คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ความลับ
จากเหตุการณ์ที่เหมือนใส่แว่นสามมิติเข้าโรงหนัง กับการได้เจอตัวละครที่มีตัวตนจริงๆตรงหน้า ทำฉันวิ่งหนีเขามาเสียดื้อๆแล้วเข้าบ้านตัวเองที่ถัดไปจากเขาไปไม่ไกล
นี่มันบ้ามาก!? เซเวอรัส สเนปอยู่ตรงหน้าฉัน!?? ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่สาปฉันซะก่อนตอนหนีมา เพราะเขาทำท่าจะชักไม้กายสิทธิ์ออกมาจากเสื้อคลุมทันทีที่เห็นฉันด้วย รูปหน้าได้รูปและยังหนุ่มขมวดคิ้วชนกันแทบเป็นปมไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาสูงจนต้องก้มมองฉันที่ล้มตรงหน้าเขาผ่านหมวกคลุมทรงประหลาด แถมยังมองฉันราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจที่สุดเสียอย่างนั้น
ฉันยังคิดว่าตัวเองกำลังฝันไปอยู่.. แต่อีกความคิดมันก็คิดว่านี่คือความจริงมาตลอดตั้งแต่ที่ฉันลืมตาตื่นมาเจอผู้หญิงคนนั้นพยายามจะฆ่าฉัน..
นี่มันหมายความ.. แบบไอ้นั่นใช่ไหม? ข้ามมิติมาในนิยายหรือภาพยนตร์นั่นน่ะ??
มันพอจะมีเหตุผลในหลักฟิสิกส์ไหม หรือเป็นความต้องการของผู้แต่งวะ...
"โอ้ย!! ปวดหัว!"
มันจะเบรคเดอะโฟร์วอร์ไปไหนเนี่ย!?
โอเค!! ฉันจะกลับไปนอน!
แล้วมารอดูกันว่านี่คือฝันที่ยาวนานที่สุดของฉัน!!
ฉันจะต้องตื่นมาบนเตียงของฉันตามด้วยเสียงด่าทอของพ่อแม่ที่ฉันนอนนานไปเนี่ยแหละ!!
ราตรีสวัสดิ์!
-------------------------
"มะ ไม่กลับไป.. มันไม่ใช่ฝัน!"
ฉันคลุมโปงพร้อมทั้งดิ้นไปมาบนเตียงในตอนเช้าที่ตื่นมาด้วยแสงอาทิตย์ที่แยงตา
แต่ก่อนที่ฉันจะเป็นไบโพล่าร์ไปซะก่อน ฉันต้องควบคุมให้ตัวเองใจเย็นลง..
ช่ายยยยยย.. ฟู่~ ยุบหนอ.. พองหนอ
ฉันนอนหงายแล้วทำมือผ่ายเข้าออกตามจังหวะการพ่นลมจากปากตัวเองเพื่อให้ใจเย็นลง ซึ่งมันก็.. ได้ผล..มั้ง?
ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย~ ก็แค่ข้ามมิติมาในหนังสือนิยายแฟนตาซีของนักเขียนเก่งๆคนหนึ่ง ที่มีตัวเด่นใส่แว่นตามด้วยรอยแผลเป็นสายฟ้า และกำลังจะเกิดสงครามในเวลาต่อมาที่มีคนตายอย่างล้นหลามแทบตลอดทุกเล่มก็เท่านั้นเอง..........
ตาย!! ฉันตายแน่ๆ!!
แล้วฉันก็กลับมาดิ้นพล่านบนเตียงจนหมอนและผ้าห่มตกลงไปกองรวมกันบนพื้นอย่างน่าสงสาร
ก็ฉันไม่ได้มีเวทมนตร์อะไรสักหน่อยนี่!
ถ้าได้หลงมาในโลกนิยายนี่จริงๆ ฉันคงจะมีบทบาทไม่ต่างกับตัวประกอบที่รอความตายแน่ๆ
"........."
เอ้ะ เดี๋ยวนะ! ถ้าเซเวอรัส สเนปยังหนุ่มยังแน่นขนาดนั้น ช่วงเวลาในตอนนี้คือปีอะไรน่ะ?
ฉันรีบเด๋งตัวออกจากเตียงแล้วลงมาชั้นล่าง มองหาปฏิทินและเจอมันแขวนอยู่ในครัว กระดาษของมันขึ้นเหลืองและแห้งกรอบจนฉันไม่กล้าจะแตะมัน จึงดูปีเป็นสิ่งแรกในหน้ากระดาษนั้น
แล้วตาสีฟ้าอันใหม่ของฉันก็ได้เบิกกว้างอีกเป็นครั้งที่สอง
นี่ปี 1981!!
พระเจ้า!? นี่ฉันย้อนเวลาหรอ?? ปีที่ฉันจากมายังมีโน้ตบุ๊คใช้กันแล้วนะ!
แล้วปีนี้มันเป็นปีที่ครอบครัวพอตเตอร์ต้องตายไม่ใช่หรือไง!?
ไม่ว่าเปล่าฉันคว้าเสื้อคลุมที่ใหญ่เกินตัวมาสวมแล้ววิ่งออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังบ้านของคุณยายบาร์เน็ตต์ที่อยู่ไม่ไกลนัก
ตอนนี้เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันพอจะปรึกษาได้ ฉันรีบวิ่งออกไปโดยไม่รู้ถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมาตั้งแต่วิ่งพรวดออกจากบ้านไปแล้ว
"ยายคะ! วันนี้วันที่เท่าไหร่!?"
"โอ้ อรุณสวัสดิ์นะแม่หนู วันนี้วันที่ 3 จ้ะ ปิดประตูด้วยนะ"
"เดือนละคะ!? "
"มีนาคม หยิบหนังสือพิมพ์มาให้ฉันที"
ฉันทำตามที่เธอบอกตั้งแต่ปิดประตูยันหยิบหนังสือพิมพ์หน้าบ้านให้เธอ แล้วถือวิสาสะเข้าไปนั่งเก้าอี้ไม้โต๊ะกินข้าวของยายก่อนที่เธอจะบอกให้ฉันนั่งเสียอีก
วันที่ 3 มีนาคม 1981..
แฮร์รี่ พอตเตอร์คงอายุได้ราวหนึ่งขวบในเดือนกรกฎาคมนี้ แล้วเจมส์ พอตเตอร์กับลิลี่ก็ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันฮาโลวีนปีนี้
พวกเขาจะถูกสังหารโดยลอร์ดมืด!?
"โอ้ ดูสิ มีคนตายเป็นปริศนาอีกแล้ว พวกเขาชอบเขียนว่ามันเกิดจากอุบัติเหตุทั้งที่จริงๆมันเกิดจากพวกผู้วิเศษน่ากลัวพวกนั้น"
คุณยายบาร์เน็ตต์บ่นงึมงำออกมา ระหว่างจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์ในมือ
"ใช่.. ฝีมือของพวกผู้เสพความตาย.."
ฉันพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เดี๋ยวนะ..
"คุณยายรู้เรื่องโลกเวทย์มนต์!?"
ฉันหันควับไปที่หญิงชราที่กำลังจิบกาแฟสีดำปี๋ พร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยรอยยิ้มเหี่ยวย่นของเธอเต็มไปด้วยท่าทีสงบ หรือว่าคุณยายบาร์เน็ตต์จะเป็นแม่มดด้วยน่ะ!?
"ไม่ได้มีแค่ฉันเป็นผู้วิเศษคนเดียวแถวนี้สักหน่อยนี่จ้ะ"
ฮ่า.. ใช่ อีกคนก็คือศาสตราจารย์ปรุงยาที่บังเอิญเจอเข้าเมื่อคืนด้วยยังไงละ
"ทำไมยายไม่บอกหนู? "
"ฉันนึกว่าเธอรู้อยู่แล้วเสียอีก อีกอย่างสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะป่าวประกาศให้ทุกคนรู้หรอกนะว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษน่ะ"
"ทำไมคะ? "
หญิงชราส่งหนังสือพิมพ์ให้ฉันแทนคำตอบ ในตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่าหนังสือพิมพ์นี่เป็นของผู้วิเศษ ที่มันมีภาพเคลื่อนไหวทั้งกับตัวอักษรที่สลับประโยคกันไปมา
นี่มันเจ๋ง!
ในข่าวระบุว่า มีผู้วิเศษเคราะห์ร้ายถูกเหล่าผู้เสพความตายทรมาน และข่าวที่กระทรวงเวทมนตร์ทำการปิดกั้นทางเข้าลับในที่ต่างๆจากโลกผู้วิเศษไปยังโลกมักเกิ้ลและการใช้กุญแจนำทาง เพื่อความปลอดภัย พร้อมกับภาพเคลื่อนไหวของคนในกระทรวงที่เดินไปมากันให้วุ่นวาย
โอ้ นี่มันไม่เจ๋งละ
"ในตอนนี้ผู้วิเศษที่แอบอยู่ในโลกมักเกิ้ลต่างหลบซ่อนตัวกันทั้งนั้นแม่หนู คงเป็นโชคร้ายของเธอสักหน่อยนะที่ดันเกิดเรื่องในช่วงที่ลอร์ดมืดกำลังเรื่องอำนาจแบบนี้"
"พระเจ้า.. นี่มันผิดคาดกับที่หนูคิดไว้มากเลย"
ฉันกุมขมับ ในทามไลน์ที่ฉันรู้มาจากเรื่องนี้ก็คือโวลเดอมอล์ในตอนนี้อำนาจของเขากำลังรุ่งโรจน์ไปทั่วโลกเวทมนตร์เลยทีเดียว ทุกๆที่คือที่ๆอันตรายและมีผู้วิเศษถูกสังหารไปมากมาย
ขนาดผู้วิเศษยังตาย แล้วฉันจะไปเหลืออะไรเนี่ย! โผล่มาเป็นตัวประกอบแท้ๆ
"เธอคิดว่าอะไรอย่างนั้นหรอ? แค่การที่เธอหลงเข้ามาในโลกอันแปลกประหลาดแบบนี้ก็เหลือเชื่อเกินแล้วสินะ"
หญิงชราเอ่ยออกมาทั้งใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม ในมือเธอเทชาในถ้วยแล้วส่งให้ฉัน ฉันรับมันมาพลางมองหน้าเธอด้วยความฉงน ทำไมเธอถึงใจเย็นได้กับเรื่องของฉันแบบนี้นะ? ทั้งที่ฉันโคตรจะร้อนรนราวกับมีไฟจี้ก้นขนาดนี้
"คุณเชื่อที่หนูมาจากที่อื่น.. ที่ไม่ใช่โลกนี้หรอคะ?"
"ใช่จ้ะ หรือว่าแม้แต่ตัวเธอก็ไม่เชื่ออย่างนั้นหรอ?"
เธอสบตาเข้ากับฉัน
"ก็... มัน.. ไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่.."
"แล้วเธอคิดว่าการมีเวทย์มนต์มันควรจะสมเหตุสมผลไหมละจ้ะ"
ว่าแล้วเธอก็โบกไม้กายสิทธิ์สีดำเข้มในมือ นำอาหารเช้าทั้งหลายมาวางบนโต๊ะตามลำดับกัน ทั้งไข่ดาวที่สุกกำลังดีและขนมปังที่มีเปลวไฟล้อมรอบจนมันสุกเปลวไฟก็หายไป ขนมปังทั้งสองแผ่นจึงมาวางบนจานตรงหน้าฉัน
"สุดยอดเลย!!"
ฉันอุทานและยิ้มออกมาด้วยสีหน้าทึ่งๆ อาหารกำลังถูกปรุงกลางอากาศ!! แล้วก็บินไปมาได้!? อย่างกับในหนังเลยแต่มันคือความจริงแบบไม่ต้องพึ่งซีจี
นี่น่ะหรอเวทมนตร์ ฉันก็อยากมีบ้างเลย
"เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงชอบใช้เวทมนตร์ต่อหน้าเด็กๆ" คุณยายบาร์เน็ตต์ยิ้มขำออกมาอย่างอารมณ์ดีที่เห็นฉันตื่นเต้นกับการที่เธอใช้เวทมนตร์ทำอาหาร “ตอนพวกเขายิ้มและหัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้น มันน่ารักมาก”
"แหงอยู่แล้วค่ะที่ตื่นเต้น หนูไม่เคยเห็นคนใช้เวทมนตร์มาก่อน"
ฉันพูดทั้งยังคงมองอาหารที่ลอยอยู่บนหัว แล้วก็หยิบขนมปังมากินไปด้วย
"ที่ๆหนูจากมาทุกๆอย่างก็แค่โลกมักเกิ้ลธรรมดา"
"งั้นเธอก็ต้องเรียนรู้มันเอาไว้ และเป็นโชคดีของเธอนะ ที่ฉันพอจะมีหนังสือจากโลกผู้วิเศษให้เธอได้ศึกษามากมายทั้งชั้นหนังสือทางนั้นเลยล่ะเมอร์ซี่" เธอพ่ายมือไปทางตู้หนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายขนาด ตั้งแอบอยู่หลังตู้หนังสืออีกหลังที่มีหนังสือน้อยกว่า
"จริงหรอคะ!! งั้นหนูขอยืมตอนนี้เลยได้ไหม"
"ได้แน่นอน แต่หลังจากจัดการกับมื้อเช้านี่แล้วนะจ้ะ"
ฉันพยักหน้ายึกยักเหมือนเด็กน้อย แล้วใช้ส้อมจิ้มกับไข่ดาวเข้าปาก ตายังคงมองคุณยายใช้เวทย์มนต์ให้ดูไปด้วย เธอก็ดูฉันแสดงอาการตื่นเต้นแล้วยิ้มเอ็นดูไปด้วยเช่นกัน
โลกที่ฉันอยู่ตอนนี้เป็นโลกที่มีผู้วิเศษ มีเวทมนตร์! ไม่อยากเชื่อเลย.. แต่หลังจากฟังเหตุผลของโลกเวทมนตร์ที่ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ฉันก็พอจะเชื่อแล้วละว่าตัวเองหลงมาอยู่ในนิยายจริงๆ
"หนูอยากมีเวทมนตร์บ้างจังเลย" ฉันเท้าคางกินไข่ดาวและพร่ำเพ้อไปด้วย
"หืม เธอก็เป็นแม่มดอยู่แล้วนะเมอร์ซี่"
"อ้อ ....."
ห้ะ!!?
---------------
'เธอก็เป็นแม่มดนะ ไม่สงสัยหรือไงทำไมแม่ของเธอถึงเกลียดเธอขนาดนั้น'
คำพูดของยายบาร์เน็ตต์วนเวียนในหัวของฉันระหว่างทางที่กำลังเดินกลับบ้านในช่วงสายของวันที่ควรจะมีแดดส่อง แต่เพราะกลุ่มเมฆสีดำมาบังจึงทำให้ท้องฟ้าครึ้มไปส่วนมาก
เอิ่ม.. เรื่องเมฆน่ะฉันอ้างขึ้นมาต่างหากเพราะชอบมองท้องฟ้าตอนกำลังนึกคิดบางอย่างอยู่จนเป็นนิสัยเสียแล้ว
และตอนนี้ก็กำลังนึกถึงความทรงจำที่เคยเข้ามาในหัวฉันก่อนหน้านี้ในห้องนอน
และใช่ ก็เห็นๆอยู่ว่าแม่ของเจ้าของร่างนี้ไม่รักลูกเอาซะเลย ดูจากบาดแผลตามตัวเป็นหลักฐานได้ แต่ทำไมเมื่อคืนเธอถึงวิ่งพรวดจากบ้านไปแทนที่จะฆ่าลูกสาวให้ตายคามือตัวเองละ?
(ก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นจริงๆหรอกนะ แค่สงสัยน่ะ)
หรือเพิ่งจะมาสำนึกผิด??
ฉันสาวเท้าเดินต่อไปพร้อมกับดึงเสื้อคลุมตัวใหม่ที่คุณยายบาร์เน็ตต์ให้มากับฉันและตะกร้าอาหารเที่ยงด้วย ดูเหมือนเที่ยงนี้เธอจะไม่อยู่
ถ้าเย็นนี้คุณยายกลับมาไม่ทัน ฉันก็คงต้องท้องเปล่าๆนอนตายแน่ๆ เพราะฉะนั้นฉันจะต้องเหลือมื้อเที่ยงนี่ไว้ครึ่งหนึ่ง--
"เฮือก!!??"
ฉันถูกกระชากตัวโดยแรงดึงบางอย่างเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วก็ล้มกระแทกกับพื้นอย่างแรง ยิ่งใช้แขนเป็นที่รองยิ่งเจ็บเป็นบ้าเลย!
"โอย~ มันเจ็บ... นะ"
คำพูดของฉันหายไปในคอ เมื่อตรงหน้าฉันคือไม้กายสิทธิ์ที่จ่อหน้าฉันแทบจิ้มเข้ามาในตา
เจ้าของมันไม่ใช่ใครที่ไหนเลย นอกจากคนที่ฉันวิ่งหนีเขามาเมื่อคืน
เซเวอรัส สเนป ที่พอฉันได้เห็นเขานอกเสื้อคลุมและอยู่ในช่วงมีแสงพอจะเห็นเขา ทำให้รู้ว่าเขายังหนุ่มกว่าที่คิดมาก เขาคิ้วขมวดกันอย่างไม่พอใจและเขาก็เสกให้ทั้งประตูและหน้าต่างทุกอย่างปิดสนิท เพื่อกันการสอดรู้สอดเห็นของพวกข้างนอก หรือก็คือ.. ไม่ให้ฉันหนีไปได้
ฉันมองเขาอย่างหวาดๆแล้วยันตัวลุกมานั่ง พร้อมทั้งดันตัวด้วยมือถอยหลังหนีเขาไปด้วย
นัยน์ตาสีฟ้าของฉันสบเข้ากับดวงตาสีรัตติกาลของเขาที่ดุดันไม่พอใจบางอย่างในตัวฉัน
นี่ฉันทำอะไรผิดไปจริงๆหรอ?? ตั้งแต่เด็กวิ่งหนีเมื่อเช้าแล้วนะ แล้วทีนี้ก็ผู้เสพความตายหน้ายักษ์นี่อีก!
คิ้วเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะยื่นไม้กายสิทธิ์เข้ามาใกล้กว่าเดิมจนฉันถอยกรูดติดกำแพงบ้านเขาแทบไม่ทัน
"คือ เอ่อ.. ใจเย็นๆก่อนนะคะ"
ฉันหัวเราะแห้งๆแล้วพูดตะกุกตะกัก ในตอนนี้จู่ๆน้ำในคอฉันก็แห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายลงคอเสียงยังดังกว่าเลย ให้ตายสิ
"เธอรู้ได้ยังไง? "
"คะ? "
เจ้าของเสียงทุ้มทำเสียงจิปากออกมาแบบคนไม่ได้ดั่งใจ แล้วจู่ๆเขาก็พุ่งเข้ามาลากฉันด้วยการดึงคอเสื้อคลุมแล้วโยนฉันไปยังเก้าอี้มุมหนึ่งของห้อง
โดยไม่ได้สงสารฉันที่จะติดคอตายด้วยคอเสื้อตัวเอง จากแรงดึงไร้ซึ่งความอ่อนโยนของเขาเลยสักนิด
"ผู้เสพความตาย"
"คะ? "
"ใครบอกเธอเรื่องของฉัน!! "
โอ้พระเจ้า.. ฉันลืมไปเลยว่าเขาพินิจใจได้เก่งสุดๆเลยนี่..
เขาขึ้นเสียงใส่ทั้งยังชะโงกหน้าเข้ามาหาฉัน ผมมันยาวปรกหน้าของเขา แขนทั้งสองกั้นกับที่รองแขนของเก้าอี้ไม่ให้ฉันหลบไปไหน และฉันก็หลบไม่ได้ไง หลังนี่จะติดกับเก้าอี้และแทบจะมุดหัวหนีเหมือนเต่าเข้ากระดองอยู่แล้ว!
ขอร้องละ ฉันยังอยากมีชีวิตต่อไปนะ! ฉันคร่ำครวญในใจเสียยกใหญ่ จังหวะการเต้นของหัวใจแทบตกวูบในคราที่เขาขยับตัวออกไปจากฉันและทุกการเคลื่อนไหวของเขาที่ฉันไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป ก่อนจะรู้ตัวในวินาทีต่อมาว่าที่เขาจ้องมาที่ฉันเพราะกำลังอ่านใจฉันอยู่
สเนปจ้องมองฉันชั่วครู่ในระยะเผาขนราวกับคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะค่อยๆถอยออกไปจากฉันช้าๆและยังคงเงียบปากหน้าเข้มอยู่อย่างนั้น
ส่วนฉันก็อ้ำอึ้งจดจ้องอยู่ที่เขา ไม่กล้าพูดอะไรออกไปเลย และอาจไม่จำเป็นต้องพูดหรอกเพราะเขาเก่งเรื่องอ่านใจอยู่แล้วนี่ อย่างเช่นตอนนี้
อย่างนี้นินทาอะไรก็รู้หมดเปลือกเลยสิ
สเนปขบกรามและมองฉันราวจะเชือดเฉือนเนื้อ ฉันกะพริบตาปริบๆยิ้มให้แห้งๆ เขารู้ว่าฉันกำลังต่อว่าเขาในใจอยู่
ได้เปรียบเป็นบ้าเลย
แล้วฉันก็ต้องอยู่ไม่สุขอีกครั้ง เมื่อเขาหันไม้ที่ฉัน และเพราะอะไรไม่รู้แต่ฉันรู้สึกว่ามันจะไม่ได้เป็นแค่การชี้ไม้เพื่อข่มขู่เหมือนก่อนหน้านี้...
"ออบลิวิอาเต้!"
"เดี๋ยว!!! "
ฉันใช้แขนป้องตัวเองไว้ แล้วคดตัวหนีแสงนั่น เขาไม่ได้ฟังเสียงร้องขอฉันด้วยซ้ำ! แสงสว่างวาบพุ่งตรงมาที่ฉันแต่ไม่ได้ถูกถึงตัวอย่างที่กลัวไว้ จนกระทั่งมันค่อยๆหายไป
ฉันจึงลืมตาขึ้นมามองและได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของคนร่ายคาถา ก่อนที่สเนปจะปรับสีหน้าเป็นหงุดหงิดดั่งเดิม
ซึ่งต่างกับฉัน
โอ้พระเจ้า! ฉันยังมีชีวิต!!
ฉันยกยิ้มดีใจพลางมองมือตัวเอง
มันเหมือนมีเกราะอะไรมาป้องกันให้ฉันเลย!!? ถึงจะยังรู้สึกเย็นบนมือนิดหน่อยก็เถอะ
มันก็คือเวทย์มนต์เหมือนกันหรอ?
แต่การมีอยู่ของคนข้างหน้าเรียกฉันหยุดอาการดีใจที่ได้เห็นเวทย์มนต์ของตัวเองครั้งแรก แล้วจ้องมองคนในชุดคลุมดำที่ไม่ต่างกับเมื่อคืนอย่างไม่วางตา
แค่ฉันบอกก็จะยอมปล่อยไปสินะ ถ้าอ่านใจอยู่ตอนนี้ก็รู้ไว้นะ ว่าฉันพูดเป็นคำพูด.. จริงๆนะ!
"หนะ- หนูจะไม่บอกใครหรอก และเรื่องนั้น..เอ่อ หนูก็รู้เอง"
เขาขมวดคิ้วกับคำตอบที่ไม่ชัดเจนของฉัน และก่อนที่เขาจะได้อ้าปากเค้นถามความจริงต่อมา ฉันก็คว้าตะกร้าแล้วก็วิ่งออกไปจากบ้านของเขาเลย
ใครจะอยู่ก็อยู่ เมอร์ซี่ไม่อยู่แล้วคนนึง!!
ทันทีที่ฉันเข้ามาในบ้าน ถึงได้รู้นี่แหละว่าบ้านฉันกับเขามันไม่ไกลกันเลย ใกล้กว่าบ้านคุณยายบาร์เน็ตต์อีก!
อะไรละเนี่ย!?
เรียกว่าเป็นเพื่อนบ้านกันเลยก็ได้ แต่ใครจะอยากเป็นเพื่อนกับคนแบบนั้นเล่า! ถึงฉันจะรู้เกี่ยวกับเขาหมดเปลือกก็เถอะ
แต่ตอนนี้เขายังคงเป็นผู้เสพความตายอยู่ ซึ่งมันหมายความว่าเขาสามารถฆ่าเด็กที่ไม่มีใครต้องการแบบฉันได้..
แต่ฉันยังต้องการอยู่.. ฉันยังไม่อยากตายนี่
พอมองผ่านหน้าต่างด้านข้างก็เห็นบ้านเขา เราถูกกั้นโดยสนามหญ้าและรั้วไม้ที่เก่ากึ๊ก ฉันดึงม่านปิดไปซะเลยจะได้ไม่เห็นเขา แล้วก็แลบลิ้นใส่ราวกับเด็กประชดประชัน
ถ้าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับตัวจริงของเจ้าของร่างนี้ ฉันก็ไม่รู้ด้วยหรอกนะว่าเธอจะเอาตัวรอดได้ไหม แต่ตราบใดที่ฉันยังอยู่ในร่างนี้ฉันก็จะปกป้องให้จนกว่าเราจะสลับร่างคืนกัน
ซึ่ง.. มันจะมีวันนั้นหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้เลย ยังไงซะเวทมนตร์ที่ฉันได้มาป้องกันคาถาจากสเนปเมื่อกี้ก็ไม่ใช่ของฉันด้วยซ้ำ
มันเป็นเมอร์ซี่เจ้าของร่างนี้ และเธอเป็นแม่มด ไม่ใช่..ฉัน..
เฮ้อ พอมาคิดสรุปให้ตัวเองก็แอบน้อยใจแฮะ ทำไมโลกที่ฉันเคยอยู่ไม่มีเวทมนตร์บ้างวะ เอาแบบไม่ต้องมีจอมมารด้วยยิ่งดีเลย
ฉันระแวดระวังดันประตูบ้านด้วยเก้าอี้ และปิดหน้าต่างทุกบานจนภายในบ้านมืดสลัว แต่เพราะยังเป็นตอนกลางวัน จึงยังมีแสงลอดผ่านเข้ามาตามรูแตกรอยแยกผุพังตามบ้านได้อยู่ เขาจะไม่ตามมาฆ่าฉันยันบ้านหรอกใช่ไหม? แต่เขาก็เป็นพ่อมดนี่ เขาไม่จำเป็นต้องเปิดประตูบ้านเข้ามาด้วยซ้ำ!
บางทีการมีเวทมนตร์ก็น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย
เวลาผ่านไปหลายนาทีก็ไม่มีท่าทีของการบุกรุก ฉันแอบแง้มผ้าม่านมองบ้านหลังข้างๆที่รูปร่างไม่ต่างจากฉันนัก หน้าต่างไม่มีม่านปิดเหมือนกับฉันถูกเปิดแล้ว แต่ก็ไม่เห็นเงาหรือสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้นเลย มันเหมือนกับบ้านที่ไม่มีใครอยู่เสียมากกว่า แถมยังเป็นบ้านที่อยู่สุดตรอกช่างปั่นฝ้ายนี่ด้วย
เขาไปแล้วหรอ? หรือไม่ ก็คงใช้คาถาอะไรบังตาแน่ๆ
อย่างน้อยสเนปเขาก็ไม่มาตามฆ่าฉันยันบ้านละนะ จะถือว่าใจดีอยู่นิดนึงละกัน
นิดนึงจริงๆนะ! เท่าหัวนิ้วก้อยอะ
ฉันพอใจชื่นมาบ้างที่ไม่เห็นเขาแล้ว จึงกลับมาจัดแจงอาหารในตะกร้าใบใหญ่บนโต๊ะไม้ในครัว หยิบหนังสือ'ที่มาของคำสาป'ที่ยืมมาจากคุณยายก่อนจากกันออกมาจากตระกร้า พอมองดูเวลากับนาฬิกาหลังใหญ่ที่ตั้งในห้องนั่งเล่นตอนนี้ก็เที่ยงพอดี
ฉันยืนจดจ้องกับนาฬิกาอย่างครุ่นคิดด้านหน้าของโต๊ะสักพัก ในใจกำลังคิดถึงคุณยายใบหน้าเหี่ยวย่นแต่แสนดีที่ตอนนี้คงกำลังทำธุระที่ไหนสักแห่งอยู่ ถึงในตอนนี้เธอจะเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันคุย ขอความช่วยเหลือหรือขอคำแนะนำได้
แต่มันคงอันตรายแน่ๆ ถ้าเขารู้เรื่องว่าเพื่อนบ้านฉันเป็นผู้เสพความตาย
และที่อันตรายกว่าคือการที่สเนปรู้ว่าฉันนำเรื่องนี้ไปบอกเธอ! ฉันรู้ว่าสเนปไม่ใช่คนโง่ และไม่ว่าจะด้วยคาถาหรือคำสาปอะไรก็ตามเขาอาจจะรู้ได้ว่าฉันจะเอาเรื่องที่เขาเป็นผู้เสพความตายไปบอกใคร
เพราะฉันดันยืนยันพูดออกไปว่าจะไม่บอกใครไปซะแล้ว ฉันนี่ปากพล่อยจริงๆเลย! เขาจะต้องฆ่าฉันแน่ๆ ถ้าฉันไปบอกคุณยายบาร์เน็ตต์ว่ามีผู้เสพความตายอยู่ในตรอกเรา
เหอะ เขาทำให้ฉันต้องเก็บอีกความลับนอกจากเรื่องโลกเวทย์มนต์จนได้
แต่ก็ใช่ว่าฉันจะอยากบอกนี่ มันคงจะปลอดภัยต่อคุณยายกว่า ถ้าฉันจะไม่บอกเธอไปมากกว่าเรื่องที่ฉันหลงมาจากโลกอื่น และเรื่องนี้แหละที่มีแค่คุณยายบาร์เน็ตต์คนเดียวที่รู้
แม้ฉันจะไม่ได้เล่าให้เธอฟังว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะโลกนี้..มันเป็นแค่นวนิยาย.. และฉันก็รู้เรื่องอนาคตของเรื่องนี้ราวกับนักพยากรณ์เลยทีเดียว
แต่บางเหตุการณ์ฉันก็ลืมมันไปแล้วอานะ ฉันไม่รู้นี่ว่ามันจะเกิดขึ้นตอนไหน ถ้ามีอะไรมากระตุ้นหน่อยก็คงจำได้มั้ง
ถ้าเนื้อเรื่องมัน..
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ
----------------------------------------
??????’?
BP: ถึงจะบอกว่าเป็นความลับ แต่นิยาม ความลับไม่มีในโลก ก็ยังคงใช้ได้แม้แต่กับโลกเวทย์มนต์นะคะ~
ยัยเมอร์ซี่พอจะยอมรับโลกใหม่นี่ได้แล้ว(พอมาอ่านเองอีกที ยัยเมอร์ซี่ก็จิตหลุดง่ายเหมือนกันนะเนี่ย) เหลือแค่คิดว่าถ้ารู้ขนาดนี้จะทำอย่างไรต่อไปนี่ละค่ะ
รออ่านคอมเม้นท์ทุกตอนเลยนะคะ
เจอกันตอนหน้านะคะ จุ๊บๆ??’•????
#เพื่อนบ้านของฉันดุนะ
(28/6/20)✍️
ความคิดเห็น