ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อนุตัวร้าย

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2/1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 72.2K
      2.95K
      14 ก.ค. 66


    บทที่ 2/1

                โรงเตี้ยมจิ้นทง [ซื่อสัตย์เสมอต้นเสมอปลาย] เป็นหนึ่งในโรงเตี้ยมที่เป็นที่นยมของเหล่าคุณหนูคุณชายในตระกูลใหญ่จนถึงเชื้อพระวงศ์ในแคว้นเฝิง ด้วยอาหารรสเลิศที่ได้รับการปรุง สด ใหม่ และห้องพักที่ สะอาด สะดวก สบาย ให้ความเป็นส่วนตัวทำให้บรรดาแขกต่างชมชอบ โรงเตี้ยมจิ้นทงเป็นกิจการที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของตระกูลจิ้น ซึ่งผู้ที่รับช่วงบริหารคนปัจจุบันคือ คุณชายจิ้นเหอ ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลจิ้นด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาและความเป็นสุภาพบุรุษของเขา ทำให้คุณหนูหลายตระกูลล้วนหลงไหลเคลิบเคลิ้มหมายตาฮูหยินน้อยตระกูลจิ้น

                     “นายท่านขอรับ” เสียงแหบห้าวของผู้ดูแลโรงเตี้ยมเรียกสติบุรุษชุดขาวที่กำลังหันหลังสายตาทอดมองไปยังด้านล่างของโรงเตี้ยมอยู่

                    บุรุษผู้นั้นหมุนตัวกลับมาเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาแผ่กลิ่นอายอบอุ่นน่าอยู่ใกล้ ร่างกายสมส่วนไม่ได้ใหญ่โตดังเช่นแม่ทัพนายกองแต่ก็หาได้ร่างเล็กบางเช่นคุณชายขี้โรค 

                    “ข้าต้องการรายรับรายจ่ายในเดือนนี้” เสียงทุ้มนุ่มหูดังออกจากปากหนาทำให้ผู้ดูแลโรงเตี้ยมต้องชื่นชม ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้มีเพียงความสามารถที่จะบริหารโรงเตี้ยมแต่เขายังมีความเมตตาที่มีให้บ่าวไพร่ในโรงเตี้ยม  ซึ่งเจ้านายเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง พวกเขาทุกคนจึงเคารพและยินดีรับใช้บุรุษผู้นี้อย่างไร้ข้อกังขา

                    “ขอรับ” ผู้ดูแลโรงเตี้ยมกล่าวอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกจากห้องไป

                    จิ้นเหอหมุนตัวกลับไปมองด้านล่างโรงเตี้ยมเช่นเดิม สายตาทอดมองร่างบอบบางของดุรณีชุดสีเหลืองที่กำลังเจรจาบางอย่างกับพ่อค้าร้านเครื่องประดับ เขายกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของนาง พลันนางเงยหน้าขึ้นมา ชายหนุ่มสบตากระจ่างใสคู่นั้นก็รู้สึกราวกับว่าเคยพบเห็นที่ใดมาก่อน คุ้นเคย แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยได้มองหรือสบตาเช่นนี้ที่ไหน และเมื่อไร

                    “นายท่านขอรับ นี่เป็นรายรับรายจ่ายภายในเดือนนี้ขอรับ”เสียงเรียกของผู้ดูแลโรงเตี้ยม ทำให้เขาต้องละสายตาจากดวงตาคู่นั้น

                    “อืม วางไว้ก่อน” เขาบอกแล้วโบกมือให้อีกฝ่ายออกไปจากห้อง

                    “ขอรับ”จิ้นเหอหันมองด้านล่างอีกครั้งแต่ก็พบกับความว่างเปล่าเมื่อดุรณีชุดเหลืองได้หายไปจากร้านขายเครื่องประดับนั่นเสียแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจ น้อยมากที่จะมีสตรีนางใดสบตาเขา สตรีนางนั้นเป็นคุณหนูบ้านใดกัน

                   

                    ยามอิ่ว [17.00 น. – 18.59 น.]

                    ร่างสูงของจิ้นเหอเดินออกจากโรงเตี๊ยม หญิงสาวที่อยู่บริเวณนั้นต่างเหลือบมองเขา ชายหนุ่มเดินผ่านไม่ได้ให้ความสำคัญกับสายตาของใครเป็นพิเศษ ใบหน้าของเขายังคงประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ แม้ในใจจะไม่ชอบใจสายตาจาบจ้วงเหล่านั้นก็ตามที

                    “ไม่ต้องเร็ว”ชายหนุ่มออกคำสั่งเสียงเหนื่อยอ่อนแล้วหลับตาพักสายตา

                    “ขอรับ” จงจื่อ ผู้รับหน้าที่เป็นสารถีและองครักษ์รับคำ

                    รถม้าเคลื่อนตัวออกจากโรงเตี๊ยมได้ไม่ไกลนัก รถม้าก็ต้องหยุดชะงัก แต่ไม่ได้ทำให้จิ้นเหอลืมตาขึ้นแต่อย่างใด

                    “นายท่านมีรถม้าจอดขวางทางอยู่นายท่านโปรดรอบ่าวจะลงไปดู”

                    “อืม ระวังตัวด้วย”จิ้นเหอตอบกลัมาแผ่วเบา

                    “ขอรับ”จงจื่อรับคำแล้วเดินไปที่รถม้าคันดังกล่าว

                     ไม่นานนักเสียงเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้รถม้าทำให้จิ้นเหอปรือตาขึ้น

                    “เป็นพวกโจรป่าไร้วรยุทย์คงจะบุกปล้นรถม้าคันข้างหน้า ตอนนี้ดุรณีสองนางถูกพวกมันล้อมอยู่ นายท่านจะให้บ่าวทำอย่างไร”จงจื่อรายงานเสียงเข้ม

                    “ช่วยพวกนาง”จิ้นเหอพูดเท่านั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง

                    “ขอรับ”จงจื่อรับคำพรางคิดว่าพวกนางช่างโชคดีที่มาเจอนายท่าน

                    ไม่นานนักก็เกิดเสียงต่อสู้ขึ้นไม่ถึงเค่อเสียงต่อสู้นั้นเงียบไป แต่เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดกลับดังขึ้นแทน  ฝ่ายไหนคงไม่ต้องบอก จงจื่อแม้จะเป็นเพียงบ่าวรับใช้ในจวนตระกูลจิ้นแต่ได้ฝึกวรยุทย์มาพร้อมกับจิ้นเหอ ยิ่งโจรป่าพวกนั้นไร้วรยุทย์ด้วยแล้ว

                    “นายท่านขอรับ”

                    “ว่ามา”

                    “ดุรณีสองนางนั้นเป็นคุณหนูตระกูลเหมยและสาวใช้ จะทำเช่นไรกับพวกนางขอรับ”

                    จิ้นเหอปรือตาขึ้น ตระกูลเหมยเป็นตระกูลพ่อค้าแม้เส้นสายจะไม่ได้มากมาย แต่ก็มีอำนาจทางการค้าไม่น้อย ผูกมิตรไว้คงไม่เสียหายอันใด

                     “บอกพวกนางเราจะไปส่ง”

                    “ขอรับ”

                    “เชิญคุณหนูเหมยขอรับ” จงจื่อผายมือเชิญให้คุณหนูตระกูลเหมยก้าวขึ้นรถม้า

                    “ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่านายท่านของเจ้ามิใช่พวกเดียวกับโจรป่าพวกนั้น” จิ้นเหอได้ฟังคำพูดของนางก็ชื่นชมคุณหนูตระกูลเหมยผู้นี้ นับว่านางไม่เชื่อคนง่าย

                    “คุณหนูเหมยโปรดขึ้นรถม้า” เสียงจงจื่อเริ่มแข็งกร้าว ทำให้จิ้นเหอรู้ว่าองครักษ์ของเขาเริ่มจะหมดความอดทนแล้ว 

                    “ข้าต้องการทราบชื่อนายท่านของเจ้าก่อน”น้ำเสียงดื้อรั้นไร้ความเกรงกลัวนั้นจุดรอยยิ้มของจิ้นเหอ นับว่านางใจกล้าเล่นกับขีดจำกัดขององครักษ์ของเขา

                    ก่อนที่จงจื่อจะกล่าวสิ่งใดออกไปจิ้นเหอก็ก้าวออกมาจากรถม้าด้วยหน้าตายิ้มแย้ม จงจื่อเห็นดังนั้นก็ถอยตัวออกไป จิ้นเหอกวาดตามองดุรณีชุดสีเหลืองตรงหน้า 

                            อา โลกนี้ช่างกลมยิ่งนัก

                    “อาจื่อเจ้าเสียมารยาทแล้ว ขออภัยคุณหนูเหมยแทนคนของข้าด้วย ข้าจิ้นเหอ หวังว่าคุณหนูเหมยคงรู้จักแล้วกระมัง คุณหนูเล่ามีนามว่ากระไร” จิ้นเหอยิ้มสำรวจร่างบางตรงหน้า ร่างบอบบางน่าทนุถนอน ผมดำขลับถูกรวบปักปิ่นหยกขาวไว้เพียงครึ่งหัวไรผมประปรายคลอเคลียข้างกรอบหน้าเพิ่มเสน่ห์ให้น่ามอง ปากบางเล็กสีแดงระเรื่อตัดกับผิวขาวดุจงาช้างของนาง สองแก้มนวลน่าสัมผัส จมูกสวยรับดวงหน้างาม มาจบที่ดวงตาใสที่เขาได้สบมาแล้วครั้งหนึ่ง รวมในตัวนางล้วนมีเสน่ห์ แม้นไม่งามพิลาสเท่าลู่เอินอนุของเขาแต่ก็มีเสน่ห์ชวนให้มอง

                    “ข้าน้อย เหมยอี๋คารวะคุณชายจิ้นเจ้าค่ะ” ท่าทีการเคารพไม่เต็มใจของนั้นทำให้จิ้นเหอนึกเอ็นดู

                    “รู้นามข้าแล้ว ขึ้นรถม้าได้แล้วกระมัง กว่าจะถึงจวนตระกูลเหมยข้าเกรงว่าคุณหนูเหมยจะถูกครหาเอาได้”

    จิ้นเหอเอ่ยหยอกเย้าร่างบางใบหน้ายิ้มแย้ม

                    “......” ร่างบอบบางของคุณหนูเหมยไม่ตอบแต่เดินมาหยุดตรงหน้าเขาแล้วเชิดหน้า หากเป็นสตรีนางอื่นคงไม่น่าดูแต่เป็นนางเขากลับคิดว่ามันเอ็นดู

                    ภายในรถม้ามีสองร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีนั่งนิ่งเงียบไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา

                    “ใจคอคุณหนูเหมยจะไม่เอ่ยขอบคุณข้าเลยงั้นหรือ” จิ้นเหอพูดขึ้นทำลายความเงียบ

                    “ท่านไม่ได้ช่วยข้าน้อยนี่เจ้าคะ เป็นคนของท่านข้าน้อยก็ขอบคุณเขาไปแล้ว”จิ้นเหอเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นร่างบอบบางตรงหน้ามีท่าทีไม่พอใจ

                    “หากข้าไม่สั่งมีหรือเขาจะไปช่วย”จิ้นเหอเปรย

                    “ข้าน้อยขอบคุณคุณชายจิ้นเจ้าค่ะ บุณคุณนี้ข้าจะไม่ลืม”กล่าวจบนางก็เสหน้าไปทางอื่นคล้ายจบบทสนทนา

                    “ไม่เป็นไร ข้าย่อมใจดีเฉกเช่นหน้าตาของข้า”จิ้นเหอพูดจบก็หัวเราะเบา ๆ เพราะเห็นร่างบางตรงหน้าย่นจมูกใส่เขา

                    “หรือคุณหนูเหมยว่าไม่จริงเล่า”จิ้นเหอไม่วายก่อกวนนางต่อ

                    “....” แต่ดูเหมือนนางจะไม่สนใจ

                    “จะว่าอะไรหรือไม่หากข้าจะขอสิ่งตอบแทนบุญคุณครั้งนี้” จิ้นเหอพูด

                    “นี่ท่าน....!” จิ้นเหอส่งยิ้มให้ เมื่อนางหันหน้ามาจ้องเขาเขม็ง

                    “ไม่มากหรอกข้าเพียงต้องการให้คุณหนูเหมยเลี้ยงอาหารข้าซักมื้อ”จิ้นเหอเลิกคิ้วกวน

                    “...........”เห็นนางเงียบเขาก็พูดต่อ

                    “หรือคุณหนูเหมยเป็นพวกไม่รู้จักบุญคุณคนกัน น่าเสียดาย”จิ้นเหอส่ายหน้า

                    “ย่อมได้เจ้าค่ะ”นางกระแทกเสียงใส่เขาและไม่หันมาสนใจเขาอีก

                                                    นางช่างน่าเอ็นดู.....

                    แม้จะหาเหตุผลให้กับความรู้สึกเอ็นดูนี้ไม่ได้ แต่มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกเอ็นดูสตรีนางนี้....

     

                    เก๋งกลางสวนโบตั๋น ในจวนตระกูลจิ้นรายล้อมด้วยดอกไม้ นานาพันธุ์ ต้นไม้สูงใหญ่อยู่ไม่ไกลจากเก๋งที่คอยให้ร่มเงา ช่วยให้บรรยากาศเย็นสบาย ระหว่างทางเดินมีก้อนหินสีขาววาววับตั้งเรียงรายข้างทาง หากเป็นปกติลู่เอินคงได้ชื่นชมความสวยงามของดอกไม้เหล่านี้แล้วล่ะ แต่ที่ต้องนั่งหน้าบูดบึ้งอยู่ก็เพราะอาหารที่ตั้งอยู่ตรงหน้านางนี่อย่างไรล่ะ

                    ไม่ใช่อาหารไม่น่ากิน ไม่ใช่อาหารรสชาติแย่ ที่นางรู้เพราะนางชิมแล้ว ว่ามันอร่อย แต่เพราะอาหารเหล่านี้ไม่มีคนกิน ! นางสู้อุตส่าห์ตื่นยามอิ๋น[ 03.00 น. – 04.59 น.] เพื่อไปช่วยบ่าวรับใช้ในเรือนทำอาหาร อันที่จริง นางไม่ทำอะไรหรอก แต่นางอุตส่าห์ตื่นนอนก่อนเวลาตั้ง 1 ชั่วยาม [ 2 ชั่วโมง] เชียวนะ 

                เพื่อ ยกอาหารมื้อแรกของวันไปให้พี่เหอในยามเหม่า[ 05.00 น. – 06.59 น.] แต่ไม่ทันได้ถึงเรือนจิ้นป้านของเขา ก็ถูกพ่อบ้านจงดักทางและกล่าวประโยคที่ทำนางเลือดขึ้นหน้า

                    'นายท่านออกไปทำงานแล้วขอรับ'

                     พ่อคู๊ณทูนหัวของบ่าวขยันอะไรเบอร์น้านนน นางแทบจะตะโกนใส่หน้าพ่อบ้านจงให้หายอัดอั้น 

                     'ใครเชื่อก็มีเขางอกบนหัวแล้ว !'

                     เหอะ ! นี้ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการมา นางเทียวไปหาพี่เหอหลายต่อหลายวันแล้วตั้งแต่อยู่ที่นี้ ทั้งตอนเช้าและตอนเย็นแต่ก็ไม่ได้พบ ถ้าไม่ติดว่านางเป็นหญิงไทยใจงาม ป่านนี่พ่อบ้านจงก็พ่อบ้านจงเถอะ นางเครียดหากไม่ได้พบเขาแบบนี้ไปเรื่อยๆ นางคาดว่าอนาคตของพี่เหอคงไม่เปลี่ยนไปจากเดิมแน่นอน ร่างบางถอดถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก

                     ซิ่วหลินนั่งมองนายหญิงของนางถอนหายใจแล้วนึกสงสาร นายท่านหนอเหตุใดถึงไม่ยอมให้นายหญิงของนางพบสักที นางสงสารนายหญิงยิ่งนัก 

                     “นายหญิงเจ้าคะ นายท่านมีงานมากมาย คงไม่ได้ตั้งใจหลบหน้านายหญิงหรอกเจ้าค่ะ” ลู่เอินได้ฟังคำปลอบใจของซิ่วหลินแล้วถอนหายใจอย่างระอา นางไม่ใช่เด็กนะที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรหน่ะ

                    “คำปลอบใจของเจ้ามีแต่เด็ก 3 ขวบเท่านั้นแหละที่เชื่อ ไม่ตั้งใจงั้นหรือ ข้ารู้นะว่าเขายังไม่ได้ไปทำงานทุกเช้าที่ข้าไปหาและกลับมาแล้วในทุกเย็นที่ข้าขอเข้าพบ แต่ข้ามิอยากเป็นหญิงงี่เง่าคอยตามสามีจึงไม่พังเข้าไป แต่อีกมินานหากเขายังเป็นเช่นนี้ ข้าจะสลัดคราบจากนางฟ้าแสนดีเป็นนางมารร้ายให้เขาได้เห็น !”

                             พูดแล้วยังโมโห อึ่มมมม

                     “นายหญิงหากนายท่านไม่ยอมให้เข้าพบก็ลอบเข้าไปพบได้นี่เจ้าค่ะ”ซิ่วหลินเพียงกล่าวปลอบใจให้นายหญิงคลายความเศร้าหมอง แต่อีกฝ่ายไม่เพียงคลายความเศร้าทั้งยังยิ้มออกมาด้วย

                    “นั้นสิ เจ๋งไปเลยซิ่วหลิน” ลู่เอินตบโต๊ะเสียงดัง ซิ่งหลินสะดุ้งตกใจ

                    “หา อันใดคือ เจง  เจ้าคะ” ซิ่วหลินงงงวย แม้หลายวันมานี้นายหญิงจะพูดภาษาแปลก ๆบ่อย แต่นางก็ยังไม่ชิน

                    “หมายถึงมันเป็นความคิดที่ดี”ลู่เอินป้องปากหัวเราะ ในใจคิดแผนการต่าง ๆ นา ๆ

                     “นายหญิงจะทำจริงหรือเจ้าคะ บ่าวแค่กล่าวปลอบใจ”ซิ่วหลินหน้าซีดเผือด

                     “เราไปคิดแผนล่อพ่อบ้านจงออกจากเรือนจิ้นป้านกัน”ลู่เอินไม่สนใจสีหน้าซีดราวกับไก่ต้มของซิ่วหลินนางเดินผ่านซิ่วหลินเข้าเรือนจวี๋ฮวาไป

                                      ยามซวี [ 19.00 น. – 20.59 น.]

                    ร่างบางของลู่เอินวิ่งมาหลบอยู่หลังพุ้มไม้ข้างเรือนจิ้นป้านตามมาด้วยซิ่วหลิน ลู่เอินมองหน้าเรือนจิ้นป้านที่ตอนนี้มีพ่อบ้านจงยืนเป็นยักษ์เฝ้าทาง เอิ่ม จากรูปร่างของพ่อบ้านจงก็สมควรเรียกแบบนั้นอยู่แล้ว นั้นคงจะมาดักทางนางแน่นอน

                    บอกแล้วไง นางเป็นเด็กดีไม่นินทาผู้ใหญ่ต่อหน้า

                     “จะดีหรือเจ้าคะ “ ลู่เอินจิ๊ปากหันมองซิ่วหลินที่บัดนี้มีสีหน้ากังวล มาถึงขั้นนี้แล้ว ถอยไม่ได้

                    “ดีที่สุดแล้วเนี้ย ไปทำตามแผนเร็ว” ลู่เอินกระซิบกลับเบาๆ

                    “ตะ.....แต่”

                    “ไม่มีแต่แล้ว ถ้าแผนข้าล่มเจ้าเตรียมตัวถูกขายได้เลย”ลู่เอินพูดเสียงเข้ม อึ่ม ต้องให้นางโหด

                    “เจ้าค่ะ บ่าวไปเดี่ยวนี้” ลู่เอินมองแผ่นหลังของซิ่วหลินไป นางให้ซิ่วหลินไปล่อพ่อบ้านจงออกมาจากเขตเรือนจิ้นป้านเพื่อให้นางเข้าไปในเรือนได้สะดวก ส่วนล่อด้วยวิธีใดนะหรือ.....

                                    สองชั่วยาม [ 4 ชั่วโมง] ก่อนหน้านี้

                    หลังเรือนจวี๋ฮวามีสองร่างนายสาวและบ่าวรับใช้ยืนมองหลังคาด้วยคนละอารมณ์

                    “อะ...เอา จริงหรือเจ้าคะนายหญิง” ลู่เอินฟังเสียงสั่น ๆ ของซิ่วหลินแล้วไม่ได้นำพา คิดจะทำมีอะไรต้องกลัวกัน

                                       ทำไม  บ่าวตัวน้อยของนางช่างขี้ขลาดนัก

                    “ข้าเคยพูดเล่นหรือ” ซิ่วหลินก้มมองหินก้อนใหญ่ในมือของนางและของนายหญิงแล้วกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่

                     “ตะ....แต่” ซิ่วหลินจะค้านแต่ก็ต้องอ้าปากค้าง

                                   พลั่ก !!!!!

                    นายหญิงของนางโยนหินก้อนนั้นขึ้นไปบนหลังคาเสียแล้ว   

                                   แกร๊ก !

                 ตามด้วยเสียงหินกระทบกระเบื้อง

                                     เปรี๊ย !!!

                    และเสียวกระเบื้องที่แตก

                        แกก แกก แกก   ตุบ

                    ซิ่วหลินมองหินก้อนใหญ่ที่กลิ้งหลุน ๆ ตกมาจากหลังคาลงสู้พื้นดิน

                    “เร็วสิ ซิ่วหลิน เดี่ยวมีใครมาเห็นเข้า”ลู่เอินหันไปพยักเพยิดให้สาวใช้หน้าหมวยของนางโยนหินขึ้นไปเสียที

                     “นายหญิง....” 

                       นางคงทำอันใดมิได้แล้วนอกจากหลับหูหลับตากลั้นใจโยนหินก้อนใหญ่ในมือขึ้นหลังคา

                         พ่อบ้านจง   ข้าน้อยผิดไปแล้ว

                    ลู่เอินยิ้มขบขันกับสีหน้าเหมือนกับกลืนยาขมของซิ่วหลิน ใคร ๆ ก็รู้จุดอ่อนของพ่อบ้านจง จุดอ่อนของพ่อบ้านจงคือทุกสิ่งที่อยู่ในจวนตระกูลจิ้นอย่างไรล่ะ หากรู้ว่าหลังคาเรือนของนางเป็นรูคงต้องรุดมาหาสาเหตุแน่นอน ฮ่าฮ่า

                               บอกแล้วไงนางเป็นเด็กดี 




    ดาวหัน ติดตามข่าวและพูดคุยกันได้ที่เพจค่ะ จิ้มๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×