ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ~ชีวิตของแจน~
    ฉันชื่อ “แจน” เด็กหญิงใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโต ปากนิด จมูกหน่อย สูง 160 ซ.ม. อยู่ในชุดนักเรียนหญิงม.ปลาย
ฉันเกิดมาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร?? ทุกครั้งที่ฉันโดนใครต่อใครดุหรือด่า คำถามที่ถามว่า “เกิดมาทำไมนะ
เกิดมาเพื่อให้คนอื่นมีความสุขหรือทุกข์หนักกว่าเดิม” มักจะปรากฏอยู่ในหัวสมองของฉันเสมอ ทั้งๆที่ฉันไม่อยากคิดมันกลับปรากฏขึ้นมา
เหมือนจะตอกย้ำให้ฉันยิ่งรู้สึกแย่ลงกว่าเก่าอีก เฮ้อ! ฉันนั่งถอนหายใจแล้วคิดถึงเรื่องนี้ในระหว่างทางขึ้นรถเมล์ที่จะกลับบ้าน
“ถึงป้ายแล้วครับ ลงกรุณากดกริ่งด้วย” กระเป๋ารถเมล์ตะโกนเพื่อให้ผู้โดยสารที่จะลงกดกริ่ง ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางประตูรถเพื่อที่จะลง
ป้ายรถเมล์ข้างหน้า
“เชิญครับ ให้ลงก่อนแล้วค่อยขึ้นมานะครับ” กระเป๋ารถเมล์พูดเพื่อให้คนที่จะขึ้นรถหยุดชะงักให้คนที่จะลงลงไปก่อน ฉันค่อยๆก้าวลงจากรถ
เมล์ ฉันลงป้ายรถเมล์ก่อนถึงบ้านของฉันป้ายนึงเพื่อที่จะมีเวลาให้ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนถึงบ้าน ฉันเดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย ตอน
นี้ในสมองมันกำลังคิดอยู่ว่าเมื่อเปิดประตูเข้าบ้านภาพที่ฉันจะได้เจอเป็นอย่างไร ยิ่งคิดก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ไม่นานฉันก็หยุดอยู่ตรงหน้าประตู
บ้านของฉัน ฉันยังไม่อยากเข้าไปในบ้าน ฉันจึงนั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้านปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆอย่างไร้ค่าไร้ความหมาย
เฮ้อ! “เบื่อ!ทำไมมันถึงบ้านเร็วนักนะ”ฉันบ่นกับตัวเอง ขณะที่หลับตาเริ่มรู้สึกว่าน้ำตาไหล โดยที่ฉันไม่รู้สาเหตุ ในใจฉันได้แต่คิดว่าอาจเป็น
เพราะฉันเหนื่อยและท้อกับชีวิตแล้ว ระหว่างที่ฉันนั่งคิดอยู่เพียงลำพังเสียงของคนในบ้านก็ดังขึ้น
“นังแจนมันไปไหนของมัน ทำไมมันยังไม่กลับบ้านอีก มันคิดจะกลับบ้านไหมเนี่ย ฉันหล่ะกลุ้มใจกับมันจริงๆ” เสียงของแม่ดังขึ้นแต่แฝงด้วย
ความเหนื่อยหน่าย
ฉันมองดูนาฬิกาข้อมือสีชมพูที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิดชิ้นสุดท้ายที่จำความได้ มันบอกเวลา 2 ทุ่ม 30 นาที ฉันเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ด
น้ำตาแล้วเดินเข้าไปในบ้าน
“กลับมาแล้วแม่” ฉันพูดเพื่อให้แม่หยุดบ่น
“ทำไมไม่กลับมันพรุ่งนี้เลย..” แม่ตะคอกแต่ไม่ทันขาดคำเสียงประตูห้องนอนของฉันก็ปิดลงดัง !!..ปั้ง..!!
‘อีกแล้วเป็นอย่างนี้อีกแล้ว ทำไมแม่ไม่รู้จักถามเหตุผลที่ฉันกลับบ้านดึกบ้าง เคยเป็นห่วงฉันบ้างไหม เคยถามไหมว่าเหนื่อยไหม ให้พ่อไปรับ
กลับบ้านก็ได้เพราะพ่อก็ไม่ได้ทำอะไร อยู่บ้านเฉยๆ ไม่เคย! ไม่เลยซักครั้งที่แม่หรือพ่อจะพูด ใช่สิ!ฉันมันเก่ง ฉันมันทำอะไรเป็นแล้ว ฉันมัน
ทำอะไรได้ทุกอย่าง ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน มีเงินให้ฉันก็อยู่ได้แล้ว พ่อกับแม่ คงจะคิดอยู่แค่นี้ แต่สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่เงินเลยซักนิด’ ฉันคิดไป
ต่างๆนาๆพอมันเริ่มฟุ้งซ่านมากๆ มันก็คิดที่จะไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว หลายครั้งที่คิดอยากจะฆ่าตัวตาย โดยใช้วิธีอะไรก็ได้ให้ตายอย่าง
ไม่ทรมานมาก พอคิดถึงพ่อกับแม่และน้องอีกคน มันก็ไม่อยากตาย อยากใช้ชีวิตต่อไปเพื่อให้ครอบครัวมีความสุข เมื่อคิดอะไรไปเรื่อย
เปื่อยซักพัก ฉันก็ถอดชุดนักเรียนม.ปลายโยนลงในตระกร้า จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ไปอาบน้ำให้จิตใจสงบ ให้อารมณ์เย็น ฉันใช้เวลา
อยู่ในห้องน้ำประมาณ 1 ชั่วโมงเต็มๆ 1ชั่วโมงในห้องน้ำคือนั่งเปิดฝักบัวให้น้ำกระทบกับผิวของฉัน หรือไม่ก็เปิดฝักบัวให้น้ำกระทบกับพื้นแล้ว
นั่งมองน้ำไหล มันทำจิตใจสงบไปได้มาก พอออกมาจากห้องน้ำ ก็แต่งตัวชุดที่ใส่คือเสื้อยืด กางเกงขาสั้น เหมือนแต่งตัวอยู่บ้าน ฉันไม่ชอบ
ใส่ชุดนอน ยิ่งเป็นกระโปรงยิ่งเข้าไปใหญ่เลย
“กี่โมงแล้วเนี่ย” มีคำถามตั้งขึ้นมาให้หัวสมองอีกแล้ว ฉันจึงเหลือบดูนาฬิกาบนโต๊ะคอม 4 ทุ่มแล้ว ฉันยังไม่ง่วงนอนเลยหยิบโทรศัพท์บ้านมา
โทรหาเพื่อนสนิทของฉัน มันไม่ได้อยู่ไหนไกลเลย มันอยู่ข้างๆบ้านของฉันเอง มันชื่อ “เอ้” เวลาฉันมีเรื่องทุกข์ใจอะไร ฉันก็จะชอบโทรไป
ปรึกษาเอ้ มันช่วยฉันได้ทุกๆเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเงิน หลายเรื่องมากๆ มันดียิ่งกว่าแม่ฉันอีกก็อาจจะว่าได้ และวันนี้ฉันก็
โทรไปหามัน
“ฮัลโหล ขอสายเอ้ค่ะ” ฉันกรอกเสียงหวานๆแต่แฝงความไม่สบายใจลงไปในโทรศัพท์
“จ๊ะ พูดอยู่จ๊ะ แจนหรอ” เสียงของเอ้ก็หวานไม่แพ้กับฉันเลย
“เอ้ ว่างคุยกับแจนไหม” ฉันพยายามคุยให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด เพราะ ฉันไม่อยากให้เอ้รู้ว่าฉันมีเรื่องไม่สบายใจ
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือแจน เอ้รู้นะว่าแจนไม่สบายใจ”
“ป่าวหนิ ไม่มีอะไรซักหน่อย ฉันโทรมาคุยด้วยไม่ได้หรอไง ทำไมต้องมีเรื่องไม่สบายใจด้วย”
“อย่าโกหกเอ้เลย ฟังเสียงแจน เอ้ก็รู้แล้ว บอกเอ้ได้ไหม”
ขนาดฉันทำเสียงให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดแล้วนะ ทำไมยังฟังเสียงฉันออกอีกนะ ยัยเอ้นี่เก่งจริงๆ สงสัยเป็นเพราะว่ามันคุยกับฉันบ่อยมากๆ
“อืม..ไม่มีอะไรหรอกเอ้ ฉันขอแค่คุยกับเอ้ ฉันก็สบายใจแล้ว”
ฉันคุยกับเอ้อย่างสนุกสนาน ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวไปแทบจะหมด ฉันคุยกับเอ้โดยที่ไม่คิดจะวางเลย ฉันไม่วางก่อน เอ้ก็จะไม่
วาง ฉันคุยกับเอ้ไปถึงจนเวลาเที่ยงคืน 2 ชั่วโมงที่เราคุยกัน มันเหมือนแค่แป๊ปเดียวเอง ฉันเห็นว่ามันดึกแล้วฉันจึงวางโทรศัพท์
“เอ้ เที่ยงคืนแล้ว แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ พรุ่งนี้เจอกันนะ จะไปปลุก อิอิ ^^”
“จ้าๆ จะแต่งตัวลงไปรอหน้าบ้านนะ ถ้าช้าจะไปหาที่บ้านเลย อิอิ ^^”
“จ้าๆ ฝันดีนะจ๊ะ”
“ฝันดีจ้า”
ฉันวางโทรศัพท์จากเอ้ ร่างกายเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อล้มตัวนอนลงบนเตียง แต่ยังไม่ทันจะได้หลับตา เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น
~ฉันเพียงแค่เจ็บจนทนไม่ไหวหัวใจฉันถูกคนทำร้าย เจ็บช้ำจะเป็นจะตายไม่เคยบอกใครทั้งนั้น~
“ใครมันโทรมาตอนนี้ ตอนคุยกับเอ้ทำไมไม่คิดโทรมา พอจะนอนนี่โทรกันให้วุ่นเลย” หลังจากพูดเสร็จ ฉันก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือ
บนโต๊ะข้างๆแล้วกดปุ่มรับโดยที่ไม่ได้ดูชื่อของคนที่โทรมากวน
“ฮัลโหล!!!!! ต้องการพูดกับใครคร้าาา??” ฉันรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่พอใจสุดขีด เพราะมันคนที่โทรมาทำให้ฉันไม่ได้
นอน..>.
“ฮัลโหล!! หลับหรือยังครับ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งพูดกลับมาด้วยเสียงที่เป็นมิตร
“ใคร?? โทรมาทำไมป่านนี้” ฉันพูดกลับด้วยน้ำเสียงง่วงนอน
“เราเอง เต้ย จำได้ไหม”
“ใคร?? เต้ยไหน”
“เราเคยอยู่ ม.ต้นด้วยกันไง จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” เสียงของเขาจากที่เสียงดังเป็นมิตรกลับค่อยๆเบาลงอย่างสิ้นหวังอะไรซักอย่าง
“อ๋อ! เต้ย เราจำได้แล้ว ทำไมหรอมีอะไรหรือป่าว โทรมาดึกๆดื่นๆ”
“ป่าวหรอก เราแค่จะโทรมาคุยด้วย นอนหรือยังหล่ะ”
“เรานอนแล้วหล่ะ เดี๋ยววันหลังค่อยโทรมาใหม่นะ เราง่วงแล้ว”
“อืมๆ แต่..เดี๋ยว แจนเล่น msn หรือป่าว??”
“เล่นสิ แต่ไม่ได้ออนบ่อยนะ”
“เราขอเมล์ได้ไหม”
“ได้สิๆ จดนะ”
“อืมๆ แป๊ปนะ” เต้ยเงียบไปแป๊ปนึง เพราะเขาไปหากระดาษกับปากกาอยู่
“อืมๆมาแล้ว บอกเลย”
“Playgirl_Jan@coolmail.com”
“ครับ งั้นเราไม่กวนแจนแล้วนะ แค่นี้นะ ฝันดีครับ”
จากนั้นเต้ยก็วางโทรศัพท์ไป ฉันหลับตาลงเพื่อที่จะได้หลับ แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะฉันดันตาสว่าง เพราะเต้ยทำให้ฉันต้องนอนดึก แต่
ฉันจะมัวคิดมากไม่ได้ พรุ่งนี้นัดเอ้ไปโรงเรียนต้องรีบนอน ฉันพยายามข่มตานอนอีกครั้ง ไม่นานนักฉันก็เผลอหลับไป
<<เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามชมนะค่ะ>>
++ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านมากค่ะ++
ฉันเกิดมาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร?? ทุกครั้งที่ฉันโดนใครต่อใครดุหรือด่า คำถามที่ถามว่า “เกิดมาทำไมนะ
เกิดมาเพื่อให้คนอื่นมีความสุขหรือทุกข์หนักกว่าเดิม” มักจะปรากฏอยู่ในหัวสมองของฉันเสมอ ทั้งๆที่ฉันไม่อยากคิดมันกลับปรากฏขึ้นมา
เหมือนจะตอกย้ำให้ฉันยิ่งรู้สึกแย่ลงกว่าเก่าอีก เฮ้อ! ฉันนั่งถอนหายใจแล้วคิดถึงเรื่องนี้ในระหว่างทางขึ้นรถเมล์ที่จะกลับบ้าน
“ถึงป้ายแล้วครับ ลงกรุณากดกริ่งด้วย” กระเป๋ารถเมล์ตะโกนเพื่อให้ผู้โดยสารที่จะลงกดกริ่ง ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางประตูรถเพื่อที่จะลง
ป้ายรถเมล์ข้างหน้า
“เชิญครับ ให้ลงก่อนแล้วค่อยขึ้นมานะครับ” กระเป๋ารถเมล์พูดเพื่อให้คนที่จะขึ้นรถหยุดชะงักให้คนที่จะลงลงไปก่อน ฉันค่อยๆก้าวลงจากรถ
เมล์ ฉันลงป้ายรถเมล์ก่อนถึงบ้านของฉันป้ายนึงเพื่อที่จะมีเวลาให้ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนถึงบ้าน ฉันเดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย ตอน
นี้ในสมองมันกำลังคิดอยู่ว่าเมื่อเปิดประตูเข้าบ้านภาพที่ฉันจะได้เจอเป็นอย่างไร ยิ่งคิดก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ไม่นานฉันก็หยุดอยู่ตรงหน้าประตู
บ้านของฉัน ฉันยังไม่อยากเข้าไปในบ้าน ฉันจึงนั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้านปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆอย่างไร้ค่าไร้ความหมาย
เฮ้อ! “เบื่อ!ทำไมมันถึงบ้านเร็วนักนะ”ฉันบ่นกับตัวเอง ขณะที่หลับตาเริ่มรู้สึกว่าน้ำตาไหล โดยที่ฉันไม่รู้สาเหตุ ในใจฉันได้แต่คิดว่าอาจเป็น
เพราะฉันเหนื่อยและท้อกับชีวิตแล้ว ระหว่างที่ฉันนั่งคิดอยู่เพียงลำพังเสียงของคนในบ้านก็ดังขึ้น
“นังแจนมันไปไหนของมัน ทำไมมันยังไม่กลับบ้านอีก มันคิดจะกลับบ้านไหมเนี่ย ฉันหล่ะกลุ้มใจกับมันจริงๆ” เสียงของแม่ดังขึ้นแต่แฝงด้วย
ความเหนื่อยหน่าย
ฉันมองดูนาฬิกาข้อมือสีชมพูที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิดชิ้นสุดท้ายที่จำความได้ มันบอกเวลา 2 ทุ่ม 30 นาที ฉันเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ด
น้ำตาแล้วเดินเข้าไปในบ้าน
“กลับมาแล้วแม่” ฉันพูดเพื่อให้แม่หยุดบ่น
“ทำไมไม่กลับมันพรุ่งนี้เลย..” แม่ตะคอกแต่ไม่ทันขาดคำเสียงประตูห้องนอนของฉันก็ปิดลงดัง !!..ปั้ง..!!
‘อีกแล้วเป็นอย่างนี้อีกแล้ว ทำไมแม่ไม่รู้จักถามเหตุผลที่ฉันกลับบ้านดึกบ้าง เคยเป็นห่วงฉันบ้างไหม เคยถามไหมว่าเหนื่อยไหม ให้พ่อไปรับ
กลับบ้านก็ได้เพราะพ่อก็ไม่ได้ทำอะไร อยู่บ้านเฉยๆ ไม่เคย! ไม่เลยซักครั้งที่แม่หรือพ่อจะพูด ใช่สิ!ฉันมันเก่ง ฉันมันทำอะไรเป็นแล้ว ฉันมัน
ทำอะไรได้ทุกอย่าง ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน มีเงินให้ฉันก็อยู่ได้แล้ว พ่อกับแม่ คงจะคิดอยู่แค่นี้ แต่สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่เงินเลยซักนิด’ ฉันคิดไป
ต่างๆนาๆพอมันเริ่มฟุ้งซ่านมากๆ มันก็คิดที่จะไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว หลายครั้งที่คิดอยากจะฆ่าตัวตาย โดยใช้วิธีอะไรก็ได้ให้ตายอย่าง
ไม่ทรมานมาก พอคิดถึงพ่อกับแม่และน้องอีกคน มันก็ไม่อยากตาย อยากใช้ชีวิตต่อไปเพื่อให้ครอบครัวมีความสุข เมื่อคิดอะไรไปเรื่อย
เปื่อยซักพัก ฉันก็ถอดชุดนักเรียนม.ปลายโยนลงในตระกร้า จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ไปอาบน้ำให้จิตใจสงบ ให้อารมณ์เย็น ฉันใช้เวลา
อยู่ในห้องน้ำประมาณ 1 ชั่วโมงเต็มๆ 1ชั่วโมงในห้องน้ำคือนั่งเปิดฝักบัวให้น้ำกระทบกับผิวของฉัน หรือไม่ก็เปิดฝักบัวให้น้ำกระทบกับพื้นแล้ว
นั่งมองน้ำไหล มันทำจิตใจสงบไปได้มาก พอออกมาจากห้องน้ำ ก็แต่งตัวชุดที่ใส่คือเสื้อยืด กางเกงขาสั้น เหมือนแต่งตัวอยู่บ้าน ฉันไม่ชอบ
ใส่ชุดนอน ยิ่งเป็นกระโปรงยิ่งเข้าไปใหญ่เลย
“กี่โมงแล้วเนี่ย” มีคำถามตั้งขึ้นมาให้หัวสมองอีกแล้ว ฉันจึงเหลือบดูนาฬิกาบนโต๊ะคอม 4 ทุ่มแล้ว ฉันยังไม่ง่วงนอนเลยหยิบโทรศัพท์บ้านมา
โทรหาเพื่อนสนิทของฉัน มันไม่ได้อยู่ไหนไกลเลย มันอยู่ข้างๆบ้านของฉันเอง มันชื่อ “เอ้” เวลาฉันมีเรื่องทุกข์ใจอะไร ฉันก็จะชอบโทรไป
ปรึกษาเอ้ มันช่วยฉันได้ทุกๆเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเงิน หลายเรื่องมากๆ มันดียิ่งกว่าแม่ฉันอีกก็อาจจะว่าได้ และวันนี้ฉันก็
โทรไปหามัน
“ฮัลโหล ขอสายเอ้ค่ะ” ฉันกรอกเสียงหวานๆแต่แฝงความไม่สบายใจลงไปในโทรศัพท์
“จ๊ะ พูดอยู่จ๊ะ แจนหรอ” เสียงของเอ้ก็หวานไม่แพ้กับฉันเลย
“เอ้ ว่างคุยกับแจนไหม” ฉันพยายามคุยให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด เพราะ ฉันไม่อยากให้เอ้รู้ว่าฉันมีเรื่องไม่สบายใจ
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือแจน เอ้รู้นะว่าแจนไม่สบายใจ”
“ป่าวหนิ ไม่มีอะไรซักหน่อย ฉันโทรมาคุยด้วยไม่ได้หรอไง ทำไมต้องมีเรื่องไม่สบายใจด้วย”
“อย่าโกหกเอ้เลย ฟังเสียงแจน เอ้ก็รู้แล้ว บอกเอ้ได้ไหม”
ขนาดฉันทำเสียงให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดแล้วนะ ทำไมยังฟังเสียงฉันออกอีกนะ ยัยเอ้นี่เก่งจริงๆ สงสัยเป็นเพราะว่ามันคุยกับฉันบ่อยมากๆ
“อืม..ไม่มีอะไรหรอกเอ้ ฉันขอแค่คุยกับเอ้ ฉันก็สบายใจแล้ว”
ฉันคุยกับเอ้อย่างสนุกสนาน ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวไปแทบจะหมด ฉันคุยกับเอ้โดยที่ไม่คิดจะวางเลย ฉันไม่วางก่อน เอ้ก็จะไม่
วาง ฉันคุยกับเอ้ไปถึงจนเวลาเที่ยงคืน 2 ชั่วโมงที่เราคุยกัน มันเหมือนแค่แป๊ปเดียวเอง ฉันเห็นว่ามันดึกแล้วฉันจึงวางโทรศัพท์
“เอ้ เที่ยงคืนแล้ว แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ พรุ่งนี้เจอกันนะ จะไปปลุก อิอิ ^^”
“จ้าๆ จะแต่งตัวลงไปรอหน้าบ้านนะ ถ้าช้าจะไปหาที่บ้านเลย อิอิ ^^”
“จ้าๆ ฝันดีนะจ๊ะ”
“ฝันดีจ้า”
ฉันวางโทรศัพท์จากเอ้ ร่างกายเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อล้มตัวนอนลงบนเตียง แต่ยังไม่ทันจะได้หลับตา เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น
~ฉันเพียงแค่เจ็บจนทนไม่ไหวหัวใจฉันถูกคนทำร้าย เจ็บช้ำจะเป็นจะตายไม่เคยบอกใครทั้งนั้น~
“ใครมันโทรมาตอนนี้ ตอนคุยกับเอ้ทำไมไม่คิดโทรมา พอจะนอนนี่โทรกันให้วุ่นเลย” หลังจากพูดเสร็จ ฉันก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือ
บนโต๊ะข้างๆแล้วกดปุ่มรับโดยที่ไม่ได้ดูชื่อของคนที่โทรมากวน
“ฮัลโหล!!!!! ต้องการพูดกับใครคร้าาา??” ฉันรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่พอใจสุดขีด เพราะมันคนที่โทรมาทำให้ฉันไม่ได้
นอน..>.
“ฮัลโหล!! หลับหรือยังครับ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งพูดกลับมาด้วยเสียงที่เป็นมิตร
“ใคร?? โทรมาทำไมป่านนี้” ฉันพูดกลับด้วยน้ำเสียงง่วงนอน
“เราเอง เต้ย จำได้ไหม”
“ใคร?? เต้ยไหน”
“เราเคยอยู่ ม.ต้นด้วยกันไง จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” เสียงของเขาจากที่เสียงดังเป็นมิตรกลับค่อยๆเบาลงอย่างสิ้นหวังอะไรซักอย่าง
“อ๋อ! เต้ย เราจำได้แล้ว ทำไมหรอมีอะไรหรือป่าว โทรมาดึกๆดื่นๆ”
“ป่าวหรอก เราแค่จะโทรมาคุยด้วย นอนหรือยังหล่ะ”
“เรานอนแล้วหล่ะ เดี๋ยววันหลังค่อยโทรมาใหม่นะ เราง่วงแล้ว”
“อืมๆ แต่..เดี๋ยว แจนเล่น msn หรือป่าว??”
“เล่นสิ แต่ไม่ได้ออนบ่อยนะ”
“เราขอเมล์ได้ไหม”
“ได้สิๆ จดนะ”
“อืมๆ แป๊ปนะ” เต้ยเงียบไปแป๊ปนึง เพราะเขาไปหากระดาษกับปากกาอยู่
“อืมๆมาแล้ว บอกเลย”
“Playgirl_Jan@coolmail.com”
“ครับ งั้นเราไม่กวนแจนแล้วนะ แค่นี้นะ ฝันดีครับ”
จากนั้นเต้ยก็วางโทรศัพท์ไป ฉันหลับตาลงเพื่อที่จะได้หลับ แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะฉันดันตาสว่าง เพราะเต้ยทำให้ฉันต้องนอนดึก แต่
ฉันจะมัวคิดมากไม่ได้ พรุ่งนี้นัดเอ้ไปโรงเรียนต้องรีบนอน ฉันพยายามข่มตานอนอีกครั้ง ไม่นานนักฉันก็เผลอหลับไป
<<เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามชมนะค่ะ>>
++ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านมากค่ะ++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น