คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : EP08: ขอบคุณ 50%
ฉาวอีกครั้ง 'ฮันดาวอน' ลูกสาวคนเดียวของประธานเอสเคกรุ๊ปฮันจองซอก
ถูกบุคคลที่อ้างตัวว่าถูกว่าจ้างโดย
'ฮันดาวอน'
ให้ขโมยข้อสอบจากคณะจัดทำข้อสอบของมหาวิทยาลัย
M
เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา
โดยการสอบครั้งล่าสุด
ฮันดาวอนเป็นผู้ที่มีคะแนนสอบสูงสุดของภาควิชา
จากการเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้
ส่งผลให้มีการสืบสวนครั้งใหญ่เกิดขึ้น
เพื่อหาความจริงว่า 'ฮันดาวอน' ได้กระทำตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่
แต่ที่แน่ๆหุ้นของเอสเคกรุ๊ปดิ่งลงอย่างน่าตกใจ
รวมไปถึงภาพลักษณ์
ที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของประธานฮันต่อผู้ถือหุ้นและบรรดานักลงทุนอีกด้วย
ความกรุ่นโกรธที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆเมื่อตื่นมาต้องพบเจอกับข่าวฉาวของลูกสาวเพียงคนเดียว และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะสังคมเกาหลีให้ความสำคัญกับการเรียนอย่างมาก ดังนั้นหากใครก็ตามที่มีคดีทุจริตเกี่ยวกับวงการการศึกษาละก็
มีแต่ตายกับตาย
“หุ้นของเราเช้านี้ตกลง 5.7 จุดครับท่านประธาน” ผู้ช่วยหนุ่มแจ้งความคืบหน้า
ทำเอาผู้เป็นนายถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“แล้วพวกจีชางล่ะ”
'จีชาง' คือกลุ่มนักลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจด้านการแพทย์ที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนสูงมาก
ใครๆก็อยากได้รับการสนับสนุนหรือจับมือกับพวกจีชางทั้งนั้น
รวมถึงตัวประธานฮันเองด้วย
เนื่องจากการก้าวขึ้นมาเป็นประธานเอสเคกรุ๊ปของเขา
ใครๆก็ต่างรู้กันดีว่ามันไม่ขาวสะอาด และถึงแม้ว่าเขาจะถือหุ้นบริษัทถึง 45 เปอร์เซ็นต์ มันก็ยังไม่อาจรับประกันได้ว่าเก้าอี้ประธานของเขาจะมั่นคง
หากบรรดาผู้ถือหุ้นคนอื่นแปรพักตร์ขึ้นมา เขาอาจจะหลุดจากตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดเมื่อไหร่ก็ได้
มันทำให้
'จีชาง' คือความหวังของประธานฮัน
ถ้าหากเขาทำให้พวกนั้นเลือกที่จะลงทุนกับเขาได้ละก็ สิ่งที่เขาได้มาด้วยการทรยศหักหลังเพื่อนรัก
ก็จะไม่มีวันหลุดลอยไปไหนได้
“ว่ายังไง
ฉันถามว่าพวกจีชางว่ายังไงบ้าง!!!”
พอไม่ได้คำตอบในสิ่งที่ถามออกไป ฮันจองซอกถึงกับตวาดผู้ช่วยของตัวเองทันที
“เลขาประธานของจีชางโทรมาเมื่อเช้า แจ้งว่า
ขอปฏิเสธข้อตกลงทั้งหมดที่คุยกันเอาไว้ครับ” ราวกับความหวังที่สร้างมากับมือพังทลายลง
เพราะความสะเพร่าของลูกสาวของเขา
เวลานี้ประธานฮันรู้สึกว่าเขาอาจจะเดินมาเจอทางตันเข้าจนได้
“แล้วฉันต้องทำยังไง”
“เข้าไม่ได้นะคะคุณดาวอน”
“มีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน!!!”
ยังไม่ทันที่ฮันจองซอกจะได้คำแนะนำอะไรจากผู้ช่วยคนสนิท
เสียงเอะอะโวยวายที่เขาแสนจะคุ้นหูก็ดังขึ้น พร้อมกับประตูห้องทำงานที่เปิดออก
เลขาหน้าห้องหันมามองหน้าของเจ้านายอย่างลำบากใจ
เพราะก่อนหน้านี้ประธานฮันสั่งเธอเอาไว้ว่าวันนี้เขาไม่ต้องการพบใครหน้าไหนทั้งนั้น
แต่คนที่เข้ามาคงเป็นกรณียกเว้น เพราะเธอคือฮันดาวอนลูกสาวสุดที่รักนั่นเอง
“คุณพ่อต้องจัดการข่าวนี้ให้หนูนะคะ!!!” ประธานฮันถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหันไปบอกให้เลขาออกไปได้
“คราวนี้มันเรื่องใหญ่”
“แล้วยังไงคะ
พ่อจะปล่อยให้หนูถูกสอบสวนเหรอ” ฮันดาวอนถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“พ่อบอกแกแล้วใช่มั้ย ว่าแกจะทำอะไรก็ได้
แต่อย่าให้มีร่องรอยให้คนตามจนเจอแบบนี้!”
หลักฐานชิ้นสำคัญก็คือคลิปเสียงของเธอตอนตกลงกับคนที่เธอว่าจ้าง
และด้วยเทคโนโลยีของกรมตำรวจสมัยนี้
มันพิสูจน์ได้ไม่ยากว่าเสียงในคลิปนั้นคือเสียงของเธอจริงหรือไม่
“พ่อคิดว่าหนูไม่จัดการให้เรียบร้อยรึไง
พ่อรู้มั้ยว่าหนูให้เงินมันไปกี่ล้านวอน
แล้วก่อนหน้านี้หนูให้เงินนังนั่นไปอยู่ต่างประเทศด้วยซ้ำ กล้องวงจรปิด คนที่รู้เห็น หนูจัดการหมดแล้ว”
“แล้วมันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!”
“หนูต้องถามพ่อมากกว่านะคะ”
“แกหมายความว่ายังไง” ฮันคนพ่อถามฮันคนลูกอย่างไม่เข้าใจ
“พ่อคิดว่าคนธรรมดาๆ
ที่ไหนจะทำเรื่องแบบนี้ได้”
“ค้นข้อมูลส่วนตัวของหนู
จนรู้ว่าหนูจ้างคนไปขโมยข้อสอบ แถมยังสืบจนถึงตัวนังนั่น
แถมยังตามเจอคนที่รู้เห็นทั้งหมดได้อีก พ่อคิดว่าเรื่องพวกนี้คือเรื่องบังเอิญเหรอ”
“ที่เรื่องของหนูถูกแฉ
ก็เพราะพ่อเองรึเปล่า ที่ไปสร้างศัตรูไว้กี่คนก็ไม่รู้”
มันจริงอย่างที่ลูกสาวพูด
เขามั่นใจว่าสั่งสอนลูกสาวมาให้เป็นคนรอบคอบมากแค่ไหน
เท่าที่ฟังจากฮันดาวอน ลูกสาวของเขาก็จัดการทุกอย่างได้ดี และมันก็จริงอีกที่ว่า
เรื่องที่แดงออกมาวันนี้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันต้องมีคนจงใจ คำถามคือ
ใครกันล่ะที่จะทำขนาดนี้ได้ และทำไปเพื่ออะไร?
“หรือว่าจะเป็น..” มีเพียงคนเดียวที่มองว่าเขาเป็นศัตรู
อดีตเพื่อนรักที่เขาใช้วิธีต่ำช้าแย่งทุกสิ่งทุกอย่างมา
“หยุดค่ะ ถ้าจะหมายถึงอาคิบอม
ที่นอนเหมือนศพอยู่ที่โรงพยาบาลละก็ลืมไปได้เลยค่ะ แล้วอย่าแม้แต่จะคิดว่าเป็นฝีมือยัยยูรินที่มาเอาคืนเราแทนพ่อของมัน
คนอย่างยัยนั่นจะมีปัญญาทำอะไรได้ เมื่อวานหนูเพิ่งตบมันจนยับเยินอยู่เลย
ไม่มีวันที่คนขี้แพ้แบบนั้นจะทำอะไรหนูได้หรอก”
“ผมว่า
แทนที่เราจะมาหาตัวคนทำ เราควรหาทางแก้ไขกันก่อนจะดีกว่านะครับ” ผู้ช่วยหนุ่มเอ่ยขึ้น ดึงความสนใจของผู้เป็นนายจากเรื่องน่าปวดหัวตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
“แล้วคิดว่าเราควรทำยังไง”
“ในเมื่อจีชางปฏิเสธเรา
เราก็ควรหาใครก็ได้ที่มีเครดิตมากพอมาร่วมทุน หรือหนุนหลังท่านครับ”
“หาผู้สนับสนุนรายใหม่งั้นเหรอ” ประธานวัยสี่สิบปลายๆคิดตาม
“ใช่ครับ หาผู้สนับสนุนที่จะมาช่วยกู้ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของเราให้กลับมา
ไม่อย่างนั้นพวกบอร์ดบริหารคนอื่นๆ
อาจใช้เรื่องนี้ดึงท่านลงจากตำแหน่งประธานได้ทุกเมื่อครับ”
“แต่ใครกันล่ะ
ใครที่จะมีทั้งเงิน อำนาจ และเครดิตดีขนาดนั้น” ประธานฮันคิดไม่ตก เอสเคกรุ๊ปไม่ใช่บริษัทเล็กๆ
การสรรหาคนที่จะเข้ามาช่วยพยุงเขาในยามวิกฤติเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะต้องเป็นพวกตัวท็อปของเกาหลีเท่านั้นแหละถึงจะช่วยเขาได้
ก๊อกๆๆๆ
“เข้ามา” เสียงเคาะประตูจากเลขาหน้าห้องทำให้การสนทนาของทั้งสามคนหยุดชะงักไป
“อะไรอีก”
“มีคนมาขอพบท่านประธานค่ะ” เลขาสาวชี้แจง
“ฉันบอกแล้วไงว่าห้ามรบกวน”
“เอ่อ แต่ว่า... คนที่มาขอพบท่าน
คือคนของบลูอีเกิ้ลนะคะ”
“อะไรนะ!! มัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบเชิญเข้ามาสิ”
ประธานฮันตกใจไม่น้อยเลยที่จู่ๆคนขององค์กรใหญ่อย่างบลูอีเกิ้ลมาหาเขาในวันที่มีข่าวฉาวแบบนี้
มันทำให้เขามีความหวังเล็กๆขึ้นมา ว่าวันนี้อาจจะมีข่าวดีเกิดขึ้นก็เป็นได้
เพราะบลูอีเกิ้ลไม่เคยเป็นฝ่ายที่จะต้องเข้าหาใครก่อน
องค์กรมหาอำนาจระดับภาคพื้นเอเชียขนาดนี้ เขาจะปฏิเสธที่จะไม่ให้เข้าพบได้ยังไงกัน
ไม่ถึงสองนาทีหลังจากที่เลขาสาวเดินออกจากห้องไป
ก็ปรากฏร่างสูงที่เดินมาพร้อมกับบอดี้การ์ดพ่วงตำแหน่งคนสนิททั้งสองคนเข้ามาภายในห้อง
นอกจากรังสีของความน่าเกรงขาม และอำนาจที่แผ่ออกมาจากร่างสูงโปร่งแล้ว
ใบหน้าหล่อคม ที่เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบจนน่าตกใจ ดวงตากลมโตกว่าคนเกาหลีทั่วๆไป
บวกกับสันจมูกที่โด่งราวกับถูกปั้น มันทำให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฮันดาวอน
ดึงความสนใจจากสายตาของเธอได้อย่างง่ายดาย
“คุณเจค!!” ไม่มีใครไม่รู้จักผู้สืบทอดเพียงผู้เดียวของบลูอีเกิ้ลอย่างจอนจองกุก
มันทำให้ประธานฮันตกใจยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าคนของบลูอีเกิ้ลมาพบเขาเสียอีก
เมื่อพบว่าคนที่มาพบเขาคือคนสำคัญของบลูอีเกิ้ลเลยทีเดียว
“เชิญนั่งก่อนครับ” ชายวัยกลางคนรีบเชิญผู้มาเยือนให้ไปนั่งที่ชุดโซฟายุโรปราคาแพง
ที่มีเอาไว้ต้อนรับแขกคนสำคัญเท่านั้น
จอนจองกุกเดินไปนั่งตรงโซฟาตัวยาว
โดยมีสายตาหวานหยาดเยิ้มจากฮันดาวอนที่นั่งอยู่ยังโซฟาตัวเยื้องๆกันจ้องมองมาที่เขาตลอดเวลา
“เป็นเกียรติของเรามากครับที่คุณเจคมาหาเราด้วยตัวเองแบบนี้
มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ” ฮันจองซอกถามออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
ระหว่างที่เลขาคนเดิมกำลังนำเครื่องดื่มของว่างมาเสิร์ฟตามหน้าที่
“รับใช้อะไรกันล่ะครับ” จองกุกพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ
“คุณคงพอจะรู้แล้วว่า
บลูอีเกิ้ลของเราตอนนี้ ยังไม่มีธุรกิจเกี่ยวกับยามาเป็นธุรกิจในเครือ” คนถูกถามพยักหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยตอบไป
“ผมพอจะรู้มาบ้างครับ” ฮันจองซอกตอบพร้อมกับรอยยิ้มและหัวใจที่ลุ้นระทึกว่า
วันนี้โชคชิ้นใหญ่กำลังจะหล่นลงมาทับเขาและบริษัทที่กำลังเผชิญวิกฤติอยู่ในขณะนี้
“ผมไม่อ้อมค้อมเลยแล้วกัน”
“ครับ” จอนจองกุกชอบเป็นที่สุด
แววตาที่เป็นประกายแห่งความหวังของชายวัยกลางคนตรงหน้า
“ผมจะสนับสนุนคุณในฐานะผู้ร่วมลงทุน”
“จริงเหรอครับ!!!” ในที่สุดความหวังของเขาก็เป็นเรื่องจริง
สองพ่อลูกต่างมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชม
“แต่... ผมมีเงื่อนไขว่า
ผมจะต้องมีหุ้นในเอสเคกรุ๊ปด้วย”
ประธานฮันชะงักไปเล็กน้อยเพื่อใช้ความคิด
เขารู้ดีที่จอนจองกุกต้องการมีหุ้นในเอสเคกรุ๊ปเพราะการใช้เงินสนับสนุนอะไรก็ตาม
ก็ย่อมต้องการสิ่งที่เป็นหลักประกันว่า สิ่งที่ทำลงไปมันจะคุ้มค่า
และถ้าหากเขาปล่อยให้จอนจองกุกไปซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ
มันจะทำให้อำนาจที่เขาพึงมี อาจจะได้มาอย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
“ผมมีหุ้นทั้งหมด 45 เปอร์เซ็นต์ คุณจะรังเกียจมั้ยครับ
ถ้าผมจะขายหุ้นในส่วนของผมให้กับคุณ..”
“15 เปอร์เซ็นต์
ผมต้องการแค่นั้น”
“!!!”
คนได้ยินตกใจอีกครั้ง
เมื่อเปอร์เซ็นต์ของหุ้นที่จอนจองกุกต้องการมันไม่ได้มากมายอย่างที่เขาคิด
แต่ก็ดีแล้วหากการที่เขาเจียดขายหุ้นไปเพียงน้อยนิด
แลกกับสิ่งที่บลูอีเกิ้ลจะมอบให้กับเขา มันไม่ใช่แค่ธุรกิจ
แต่ใครก็ตามที่ได้อยู่ภายใต้ใบบุญของบลูอีเกิ้ลแล้วละก็ อำนาจ
และสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย
จะหลั่งไหลเข้ามาเพื่อให้เขากอบโกยและใช้ประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ยินดีและเป็นเกียรติมากๆครับคุณเจค
ผมกับลูกสาวยินดีมากๆเลยครับ”
เมื่อได้ยินคำว่าลูกสาว
สายตาคมของชายหนุ่มก็มองไปยังคนที่ถูกเอ่ยถึงด้วยสายตานิ่งๆ ทำเอาฮันดาวอนใจเต้นระรัว
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบเจอกับจอนจองกุกตัวจริง ผู้ชายตรงหน้าที่ใครๆก็บอกกันปากต่อปากว่าผู้ชายคนนี้อันตราย
เธอไม่เถียงเลยแม้แต่น้อย
หากแต่ความอันตรายตรงหน้ามันช่างมีเสน่ห์ล่อตาล่อใจเธอเหลือเกิน
ผู้ชายคนนี้เก่งเกินตัวเกินอายุไปมาก เธอไม่คิดว่าตัวจริงของจอนจองกุกจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้
และแน่นอน เมื่ออ้อยเข้าปากช้างเช่นนี้ เธอก็อยากจะลองเสี่ยงดูสักตั้ง
หากเธอได้สิ่งที่แสนอันตรายมาครอบครองชีวิตนี้ของเธอก็คงสบายไปทั้งชาติ
“คุณคงเป็นฮันดาวอน”
“ชะ ใช่ค่ะ ฉันฮันดาวอน
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
หญิงสาวสบโอกาส
แนะนำตัวกับชายที่เธอหมายปองทันที
“กอน”
“ครับ”
เหมือนอีกอนจะรู้ความต้องการของเจ้านาย
เพียงแค่ถูกเรียกชื่อ เขาก็ยื่นกล่องบางอย่างไปให้กับฮันดาวอนทันที
คนรับมาก็มองกล่องในมือด้วยความแปลกใจ ตกใจ และปลื้มใจยิ่งกว่า
โลโก้แบรนด์ของกล่องในมือ เธอรู้ดีว่าของข้างในมันคืออะไร แต่เธอยังไม่มั่นใจนัก
“ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกของเรา
เปิดดูสิครับ อยากรู้ว่าคุณจะชอบมันรึเปล่า” ฮันดาวอนได้ยินอย่างนั้นก็รีบดึงริบบิ้นออก
ก่อนจะเปิดกล่องใบหรูออกมา จนในที่สุดสิ่งที่เธอเห็นตรงหน้าก็ทำให้เธอดีใจจนห้ามรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
“กระเป๋าใบนี้มัน!! คุณเจคให้ฉันเหรอคะ”
มันคือกระเป๋าใบเมื่อวาน
ใบเดียวกับที่เธอใช้มันเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้กลั่นแกล้งอดีตเพื่อนรักไป
กระเป๋าใบนี้เป็นรุ่นลิมิเตดอิดิชั่น ผลิตมาเพียงแค่สามสิบใบในโลกเท่านั้น
ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ หนังแท้ภายในสามารถปักชื่อของผู้ที่เป็นเจ้าของลงไปได้
เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามถึงราคาของมันเลย
แต่ไม่ใช่ว่ามีเงินเพียงเท่านั้นที่จะครอบครองกระเป๋าเลอค่าใบนี้ได้
เธอเองอยากได้มันมาก
แต่ขนาดลูกสาวประธานเอสเคกรุ๊ปอย่างเธอ ยังไม่สามารถซื้อมันได้เลยด้วยซ้ำ เหตุผลเพราะราคาที่ไกลเกินเอื้อม
และโปรไฟล์ของเธอยังคงไม่ควรคู่กับกระเป๋าใบนี้
แต่คนตรงหน้าสามารถซื้อมันมามอบเป็นของขวัญให้กับเธอได้
คงไม่ผิดหรอกที่ผู้หญิงสวยเพียบพร้อมอย่างเธอจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า สิ่งที่ผู้ชายอันตรายตรงหน้าเธอทำอยู่ มันเป็นเพราะเขานั้นปรารถนาในตัวเธอ ซึ่งถือได้ว่าทั้งสองคนมีความต้องการที่ตรงกัน ฮันดาวอนไม่ลืมที่จะส่งรอยยิ้มที่ผู้ชายคนไหนได้เห็น เป็นอันต้องตกหลุมรักเธอไม่ยากไปให้คนที่มอบกระเป๋าใบนี้ให้กับเธอ
“ตรงที่ปักชื่อได้
รออีกสักอาทิตย์หน้าค่อยเอาไปปักชื่อนะครับ” อีกอนบอกไป
เมื่อเห็นว่าฮันดาวอนกำลังจะดึงสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ตรงจุดที่มีไว้สำหรับปักชื่อ
ทำเอามือเล็กชะงักไป
“ที่ยังไม่ได้ปักชื่อลงไป
เพราะคุณเจคคิดว่าคุณอาจจะอยากเลือกแบบตัวอักษรเองครับ” ยิ่งได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวยิ่งย่ามใจว่า
เธอกำลังจะได้เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก
“ผมให้ฝ่ายการเงินโอนเงินให้คุณแล้ว” จอนจองกุกพูดขึ้นเมื่อเขาสั่งให้ลูกน้องโอนเงินเข้าบัญชีของประธานฮันแล้ว
“ขอบคุณครับ
ทางเราจะรีบทำการโอนหุ้น 15
เปอร์เซ็นต์ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของคุณเจคภายในวันนี้เลยครับ” ได้ยินอย่างนั้น รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อร้ายเพียงชั่วขณะให้คู่สนทนาที่กำลังดีอกดีใจจนไม่สนใจสิ่งรอบตัวไปแล้ว
“ดีครับ” เขาตอบกลับไปเพียงเท่านั้น
เมื่อแขกผู้มาเยือนทั้งสามคนเดินพ้นประตูห้องไป
สองพ่อลูกแทบจะกระโจนกอดกันอยู่รอมร่อ เพราะต่างรู้สึกราวกับว่า
สวรรค์ได้ประทานจอนจองกุกมาให้กับทั้งสองคน
“เห็นมั้ยว่ายังไงเราก็ต้องมีทางออก”
“นอกจากพ่อจะแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว
พ่อต้องให้รางวัลหนูด้วยนะคะ”
“รางวัลอะไรกัน” คนพ่อเอ่ยถาม
“พ่อไม่เห็นที่คุณเจคเขาให้ของขวัญหนูเหรอคะ
พ่อคิดว่า คุณเจคมาขอสนับสนุนบริษัทเราเพราะอยากทำธุรกิจด้วยแค่นั้นเหรอคะ”
จริงอย่างที่คนลูกพูด
การที่จะยื่นมือมาเป็นผู้สนับสนุนเขา เพียงแค่ยกโทรศัพท์กริ๊งเดียวทุกอย่างก็จบ
ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง
แล้วยิ่งมีของขวัญสุดเลอค่ามามอบให้กับลูกสาวของเขาด้วยแบบนี้
ฮันจองซอกเริ่มมองเห็นอนาคตรางๆแล้วว่า
เขาอาจไม่ได้มีส่วนร่วมกับบลูอีเกิ้ลในฐานะธุรกิจในเครือ
แต่อาจจะได้ก้าวเข้าไปดองกับตระกูลจอนโดยตรงก็เป็นได้ และหากเป็นอย่างนั้น
ทั้งตัวเขาเอง ครอบครัว
และธุรกิจของเขาจะต้องรุ่งโรจน์ได้อย่างสบายไร้ข้อกังวลเพราะบารมีของตระกูลจอน
“จริงด้วย
ต้องให้รางวัลลูกสาวคนสวยของพ่อ ที่ทำให้คุณเจคมาหาเราได้”
“แต่ผมว่ามันจะดูบังเอิญเกินไปรึเปล่าครับท่าน” ผู้ช่วยคนเดิมพูดขึ้น
หวังเพื่อจะทำให้ประธานได้ฉุกคิดเผื่อใจเอาไว้บ้าง
แต่มันกลับทำให้สองพ่อลูกตวัดสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ
“บังเอิญยังไง”
“คุณเจคยื่นมือเข้ามา
ในเวลาที่ท่านกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และด้วยข่าวที่เกิดขึ้นวันนี้
มันไม่น่าจะทำให้พวกเขาสนใจที่จะสนับสนุนธุรกิจของเราได้เลยนะครับ”
บริษัทที่กำลังมีข่าวฉาว
แถมหุ้นตกฮวบฮาบ รวมถึงประธานที่ขาดความมั่นคงด้วยแล้ว
ในความคิดของคนฉลาดอย่างมือขวาของประธานฮัน มองว่ามันดูจะไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ที่บลูอีเกิ้ลจะมาลงทุนกับเอสเคกรุ๊ป
“เคยได้ยินมั้ย ว่าลงทุนเพราะความเสน่หาน่ะ” ฮันดาวอนพูดแทรกขึ้นมา
“อะไรนะครับ???”
“ความจริง
คุณเจคอาจจะไม่ได้ต้องการร่วมทุนอะไรกับพ่อหรอก แต่สิ่งที่เขาต้องการก็คือฉัน” ดาวอนมั่นใจเสียยิ่งกว่าเรื่องไหนๆ
ความสวยของเธอไม่เคยทำให้เจ้าตัวผิดหวัง เธอมั่นใจและเอาหัวเป็นประกันเลยว่า
การที่ว่าที่ผู้นำของบลูอีเกิ้ลยื่นมือเข้ามาช่วยบริษัทพ่อของเธอ เหตุผลก็คือ ‘เธอ’ อย่างแน่นอน
“เสน่ห์แรงเกินไปรึเปล่าครับ” อีกอนที่กำลังขับรถไปด้วยพูดขึ้น
เขาตั้งใจแซวเจ้านายสักหน่อย
เพราะคนอย่างจอนจองกุกไม่เคยใช้เสน่ห์ในมุมนี้กับใครมาก่อน
“หึ ไม่เห็นจะยาก” เขาคิดว่าฮันดาวอนจะยากกว่านี้ซะอีก
ที่ไหนได้ แค่เอากระเป๋าที่เขาซื้อด้วยเศษเงินมาล่อหน่อย
ก็แทบจะเปลื้องผ้าถวายตัวให้เขาอยู่แล้ว
“ระวังนะครับ”
“ระวังอะไร?” คราวนี้จองกุกตวัดสายตาไปยังโดยองที่นั่งข้างอีกอน
“ก็ถ้าคุณยูริน
รู้ว่าคุณเจคซื้อกระเป๋าให้ผู้หญิงคนอื่นขึ้นมาละก็ เธอจะโกรธเอาได้นะครับ”
“ยัยนั่นจะโกรธฉันทำไม” มาเฟียหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ
คนไม่เคยมีแฟนอย่างเขา จะเอาสมองที่ไหนไปรับรู้เรื่องพวกนี้
“คนที่เป็นภรรยา
ถ้ารู้ว่าสามีของตัวเอง ซื้อกระเป๋าราคาหลายล้านวอนไปให้ผู้หญิงคนอื่น
ก็ต้องโกรธเป็นธรรมดาครับ” โดยองพยายามอธิบาย
“ไม่เห็นต้องสน
ก็อย่าให้ยัยนั่นรู้สิ”
คนที่ไขว่ห้างอยู่ที่เบาะหลังยักไหล่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ประโยคที่พูดออกมา ส่วนหน้ากับส่วนท้ายมันช่างสวนทางกัน
ไม่สนใจ แต่ก็ไม่อยากให้รู้
“ไม่อยากให้รู้แปลว่า
กลัวเธอโกรธนะครับ”
“กอน!! ขับรถไป” จอนจองกุกออกคำสั่งตาเขียวปั้ด
หากแต่มือขวาและมือซ้ายของเขากลับหันมองกัน
แล้วแอบยิ้มให้กับความปากแข็งของคนเป็นนาย ที่ลงทุนทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อว่าที่ภรรยาไม่ใช่รึไง
ยังจะบอกว่าไม่สนใจเธออยู่อีก ไปเรียกเด็กสามขวบมาฟังยังไม่เชื่อเลย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชั้นล่างสุดของตึกทกซูรี
ตรงใจกลางตึกถูกออกแบบให้เป็นลานโล่งๆไม่ต่างอะไรกับโรงยิม
ซึ่งคนที่นี่เรียกมันว่า ‘โรงฝึก’
และโรงฝึกนี้ถูกจัดแบ่งเป็นโซน
ทั้งส่วนที่เอาไว้ฝึกซ้อมยิงปืน ส่วนที่เอาไว้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง
ไม่ว่าจะเป็น ยูโด เทควันโด เคนโด้ หรือแม้แต่การฝึกดาบแบบโบราณ
ตอนนี้นัมยูรินในชุดที่ดูทะมัดทะแมงกำลังฟังครูฝึกอธิบายในส่วนของข้อมูลสำคัญที่เธอจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการใช้ปืน
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่เธอได้มาเรียนยิงปืน
แต่สองวันก่อนหน้านี้คนที่มาสอนเธอเป็นครูสอนยิงปืนหลักของบลูอีเกิ้ล
ไม่ใช่คนที่บอกว่าจะสอนเธอยิงปืนตั้งแต่แรก แต่ก็ดีแล้ว
ขืนให้เขามาสอนเขาอาจจะใช้เธอเป็นเป้าในการยิงก็เป็นได้
ถึงยูรินจะไม่ได้อยากเรียนนัก
แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้
อย่างน้อยๆก็เอาไปใช้เพื่อป้องกันตัวในสถานการณ์อันตรายในอนาคตได้
“คุณยูรินมีข้อสงสัยอะไร
ถามผมได้เลยนะครับ” ครูสอนยิงปืนเอ่ยถาม
เมื่อเขาได้ถ่ายทอดสิ่งที่เป็นทฤษฎีไปหมดแล้ว
“อืม...ไม่มีแล้วค่ะ ฉันเข้าใจทั้งหมดแล้ว”
“ดีครับ ถ้าอย่างนั้น
วันนี้คุณจะได้ฝึกยิงจริงๆแล้วนะครับ”
“โอเคค่ะ ฉันพร้อมแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบไปอย่างค่อนข้างมั่นใจ
เธอจดจำสิ่งที่ครูฝึกสอนได้ทั้งหมดแล้ว
และจะรู้ได้ว่าเธอเข้าใจจริงๆหรือไม่ ก็ต่อเมื่อได้ลองยิงปืนจริงๆเสียก่อน
“ครับ
ถ้าอย่างนั้นรอคุณเจคสักครู่นะครับ”
“คะ??? รอทำไมคะ”
นัมยูรินตกใจเมื่อได้ยินว่า
คนที่ไม่ค่อยอยากเจอนัก จะเป็นคนสอนเธอต่อ เธอก็อุตส่าห์หลงดีใจ
และผ่อนคลายพอสมควรที่ได้เรียนกับครูสอนยิงปืนคนนี้
“ก็บอกแล้วไงว่าจะสอนเอง” นั่นไม่ใช่เสียงของครูสอนยิงปืน
แต่เป็นเสียงของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ
“คุณ!” จอนจองกุกไม่ได้สนใจว่าคนตัวเล็กจะพูดอะไร
เขาแค่เดินผ่านเธอไปเฉยๆ วันนี้จองกุกสวมชุดที่ดูสบายๆกว่าทุกที
การที่เขาสวมแค่เสื้อโปโลธรรมดาๆแบบนี้ก็ทำให้เขาดูดีได้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณเจค” ครูสอนยิงปืนบอกลาชายหนุ่มอย่างสุภาพ
แต่ก่อนจะเดินออกไปก็มิวายพูดให้กำลังใจลูกศิษย์ของตัวเองก่อน
“ไม่ต้องกังวลนะครับ
คุณทำได้ครับ คุณเจคน่ะยิงปืนเก่งกว่าผมอีก” พูดจบร่างสูงก็เดินออกไปทันที
ทิ้งให้เหลือเพียงสองคนที่ยังคงอยู่ในนี้
“ตามมา”
จองกุกเอ่ยโดยไม่ได้มองหน้ายูรินด้วยซ้ำ
ก่อนจะเดินนำเธอไป และคนตัวเล็กกว่าก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย
เพราะรู้ว่าที่ที่เขาจะพาไปก็คือห้องซ้อมยิงปืนจริงๆ ที่อยู่ด้านในสุด
ไม่นานทั้งสองก็เข้ามายังห้องซ้อมยิงปืนของจริง
คนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็มองสำรวจไปรอบๆอย่างสนอกสนใจไม่น้อย
เธอเคยเห็นมาบ้างในภาพยนตร์ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้เข้ามาในที่แบบนี้
แต่อันที่จริงชีวิตของเธอก่อนหน้านี้
เธอก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำไปเยอะแล้วล่ะ
จองกุกนำยูรินไปยังจุดที่มีไว้สำหรับยิงปืน
มันถูกแบ่งเป็นช่องๆ เพื่อความเป็นส่วนตัวและสมาธิของผู้ฝึก
“นั่นปืน หยิบมันขึ้นมา
แล้วลองยิงดู” ได้ยินอย่างนั้นเธอก็เดินไปตรงจุดที่ต้องยืน
ก่อนจะหยิบหูฟังป้องกันเสียงรบกวนขึ้นมาสวม
“ไม่ต้องใส่ก็ได้”
“คะ?” คนที่เพิ่งถูกสอนมาว่าควรใส่หูฟังป้องกันเสียงรบกวนตอนฝึกยิง
ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ปืนกระบอกนี้
มันไม่ได้เสียงดังขนาดนั้น แล้วอีกอย่างเธอควรฝึกให้ชินกับเสียงปืน แต่ถ้าช่วงแรกๆจะใส่ก็ไม่เป็นไร”
ปืนกระบอกที่วางอยู่ตรงโต๊ะตรงหน้าของร่างบาง
เธอค่อยๆหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ใครจะไปเคยชินกับอะไรแบบนี้ได้ง่ายๆกันล่ะ
แต่พอได้ลองจับปืนขึ้นมา
เธอก็รู้สึกได้ว่าปืนกระบอกนี้มีน้ำหนักเบากว่ากระบอกที่เธอเคยยิงคืนวันนั้นพอสมควร
“ลองยิงดู”
นัมยูรินเม้มปากแน่นเพื่อทำใจ
ถึงเธอจะเคยยิงมันมาแล้ว แต่ตอนนั้นสถานการณ์มันพาไป เธอเลยจำเป็นที่จะต้องทำ
พอต้องมาฝึกยิงจริงจังแบบนี้ ทำให้เธอประหม่าไม่น้อยเลย
แล้วยิ่งต้องมายิงต่อหน้าคนที่กำลังใช้สายตาน่ากลัวจ้องจับผิดเธออยู่แบบนี้ด้วย
มันทำให้เธอแทบลืมสิ่งที่เรียนมาไปหมดสิ้น
“ยิงเร็วๆ” ที่เขาบอกให้เธอยิงให้ดูก่อน
เป็นเพราะต้องการที่จะประเมินก่อนว่า
ความสามารถในการยิงของคนตัวเล็กนั้นอยู่ที่ระดับไหน
“รู้แล้วค่ะ”
“ฟู่ว....” ยูรินพ่นลมหายใจออกมาเพื่อความผ่อนคลายและเรียกสมาธิของตัวเองไปด้วย
เพราะรู้ว่าสมาธิเป็นสิ่งสำคัญในการยิงปืน
มือข้างที่ถนัดถือกระบอกปืนเอาไว้แน่น
โดยมีมืออีกข้างประคองด้านล่างของปืนเอาไว้
สายตามองผ่านปลายกระบอกปืนไปยังเป้ายิงที่อยู่ห่างออกไปราวสิบเมตร
เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอด เพื่อหยุดอาการตื่นเต้นจนใจเต้นรุนแรงไปหมด เธอทั้งตื่นเต้นที่จะได้ยิงปืนจริงๆจังๆครั้งแรก
และประหม่ามากยิ่งขึ้นเมื่อมองไปเห็นสายตากดดันจากคนที่ยืนอยู่ข้างกาย
สายตาของจอนจองกุกที่มองเธออยู่ เหมือนกับต้องการจะบอกกับเธอว่า หากเธอไม่รีบยิง เขานี่แหละจะเป็นคนยิงเธอเอง
ปั้ง!!!
ในที่สุดเธอก็กลั้นใจลั่นไกยิงนัดแรกออกไปจนได้
แต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็พบว่า ผลของมันแย่กว่าที่คิดเอาไว้มาก
และเมื่อเธอหันไปมองคนข้างๆ สายตาของเขายิ่งตอกย้ำความคิดของเธอที่ว่า
เธอยิงปืนได้แย่แค่ไหน
“เธอยิงห่างจากเป้าเกือบสามเมตร”
“รู้แล้วค่ะ” ไม่เห็นจะต้องตอกย้ำกันเลย
หญิงสาวคิดในใจ ความกลัวปืนก็ยังคงมีอยู่ถึงจะไม่มากเหมือนเมื่อก่อน
แล้วใครกันจะยิงปืนได้ดีตั้งแต่ครั้งแรกที่ยิง
“ยิงใหม่”
“คะ?”
“ฉันบอกให้ยิงใหม่”
“ค่ะ”
ยูรินรับคำก่อนจะค่อยๆยกปืนขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ก็พอรู้ชะตากรรมของตัวเองดีว่ายังไงครั้งนี้ก็คงไม่ต่างจากเมื่อครู่นักหรอก
มือเล็กกระชับปืนในมือให้แน่นแต่มันแน่นเกินไป
จนมันทำให้มือเธอของเธอเกิดสั่นขึ้นมา
ยิ่งเห็นว่ามือของตัวเองนั้นกำลังสั่นเทายูรินยิ่งประหม่ามากขึ้นไปอีก
แต่แล้วมือที่กำลังถือปืนของหญิงสาว
ก็เกิดหยุดสั่นในทันที เมื่อมีมือทั้งสองข้างของใครอีกคนมาช่วยประคองมือของเธอเอาไว้อีกทีหนึ่ง
มือใหญ่ทั้งสองข้างกุมมือเล็กเอาไว้จนเธอแทบจะมองไม่เห็นมือของตัวเอง
และสิ่งที่มองไม่เห็นยิ่งกว่ามือก็คือ
‘สติ’ ที่อันตรธานหายไปไหนแล้วก็ไม่อาจรู้ได้
เหตุผลที่สติของเธอหลุดลอยไป มันเป็นเพราะคนตัวสูงที่กำลังยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเธอ
ยูรินตกใจไม่น้อยเลยที่สิ่งที่ร่างสูงกำลังทำอยู่ในตอนนี้มันไม่ต่างไปจากการโอบกอดเธอจากทางด้านหลัง
ความแนบชิดที่แผ่นหลังบางสัมผัสเข้ากับแผงอกแกร่ง มันส่งผลโดยตรงกับหัวใจดวงน้อยๆที่เต้นแรงเพราะการยิงปืนอยู่ก่อนแล้วให้มีอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
“มีสมาธิ” เสียงทุ้มต่ำที่ออกมาจากริมฝีปากที่อยู่ไม่ห่างจากศีรษะของเธอ
เรียกสติของเธอกลับมาได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
“วางเท้าให้ห่างกันประมาณความกว้างของไหล่และให้ขนานกันมากที่สุด” สองขาขยับตามที่ชายหนุ่มบอกกับเธอ
“แขนที่ใช้ยิงจะต้องเหยียดเต็มที่
พร้อมกับข้อมือ และข้อศอกจะต้องนิ่ง”
“ค่ะ ค่ะ”
“ในจุดที่เตรียมพร้อม 45 องศากับเป้ายิง
แขนจะถูกยกขึ้นมาสู่จุดยิงโดยการบังคับของกล้ามเนื้อไหล่เท่านั้น โดยส่วนอื่นๆ
จะไม่เคลื่อนไหวเด็ดขาด”
“หะ ห้ามเลยเหรอคะ”
“หึ ทำไม่ได้สินะ”
“ทำไมจะทำไม่ได้คะ” คนตัวเล็กถามกลับอย่างไม่พอใจ
ที่รู้สึกเหมือนกำลังถูกสบประมาทอยู่
“ก็...ตัวเธอสั่น”
ร่างเล็กที่สั่นเป็นลูกนกจนจอนจองกุกรู้สึกได้
มันทำให้เขานึกขำในใจ ยัยตัวเล็กคงจะกลัวปืนไม่ใช่น้อยเลย หากแต่ความเป็นจริง
สิ่งที่หญิงกลัวไม่ใช่ปืนอย่างที่เขาคิด
แต่เป็นตัวของเขาเองต่างหากล่ะที่ทำให้เธอหวั่นกลัว
“ก็ ก็คุณอยู่ใกล้เกินไปนี่คะ
ถอยออกไปหน่อยได้มั้ย”
“หึ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่
มันอยู่ห่างกันได้รึไง”
เขากำลังสอนเธอยิงปืนอยู่
จะให้ไปยืนหน้าตึกทกซูรีสอนหรือยังไงกัน
“สมาธิ!!” ร่างบางสะดุ้งโหยงที่จู่ๆจองกุกก็พูดเสียงดังขึ้นมา
“ตกใจอะไร”
“อย่าดุสิคะ T^T แล้วฉันจะยิงได้มั้ยเล่า” หญิงสาวหันไปบอกกับร่างสูงที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังของเธอ
“สมาธิ” จองกุกพูดคำเดิม แต่ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“เธอต้องยืนตรงแต่มีการผ่อนคลาย
ให้น้ำหนักตกที่ระดับสะโพก
เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบต่อร่างกายส่วนอื่นๆโดยเฉพาะหลัง”
“มีสมาธิ ผ่อนคลาย”
“เงยหน้าขึ้นแล้วใช้สายตาของเธอจ้องที่เป้าหมาย”
“ค่อยๆหายใจ”
“หลับตาซ้ายลง เล็งด้วยตาขวา
ให้ยอดศูนย์หน้าอยู่กึ่งกลางช่องบากศูนย์หลังของปืนเสมอ
วางไว้ส่วนล่างของที่หมาย”
“ค่อยๆกดไกเบาๆจนกว่าปืนจะลั่นเอง
เพราะถ้ากดไกปืนแรงเกินไปจะทำให้เกิดการกระชากได้”
น่าแปลกที่การปรับให้เสียงพูดเบาลง
จนเหมือนจองกุกกระซิบให้หญิงสาวฟัง
มันกลับทำให้การเรียกสมาธิของเธอทำได้ง่ายขึ้น ทั้งๆที่เป็นเพียงเสียงทุ้มต่ำที่ไม่ได้ดังอะไร
แต่มันกลับทะลุหูฟังเข้ามาได้
“ถ้าเล็งได้ก็ยิงเลย”
ปั้ง!
“ว้าย!!”
เป็นเพราะครั้งนี้ยูรินลั่นไกออกไปโดยที่เธอลืมยืนในท่าที่มั่นคง
ทำให้ร่างบางเซไปด้านหลังตามแรงของปืน เธอคงจะล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว
หากไม่ใช่เพราะร่างสูงที่ยืนซ้อนอยู่
จองกุกใช้ท่อนแขนข้างซ้ายโอบรัดเอวบางไปพร้อมๆกับใช้ร่างกายของเขาเป็นดั่งกำแพงแกร่งกันร่างบางเอาไว้เพื่อไม่ให้เธอล้มลง
“เธอออกแรงลั่นไกมากเกินไป ลองใหม่” ยูรินพยักหน้าตามที่จองกุกแนะนำ
ก่อนจะหันไปโฟกัสกับการยิงปืนอีกครั้ง
เธอตั้งใจหนักหนาว่าครั้งนี้ต้องยิงให้ดีกว่าเดิมให้ได้ และเพราะความตั้งใจมากไป
มันทำให้เธอลืมไปเลยว่าตอนนี้มีท่อนแขนของว่าที่สามีกำลังโอบพาดอยู่ที่เอวบางของตัวเองอยู่
“ผ่อนคลาย ไม่ต้องเกร็ง”
“ไม่ต้องกลัวล้ม ฉันยืนอยู่ตรงนี้” ประโยคนั้นจากจองกุกมันทำให้คนฟังรู้สึกราวกับว่า
หากมีเขาอยู่ใกล้ๆ เธอจะปลอดภัยยังไงยังงั้น
นัมยูรินสูดหายใจเข้า
แล้วพยายามตั้งสติให้มั่น ก่อนจะทำตามทุกอย่างที่ครูฝึกสอนมา
รวมถึงสิ่งที่จอนจองกุกเน้นย้ำไปเมื่อกี้ และในที่สุด....
ปั้ง!
นัดที่สามที่เธอยิงออกไป
กระสุนปืนพุ่งตรงไปเจาะทะลุเป้ายิงตรงหน้า ถึงแม้จะไม่ตรงกลางเป้า
แต่ก็ถือว่าเธอทำได้ดีสมกับที่ตั้งใจยิงนัดนี้ออกไป
“คุณเห็นมั้ย!!!” คนตัวเล็กถามทั้งที่ทั้งคู่ยังยืนอยู่ในท่าเดิม
“เห็น”
“เป็นยังไงคะ โอเคมั้ย”
“ก็...ไม่แย่” ร่างเล็กคว้ามือหนาที่วางอยู่ที่เอวคอดของตัวเองออก
เพื่อให้ตัวเองหันไปเผชิญหน้ากับร่างสูงตรงๆ
แต่เธอคงลืมไปว่ามือของเธอยังคงจับมือของจองกุกเอาไว้อยู่
“ไม่แย่เองเหรอคะ
เกือบกลางเป้าแล้วนะ”
“อยากให้ชม?” จองกุกถามพลางใช้สายตานิ่งมองคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาไปไม่มากนัก
“คนทำดีก็ต้องถูกชมสิคะ”
“ชมไปแล้วได้อะไร”
“ก็จะได้มีกำลังใจไงคะ”
“หึ อยากได้กำลังใจจากฉัน?”
“อยากได้สิคะ”
คนตัวเล็กที่นึกเพียงจะต่อปากต่อคำกับคนตัวสูง
ตอนนี้กำลังถูกสายตาคมจ้องมองมาในระยะที่เธอลืมไปเลยว่าเธอกับเขายืนอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน
ยูรินรู้สึกได้ถึงความอันตรายขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อถูกสายตาคู่นั้นจ้องมอง
ราวกับดวงตาสีดำสนิทราวกับทะเลลึกที่ยากเกินจะหยั่งถึงกำลังสะกดให้เธอจ้องมองกลับไปได้อย่างไม่รู้เบื่อ
“ฝึกป้องกันตัวเองเอาไว้
จะได้ไม่ตายง่ายๆ”
นั่นคือประโยคที่เขาพูดออกมา
จะจัดอยู่ในประเภทไหนดี ประโยคแสดงความชื่นชม ประโยคแสดงความเป็นห่วงเป็นใย
หรือประโยคที่กำลังเยาะเย้ยเธออยู่กันแน่
ยูรินไม่สามารถคาดเดาความคิดของคนตรงหน้าได้เลยสักครั้ง
“คุณเจคครับ!!!”
“เอ่อ ขอโทษครับ”
และเพราะโดยองที่แทบจะวิ่งเข้ามา
มันทำให้ทั้งคู่ละสายตาออกจากกัน แล้วหันไปมองคนที่เพิ่งเข้ามาแทน
“มีอะไร” จองกุกเอ่ยถาม
แต่สายตาของโดยองไม่ได้มองไปที่ใบหน้าของเจ้านาย
เขากำลังมองมือเล็กที่กำลังจับมือใหญ่ของเจ้านายของเขาเอาไว้
เมื่อยูรินมองตามสายตาของโดยองมันทำให้ใบหน้าสวยเห่อร้อนขึ้นมา
เธอจึงรีบปล่อยมือออกจากมือใหญ่ทันที ก่อนจะพยายามเก็บซ่อนอาการเขินอายเอาไว้
“เอ่อ...” ท่าทีของโดยองมันทำให้หญิงสาวรู้ว่า
เรื่องที่ทำให้เขารีบร้อนเข้ามาในนี้คงจะเป็นความลับและเป็นธุระสำคัญ
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยปากออกไป
ก่อนจะเดินออกจากห้องซ้อมยิงปืน เพื่อให้ทั้งสองคนได้คุยกันอย่างสะดวก
และอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอจำต้องรีบออกไปจากตรงนี้ก็คือ
เธอไม่อยากให้คนตัวโตมองเห็นสิ่งที่เธอพยายามเก็บซ่อนไว้
“อยากโดนยิงตาแตกรึไง” จอนจองกุกอดทนแสร้งทำเป็นเมินเฉยไม่ได้กับสายตาของโดยองที่มองมา
“ผมไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะใช่มั้ยครับ”
“สรุปจะมากวนตีน?”
“ปะ เปล่าครับ
ผมแค่จะมาบอกว่า พวกนั้นยอมขายหุ้นให้เราแล้วครับ”
“ตอนนี้ได้มาเท่าไหร่” โดยองคลี่ยิ้มก่อนจะตอบเจ้านายไป
“ทั้งหมดครับ”
“หึ เร็วกว่าที่คิด”
“เพราะข่าวฉาวของผู้หญิงคนนั้นด้วยครับ
ทำให้ผู้ถือหุ้นทั้งหมดยอมขายหุ้นที่มีอยู่ในมือให้เราทั้งหมด”
“หุ้นที่ตกฮวบจนราคาต่ำเตี้ยขนาดนั้น
ไม่มีใครกล้าถือเอาไว้หรอก”
จองกุกยิ้มพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาวางเอาไว้
เขามีหุ้นจากฮันจองซอก 15
เปอร์เซ็นต์
เมื่อเอามารวมกับหุ้นที่เขาสั่งให้คนไปกว้านซื้อแกมบังคับจากบรรดาผู้ถือหุ้นทุกคนของเอสเคกรุ๊ป
เพียงไม่กี่วันถึงบัดนี้
จอนจองกุกกลายเป็นผู้ที่มีหุ้นของบริษัทนำเข้าและผลิตยารายใหญ่ของเกาหลี
อยู่ในมือรวมๆแล้ว 70
เปอร์เซ็นต์
“มารอดูกัน
ว่าถ้าฮันจองซอกมีหุ้นเหลือแค่ 30
เปอร์เซ็นต์ มันจะดิ้นเป็นหมาโดนน้ำร้อนลวกยังไงบ้าง” แค่คิด ความสนุกก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
มาเฟียหนุ่มคุยธุระกับลูกน้องคนสนิท
โดยไม่รู้เลยว่า คนตัวเล็กที่น่าจะกลับออกไปแล้ว
กำลังได้ยินในสิ่งที่เธอไม่คิดจะอยากรับรู้เพราะมันไม่ใช่ธุระอะไรของเธอ
แต่เพราะเธอลืมของเอาไว้ ทำให้ต้องกลับมาหยิบที่ล็อคเกอร์อีกครั้ง
จนได้ยินชื่อของคนที่หักหลังพ่อของเธอจากปากของจอนจองกุก
“คุณคิดจะทำอะไรกันแน่...”
ความคิดเห็น