คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เทคนิคสวรรค์และเนจิ
ผ่านมาแล้วสองเดือนนับตั้งแต่วันนั้นที่เร็นและริทสึสอนวิชาคาถาของพวกเขาให้แกฉัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉันก็ได้เรียนรู้คาถาทั้งหมดของพวกเขาเป็นครั้งคราว
ฉันยังบังคับให้พวกเขาเรียนรู้คาถาอย่างน้อยหนึ่งคาถาจากทุกธาตุ เพราะหากพวกเขาจะติดตามฉันพวกเขาต้องไม่อ่อนแอ
'ไม่ใช่แค่ความสามารถของพวกเขาเท่านั้น พวกนั้นคือคาถาของเรา' ฉันหัวเราะเบาๆ
ปัจจุบันฉันรู้คาถาอย่างน้อยหนึ่งคาถาจากทุกธาตุ เริ่มตั้งแต่สายฟ้า จากนั้นก็ไฟ สุดท้ายก็เป็นธาตุอีกที่เหลือ
ฉันเปิดใช้งานดวงตาและสังเกตจักระที่ค่อยๆ นำทางไปยังนิ้วชี้ เมื่อมันเริ่มรั่วจากจุดจักระ ฉันก็นึกถึงความรู้สึกตอนที่ฉันใช้คาถาสายฟ้า
จักระค่อยๆ กลายเป็นสายฟ้าต่อหน้าฉัน และริ้วสายฟ้าก็เต้นอยู่บนนิ้วอย่างรวดเร็ว ฉับควบคุมมันอย่างเชี่ยวชาญและเล็งนิ้วไปที่ลูกโป่งลูกหนึ่งที่ห้อยลงมาจากด้วย
ฟิ้ว!
เปลี๊ยะ!
ซ่า!~
ลูกโป่งน้ำระเบิด และกระเซ็นลงบนพื้นขณะที่สายฟ้ากระจายหายไปในอากาศ
ฉันก็ทำแบบเดียวกันกับธาตุอื่นๆ เช่นกัน ฉันไม่ได้มีความคิดแบบสามัญสำนึกของโลกนินจานัก ที่ซึ่งนินจาจะต้องประสานอินเวลาใช้คาถา แต่ฉันมีพลังที่จะศึกษาและทำความเข้าใจในการไม่ประสานอินอย่างเต็มที่
ในสมัยฮาโกโรโมะ ผู้คนต่างใช้คาถาโดยไม่ประสานอินแม้แต่นิด มีเพียงผู้ที่เข้าใจองค์ประกอบของมันอย่างแท้จริงเท่านั้นที่รู้ว่ามันทำงานยังไง
ยังไงก็ตามแต่ ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่ออินดราคิดค้นการประสานอินขึ้นมา นับตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะใช้คาถาด้วยการประสานอิน โดยที่จะไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าองค์ประกอบต่างๆ ทำงานยังไง
'ฉันพนันได้เลยว่าถ้ามืของนินจาถูกตัด พวกเขาจะรู้สึกหดหู่และคิดว่าคงไม่สามารถใช้คาถาใดๆ ได้อีกต่อไปเลย' นั่นคือความคิดของโลกนินจาในปัจจุบัน
ฉันถอนหายใจหลังจากฝึกฝนธาตุทั้งหมดทีละน้อย และทำการขยายเส้นทางจักระทั้งสามครั้งให้เสร็จ ก่อนจะนอนลงบนพื้นอย่างรู้สึกเหนื่อย
'นี่คือขีดจำกัดที่ร่างกายสามารถรับได้สินะ' ฉันคิดขณะสังเกตจักระในร่างกายของตัวเอง
ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องเด็กเล่นของตัวเอง ที่รับสิทธิพิเศษหลังมาเกิดเป็นคนรวย ซึ่งพ่อแม่ของเธอเป็นผู้จัดหามาให้ ตอนนี้เด็กหญิงตัวน้อยกำลังเล่นอยู่ ห้องนี้ตั้งอยู่หัวมุมของบ้านดังนั้นจึงไม่มีใครรบกวนฉัน
หลังจากผ่อนคลายอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็ลุกขึ้นและเริ่มแขวนของเล่น ลูกโป่ง ปากกา และแม้กระทั่งกระดาษโดยใช้ด้ายมัดพวกมันห้อยลงมาจากเพดาน
ฉันรอสักครู่หนึ่งเพื่อให้ของที่มัดไว้หยุดเคลื่อนไหว และเมื่อทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวตามที่ต้องการฉันก็ยิ้มขึ้นมา
"ระยะที่สองของการฝึกเนตรสีขาวของฉันจะเริ่มต้นที่นี่แหละ"
ด้วยการปะทุของจักระอย่างกระทันหัน เธอเปิดใช้งานเนตรสีขาวทันทีและรู้สึกได้ถึงคลื่นกระแทกที่แผ่กระจายเป็นวงกลมอย่างแผ่วเบาโดยมีเธอเป็นจุดศูนย์กลาง และมันแทบไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย แต่ว่าเอกสารที่อยู่ใกล้เคียงบางฉบับกลับสั่นเล็กน้อยซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่เห็นได้แน่หากไม่มีเนตรสีขาว
"นี่ไง" ฉันพูด "ถ้าคางุยะสามารถปราบลูกชายของตัวเองด้วยเนตรสีขาว และฆ่าใครสักคนด้วยการยืนต่อหน้าพวกเขา แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้บางล่ะ"
คลื่นกระแทกที่อ่อนแอเหล่านี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของฉันและด้วยคลื่นกระแทกเหล่านี้ ก็สามารถมองเข้าไปในจิตใจของใครบางคนหรือฆ่าใครบางคนโดยไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
"เหลือก็แค่ต้องสร้างพลังพวกนี้ให้แข็งแกร่งพอที่จะฆ่าใครสักคนได้"
นี่คือความสามารถแฝงของเนตรสีขาว ซึ่งใช้โดยโอซึซึกิ คางุยะเท่านั้น
คราวนี้ฉันเทจักระลงในเนตรสีขาวอีกครั้ง และอีกครั้งที่รู้สึกได้ถึงคลื่นกระแทกที่แทบไม่เล็ดลอดออกมาจากดวงตาของตัวเอง ทำให้กระดาษที่อยู่ใกล้เคียงสั่นเล็กน้อยเกือบจะไม่ขยับเลย
"น่าเวทนาและอ่อนแอ" ฉันบ่น "คลื่นกระแทกพวกนี้สัมผัสไม่ได้เลย และการจะฆ่าใครสักคนด้วยคลื่นพวกนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ"
"อดทนไว้สิฮินาตะ อดทนเข้าไว้.. ความอดทนและการพยายามอย่างหนักคือกุญแจสู่ความสำเร็จนะ" ฉันพูดกับตัวเอง
"สิบสองปี จะต้องทำให้เชี่ยวชาญภายในสิบสองปี"
เธอเริ่มทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจักระของตัวเองแทบหมดตัว
หลังจากพยายามมากกว่าร้อยครั้ง สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือจักระของฉันถูกแปลงเป็นคลื่นได้ผ่านเนตรสีขาวของฉัน
คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อยเมื่อนึกถึงบางสิ่งบางอย่าง "ฉันแค่กำลังพยายามเรียนเทคนิคสวรรค์"
"แค่นั้นแหละนะ"
รอยยิ้มเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉันเมื่อตระหนักถึงความจริง
เทคนิคสวรรค์แตกต่างจากคาถานินจาและคาถาภาพลวงตา
ตามความหมายตามตัวอักษรก็หมายถึง 'เทคนิคสวรรค์' และเทคนิคสวรรค์เป็นวิชาที่ใช้จักระในระดับสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกใช้โดยคนในตระกูลโอซึซึกิ
"อุ๊ป ฮ่าๆๆๆ" ฉันหัวเราะจนพอใจ
"ได้โกลาหลกันแน่ๆ มันจะทำให้เกิดความโกลาหลจริงๆ ถ้าฉันเชี่ยวชาญเทคนิคนี้จริงๆ ลองนึกภาพการทำลายล้างด้วยการควบคุมคลื่นกระแทกทุกประเภท..." ฉันวางมือลงบนหัวใจซึ่งเหมือนกำลังจะระเบิดออกจากอกเนื่องจากความตื่นเต้นสุดขีด
และเวลาก็เริ่มผ่านไป ฉันเริ่มฝึกฝนให้หนักขึ้น การจัดการและการควบคุมจักระ การจัดการและการควบคุมธาตุ สุดท้ายคลื่นกระแทกที่ฉันชอบ เทคนิคสวรรค์
สองสิ่งแรกนั้นเธอฝึกคนเดียว ในขณะที่อันหลังฉันจะฝึกฝนต่อหน้าพ่อแม่หรือในขณะที่เล่นกับเนจิ พวกเขาเองก็เหมือนจะไม่สังเกตเห็นมันเลยอย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้
"ดูสิแม่คะ หนูเขียนถูกไหม?" ฉันถามแม่โดยแสดงกระดาษของฉันให้เธอดู
"ไม่ ของพี่ดีกว่า" เนจิพูดพร้อมแสดงกระดาษพร้อมๆ กัน
"ฮะๆ เก่งทั้งคู่เลยจ๊ะ" แม่พูดพร้อมกับลูบหัวของเรา
ปัจจุบันแม่ของฉันสอนให้เราเรียนและเขียนหนังสือ และเราเองก็ซึมซับบทเรียนของเธอเหมือนกับฟองน้ำ
เนจิเป็นอัจฉริยะไม่มีอะไรต้องสงสัยเลย ฉันเหลือบมองเขาเล็กน้อย 'น่าเสียดายนะพี่ใหญ่ แต่นายต้องอยู่ในเงาของฉัน' ฉันคิด
หลังจากเรียนเสร็จแล้ว เราทั้งคู่ก็ไปสนามเด็กเล่น
เนจิเอาผ้าปิดหน้าผาก ฉันรู้ว่ามันหมายถึงอะไรแต่ความรักที่เขามีต่อฉันยังคงเหมือนเดิมไม่ลดลงแม้แต่น้อย
ลุงของฉันหรือฮิซาชิคงสอนเขาเกี่ยวกับประเพณีของตระกูลเป็นอย่างดีแน่นอน แต่ก็มีข้อผิดพลาดเล็กน้อยในเรื่องส่วนตัวของเขา
เขาคิดว่าเนจิจะปกป้องฉันเสมอ แต่ไม่ได้พูดอะไรเลยเกี่ยวกับผู้เฒ่าของตระกูลและเขาเองก็ยอมรับอย่างเต็มใจเมื่อพบว่าผนึกปักษาในกรงมีไว้เพื่อปกป้องฉัน
แต่ลึกๆ แล้ว เขารู้ความจริงว่าความรักที่เขามีต่อฉันเริ่มขุ่นมัวขึ้นมา อิทธิพลของฉันที่มีต่อเขานั้นใหญ่เกินไป มากเกินไปแม้กระทั่งเพื่อประโยชน์ของเขาที่มีต่อฉันด้วยซ้ำ
หลังจากเล่นกันได้สักพักฉันก็มองเขา เขาเองก็มองฉันกลับ "ทำไมน้องถึงมองพี่แบบนั้นล่ะ?" เขาถาม
"พี่คะ ทำไมถึงเอาผ้าปิดหน้าผากล่ะ?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงจริงใจที่สุด
ฉันเห็นความลังเลที่จะบอกบนใบหน้าของเขา
'ถึงเวลาเล็นเป็นน้องสาวคนเล็กที่ดีแล้ว' ฉันคิด
"ก็ทำเพื่อปกป้องเธอไง" เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
"หนูเองก็ต้องการปกป้องพี่เหมือนกันนะ" ฉันพูดอย่างไร้เดียงสา หลังจากได้ยินคำพูดของฉันรอยยิ้มของเขาก็กว้างขึ้น
"ให้หนูดูหน่อยว่าพี่กำลังปกปิดอะไร" ฉันพูดโดยอยู่ตรงหน้าเขาและถอดผ้าออกจากหน้าผากของเขา
ฉันมองไปที่ผนึกปักษาในกรงและเขาก็รีบหลบตาหนี
"นั่นมันอะไรน่ะพี่คะ มันดูไม่ดีสำหรับพี่เลย" ฉันพูดแล้วพยายามลบมันด้วยมือเล็กๆ ของฉันอย่างรวดเร็ว
แต่แที่จะพยายามลบมันเท่าไหร่ มันก็ไม่ออกสักทีและดวงตาของเธอก็เริ่มน้ำตาคลอ
"ท– ทำไมถึงยังอยู่ล่ะ" ฉันพูดในขณะที่พยายามมากขึ้น
เมื่อเห็นความรักและความห่วงใยของฉัน เป็นสิ่งที่พ่อของเขาไม่ได้แสดงให้เขาเห็น อารมณ์เขาเขาก็อ่อนไหวและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยน้ำตา ท้ายที่สุดเขาก็ยังเป็นแค่เด็ก
"มันเป็นชะตากรรมของสมาชิกสาขา เธอไม่ต้องร้องไห้หรอกนะ" เขากล่าวทั้งน้ำตา
"ไม่ พี่ไม่ใช่สมาชิกสาขา พี่เป็นพี่ชายของหนูและหนูจะลบสิ่งนั้นออกจากหน้าผากของพี่เอง" ฉันพูดแล้วกอดเขา และเขาก็เริ่มร้องไห้มากขึ้นไปอีก
"แต่ฉันเป็นสมาชิกสาขา" เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ไม่ได้ พี่เป็นพี่ชายของหนูต่างหาก" ฉันพูดแล้วเอามือลูบหลังเขา
"พี่เป็นใคร..." ฉันถามเขา
"เป็นพี่ชายของเธอ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"หนูสัญญาเลยว่าพี่จะไม่ต้องซ่อนหน้าผากอีกต่อไป" ฉันพูด
"จริงนะ?" เขาถาม
"แน่นอนสิ"
'จะไม่มีใครมาควบคุมนายทั้งนั้น ฉันตามใจนายมาตั้งแต่ฉันเกิดเชียวนะ และสิทธิพิเศษพวกนั้นมีให้เฉพาะฉันเท่านั้น เพราะฉันคือน้องเล็กของเขา
เขาผูกพันกับฉันมากขึ้นหลังจากที่รู้ว่าฉันนัยถือเขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ
เขาจะเริ่มเกลียดสมาชิกหลักและสาขาทุกคนหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต แต่ครั้งนี้มันจะไม่เกิดขึ้น
'เหตุการณ์ลักพาตัวของฉันจะทำให้นายเป็นของฉันอย่างสมบูรณ์พี่ใหญ่' ฉันคิดขณะลูบหลังเบาๆ และปลอบใจเขา ขณะที่เขาร้องไห้รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าฉัน
ความคิดเห็น