คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1/1
บทที่ 1/1
ดาบซึ่งแทงเข้ามาทางด้านหลังส่งผลให้ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก เขามองร่างบอบบางตรงหน้าแล้วเผยรอยยิ้มแสนเศร้า“ข้ารักเจ้า”เสียงแผ่วเบาหลุดเลื่อนออกจากริมฝีปากหนา ชายหนุ่มหลุบตามองปลายดาบชุ่มเลือดที่ทะลุท้องของตนเองออกมา ร่างหนาทรุดลงกับพื้นเข่าทั้งสองข้างกระแทกพื้นอย่างจัง ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลง
จิ้นเหอหันมองร่างบางตรงหน้า เลื่อนสายตาไปยังดวงหน้างามช้า ๆ ดวงหน้านี้ที่ทำให้เขาหลงไหล ริมฝีปากจิ้มลิ้มช่างพูดแสนน่าเอ็นดูของนาง ต่อจากนี้เขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว
ร่างหนาล้มลงนอนบนพื้นพร้อมกับดวงตาทั้งคู่ค่อย ๆ ปิดลงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าลมหายใจของเขาถูกพรากไปแล้ว
พรึบ
หนังสือเล่มหนึ่งปิดลงตามแรงอารมณ์ของผู้อ่าน น้ำข้าวมองหนังสือนิยายเล่มนั้นด้วยความผิดหวัง นิยายเล่มนี้เป็นเล่มแรกและเรื่องเดียวที่เธอยอมควักเงินเก็บเพื่อซื้อมันมา เพราะความชื่นชอบตัวร้ายของเรื่องอย่างจิ้นเหอ
เด็กสาวเลื่อนตัวนอนลงบนพื้น “ทำไมต้องตายด้วย” เธอพึมพำเบา ๆ น้ำตาแห่งความผิดหวังคลออยู่เต็มหน่วยตา จิ้นเหอ...เขาตายแล้ว
“ฮึก ฮือ”น้ำข้าวปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ความเศร้า เสียใจ และผิดหวัง เธอรับรู้ได้เป็นอย่างดี
หญิงสาวจำได้ว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธออ่านนิยายเรื่องนี้มาจากรีวิวจากนักอ่านนิยายท่านหนึ่งในกระทู้ซึ่งน้ำข้าวแค่เปิดอ่านไปเท่านั้นไม่ได้คิดจะสนใจจริง ๆ แต่เมื่ออ่านแล้วก็พบว่ามีตัวละครหนึ่งที่น่าสนใจในความคิดของเธอ หากเป็นทั่วไปคนส่วนใหญ่จะชื่นชอบพระเอกหรือนางเอกแต่น้ำข้าวกลับคิดแตกต่างออกไป
จิ้นเหอเป็นผู้ชายที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อได้สิ่งที่ต้องการเหมือนตัวร้ายในนิยายทุกเรื่องนั้นแหละ แต่เพราะเขารักและคอยดูแลนางเอกเพียงคนเดียวมันจึงเป็นจุดที่ทำให้เธอชอบ ความช่างตื้อ ความหน้ามึน ของตัวละครนี้ แต่สุดท้ายตัวร้ายก็ยังคงเป็นตัวร้าย บทของเขาหมดแล้ว นิยายเล่มนี้จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเธอซื้อมันมาเพราะตัวร้ายของเรื่อง ถึงจะเสียดายเงินแค่ไหนน้ำข้าวก็ไม่คิดจะเปิดหนังสือนิยายเล่มนี้ขึ้นมาอ่านอีกแน่นอน
การจากไปของจิ้นเหอในนิยายสร้างความสะเทือนใจกับน้ำข้าวมาก จากเด็กสาวที่ร่าเริงแจ่มใส ตอนนี้กลับซึมเศร้ารอยยิ้มที่มีก็ดูออกว่าฝืนยิ้ม กุ๊กไก่เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของน้ำข้าวเดินเข้าไปหาร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่คนเดียวไม่สนใจคนรอบข้าง การเมินเฉยคนอื่นแบบนี้ไม่ใช่นิสัยของน้ำข้าวเลย
“ข้าว เป็นอะไรเหรอ”กุ๊กไก่นั่งลงข้าง ๆ ร่างเล็ก ไม่คิดว่าเมื่อเพื่อนของเธอหันมามองก็พบว่าอีกฝ่ายน้ำตาคลอหน่วยตาแล้ว ปฏิกิริยาดังกล่าวยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
“ข้าวอย่าเงียบสิ”เจ้าของชื่อมองใบหน้าตื่นตกใจของเพื่อน แล้วซบลงกับไหล่ของอีกฝ่าย
“เขาตาย...เขาตายแล้ว”คำตอบไม่ได้ทำให้กุ๊กไก่เข้าใจเลยสักนิด
“เขา ใครล่ะ”
“พี่เหอ”กุ๊กไก่โครงหัว พี่เหอ...ใคร?
“นี่แกพูดถึงใคร”
“จิ้นเหอไง”และแล้วเธอก็เข้าใจว่าเพื่อนหมายถึงใคร ตัวร้ายในนิยายที่น้ำข้าวเอามาพูดโม้โอ้อวด ซ้ำยังมโนว่าเป็นสามีของตัวเอง
“ฉันจะสงสารแกหรือจะหัวเราะใส่ดีเนี้ย”กุ๊กไก่มองอย่างไม่เข้าใจ เธอไม่เข้าใจความคิดเพื่อนของเธอจริงๆ มันก็แค่นิยายใช่ไหม ! จำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้เลยเหรอ
“ไก่จ๋า”แต่ในฐานะเพื่อนที่ดีเธอจึงจำเป็นต้องรับฟัง
“อย่าร้องนะ นี่ตาช้ำหมดแล้ว”เด็กสาวเปิดกระเป๋าเอื้อมหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาเช็ดน้ำตาให้เพื่อน
“ฉันเสียใจ”
“แกต้องหยุดร้องเข้าใจไหม เห็นแก่ฉันที่ไม่ชอบน้ำตาของแกเอาซะเลย”น้ำข้าวพยักหน้ารับ แต่น้ำตาเจ้ากรรมไม่ยอมหยุดไหลนี่สิ
“เพราะอะไรทำไมถึงได้ร้องแบบญาติเสียแบบนี้ นั่นมันโลกของนิยายนะไม่ใช่โลกแห่งความจริง”คำถามนี้ส่งผลให้คนที่ถูกถามถอนหายใจ ไม่มีใครเข้าใจเธอเลยสักคน สำหรับเธอแล้วจะโลกไหนก็เหมือนกัน เขามีตัวตนเหมือนกันกับเธอ
“แกไม่ต้องเข้าใจหรอก แต่รู้แค่ว่าเขาสำคัญกับฉัน”น้ำข้าวพูดน้ำเสียงจริงจัง
“สำคัญยังไงในเมื่อนั่นมันคือนิยาย ไม่มีตัวตน”กุ๊กไก่พูดให้เพื่อนคิดได้
“สำหรับฉัน เขามีตัวตน”น้ำข้าวพูดเสียงหนักแน่น เธอเข้าใจความหวังดีของอีกฝ่ายแต่เธอก็เชื่อมั่นในความคิดของเธอเองเหมือนกัน
กุ๊กไก่ถอนหายใจยอม “อื้อ ฉันคงห้ามความคิดแกไม่ได้หรอก”
“ฉันก็บังคับให้แกคิดแบบฉันไม่ได้เหมือนกัน”น้ำข้าวตอบกลับ
ความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกันและหากจะบังคับให้อีกฝ่ายคิดเหมือนกัน คงเป็นเรื่องยาก เพราะสิ่งที่เธอคิดคือสิ่งที่ไม่มีสิ่งไหนยืนยันความคิดของเธอได้เลย....
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือผืนฟ้า รายรอบด้วยดวงดาวแพรวพราว ซึ่งแต่ละดวงต่างแข่งขันกันอวดแสงสว่าง น้ำข้าวมองดวงดาวไล่ไปทีละดวง มาจบที่ดาวดวงหนึ่งที่ส่องแสงสว่างสะดุดตากว่าดวงอื่น เด็กสาวยกมือขึ้นทำท่าคล้ายจะเอื้อมหยิบดาวดวงดังกล่าว ทว่าดาวดวงนั้นก็เคลื่อนตัว
ดาวตกเหรอ ! น้ำข้าวอุทานในใจ และความคิดหนึ่งก็เข้ามาในหัว มีคนเคยบอกว่าถ้าอธิฐานขอพรตอนดาวตกพรนั้นจะเป็นจริง
เธอหลับตาลง “ขอให้หนูได้พบพี่เหอ ได้เข้าไปอยู่ข้าง ๆเขาด้วยนะคะ”น้ำข้าวปรือตาขึ้น นึกขำกับตัวเอง คิดทำอะไรแปลก ๆ แต่ทำแล้วสบายใจไม่ทำร้ายใคร ก็ไม่ผิดนี่นา
หิมะตกโปรยปรายกระทบพื้นหญ้า หลังคาเรือนหลังหนึ่งเต็มไปด้วยสีขาวโพลนของหิมะ ส่งผลให้ภายในเรือนมีอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ ด้านในห้องนอนร่างอรชรอ้อนแอ้นกำลังอยู่ขดตัวอยู่ภายในผ้าห่มหนังแกะไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา
“เอ๊ะ โรงเรียนเปิดนี่หว่า”จู่ ๆร่างอ้อนแอ้นก็ผุดลุกขึ้น พร้อมทั้งตะโกนลั่น ทำให้สาวใช้ที่อยู่ในข้างเตียงอย่างซิ่วหลินสะดุ้ง มองดูร่างอ้อนแอ้นที่ผุดลุกขึ้นมาด้วยความสงสัย
“นายหญิง...”ซิ่วหลินส่งเสียงเรียกเบา ๆ น้ำข้าวขมวดคิ้วนิ่งอึ้งน้ำข้าวหันไปมองต้นเสียง พบผู้หญิงคนหนึ่งนั่งนิ่ง ใบหน้าจิ้มลิ้ม เรียกว่าน่ารักก็ว่าได้ แต่...ผู้หญิงคนนี้คือใคร
เดี๋ยวนะ...ประโยคเมื่อกี้เป็นภาษาจีนแต่..เธอฟังเข้าใจอย่างกับกำลังฟังภาษาไทย เธอไม่ได้เป็นคนจีนและที่สำคัญไม่เคยเรียนภาษานี้ด้วย
“เห้ย..”น้ำข้าวยืนมองรอบห้องอย่างมึนงง เดี่ยวนะ สมองน้อย ๆ ของเธอประมวลผล มองเตียงสี่เส้าที่เพิ่งผละออกมา ของใช้ในห้องที่มันค่อนข้างหรูหรา ยังมีโต๊ะเครื่องแป้ง มองยังไงก็โบราณ และไม่ใช่โบราณไทยแต่เป็นโบราณของจีนอย่างที่เคยดูซีรีย์จีนหลายเรื่อง
“ที่ไหนเนี้ย”เธอกระพริบตามองอย่างมึนงง เสียง...เสียงพูดของเธอไม่ได้เป็นภาไทยแต่เป็นภาษาจีน
“เอ่อ นายหญิงเจ้าคะ”น้ำข้าวขยับตัวเข้าไปหาหญิงสาวอีกคน
โป๊ก !
ไม่ทันที่จะได้สอบถามอะไร น้ำข้าวก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตกอีกครั้ง เมื่อร่างตรงหน้าก้มเอาหัวโขกกับพื้นซะงั้น เดี่ยวนะ ใครก็ได้บอกเธอที ยัยนี่มานั่งเอาหัวโขกพื้นเพื่อ...
“นายหญิงอย่าโกรธเคืองบ่าวเลยนะเจ้าคะ"
“อะไรของเธอ”คิ้วเรียวขมวดมุ่น ไม่เข้าใจการกระทำของร่างที่นั่งอยู่เลยสักนิด
โป๊ก !
น้ำข้าวต้องถอยห่าง มองการกระทำของผู้หญิงตรงหน้า
“บ่าวชักช้าไม่รู้ความ”หน้าผากของผู้หญิงคนนั้นเกิดรอยแดงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องบอกน้ำข้าวก็รู้ว่ามันต้องเจ็บ
“บ่าวไม่รู้ความ”น้ำข้าวถลาข้าไปหาร่างตรงหน้าแล้วกดไหล่ไว้ ไม่ให้ก้มลงไปอีกครั้ง มีหวังไม่ได้รู้เรื่องกันถ้ายังจะโขกหัวกับพื้นอยู่อย่างนี้
“พอแล้ว”น้ำข้าวห้าม
“นายหญิงอย่าขายบ่าวนะเจ้าคะ ฮึก” ซิ่วหลินกอดขาร่างอ้อนแอ้นที่ยืนอยู่ตรงหน้าแน่น
เอ่อ..เล่นใหญ่ไปไหม”น้ำข้าวกระพริบตาปริบๆมองร่างบางที่กอดขาเธอ
“บ่าวเลินเล่อ มิรีบปรนนิบัตินายหญิง ทำให้นายหญิงมีโทสะ นายหญิงโปรดอภัย อย่าขายบ่าวไปเลยนะเจ้าคะ ฮือฮือ”ซิ่วหลินอ้อนวอน เป็นนางเองที่มัวแต่ตกใจกับท่าทีของนายหญิงจนทำให้นายหญิงต้องมีโทสะอีกแล้ว นางกลัวนายหญิงจะทำดังที่เคยขู่นางไว้
“........”ตอนนี้น้ำข้าวทำได้แค่เงียบ
“นายหญิงโปรดอภัยอย่าขายบ่าวออกไปเลยนะเจ้าคะ”เมื่อรู้ว่านายหญิงที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงเธอ น้ำข้าวก็พยักหน้ารับ
“ได้ ๆ ให้อภัยแล้ว” ซิ่วหลินเงยหน้ามองนายหญิงของนางด้วยความซาบซึ้ง
“บุญคุณของนายหญิงบ่าวจะมิลืม”น้ำข้าวเกาแกรก ๆ พูดแค่ไม่กี่ประโยคนี้คือบุญคุณ...เล่นใหญ่ไปแล้ว
“มาๆลุกขึ้น”น้ำข้าวพยุงร่างบางตรงหน้าลุกขึ้นแต่อีกฝ่ายขืนไว้
“บ่าวมิควรยืนเสมอนายเจ้าค่ะ”ซิ่วหลินก้มหน้ามองพื้น
“ยุ่งยากจริง”น้ำข้าวพูดอย่างหงุดหงิด ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งลงตามเดิมส่วนตัวเธอเดินไปนั่งบนเตียง
“เอาละ เธอชื่ออะไร”น้ำข้าวถาม
“เอ๋.....” ซิ่วหลินเงยหน้ามองนายหญิงของนางอย่างสงสัย
“...........”น้ำข้าวเลิกคิ้วรออีกฝ่ายตอบคำถาม
“นายหญิง บ่าวมีนามว่าซิ่วหลินเจ้าค่ะ”ซิ่วหลินพูดจบก็ก้มหน้ามองพื้นเช่นเดิม
“คนอื่นล่ะ” น้ำข้าวกวาดตามองรอบห้องเพื่อหาเงาของเพื่อนรัก
“นายหญิงหมายถึง นายท่านหรือบ่าวรับใช้ในเรือนหรือเจ้าคะ”
“ทั้งหมดนั้นแหละ”
“นายท่านออกไปจากจวนตั้งแต่ยามเหม่า[05.00 น. - 06.59 น.]แล้วเจ้าค่ะส่วนสาวใช้ในเรือนจวี๋ฮวาก็ทำงานตามที่นายหญิงมอบหมายเจ้าค่ะ”น้ำข้าวขมวดคิ้วยิ่งฟังเธอก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“คนอื่นอีกล่ะ”น้ำข้าวถามต่ออย่างนึกสนุก นี่จะเล่นซ่อนแอบกันเหรอ
“นายหญิงหมายถึงผู้ใดเจ้าคะ”ซิ่วหลินเงยหน้ามองนายสาว
“ก็ กุ๊กไก่ พ่อกับแม่ฉันไง” น้ำข้าวพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“บ่าวโง่เขลาไม่รู้ว่านายหญิงหมายถึงผู้ใดเจ้าค่ะ”ซิ่วหลินก้มหน้ามองพื้นด้วยรู้ดีว่าน้ำเสียงของนายหญิงยามนี้คงมิพ้นกำลังมีโทสะ
“อย่ามาอำกันเล่นน่า บอกมากุ๊กไก่กับพ่อแม่ฉันอยู่ไหน”น้ำข้าวระงับเสียงสั่นเครือของตัวเอง นี่มันเรื่องอะไร เธออยู่ที่ไหน แล้วมาได้ยังไง หลายคำถามที่ไม่มีคำตอบ ความหวาดกลัวเข้าครอบงำจิตใจของเธอแล้ว
“บ่าวมิรู้จริงๆเจ้าค่ะ”ซิ่วหลินก้มหน้าตัวสั่นเทา น้ำตาที่หยุดไหลบัดนี้กลับไหลออกมาอีกครั้ง
“ออกมาน่ะ ไก่ พ่อกับแม่ด้วย หนูไม่สนุกแล้วนะ”น้ำข้าววิ่งหาบุพการีทั้งคู่และเพื่อนรักของเธอแต่ก็ไร้เงาของพวกเขาเลย
จากความสนุกกลับกลายเป็นความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่ น้ำข้าวเดินหาจนทั่วจนมาหยุดหน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความเหนื่อยล้า เด็กสาวตะลึงตาค้างเมื่อเห็นร่างที่สะท้อนในกระจก ร่างระหงสูงโปร่งสวมชุดเอี๊ยมสีเขียวอ่อนเอวคอดกิ่ว หน้าอกที่ไม่ต้องจับก็บอกได้เลยว่าคัพซี หน้าตาที่เรียกได้ว่าสวยมาก ผมสีดำขลับสยายอยู่เต็มแผ่นหลังบาง ผิวอมชมพูที่เธอใฝ่ฝัน ซึ่งบอกได้เลยว่าผู้หญิงในกระจกนั้นไม่ใช่เธอแน่ๆ เธอที่ร่างไม่ได้สูงโปร่ง เอวก็ไม่ได้คอดกิ่ว หน้าอกก็แฟบ หน้าตาก็งั้นๆ ผมของเธอก็ไม่ได้สีดำ ผมของเธอสีน้ำตาล แล้วยังจะผิวที่ขาวซีดของเธอนั้นอีก ผู้หญิงในกระจกนั้นไม่ใช่เธอ...แต่ เธอยืนอยู่หน้ากระจกนะ
ความฝันมันต้องเป็นความฝันแน่ ๆ
น้ำข้าวหยิกแขนตัวเองเต็มแรง”โอ๊ย....”เธอกุมแขนแล้วมองในกระจกพบว่าหญิงสาวในกระจกเผยสีหน้าเจ็บปวด เธอลองเอียงคอไปทางซ้ายหญิงสาวในกระจกก็เอียงคอไปทางซ้ายเหมือนกับเธอ นี่...อย่าบอกนะว่าผู้หญิงในกระจก คือเธอเอง !
“นายหญิง”ซิ่วหลินเข้าไปประคองนายสาว
“นั่น..ฉันเหรอ”น้ำข้าวมองใบหน้าสวยในกระจกที่กำลังขมวดคิ้วแน่น
“นายหญิง”ซิ่วหลินมองหน้าซีดเซียวของนายสาวอย่างกังวล
“..........”
เธอมาอยู่ที่นี่ ผู้หญิงหน้าตาสวยคนนี้ก็คือเธอ แต่....จะเป็นไปได้เหรอ บ้าน่า
กว่าหลายนาทีกว่าน้ำข้าวจะดึงสติกลับมาได้ อยากจะร้องไห้แต่ติดว่าน้ำตามันคงไม่ไหล เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
“นายหญิงเจ้าคะ”น้ำข้าวมองซิ่วหลินแล้วสูดหายใจลึกๆ สิ่งที่เธอต้องการคือข้อมูลและแหล่งข้อมูลเดียวที่เธอมีตอนนี้ก็คือซิ่วหลิน
“ซิ่วหลิน ฉันเป็นใคร”คำถามของเธออาจจะฟังดูไร้สาระไปสักหน่อย แต่สำหรับน้ำข้าวตอนนี้ทุกประโยคคำถามของเธอเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์
“นายหญิง..”ซิ่วหลินมองนายหญิงอย่างเลื่อนลอย
“ฉันต้องการคำตอบ”น้ำข้าวพูดเสียงเข้ม
“นายหญิงมีนามว่า ลู่เอิน ท่านเป็นอนุภรรยาคนเดียวของนายท่านเจ้าค่ะ” ลู่เอิน...น้ำข้าวขมวดคิ้วเป็นปมเพราะนึกคุ้นชื่อนี้ แต่เหมือนว่าจะไม่ช่วยให้เธอรู้เรื่องอะไรมากกว่าเดิมเลย
“คำถามต่อไป ที่นี้เขาเรียกประเทศ เมือง หรือแคว้นอะไร”น้ำข้าวบีบมือเบาๆรอฟังคำตอบ มันกดดันเหมือนการรอฟังผลสอบไม่ปาน
“เราอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นเฝิงเจ้าค่ะ”
“แคว้นเฝิง...”น้ำข้าวพึมเพาเบาๆ มันคุ้นยิ่งกว่าคำถามแรกซะอีก... แต่เหมือนมันติดอยู่ที่ปลายจมูก คิดยังไงก็คิดไม่ออก ว่าเคยได้อ่านหรือเห็นที่ไหน หญิงสาวพยายามคิดแต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกจึงเก็บความคิดนั้นไว้มาถามคำถามที่สาม
“คำถามสุดท้าย นายท่านที่เธอว่าหน่ะ เป็นใคร ชื่ออะไร”
“เอ่อ...นายท่านเป็นผู้นำตระกูลจิ้นคนปัจจุบัน นายท่านมีนามว่า จิ้นเหอ เจ้าค่ะ”น้ำข้าวนิ่งค้าง ชื่อนี้ไม่ใช่แค่คุ้น ๆ เป็นชื่อที่เธอบอกได้เลยว่าคุ้นเคยดีต่างหากล่ะ จิ้นเหอตัวร้ายในนิยายที่เธอชอบอ่าน เธอเข้ามาอยู่ในนิยาย !
คำขอจากดวงดาวของเธอเป็นจริง เธอในตอนนี้อยู่ในร่างของอนุภรรยาคนเดียวของเขาที่มีชื่ออกมาแค่ไม่กี่ครั้งแต่ดูเหมือนในนิยายที่เขียนว่า อนุของเขาที่งดงาม ใจดี คงจะไม่ใช่ทั้งหมด งดงามนะใช่ แต่ใจดีคงจะเชื่อยากเพราะถ้าใจดีจริงซิ่วหลินคงไม่คุกเข่าและโขกหน้าผากตัวเองกับพื้นเพราะเข้าใจผิดว่าเธอเดินไปหาเพราะทำเธอโมโหหรอก น้ำข้าวผ่อนลมหายใจ ขอให้ได้ยืนข้างเขาก็ได้ยืนจริงๆ แต่ได้ยืนในฐานะอนุผู้มีชื่อแต่ไร้บทบาท
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ เธอไม่ได้คิดเลยว่าคำอธิฐานของเธอจะเป็นจริง เธอเองก็ดีใจแต่ความกลัวที่มีมันมีไม่น้อยกว่าความดีใจเลย เธอรู้จักจิ้นเหอก็จริงแต่เรื่องในนิยายจะเป็นความจริงทุกอย่างหรือเปล่า คำตอบยังไม่มี เธอก็แค่เด็กอายุ 17 ที่คลั่งไคล้ ตัวร้ายในนิยายก็เท่านั้น
เธอไม่ใช่เชฟที่ทำอาหารอร่อยจนทำให้พระเอกนิยายหลงรักอาหารที่มั่นใจว่าทำได้และอร่อยก็คือ ไข่จียว ไม่ใช่ดารามีความสามารถในการแสดงเป็นได้ทุกบทบาทแค่แสดงละครเวทีเธอยังสั่นเป็นเจ้าเข้าเลย ยิ่งเป็นเด็กอัจฉริยะยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยให้ผ่านวิชาคณิตศาสตร์เธอก็คิดว่ายากแล้ว สรุปเธอไม่มีอะไรที่เป็นหลักประกันเลยว่าอยู่ที่นี่แล้วจะรอดปลอดภัย
เคยคิดเล่น ๆ อยู่เหมือนกันว่าถ้าเข้ามาอยู่ในนิยายจะใช้ชีวิตอย่างไร พอได้มาจริง ๆ แล้ว ถึงกับเงิบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว
มันเหลือเชื่อจริง ๆ การที่จะทะลุไปไหน เด็กสาวเองก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาบอกได้เลยว่ามาได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่นี้แล้ว ยังมีความรู้สึกดีใจแล้วก็ทึ่งในคราวเดียวกัน แต่ไหน ๆ ก็ฟื้นมาในร่างอนุของตัวร้ายที่ชื่นชอแล้ว ควรหากำไรจากการเป็นอนุของเขาว่าไหม เช่นการมองมัดกล้ามหน้าท้องของเขาได้อย่างถนัดถนี่ ไม่ต้องจินตนาการ ได้เห็นใบหน้าที่นักเขียนบรรยายว่าหล่อเหลาจริง ๆ แค่คิดก็มีความสุขแล้ว
ซิ่วหลินมองรอยยิ้มคล้ายคนไร้สติของสตรีที่เป็นนายอย่างโง่งม นี่นับเป็นรอยยิ้มแรกที่นางพบว่านายหญิงของยิ้มได้...เอ่อ อัปลักษณ์ยิ่ง
น้ำข้าวนั่งมองตัวเองในกระจก การใช้ชีวิตในวันแรกของการอยู่ในโลกแห่งนี้มีอุปสรรค คือชุดที่เธอสวมใส่นี่ไง ใส่ยากใส่เย็นจริง ๆ ซ้ำยังมีทุกอย่างยกเว้น กกน. รู้สึกโหวง ๆ โล่งแปลก ๆ ร่างกายนี่ก็อวบอัดไปเสียทุกส่วน โดยเฉพาะหน้าอกหน้าใจ จะใหญ่ไปถึงไหน แต่เธอก็แอบภูมิใจ มีนมกับคนอื่นเขาแล้ว
“นายหญิงเจ้าคะ”ซิ่วหลินส่งเสียงเรียก
“ว่า”เธอหันไปเลิกคิ้วถาม
“หิวหรือยังเจ้าคะ”
“หิวมาก”ร่างบางหัวเราะออกมา นี่เธอน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมซิ่วหลินต้องเกร็งตลอดเวลาที่คุยกันด้วย น้ำข้าวหันมองกระจกอีกครั้ง ลองทำหน้าโกรธ อื่ม น่ากลัวจริง ๆ ดวงตาคู่นี้เดิมมันก็ดุอยู่แล้ว พอเพิ่มอารมณ์โกรธเข้าไปก็ดูน่ากลัวไปเลยแต่ความสวยก็มีไม่น้อย
ปัญหาที่สองของเธอ ต้องกินข้าวกับตะเกียบ ยากแท้ แค่จะคีบเนื้อหมูชิ้นใหญ่ก็ว่ายากแล้วนะ นี่ต้องกินข้าวกับตะเกียบเลย น้ำข้าวจ้องมองอาหารแล้วถอนหายใจ จากตอนแรกที่คิดว่าจะสวาปามอย่างเต็มทว่าตอนนี้ทำได้เพียงนั่งมองดาวหัน ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ
ความคิดเห็น