางอย่างในตัวฉัน

    นี่ฉันทำอะไรผิดไปจริงๆหรอ?? ตั้งแต่เด็กวิ่งหนีเมื่อเช้าแล้วนะ แล้วทีนี้ก็ผู้เสพความตายหน้ายักษ์นี่อีก!

    คิ้วเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะยื่นไม้กายสิทธิ์เข้ามาใกล้กว่าเดิมจนฉันถอยกรูดติดกำแพงบ้านเขาแทบไม่ทัน

    "คือ เอ่อ.. ใจเย็นๆก่อนนะคะ"

    ฉันหัวเราะแห้งๆแล้วพูดตะกุกตะกัก ในตอนนี้จู่ๆน้ำในคอฉันก็แห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายลงคอเสียงยังดังกว่าเลย ให้ตายสิ

    "เธอรู้ได้ยังไง? "

    "คะ? "

    เจ้าของเสียงทุ้มทำเสียงจิปากออกมาแบบคนไม่ได้ดั่งใจ แล้วจู่ๆเขาก็พุ่งเข้ามาลากฉันด้วยการดึงคอเสื้อคลุมแล้วโยนฉันไปยังเก้าอี้มุมหนึ่งของห้อง

    โดยไม่ได้สงสารฉันที่จะติดคอตายด้วยคอเสื้อตัวเอง จากแรงดึงไร้ซึ่งความอ่อนโยนของเขาเลยสักนิด

    "ผู้เสพความตาย"

    "คะ? "

    "ใครบอกเธอเรื่องของฉัน!! "

    โอ้พระเจ้า.. ฉันลืมไปเลยว่าเขาพินิจใจได้เก่งสุดๆเลยนี่..

    เขาขึ้นเสียงใส่ทั้งยังชะโงกหน้าเข้ามาหาฉัน ผมมันยาวปรกหน้าของเขา แขนทั้งสองกั้นกับที่รองแขนของเก้าอี้ไม่ให้ฉันหลบไปไหน และฉันก็หลบไม่ได้ไง หลังนี่จะติดกับเก้าอี้และแทบจะมุดหัวหนีเหมือนเต่าเข้ากระดองอยู่แล้ว!

    ขอร้องละ ฉันยังอยากมีชีวิตต่อไปนะ! ฉันคร่ำครวญในใจเสียยกใหญ่ จังหวะการเต้นของหัวใจแทบตกวูบในคราที่เขาขยับตัวออกไปจากฉันและทุกการเคลื่อนไหวของเขาที่ฉันไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป ก่อนจะรู้ตัวในวินาทีต่อมาว่าที่เขาจ้องมาที่ฉันเพราะกำลังอ่านใจฉันอยู่

    สเนปจ้องมองฉันชั่วครู่ในระยะเผาขนราวกับคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะค่อยๆถอยออกไปจากฉันช้าๆและยังคงเงียบปากหน้าเข้มอยู่อย่างนั้น

    ส่วนฉันก็อ้ำอึ้งจดจ้องอยู่ที่เขา ไม่กล้าพูดอะไรออกไปเลย และอาจไม่จำเป็นต้องพูดหรอกเพราะเขาเก่งเรื่องอ่านใจอยู่แล้วนี่ อย่างเช่นตอนนี้

    อย่างนี้นินทาอะไรก็รู้หมดเปลือกเลยสิ

    สเนปขบกรามและมองฉันราวจะเชือดเฉือนเนื้อ ฉันกะพริบตาปริบๆยิ้มให้แห้งๆ เขารู้ว่าฉันกำลังต่อว่าเขาในใจอยู่ 

    ได้เปรียบเป็นบ้าเลย 

    แล้วฉันก็ต้องอยู่ไม่สุขอีกครั้ง เมื่อเขาหันไม้ที่ฉัน และเพราะอะไรไม่รู้แต่ฉันรู้สึกว่ามันจะไม่ได้เป็นแค่การชี้ไม้เพื่อข่มขู่เหมือนก่อนหน้านี้...

    "ออบลิวิอาเต้!"

    "เดี๋ยว!!! "

    ฉันใช้แขนป้องตัวเองไว้ แล้วคดตัวหนีแสงนั่น เขาไม่ได้ฟังเสียงร้องขอฉันด้วยซ้ำ! แสงสว่างวาบพุ่งตรงมาที่ฉันแต่ไม่ได้ถูกถึงตัวอย่างที่กลัวไว้ จนกระทั่งมันค่อยๆหายไป

    ฉันจึงลืมตาขึ้นมามองและได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของคนร่ายคาถา ก่อนที่สเนปจะปรับสีหน้าเป็นหงุดหงิดดั่งเดิม

    ซึ่งต่างกับฉัน

    โอ้พระเจ้า! ฉันยังมีชีวิต!!

    ฉันยกยิ้มดีใจพลางมองมือตัวเอง

    มันเหมือนมีเกราะอะไรมาป้องกันให้ฉันเลย!!? ถึงจะยังรู้สึกเย็นบนมือนิดหน่อยก็เถอะ

    มันก็คือเวทย์มนต์เหมือนกันหรอ?

    แต่การมีอยู่ของคนข้างหน้าเรียกฉันหยุดอาการดีใจที่ได้เห็นเวทย์มนต์ของตัวเองครั้งแรก แล้วจ้องมองคนในชุดคลุมดำที่ไม่ต่างกับเมื่อคืนอย่างไม่วางตา

    แค่ฉันบอกก็จะยอมปล่อยไปสินะ ถ้าอ่านใจอยู่ตอนนี้ก็รู้ไว้นะ ว่าฉันพูดเป็นคำพูด.. จริงๆนะ!

    "หนะ- หนูจะไม่บอกใครหรอก และเรื่องนั้น..เอ่อ หนูก็รู้เอง"

    เขาขมวดคิ้วกับคำตอบที่ไม่ชัดเจนของฉัน และก่อนที่เขาจะได้อ้าปากเค้นถามความจริงต่อมา ฉันก็คว้าตะกร้าแล้วก็วิ่งออกไปจากบ้านของเขาเลย

    ใครจะอยู่ก็อยู่ เมอร์ซี่ไม่อยู่แล้วคนนึง!!

    ทันทีที่ฉันเข้ามาในบ้าน ถึงได้รู้นี่แหละว่าบ้านฉันกับเขามันไม่ไกลกันเลย ใกล้กว่าบ้านคุณยายบาร์เน็ตต์อีก!

    อะไรละเนี่ย!?

    เรียกว่าเป็นเพื่อนบ้านกันเลยก็ได้ แต่ใครจะอยากเป็นเพื่อนกับคนแบบนั้นเล่า! ถึงฉันจะรู้เกี่ยวกับเขาหมดเปลือกก็เถอะ

    แต่ตอนนี้เขายังคงเป็นผู้เสพความตายอยู่ ซึ่งมันหมายความว่าเขาสามารถฆ่าเด็กที่ไม่มีใครต้องการแบบฉันได้..

    แต่ฉันยังต้องการอยู่.. ฉันยังไม่อยากตายนี่

    พอมองผ่านหน้าต่างด้านข้างก็เห็นบ้านเขา เราถูกกั้นโดยสนามหญ้าและรั้วไม้ที่เก่ากึ๊ก ฉันดึงม่านปิดไปซะเลยจะได้ไม่เห็นเขา แล้วก็แลบลิ้นใส่ราวกับเด็กประชดประชัน

    ถ้าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับตัวจริงของเจ้าของร่างนี้ ฉันก็ไม่รู้ด้วยหรอกนะว่าเธอจะเอาตัวรอดได้ไหม แต่ตราบใดที่ฉันยังอยู่ในร่างนี้ฉันก็จะปกป้องให้จนกว่าเราจะสลับร่างคืนกัน 

    ซึ่ง.. มันจะมีวันนั้นหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้เลย ยังไงซะเวทมนตร์ที่ฉันได้มาป้องกันคาถาจากสเนปเมื่อกี้ก็ไม่ใช่ของฉันด้วยซ้ำ 

    มันเป็นเมอร์ซี่เจ้าของร่างนี้ และเธอเป็นแม่มด ไม่ใช่..ฉัน..

    เฮ้อ พอมาคิดสรุปให้ตัวเองก็แอบน้อยใจแฮะ ทำไมโลกที่ฉันเคยอยู่ไม่มีเวทมนตร์บ้างวะ เอาแบบไม่ต้องมีจอมมารด้วยยิ่งดีเลย

    ฉันระแวดระวังดันประตูบ้านด้วยเก้าอี้ และปิดหน้าต่างทุกบานจนภายในบ้านมืดสลัว แต่เพราะยังเป็นตอนกลางวัน จึงยังมีแสงลอดผ่านเข้ามาตามรูแตกรอยแยกผุพังตามบ้านได้อยู่ เขาจะไม่ตามมาฆ่าฉันยันบ้านหรอกใช่ไหม? แต่เขาก็เป็นพ่อมดนี่ เขาไม่จำเป็นต้องเปิดประตูบ้านเข้ามาด้วยซ้ำ! 

    บางทีการมีเวทมนตร์ก็น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย

     เวลาผ่านไปหลายนาทีก็ไม่มีท่าทีของการบุกรุก ฉันแอบแง้มผ้าม่านมองบ้านหลังข้างๆที่รูปร่างไม่ต่างจากฉันนัก หน้าต่างไม่มีม่านปิดเหมือนกับฉันถูกเปิดแล้ว แต่ก็ไม่เห็นเงาหรือสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้นเลย มันเหมือนกับบ้านที่ไม่มีใครอยู่เสียมากกว่า แถมยังเป็นบ้านที่อยู่สุดตรอกช่างปั่นฝ้ายนี่ด้วย

    เขาไปแล้วหรอ? หรือไม่ ก็คงใช้คาถาอะไรบังตาแน่ๆ

    อย่างน้อยสเนปเขาก็ไม่มาตามฆ่าฉันยันบ้านละนะ จะถือว่าใจดีอยู่นิดนึงละกัน

    นิดนึงจริงๆนะ! เท่าหัวนิ้วก้อยอะ

    ฉันพอใจชื่นมาบ้างที่ไม่เห็นเขาแล้ว จึงกลับมาจัดแจงอาหารในตะกร้าใบใหญ่บนโต๊ะไม้ในครัว หยิบหนังสือ'ที่มาของคำสาป'ที่ยืมมาจากคุณยายก่อนจากกันออกมาจากตระกร้า พอมองดูเวลากับนาฬิกาหลังใหญ่ที่ตั้งในห้องนั่งเล่นตอนนี้ก็เที่ยงพอดี

    ฉันยืนจดจ้องกับนาฬิกาอย่างครุ่นคิดด้านหน้าของโต๊ะสักพัก ในใจกำลังคิดถึงคุณยายใบหน้าเหี่ยวย่นแต่แสนดีที่ตอนนี้คงกำลังทำธุระที่ไหนสักแห่งอยู่ ถึงในตอนนี้เธอจะเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันคุย ขอความช่วยเหลือหรือขอคำแนะนำได้ 

    แต่มันคงอันตรายแน่ๆ ถ้าเขารู้เรื่องว่าเพื่อนบ้านฉันเป็นผู้เสพความตาย 

    และที่อันตรายกว่าคือการที่สเนปรู้ว่าฉันนำเรื่องนี้ไปบอกเธอ! ฉันรู้ว่าสเนปไม่ใช่คนโง่ และไม่ว่าจะด้วยคาถาหรือคำสาปอะไรก็ตามเขาอาจจะรู้ได้ว่าฉันจะเอาเรื่องที่เขาเป็นผู้เสพความตายไปบอกใคร 

    เพราะฉันดันยืนยันพูดออกไปว่าจะไม่บอกใครไปซะแล้ว ฉันนี่ปากพล่อยจริงๆเลย! เขาจะต้องฆ่าฉันแน่ๆ ถ้าฉันไปบอกคุณยายบาร์เน็ตต์ว่ามีผู้เสพความตายอยู่ในตรอกเรา

    เหอะ เขาทำให้ฉันต้องเก็บอีกความลับนอกจากเรื่องโลกเวทย์มนต์จนได้

    แต่ก็ใช่ว่าฉันจะอยากบอกนี่ มันคงจะปลอดภัยต่อคุณยายกว่า ถ้าฉันจะไม่บอกเธอไปมากกว่าเรื่องที่ฉันหลงมาจากโลกอื่น และเรื่องนี้แหละที่มีแค่คุณยายบาร์เน็ตต์คนเดียวที่รู้

    แม้ฉันจะไม่ได้เล่าให้เธอฟังว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะโลกนี้..มันเป็นแค่นวนิยาย.. และฉันก็รู้เรื่องอนาคตของเรื่องนี้ราวกับนักพยากรณ์เลยทีเดียว

    แต่บางเหตุการณ์ฉันก็ลืมมันไปแล้วอานะ ฉันไม่รู้นี่ว่ามันจะเกิดขึ้นตอนไหน ถ้ามีอะไรมากระตุ้นหน่อยก็คงจำได้มั้ง 

    ถ้าเนื้อเรื่องมัน..

    ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ

    ----------------------------------------

    ??????’?

    BP: ถึงจะบอกว่าเป็นความลับ แต่นิยาม ความลับไม่มีในโลก ก็ยังคงใช้ได้แม้แต่กับโลกเวทย์มนต์นะคะ~ 

    ยัยเมอร์ซี่พอจะยอมรับโลกใหม่นี่ได้แล้ว(พอมาอ่านเองอีกที ยัยเมอร์ซี่ก็จิตหลุดง่ายเหมือนกันนะเนี่ย) เหลือแค่คิดว่าถ้ารู้ขนาดนี้จะทำอย่างไรต่อไปนี่ละค่ะ 

    รออ่านคอมเม้นท์ทุกตอนเลยนะคะ

    เจอกันตอนหน้านะคะ จุ๊บๆ??’•????

    #เพื่อนบ้านของฉันดุนะ

    (28/6/20)✍️

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×