คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่4/1
บทที่ 4
4/1
โรงเตี๊ยมจิ้นทง โรงเตี๊ยมของตระกูลจิ้น ว่าโรงเตี๊ยมเซียวซือใหญ่แล้วยังเทียบกับโรงเตี๊ยมจิ้นทงไม่ได้ ทั้งยังตกแต่งได้หรูหรามีระดับ มองดูจากการแต่งตัวของผู้คนที่เข้าไปนั้นก็รู้ว่าเป็นชนชั้นสูงเสียมาก ซ้ำยังมีตั้งสามชั้นมองดูชั้นสองก็แน่นเต็มไปด้วยผู้คนทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ก็ยังเช้าอยู่ อยากรู้นักว่ารายได้แต่ละเดือนของเขาจะได้เท่าไหร่ หากอยู่ในโลกนู้น สามีของนางเป็นมหาเศรษฐีชัดๆ
นางเริ่มเห็นความโชคดีของการเป็นภรรยาของตัวร้ายเช่นจิ้นเหอแล้ว
“จะยืนมอง”ลู่เอินยู่หน้ามองจิ้นเหอ ไม่ได้เลยเชียว พลาดให้เขาก็จะได้ฟังวาจาร้ายกาจที่พ่นออกมา
“นำทางสิเจ้าคะ”หญิงสาวเดินตามหลังจิ้นเหอเข้าไปในโรงเตี๊ยมซึ่งเรียกสายตาอยากรู้อยากเห็นจากแขกภายในโรงเตี๊ยมได้เป็นอย่างดี
“นางเป็นใคร”
“นางเป็นอันใดกับคุณชายจิ้น”
“นางมากับคุณชายจิ้นได้เยี่ยงไร”
และอีกหลายๆคำถามที่พวกเขากระซิบกระซาบกัน ทว่ามันลอยเข้าหูลู่เอินเต็ม ๆ ถ้าจะดังขนาดนี้ไม่ต้องกระซิบกันก็ได้ ตะโกนใส่หูกันคิดว่าน่าจะมีมารยาทกว่า
“รูปร่างเยี่ยงนั้น หน้าตาเช่นนี้ คงมิพ้นนางโลม”ลู่เอินหยุดเดินเสหน้าหันไปมองต้นเสียงพบสตรี คาดว่าอายุน้อยกว่านาง อยู่ในชุดสีฟ้าของชนชั้นสูง หน้าตาถูกแต่งแต้มมองดูไกล ๆ คล้าย 'ลิง' ส่งสายตาเหยียดมาให้นาง
เมื่อถูกมองเช่นนั้นผสมกับอารมณ์ขุ่นมัวกับประโยคก่อนหน้านั้นทำให้ลู่เอินหน้าตึงขึ้นมาทันทีเตรียมเปลี่ยนทิศทางการเดิน ด้วยนิสัยเก่าก่อนของนางนั้นได้ยินอะไรที่ไม่เข้าหูมักจะมี'ตบ'อย่างวัยรุ่นทั่วไปนั้นแหละ
เข้าใจมั๊ย วัยรุ่นหัวร้อนนะ !!!
ทว่าเมื่อเหลือบหันไปเห็นจิ้นเหอที่มองมาก็ชะงักคิดได้ว่า นางไม่ได้อยู่ที่เก่าในโลกของนางแล้ว และหากนางทำอันใดไปคงไม่ได้มีแค่นางที่เดือดร้อนยังมีเขาซึ่งเป็นสามีของนางยังทั้งต้องเสียชื่อเสียง เสียลูกค้า และอาจจะลุกลามถึงเสียความไว้วางใจจากแขกที่พบเห็นด้วย ไม่ได้!! นางไม่ได้มาที่นี้เพื่อทำลายเขา ลู่เอินเม้มปากกำมือแน่นข่มอารมณ์ไว้
ท่องไว้ นางต้องอดทน อดทน !!!
จิ้นเหอมองหน้าหญิงสาวด้านหลังของเขา คิ้วหนาขมวดแน่นด้วยความสงสัยเต็มอก ลู่เอินที่เขารู้จักนางย่อมไม่ยืนนิ่งโดยไม่ตอบโต้เช่นนี้เป็นแน่ หากไม่พุ่งเข้าไปหาสตรีเจ้าของประโยคแสนร้ายกาจนางนั้น ก็คงแสดงตัวตนว่าเป็นอนุของเขาไปแล้ว
“นายท่าน”ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเดินเข้ามาหาเขาทั้งยังมองลู่เอินด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้เช่นบุคคลอื่นในโรงเตี๊ยม คงไม่แปลก เพราะนางไม่เคยย่างเข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
“ลู่เอินนางเป็นอนุภรรยาเพียงคนเดียวของข้ามิใช่นางโลมที่ใด”เสียงพูดที่ไม่เบาไม่ดังมากนักของจิ้นเหอทำให้เสียงต่าง ๆ ในโรงเตี๊ยมหยุดลง ผู้คนต่างหันมาสนใจชายหนุ่มกันทั้งสิ้นไม่เว้นแม้แต่ลู่เอินเอง
เหตุใด ? นางถึงได้รู้สึกว่าเขาปกป้องนาง สายตาที่เขาหันมามองนางช่าง...อ่อนโยนยิ่งนัก
ความรู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกปลอดภัย นางรู้สึกความรู้สึกเหล่านี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาที่นี่
ตอบนางที ! เขาปกป้องนางใช่หรือไม่ ...
“เขาเป็นผู้ดูแลโรงเตี๊ยม”จิ้นเหอหันไปมองหญิงสาวเห็นนางค้อมหัวและส่งยิ้มฝืดเฝื่อนให้ผู้ดูแลโรงเตี๊ยม ยิ่งทำให้คิ้วหนาขมวดแน่นกว่าเดิม
ลู่เอินที่เขารู้จักย่อมไม่ก้มหัวให้ผู้ที่อยู่ต่ำกว่านาง
ที่ผ่านมาเขาคิดว่าเขารู้จักนางดีแล้ว แต่ดูท่า...เขาคงยังไม่รู้จักนางดีพอกระมัง ในยามนี้คล้ายว่าเขาไม่รู้จักสตรีข้างกายแม้แต่น้อย...... แม้นมีความสงสัยอยู่เต็มอกแต่ชายหนุ่มเลือกที่ไม่เอ่ยถ่อยวจีใดออกมา ด้วยคิดว่าหาใช่กงการที่เขาควรคิดให้ปวดหัวไม่
“ขึ้นด้านบนเถิดขอรับ”ว่าแล้วผู้ดูแลโรงเตี๊ยมก็เดินนำไปตามด้วยจิ้นเหอ
ลู่เอินหันไปมอง'ลิง'สีฟ้าที่หาญกล้ามาว่านางเป็นนางโลมเห็นสตรีผู้นั้นมองนางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเหมือนแค้นมาสักสิบปี จากที่จะเดินไปเฉย ๆ ก็เกิดหมั่นไส้ ตบไม่ได้ก็ช่าง ขอนางสะใจนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ยังดี
'เขานะสามีข้า'นางพูดแบบไร้เสียงและยักคิ้วหลิ่วตามองแผ่นหลังกว้างของสามีของนางอย่างหลงไหลเคลิบเคลิ้มแล้วเดินตามเขาขึ้นชั้นสองไป เดาว่าหน้าลิงๆของสตรีนางนั้นคงต้องเขียวคล้ำเพราะโมโหไร้ที่ลงเป็นแน่
สะใจดีแท้ !!!
จิ้นเหอหันมองการกระทำดังกล่าวของสตรีด้านหลัง มุมปากหนากดลึก ดูท่าทางของนางสิ ช่าง...น่าขบขันเสียจริง
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยม จิ้นเหอเลือกนั่งโต๊ะมุมส่วนตัวปลอดคนชิดระเบียงซึ่งสามารถมองเห็นด้านล่างได้ ลู่เอินที่กำลังนั่งรออาหารที่เพิ่งสั่งเสี่ยวเอ้อไปก็หันไปมองด้านล่างอย่างสนใจ ด้านล่างนั้นเป็นตลาดเล็กๆ แต่คึกคัก สินค้าและอาหารที่ถูกวางขายล้วนเรียกสายตาได้เป็นอย่างดี
“เมื่อครู่เหมือนไม่ใช่เจ้า”ลู่เอินหันไปมองจิ้นเหอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพลันขมวดคิ้วกับคำพูดของเขา
“เมื่อครู่”ลู่เอินกระพริบตามองเขาอย่างงงๆ
“ตอนสตรีชุดฟ้ากล่าวถึงเจ้า”ลู่เอินหน้าตึงขึ้นทันที อ้อ เขาถามถึงแม่นางลิงผู้นั้น
“แล้วท่านพี่จะให้ข้าทำอันใดเล่าเจ้าคะ เข้าไปอาละวาดหรือ นั้นมิใช่วิสัยของคนงามเช่นข้า จะตะโกนกลับไปว่าข้าเป็นภรรยาของท่านก็หาใช่วิสัยของสตรีที่ดีเช่นกัน”จิ้นเหอหัวเราะเบาๆมองสตรีที่ชมตัวเองว่า 'คนงาม' และ 'สตรีที่ดี' ต้องหลงตัวเองระดับใดกันจึงได้เอ่ยชมตนเองได้เช่นนาง
“ข้าเพียงแปลกใจ หากปกติเจ้าคงไม่ยืนนิ่งเช่นนี้ เจ้ากำลังคิดอันใด”จิ้นเหอมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของสตรีตรงหน้า
“ก็ ข้าไม่รู้ว่าสตรีหน้าลิง เอ่อ สตรีนางนั้นเป็นใคร”
“นางเป็นหลานสาวของฮองเฮา”
“นั้นไง หากข้าเข้าไปทำอันใดกับนางท่านพี่ในฐานะสามีย่อมต้องเดือดร้อน”หญิงสาวหาเหตุผลมาสรุปเพื่อให้ดูดี แต่ก็จริงถึงแปดส่วนเชียวนะ นางเห็นแก่ผลประโยชน์ของเขา เป็นภรรยาที่ประเสริฐยิ่งนัก
“ไม่ได้ทำอันใดกับนางแต่เจ้าก็ไปทำหน้าตาเช่นนั้นใส่นางย่อมมิต่าง”ลู่เอินสะดุ้งส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้ชายหนุ่ม
“หน้าตาเช่นใดเจ้าคะข้ามิได้ทำ”ลู่เอินตีหน้ามึนใส่
“หึ เจ้าเปลี่ยนไปนะ”จิ้นเหอไม่ซักไซ้ต่อแต่จ้องมองหน้าหญิงสาวราวกับค้นหาบางอย่าง ลู่เอินเองก็ไม่ได้หลบสายตาของเขา ไม่มีเหตุที่นางต้องหลบสายตาของเขา ตอนนี้นางคือลู่เอิน ชายหนุ่มละสายตาจากหน้างาม
“ดีหรือไม่เจ้าคะ”ลู่เอินเอียงคอส่งยิ้มทะเล้นให้เขา สีหน้าใคร่รู้เสียเต็มประดา จิ้นเหอหลุดหัวเราะเบา ๆ กับท่าทีแสนน่าเอ็นดูของนาง
“ย่อมดี”หญิงสาวยิ้มสดใสเมื่อได้ฟังคำตอบ
“ขอบคุณที่ปกป้องข้านะเจ้าคะ”
“.....”
“ขอบคุณที่ไม่มองผ่าน”
“.....”
จิ้นเหอมองรอยยิ้มสดใสบนดวงหน้าหวาน ยอมรับว่ารอยยิ้มของนางแลดูจริงใจยิ่ง
“เพราะเจ้าเป็นคนของข้า”
“.....”
“จะเพราะอะไรก็ขอบคุณเจ้าค่ะ”
เพียงเท่านั้นบทสนทนาของพวกเขาก็จบลง แต่คล้ายว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะแน่นแฟ้นมากกว่าเก่า ความรู้สึกที่จิ้นเหอมีต่อสตรีร่วมโต๊ะแตกต่างไปจากเดิม เรียกได้ว่าดีกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ส่วนความรู้สึกดีๆ ของลู่เอินที่มีอยู่ก็เพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเก่า
ภายในห้องทำงานส่วนตัวของจิ้นเหอ เจ้าของห้องนั้นกำลังนั่งจดจ่อกับงานบนโต๊ะ ส่วนผู้อาศัยเช่นลู่เอินก็นั่งหายใจทิ้งไปกับการนั่งรอเขา เหลือบมองก็แล้ว แกล้งถอนหายใจก็แล้ว เจ้าของห้องก็ไม่หันมาสนใจนาง
“เฮ้อ...”ลู่เอินถอนหายใจ
นางไม่ได้เข้ามาเพื่อนั่งรอเขานะ นางเข้ามาเพื่อจะบอกเขาว่านางจะขอกลับก่อน
แล้วเหตุใดถึงได้มานั่งถอนหายใจเล่นเช่นนี้เล่า คงเพราะนางมารยาทดีเกินกว่าจะรบกวนคนทำงานกระมัง
“ท่านพี่เจ้าคะ”ลู่เอินส่งเสียงเรียกอีกครั้ง จิ้นเหอเงยหน้ามามองหน้านางเช่นทุกครั้งทั้งยังมองนางด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายและก้มหน้าลงเช่นเดิม
ขอโทษ...ใครกันแน่ที่ควรจะเบื่อหน่าย
เห็นเขาไม่สนใจหญิงสาวจึงถือวิสาสะลุกขึ้นและเดินไปหาเขา สายตาเห็นกระดาษในมือเขา
นั้นลายมือคนหรือลายไก่เขี้ยข้าวกันแน่...
ลายเส้นที่ขยุกขยิก ไม่มีระเบียบ นางที่อ่านภาษาของคนที่นี่ไม่ออกยังต้องบอกได้เลยว่า ลายมือนั่นยอดแย่และนางจะไม่เครียดเลยหากกระดาษแผ่นนั้นไม่ได้อยู่ในมือของสามีของนาง
นั้นจะใช่ลายมือของเขาหรือไม่หนอ
ลู่เอินมองกระดาษในมือของจิ้นเหอสลับกับมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา เคยได้ยินว่าคนหน้าตาดีทำอันใดก็ออกมาดีหมดคงจะไม่จริงกระมัง
“นั่งก่อน”เขาเงยมองหน้าหญิงสาวแล้วก้มลงสนใจกระดาษแผ่นนั้นต่อ
อยากถามเหลือเกินว่า กระดาษลายไก่เขี้ยนั้นมันดูดีกว่าหน้าตาอันงดงามของนางหรือ ?
“ในมือท่านพี่นั้นสำคัญหรือเจ้าคะ”นั้นไง ปากนางช่างเร็วนัก
“รายรับรายจ่ายเดือนนี้นะ”จิ้นเหอเงยหน้ามองร่างบางตรงหน้าเขา เขารู้ว่านางนั้นกำลังเบื่อหน่ายจากการกลั่นแกล้งของเขา
“เอ่อ ท่านพี่เขียนมันเองหรือเจ้าคะ”จิ้นเหอก้มมองกระดาษในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะเบาๆ
“เป็นผู้ดูแลโรงเตี๊ยม”ลู่เอินถอนหายใจ นั้นสินะ เขาออกจะมีระเบียบ นางคิดได้อย่างไรว่านั้นเป็นลายมือของเขา
จิ้นเหอก้มลงทำงานของเขาต่อ ลู่เอินยู่ปาก เขาไม่สนใจนางอีกแล้ว แล้วนางจะทำอันใด
“เมื่อยหรือเจ้าคะ”ลู่เอินถามครั้นเห็นเขาขยับตัวคล้ายหาท่านั่งที่สบายกว่าเดิม
“อืม”ลู่เอินยิ้มนางรู้แล้วนางจะทำอันใด
แม้นจะหมั่นไส้เขาที่ให้นางนั่งรอแต่ก็อดสงสารไม่ได้ เขาต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานเช่นนี้ อย่างไรเสียก็ถือว่าขอบคุณสำหรับเบี้ยหวัดที่นางได้ละกัน
“ขออภัยเจ้าค่ะ”ลู่เอินยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา นางพยายามอย่างยิ่งที่จะวางมือบนบ่าทั้งสองข้างของเขาเบาๆ
“ทำอันใด”จิ้นเหอถามเมื่อรับรู้ได้ว่านางวางมือบนบ่าของเขา
“เอ่อ...เห็นว่าท่านพี่เมื่อยข้าจะ..จะนวดให้เจ้าคะ”นางประหม่า ยอมรับจริงๆ เอ่อ ก็บ่าเขานั้นเต็มไปด้วยมัดกล้ามนี่นา หากไม่จับต้องก็จะไม่รู้เลยว่าเขาก็มีกล้ามแขน มันช่าง...ฟิน จริง ๆ
เกิดมานอกจากบุคคลในครอบครัวก็คงจะมีเขาเป็นบุรุษคนแรกที่นางกล้าแตะต้อง เขาเป็นคนแรกเลยนะ!
“อืมม”จิ้นเหอครางเบาๆ รู้สึกว่ามือนางนั้นช่างนุ่มนิ่มนัก
ลู่เอินยิ้ม เริ่มลงแรงบีบบ่าแกร่งแรงกว่าเดิม พยายามหาเรื่องเพื่อชวนเขาคุย
“ปกติท่านพี่นั่งเช่นนี้นานหรือไม่เจ้าคะ”
“สามชั่วยาม”
“ไม่ได้ลุกไปที่ใดเลยหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ทำไมหรือ”คิ้วหนาขมวดอย่างสงสัย
“ก็สามชั่วยามนั้นก็นับว่านานนะเจ้าคะ ข้าเคยได้ทำรายงาน เอ่อ ได้ยินมาว่าการนั่งนาน ๆ นั้นอาจจะทำให้เป็นโรคหัวเข่าเสื่อมเนื่องจากนั่งนาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเอาได้นะเจ้าคะ”ลู่เอินอธิบายเสียงเจี้ยวจ้าว นางเคยได้ทำรายงานเรื่องนี้มา จำได้แม่นเชียวเพราะรายงานเล่มนี้เกือบทำให้นางไม่ผ่านวิชานั้น ไม่จำก็นับว่าลืมง่ายเกินไปแล้ว
“มีโรคเช่นนี้ด้วยหรือ”
“มีสิเจ้าคะ โรคนี้จะไม่มีผลกระทบกับคนที่อายุน้อยๆหรอกเจ้าค่ะ แต่จะมีผลเมื่ออายุมากขึ้น”จิ้นเหอตั้งใจฟัง สีหน้าจริงใจ
“เจ้าได้บอกท่านแม่หรือไม่”
ลู่เอินส่ายหน้า“ไม่ได้บอกเจ้าคะ ข้าเพิ่งนึกได้”นางเพิ่งนึกได้จริง ๆ นี่นา ดูท่าครั้งหน้าจะต้องไปบอกฮูหยินเฒ่าเสียแล้ว
“ได้ยินมาว่าปิ่นประจำตัวฮูหยินตระกูลจิ้นอยู่กับเจ้า”ลู่เอินชะงักมือ เมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อ ๆ
“เอ่อ ท่านพี่รู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ท่านแม่มาหาข้าเมื่อสามวันก่อน มาบอกว่าจะไปถือศีลเมื่อถึงฤดูเหมันต์”ลู่เอินได้ยินน้ำเสียงแสนเศร้าของเขาก็เห็นใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ คงจะเสียใจไม่น้อยเป็นแน่..
“อีกตั้งสองเดือนนะเจ้าคะ”เมื่อนับดูแล้วอีกตั้งสองเดือนกว่าฮูหยินเฒ่าจะไป จะนับว่านานก็นานอยู่นา
“.....”
“อีกอย่างนั้นคือทางที่ฮูหยินเลือกนะเจ้าคะ”เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบสิ่งใดกลับมาลู่เอินจึงพูดต่อ
“......”
“อย่าเศร้าไปเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินท่านมีความสุขกับทางนี้”ลู่เอินปลอบใจเขา นางสงสารเขายิ่งนัก แม้จะเข้าใจฮูหยินเฒ่าก็เถอะ ในบางครั้งการจะเข้าใจเรื่องบางเรื่องเป็นสิ่งที่ยากพอควร
“พอเถอะ ยิ่งเจ้าพูดก็ยิ่งคล้ายว่าข้านั้นเป็นบุตรอกตัญญูดูแลมารดามิดีพอ”ลู่เอินเม้มปาก น้ำเสียงที่แสนเจ็บปวดของเขานางไม่อยากได้ยินเลย ไม่อยากฟังเลยจริงๆ หญิงสาวเหลือบมองใบหน้าหมองหม่นของชายหนุ่ม
หากนางไม่ได้อยู่ตรงนี้ ใครกันที่จะรับฟังเขากัน บุรุษมากรอยยิ้มเช่นเขา ใช่จะเผยให้ใครเห็นความรู้สึกแท้จริงได้โดยง่าย แต่บัดนี้เขากลับมีใบหน้าหม่นหมองให้นางได้เห็น
“ท่านพี่ดูแลฮูหยินดีแล้วนี่เจ้าคะ อย่าได้โทษตัวเอง”ลู่เอินจับมือหนาของเขามากุมไว้ แล้วยิ้มให้กำลังใจ ตอนนี้ที่นางให้ได้มีเพียงกำลังใจและความจริงใจ แย่เสียจริงที่นางไม่สามารถจะเปลี่ยนเรื่องราวของเขาได้ หากทำได้เขาคงไม่ต้องเศร้าใจถึงเพียงนี้
“ดีแล้ว ใยนางต้องไป” จิ้นเหอพูดอย่างขมขื่น นับตั้งแต่บิดาของเขาจากไป ท่านแม่ก็ไม่เคยดูแลเขาเฉกเช่นเคย ไม่เข้าใกล้เขา ไม่แม้แต่จะปลายตามองเขาสักครั้ง จนบางครั้งเขาก็อยากจะถามนางไป ว่าเขานั้นทำอันใดผิด
ลู่เอินนึกโทษความไม่ได้เรื่องในการปลุกปลอบใจคนของนาง ยิ่งนางพูดสิ่งใดออกไปก็ดูเหมือนว่าชายหนุ่มข้างกายไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด แย่เสียจริง....
“เพราะความสุขเจ้าค่ะ”
“อยู่กับข้ามิมีความสุขหรือ”ชายหนุ่มมองใบหน้างามของหญิงสาวที่พยายามพูดปลุกปลอบเขา
“สุขกายแต่ไร้ความสุขทางใจนั้นไม่เรียกว่ามีความสุขหรอกเจ้าค่ะ”
“......”แม้นไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูด แต่เขาก็ไม่อยากให้ความรู้สึกไม่ดีเช่นนี้เข้ามาอยู่ในใจนานนัก
ความคิดเห็น