คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ฉันชื่อฮิวงะ ฮินาตะ ผู้ที่มาจากสวรรค์
"เนตรสีขาว!" เนจิตะโกนด้วยความตื่นเต้นขณะเปิดใช้งานเนตรสีขาว เขามีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเมื่อก่อนจะมองมาที่ฉัน
"ดูสิน้องเล็ก พี่มีเนตรสีขาวแล้ว" เขากล่าวพร้อมแสดงดวงตาสีขาวให้ฉันเห็น เนจิอายุได้ 4 ขวบเมื่อหลายเดือนก่อนและอีกไม่กี่วันฉันเองก็จะอายุครบ 3 ขวบแล้ว และเขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ปลุกเนตรสีขาวรองจากฉัน
"พี่จะให้หนูดูกี่ครั้งกัน" ฉันถามพลางเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ
"จนกว่าเธอจะชมพี่ไง" เขากล่าว
"ฮะ?..." ฉันรู้สึกงุนงงกับความตรงไปตรงมาของเขา ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาความผูกพันของเราก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเขาก็ไม่ค่อยกลับไปที่บ้านนัก เขามักจะใช้เวลาในบ้านของฉันมากกว่า
"พี่ชายของหนูเป็นอัจฉริยะ พี่ใจดีมากและทำตามที่หนูบอกเสมอ พี่เจ๋งสุดๆ" ฉันชมเขา แล้วเขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนได้ประสบความสำเร็จสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
เขาหัวเราะแต่แล้วเขาก็มองดูหนังสือในมือของฉัน "ทำไมเธอถึงเอาแต่อ่านหนังสือน่าเบื่อนี้ตลอดเลย พี่ไม่เห็นจะเข้าใจเลยแม้แต่คำเดียว" เขาบ่น
"ก็หนูฉลาดกว่าพี่ไง" ฉันพูดกับเขา
"ช่าย ช่าย อ่านหนังสือน่าเบื่อเล่มนั้นไปเถอะ ส่วนพี่จะทำอย่างอื่น" เขาพูดแล้วเดินจากไป ตอนนี้เราอยู่ในห้องสมุดของตระกูลและมีหนังสือหลายพันเล่มที่ถูกรวบรวมตลอดหลายทศตวรรษที่ผ่านมา
ห้องสมุดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับสมาชิกสาขาและอีกส่วนหนึ่งสำหรับสมาชิกหลัก ไม่ใช่ว่าสมาชิกบ้านสาขาไม่สามารถเข้าไปในส่วนของสมาชิกหลักได้ พวกเขาเพียงแค่ต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าตระกูลหรือผู้อาวุโสในตระกูล แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก
ในตามความเป็นจริงสมาชิกสาขาเริ่มเกียจคร้านและไม่มีความกระตือรือร้น พวกเขาแทบไม่แสดงแรงจูงใจที่จะพัฒนาตัวเองเลย สรุปแล้วพวกเขาก็แค่อยากมีชีวิตที่สบายๆ
มีฝุ่นอยู่ระหว่างหน้าหนังสือที่ฉันกำลังอ่านอยู่ ถ้าพูดให้ถูกก็คือฉันเป็นคนเดียวที่อ่านหนังสือนี่ในรอบหลายสิบปี
สภาพของตระกูลหลักเองก็ไม่แตกต่างจากตระกูลสาขามากนัก หลังจากก่อตั้งธุรกิจทั่วหมู่บ้านแห่งไฟแล้ว พวกเขาก็สบายกันขึ้นมากและหลังจากขึ้นเป็นระดับโจนินแล้ว พวกเขาก็หยุดฝึกฝนทำให้เนจิเป็นฮิวงะที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อายุ 16 ปี
พวกเราแค่ขี้เกียจ หลักฐานก็อยู่ตรงหน้าฉันนี่ไง ห้องสมุดนี่ก็จะกลายเป็นบ้านผีสิงอยู่ร่อมร่อ
ตอนนี้ฉันกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับกายวิภาคของมนุษย์ที่เกี่ยวกับวิชานินจาแพทย์เพื่อพัฒนารูปแบบการต่อสู้ของฉัน เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแต่ฉันก็ยังจะอ่านหนังสือให้เสร็จ
จริงๆ แล้วฉันเองก็กำลังฝึกเนตรสีขาวด้วยเช่นกัน ฉันมองทะลุเข้าไปทีละหน้าโดยไม่ต้องพลิกกลับไปมาเพื่ออ่านมัน แต่จะอ่านมันโดยเพียงด้านเดียวแล้วมองทะลุเข้าไปก่อนจะแปลงข้อความที่กลับหลังให้ถูกต้อง นี่เป็นการเพิ่มสมาธิและความแม่นยำของฉัน ทุกหน้าหน้าพอๆ กับตะปู ดังนั้นจึงต้องใช้สมาธิอย่างจริงจัง เพราะถ้าหากทำพลาดก็อาจจะอ่านจากหน้าที่ 10 กระโดดไปที่หน้า 121 ได้
อีกสองชั่วโมงต่อมาฉันก็อ่านหนังสือเสร็จ และด้วย IQ ของฉัน จึงไม่จำเป็นต้องอ่านมันซ้ำอีก เร็นและริทสึเองก็อยู่เงียบๆ โดยไม่รบกวนฉัน
"อยู่นี่เอง เจ้าหญิงน้อยของพ่อ" ฉันได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงของพ่อ
"ตามหาหนูอยู่เหรอคะ?" ฉันถามเขาด้วยรอยยิ้ม
เขาอุ้มฉันขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา "ไม่มีอะไรหรอก พ่อแค่อยากเล่นกับลูกสาวแค่นั้นเอง" เขากล่าว
"พ่อน่าเบื่ออะ" ฉันพูดตรงๆ
"ฮะๆ..." เขาหัวเราะ "ลูกไม่ต้องพูดอย่างนั้นก็ได้น่า" เขาพูดเหมือนถูกทำร้ายด้วยคำพูดของฉัน
"เมื่อไหร่จะสอนหนูต่อสู้ล่ะ" เธอถามเขา
"หลังจากวันเกิดของลูกน่ะ ตอนนี้เนจิเองก็ปลุกเนตรสีขาวของเขาได้แล้ว พวกลูกเองก็สามารถฝึกด้วยกันได้แล้วล่ะ" เขากล่าว
"เจ๋งเลยค่ะพ่อ" เธอพูดอย่างดีใจ
"ทำไมลูกถึงไม่เล่นกับเด็กคนอื่นๆ ล่ะ พ่อเห็นพวกเขาเล่นกันที่สวนสาธารณะ" เขาถามอย่างสงสัย
'ฉันไม่มีเวลาเล่นกันพวกนั้นหรอกน่า'
"หนูไม่ชอบเล่นกับพวกเขา" เธอตอบตามความเป็นจริง
"ฮะๆ ลูกนี่แปลกจริงๆ" เขากล่าว
"พ่อหมายถึงอะไรนะ" เธอจ้องมองเขา
เขายกมือด้วยความพ่ายแพ้และพูดว่า "ไม่มีอะไรๆ หรอกน่า เจ้าหญิงตัวน้อยของพ่อ" เข้าว่าพร้อมรอยยิ้ม
"ฮึ่ม งั้นเหรอคะ" เธอพูดแล้วเบือนหน้าหนีจากเขา
"ลูกโกรธพ่อเหรอเนี่ย?" เขาถาม
"ฮึ่ม" ฉันร้องในลำคอ
'เดี๋ยวนะ นี้ฉันใช้ภาษาลับของอุจิวะเหรอเนี่ย' ฉันครุ่นคิดในใจ การแกล้งพ่อก็เป็นเรื่องสนุกเสมอ
"ไหนดูสิว่าลูกกำลังอ่านอะไรอยู่" เขายกหนังสือขึ้นมา และพลิกดูบางหน้า ก่อนจะวางมันลงเงียบๆ
"เกี่ยวกับกายวิภาคของมนุษย์...อืม.. ลูกอยากเป็นนินจาแพทย์เหรอ?" เขาถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
"หนูอยากเรียนมัน" ฉันพูด
"ลูกทำแบบนี้ไม่ได้" เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา
"ทำไมคะพ่อ?" เธอถาม
"ลูกคือผู้นำตระกูลคนต่อไปนะ ลูกไม่สามารถไปทำงานในโรงพยาบาลได้หรอก" เขากล่าว
'นั่นคือเหตุผลสินะ' พูดตามตรงเธอเองก็เห็นด้วยกับเขาอย่างสุดใจ เหตุใดเธอควรทำงานให้กับคนอื่นและปฏิบัติต่อคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอด้วยล่ะ เธอไม่ใช่นักบุญที่ต้องช่วยแมวกับหมาตามท้องถนนสักหน่อย
'แต่มันจะแตกต่างออกไปเมื่อพูดถึงครอบครัวของฉัน'
"ใครบอกว่าหนูจะทำงานในใครกันล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนูได้รับบาดเจ็บในภารกิจและถ้าเกิดพ่อกับแม่ล้มป่วยขึ้นมาหนูก็จะรักษาให้ไงคะ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและก้มหัวลง
'และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือแม่ของฉันที่จะล้มป่วยในอนาคต'
"โอ้... พ่อเข้าใจแล้ว ลูกพูดถูกแล้วล่ะ พ่อเองก็ไม่อยากให้ลูกบาดเจ็บเหมือนกัน" เขากล่าว
'นายเป็นพ่อที่ขี้สปอยของฉัน นายต้านทานฉันไม่ได้หรอกน่า'
"หนูอยากให้พ่อรวมรวมหนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับยาและวิชานินจาแพทย์มาให้หนู" ฉันพูดพร้อมชี้นิ้วไปทางเขา
"ในห้องสมุดก็มีเยอะอยู่นะลูก" เขาพูด
"แต่หนูอยากได้มากกว่านี้"
"ก็ได้ๆ ลูกชนะแล้ว อยากได้อะไรอีกไหมเจ้าหญิงน้อยของพ่อ" เขาถามเธอ
"เดี๋ยวหนูจะบอกเองแหละ" เธอตอบ
เขาพยักหน้า "ตอนนี้ลูกพอใจรึยัง หืม?" เขาถาม
"แน่นอนค่ะ คุณพ่อใจดีที่สุดเลย" ฉันพูดพร้อมกับกอดคอของเขา
'พ่อนี่ช่างใจง่ายเหลือเกิน' ฉันคิดกับตัวเอง
หลังจากเล่นและพูดคุยกันนิดหน่อย เขาก็จากไปและตอนนี้ฉันอยู่คนเดียวในห้องสมุด หลังจากอ่านหนังสือจบ ฉันก็ออกจากห้องสมุด ทุกคนที่เห็นก็ทักทายฉันด้วยความเคารพและฉันก็พยักหน้าเป็นการตอบกลับ
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ประมาณสองทุ่มกว่าๆ และวันนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ฉันยืนอยู่ในสนามฝึกซ้อมแห่งหนึ่ง
"สองคนนั้นออกมาซะ" ฉันพูดและทันใดนั้นเร็นและริทสึก็ยืนอยู่ข้างหลังฉัน
"รายงานมา" ฉันสั่งริทสึเมื่อเดือนที่แล้วให้เขาสังเกตสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบางแห่งที่มีนิจาหน่วยลับอันบุและหน่วยรากอยู่รอบๆ
"บางครั้งก็มีนินจาจากหน่วยอันบุสองคนหรือบางทีก็คนเดียวปรากฏตัวรอบๆ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าครับ พูดตามตรงเลยครับว่าน่าผิดหวังสุดๆ เพราะบางทีคนพวกนั้นก็ไม่ปรากฏตัวเลยบางทีก็หนึ่งหรือสองวันด้วยซ้ำ ทั้งพวกเขาอยู่ในระดับแค่จูนิน ส่วนที่ท่านสงสัยนั้นก็มีนินจาสวมหน้ากากขาวที่แตกต่างจากอันบุมาก พวกเขาไม่ค่อยปรากฏตัวนักบางทีก็สองครั้งต่อสัปดาห์ และก็มีสัปดาห์ละครั้งเท่านั้นที่จะจับเด็กบางคนไปครับ" ริทสึรายงานช่วงที่ผ่านมาอย่างอย่างยาวเยียด
'ไอ้ดันโซยังคงเอาเด็กๆ จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเข้าหน่วยตัวเอง' ฉันคิด
"มันง่ายไหมที่จะแอบเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า?"
"ครับท่านหญิงฮินาตะ" เขาพูดด้วยเคารพ
"เราควรจะบริจาคเงินให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดีกันดีไหมครับ?" เร็นถาม
ฉันกับริทสึหันไปมองเขา และเมื่อเห็นการจ้องมองของเรา เขาก็หัวเราะแห้งๆ "ผมแค่ล้อเล่นน่ะ" เขากล่าว
"นั่นไม่ตลกเลย" ริทสึกล่าว
"เราจะแอบไปข้างนอกสินะครับ" ริทสึถาม
"อ่าฮะ" ฉันตอบ
"แล้วถ้าเกิดว่าท่านเจ้าตระกูลรู้เข้าล่ะครับ?" เร็นถาม
"นายก็รู้นี่เร็น นายเป็นถึงนักฆ่าเชียวน่าแค่ปกปิดเรื่องนี้ก็ง่ายแล้ว" ฉันพูด
"และเราจะกลับมาภายในหนึ่งชั่วโมง"
"ไปกันเถอะครับ" ริทสึพูด
จากมุมสูง ฉันมองไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยเนตรสีขาวเมื่อเห็นว่าไม่มีหน่วยอันบุหรือรากอยู่ใกล้ๆ ก็ยิ่งดี ฉันยังไม่อยากดึงความสนใจของพวกเขาไปที่ตระกูลของฉันนัก
"นั่นสินะครับ เด็กคนนั้น" เร็นถามขณะหรี่ตา
"นั่นคือร่างสถิตย์ 9 หางครับ" ริทสึกล่าว มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับแต่อย่างใดในหมู่บ้าน ทุกคนย่อมรู้เกี่ยวกับร่างสถิตย์ 9 หาง
"ทำไมท่านถึงมองเขาล่ะครับ?" เร็นถาม
"บอกหน่อยสิเร็น นายจะทำยังไงถ้ามีคนทำร้ายคนที่นายรักที่สุด" แต่ฉันไม่ตอบกลับถามเขาแทน
เขาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบ "ผมจะทำให้พวกเขารู้ซึ่งว่าอย่ามาแตะคนของผมครับ" เขากล่าว
"ใช่เลยล่ะ เป็นคำตอบที่ถูกต้องเลยเร็น" ฉันพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
"แล้วนั่นเกี่ยวกับอะไรกับสถานการณ์ปัจจุบันเหรอครับ?" เขาถามเธอ
"เดี๋ยวก็รู้เอง.." เธอหัวเราะ
และเธอเองก็มองไปที่จิ้งจอกน้อยของฉัน บุตรแห่งคำทำนาย ผมสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้า ขีดที่แก้มสามเส้นทั้งสองข้าง เสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงและขาดวิ่น แถมยังนั่งอยู่คนเดียวบนก้อนหินในขณะที่เด็กคนอื่นกำลังกินข้าวด้วยกันและหัวเราะอย่างมีความสุข
ฉันสังเกตเห็นจักระของเขาซึ่งจางมากเมื่อเปรียบเทียบกับฉัน แต่ก็นะร่างกายของฉันน่ะอยู่ในจุดสูงสุดของความสามารถที่จะรับจักระไว้ได้
'แต่สิ่งที่อยู่ภายในตัวเขาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง' ฉันคิด
"ดูเหงาและน่าหดหู่จริงๆ เลยนะ" ฉันออกความคิดเห็นขณะมองดูเขา
"ผมขอถามท่านหญิงฮินาตะ เรามาที่นี่กันทำไมเหรอครับ?" เร็นถาม
"นายก็อยากรู้อะไรเหมือนเคย" ฉันพูด
"พลังของตระกูลเราจะเพิ่มขึ้นขนาดไหนถ้าเรามีร่างสถิตย์เก้าหางอยู่ในมือเรา" ฉันถามพร้อมกับตอบไปในตัว
พวกเขาอ้าปากกว้างเหวอ แต่พวกเขาก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
"แต่โฮคาเงะและตระกูลอื่นๆ คงจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่ครับ เพราะมันอาจจะเป็นสิ่งที่คุกคามอำนาจของพวกเขาได้" เร็นกล่าว
"ฮึๆ แต่ถ้าเขาเดินมาหาเราเองล่ะ?" ฉันถามพร้อมหัวเราะคิกคัก
"แต่จะทำยังไงล่ะครับ?" เร็นพูดอย่างสงสัย
"งั้นลองบอกฉันหน่อยสิว่าเขาต้องการอะไรมากที่สุดในตอนนี้" ฉันพูดพร้อมกับมองนารูโตะที่น่ารักของฉัน
เร็นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ริทสึที่เฝ้าดูสถานการณ์มาเป็นเวลาหนึ่งเดือนก็ตอบว่า "เขาต้องการอาหาร เพื่อน สถานที่ที่จะนอนได้ ใครสักคนที่จะพูดคุยด้วย โดยพื้นฐานแล้วเขาต้องการทุกสิ่งทุกอย่างครับ"
"แล้วบอกฉันหน่อยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีเพื่อนที่ไม่เกลียดเขา แสดงความเป็นห่วง เล่นกับเขาและให้อาหารเขากิน"
"เขาจะผูกพันธ์กับคนๆ นั้นครับ" ริทสึตอบ
"ท่านฮินาตะช่างปราชญ์เปรื่องยิ่งนักเมื่อเทียบกับอายุของท่าน" เร็นโค้งคำนับเล็กน้อย
"ฉันคิดว่านายจะเลิกแปลกใจกับฉันแล้วซะอีก" ฉันเอ่ยขึ้นพร้อมมองเขา
"ฮะๆ ท่านไม่เคยล้มเหลวในการทำผมประหลาดใจเลยครับ ทั้งความฉลาด ความสามารถของท่าน การฝึกฝนอันชาญฉลาดของท่าน ผมไม่เคยใครทำแบบท่านมาก่อน" เขาตอบกลับ
"นายชมฉันมากไปแล้ว" ฉันหัวเราะอย่างพอใจ
"ท่านจะไปหาเขาเหรอ?" ริทสึถาม
"อาฮะ เอาอาหารมาให้ฉัน" ฉันบอกเขาแล้วหยิบปิ่นโตที่ถูกยื่นมาให้ ก่อนหน้านี้ฉันก็เป็นคนบอกให้เขาเอาอาหารก่อนมาด้วย
จู่ๆ นารูโตะก็หันมาทางเราที่จ้องมองเขาอยู่ แต่เขากลับมองไม่เห็นใครเนื่องจากเราหลบอยู่ในเงามืด
เร็นประหลาดใจเมื่อนารูโตะมองมาทางเรา "เขาหาเราเจอได้ยังไงกัน เขาเป็นสายตรวจจับงั้นเหรอ?" เขาพูดอย่างสงสัย
"ไม่ใช่หรอก นั่นคงเป็นสัญชาตญาณของเขาหรือไม่ก็ความสามารถบางอย่างที่ได้รับจากเก้าหาง" ฉันพูดโดยไม่แปลกใจมากนัก
'สำหรับเขาแล้ว ฉันน่ะคือฮิวงะ ฮินาตะ เป็นนางฟ้าผู้แสนอ่อนโยนที่มาจากสวรรค์เท่านั้น'
เมื่อนารูโตะไม่เห็นอะไรเลยเขาก็เอียงหัวอย่างงุนงง ทว่าภาพถัดไปก็ทำให้เขาหลงใหล นั่นคือร่างของเด็กผู้หญิงที่ดูเหมือนจะลงมาจากดวงจันทร์นั่นเอง ผมสีม่วงเข้มที่ยาวถึงคอของเธอปลิวไสวไปในอากาศ และเขาก็ได้เห็นความอ่อนโยนในดวงตาสีขาวราวกับพระจันทร์ของเธอ
เธอร่อนลงบนพื้นอย่างสง่างามราวกับผีเสื้อและยิ้มหวานให้กับเขา เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
'ฉันคิดว่านี่เพียงพอแล้วล่ะ สำหรับการเจอกัน' ฉันหัวเราะเบาๆ และมองดูเด็กชายที่ยังอยู่ในภวังค์ตรงหน้าฉัน
'ความน่าประทับใจแรกนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญ'
"สวยจังเลย" เขาพึมพำ
และเมื่อเขาออกจากภวังค์ได้ เขาก็กระโดดออกห่างจากเธอ "เธอเป็นใคร?" เขาถามอย่างระแวง
"ฉันแค่เดินผ่านมาเห็นนายนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวน่ะ ทำไมไม่ไปอยู่กับพวกเขาล่ะ" ฉันเลี่ยงคำถามของเขาและถามเขากลับไปแทน ฉันต้องทำให้เขาเปิดใจกับฉันให้ได้ ซึ่งมันง่ายจะตายไป
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ก็รีบซ่อนมันและยิ้มขึ้นมาแทน "ฉันกินข้าวเสร็จแล้วน่ะ ก็เลยออกมารับอากาศข้างนอกน่ะ" เขาโกหกพร้อมรอยยิ้ม
'ออกมารับอากาศเนี่ยนะ? นายเป็นคนแก่รึไงกัน? หากจะโกหกก็ให้มันเนียนๆ หน่อยสิเฮ้ย'
'ดูเหมือนว่าเขาคงไม่ได้กินอะไรแน่ๆ'
"งั้นเหรอ นายอยากเล่นกันไหม? เรียกเพื่อนของนายมาด้วยนะ" ฉันพูด แต่ว่านะเขาจะเรียกเพื่อนของเขามาได้ไงกัน ก็เขาไม่มีเพื่อนนี่นา
รอยยิ้มของเขาจางหายไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ยิ้มอย่างสดใสอีกครั้ง "หลังจากทุกคนกินเสร็จก็คงจะไปนอนแล้วล่ะ แต่ถ้าเธออยากเล่น ฉันก็เล่นกับเธอได้นะ" เขากล่าวออกมาโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะถูกตอบรับ
'ช่างบริสุทธิและไร้เดียงสาจังเลยนะ นารูโตะ'
การใช้ชีวิตของเขาแย่สุดๆ เด็กบางคนทุบตีเขาเป็นประจำ และเขามักถูกอดอาหารเป็นเวลาหลายวันด้วยซ้ำ อีกทั้งใครๆ ก็เรียกเขาว่าปีศาจจิ้งจอกหรือไม่ก็สัตว์ประหลาดอยู่เสมอ
แต่เขายังกลับบริสุทธิ์และมีจิตใจดี
โครก~
แต่แล้วท้องของเขาก็ร้องโครกครากด้วยความหิว แก้มของเขาแดงอย่างเขินอายเมื่อเขาถูกเปิดเผยว่ายังไม่ได้กินอาหาร เขาหลุบตามองพื้น
'น่ารักจัง'
"หิวงั้นเหรอ?" ฉันถามแล้วดึงปิ่นโตออกมา กลิ่นหอมของอาหารลอยเข้าจมูกเขา ก่อนเขาจะเหลือบมองกล่องปิ่นโตแล้วกลืนน้ำลงคอ
"กินไหม?" ฉันถามเขา แต่เขาลังเลเพราะไม่มีใครเคยถามเขาแบบนี้มาก่อน และแน่นอนว่าไม่มีความห่วงใยแบบนี้ด้วย
เมื่อเห็นความลังเลของเขา ฉันจึงวางอาหารไปไว้ในมือของเขา "ไม่ต้องอายไปหรอกนะ" ฉันพูดด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
มือของเขาสั่นเทาและก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเริ่มกินอาหารโดยไม่อยากให้ฉันเห็นน้ำตาที่ไหลของเขา แต่ด้วยเนตรสีขาวของฉัน ก็สามารถเห็นดวงตาที่เอ่อล้นและรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเขา
'จะไม่มีอิจิราคุราเมงอีกต่อไปหรอกนะนารูโตะคุง' ฉันคิดอย่างเงียบๆ
เขาเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อแล้วหันมาทางฉันด้วยรอยยิ้มที่สดใสที่สุด
"นายชอบมันไหม?" ฉันถามเขาพร้อมเอียงหน้าเล็กๆ
"แน่นอนอยู่แล้ว" เขาพูดอย่างมีความสุข
"ช่วยบอกชื่อของนายหน่อยสิ" ฉันพูดถามชื่อเขา
เขาเกาหัวพร้อมกับหัวเราะแล้วพูดว่า "ฮ่า ขอโทษทีนะ ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย ฉันชื่ออุซึมากิ นารูโตะแล้วเธอล่ะ?"
"ฮิวงะ ฮินาตะ" ฉันตอบเขากลับไป
รอยยิ้มของเขาในตอนนี้เปรียบเสมือนหน้ากาก และฉันรู้ว่าถ้าเขายังทำแบบนี้ต่อไปหน้ากากนั่นก็จะกลายเป็นความจริงของเขา ซึ่งฉันต้องทำลายมัน เลยจึงมองสบตาของเขาโดยตรง เขาแค่ยิ้มมาที่ฉันแล้วถามว่า "ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนั่นล่ะฮินาตะจัง?"
ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย ฉันแค่มองเขาและรอยยิ้มของเขาก็เริ่มสั่นคลอน "รอยยิ้มของนาย.. มันเป็นของปลอม" ฉันพูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน
"เธอกำลังหมายถึงอะไรเหรอ?" เขาพูดโดยยังคงยิ้มอยู่
"ทำไมรอยยิ้มของนายดูปลอมจัง" ฉันถามเขาอีกครั้ง และคราวนี้ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อเขารู้ว่าเขาถูกจับได้ ดวงตาของเขาหมองลงและเหลือเพียงรอยยิ้มเศร้าๆ เท่านั้น
"ทำไมเธอถึงไม่กลัวฉันล่ะ แล้วทำไมถึงให้อาหารฉันด้วยล่ะ ไม่มีใครเคยทำอย่างนั้นกับฉันมาก่อนเลย"
"กลัวเหรอ? นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?" ฉันถามเขาทั้งๆ ที่ก็รู้
"ไม่มีใครเล่นกับฉันหรอก ทุกคนชอบเรียกฉันว่าสัตว์ประหลาดปีศาจจิ้งจอกแบบนั้น ทั้งทุกคนเอาแต่หลีกเลี่ยงฉันตลอดเลย" เขากล่าวขณะมีความเจ็บปวดอยู่ในแววตา
'เขาแตกสลายได้ง่ายจริงๆ'
"ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ นายไม่ใช่สัตว์ประหลาดเลยนะ" ฉันส่ายหน้าราวกับไม่ได้คิดแบบนั้น
"เธอเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เหรอ? แต่ทุกคนบอกว่าฉันเป็นปีศาจจิ้งจอกน่ารังเกียจนะ" เขาถามฉัน และก็ได้เห็นความหวังเล็กน้อยในแววตาของเขา
ฉันยกมือขึ้นและแตะแก้มที่มีขีดสามเส้นของเขา "ฮิๆ นายน่ะน่ารักจะตายไป" ฉันยิ้มให้เขา นารูโตะเองก็เขินอาย
'นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย'
"นายอยากเป็นเพื่อนกับฉันไหม?" ฉันพูดพร้อมยื่นมือออกไป
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะจับมือฉันแน่นราวกับว่าเขาไม่ต้องการปล่อยฉันไป
'ดูสิ้นหวังจังเลยนะ' เธอมองเขา
"นี่ ร้องไห้ทำไม" ฉันถามทันทีเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลผ่านแก้มของเขา
"ไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย แต่มีความสุขน่ะ" เขาพูดทั้งน้ำตา
'ฉันไม่คิดว่าเขาจะแตกสลายขนาดนี้' ฉันมองดูเขาแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะจางหายไปโดยเขาไม่ทันสังเกต
"เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ" ฉันยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย
"ใช่แล้ว เพื่อนกัน" เขาพูดอย่างมีความสุข
"งั้นมาเล่นกันเถอะ"
เราก็เลยเริ่มเล่นสร้างบ้านทรายและอื่นๆ อีก หลังจากเล่นกับเขาไปได้ 15 นาที ฉันก็ได้ยินเสียงหนึ่งเข้ามาใกล้
"ดูสิ ไอ้ปีศาจจิ้งจอกมีเพื่อนล่ะ" เด็กชายคนหนึ่งซึ่งอายุมากกว่าหกปีพูดพร้อมกับยิ้มขึ้นมา
"เฮ้! พูดอะไรของนายน่ะ เขาไม่ใช่ปีศาจจิ้งจอกสักหน่อยนะ!" ฉันตะโกนกลับใส่เขา
"นี่ยัยเปี๊ยก อย่าเข้ามายุ่งน่า ก่อนที่ฉันจะสอนบทเรียนให้เธอ" เด็กชายอีกคนพูด
"อย่ามาแตะต้องเพื่อนของฉันนะ!" นารูโตะตะโกนขึ้นและมายืนอยู่ตรงหน้าฉัน
"อัก!–" เด็กชายต่อยนารูโตะที่ท้องอย่างแรงจนเขาสำลักน้ำลายจนทรุดไปกับพื้น
"ดูสิ พวกนี้กำลังสร้างปราสาททรายล่ะ มาทำลายนี่กันดีกว่า" เด็กชายอีกคนพูด
ฉันรีบปรากฏตัวต่อหน้าปราสาททราย "ไม่ได้นะ นายจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ" ฉันพูดอย่างจริงจัง
"ฮ่าๆ มาดูกันหน่อยสิ" เขาพูดแล้วหมัดของเขาก็ต่อยมาที่ไหล่ของฉัน
"ฮึก!" ฉันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
"หลีกไปซะ!" เขาพูดพร้อมคว้าคอเสื้อของฉัน
"ไม่มีทางซะหรอก!" ฉันพูด นารูโตะที่เห็นว่าฉันโดนต่อยก็โกรธขึ้นมา แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะรู้สึกจุกที่อยู่ "อย่าแตะต้องเธอนะ!" เขาพูดขณะพยายามลุกขึ้น
"ก็บอกว่าให้หลีกทางไปไงยัยเปี๊ยก" เด็กชายพูด
"ไม่มีทาง และหยุดทำร้ายเขาเดี๋ยวนี้นะ" ฉันตะโกนอย่างฉุนเฉียว
"อัก!" ฉันรู้สึกได้ถึงหมัดที่ท้องก่อนจะล้มลงอยู่ข้างๆ นารูโตะ
"ฮ่าฮ่าๆ" เด็กทั้งสองหัวเราะขณะที่พังปราสาททรายของเรา
"ได้โปรดอย่านะ" นารูโตะตะโกน สิ่งนี้มีค่าสำหรับเขา
เด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะเตะนารูโตะอีกครั้งแต่ฉันปรากฏตัวต่อหน้าเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เขาถูกเตะ
"อึก! เจ็บ.." ฉันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาของนารูโตะเต็มไปด้วยน้ำตานี่เป็นครั้งแรกที่มีคนยืนหยัดเพื่อเขา
"ไอ้สารเลว หยุดทำร้ายเธอนะ!" เขาตะโกนและพยายามลุกขึ้นแต่ทำไม่ได้
เด็กชายอีกคนชกหน้าเขาและนารูโตะก็ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
"อัก!–" หมัดของอีกฝ่ายชกเข้าที่หน้าของฉันจนมีเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากของฉัน
"แม่ง นี่มันไม่สนุกเลย ไปกันเถอะ" เด็กชายพูดพร้อมกับชกท้องฉันอีกสองสามครั้ง แล้วพวกเขาก็จากไป
ฉันหันไปมองนารูโตะ และเขาก็เห็นเลือดไหลออกมาจากปากของฉัน
"ไม่เป็นไรนะนารูโตะคุง?" ฉันถามขณะแตะแก้มของเขา และเขาก็เริ่มร้องไห้มากขึ้นเรื่อยๆ
"ทำไมกัน? ทำไมเธอถึงปกป้องฉันล่ะ" เขาถามระหว่างสะอื้น
"ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?" ฉันพูดยิ้มๆ แม้ว่าฉันจะร้องไห้ก็ตาม
เขาพยักหน้าให้ฉัน "แต่เธอเจ็บเพราะฉันนะ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"ไม่ต้องห่วงฉันหรอก แต่ถ้าไม่อยากให้ฉันเจ็บอีกนายก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้นะ" ฉันพูดพร้อมยิ้ม
เขาพยักหน้าตกลง "แน่นอน ฉันจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะไม่มีใครทำร้ายเธอได้อีกต่อไปเอง" เขาพูดพร้อมกับยิ้ม
"สัญญานะ" น้ำเสียงของฉันมีความคาดหวัง
"อื้อ ฉันสัญญา เชื่อกันนะ" เขากล่าว
"อื้อ ฉันเชื่อนาย" ฉันตอบกลับ
"ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับแล้วไม่งั้นแม่จะดุฉัน" จู่ๆ ฉันก็พูดขึ้นและรอยยิ้มของเขาก็ลดลง ฉันรู้สึกได้ถึงความเศร้าในดวงตาของเขา
ฉันสัมผัสแก้มของเขา และนารูโตะเองก็หัวเราะคิกคัก 'ฉันคิดว่าเขาจักจี้'
"ฉันจะมาหานายอีกครั้ง นายจะรอฉันไหม?" ฉันถามพร้อมหอมแก้มเขา
"แน่นอน ฉันจะรอเธอ" เขาพูดแล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้ฉัน
"ถ้าอย่างนั้นฉันไปแล้วนะ ขอให้ปลอดภัยนะนารูโตะคุง" ฉันกระซิบเสียงเบา เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
"ลาก่อนนารูโตะคุง" พูดจบร่างของเธอก็หายตัวไปจากที่นั่น
นารูโตะมองตรงที่ฮินาตะเคยอยู่ มือของเขาสัมผัสแก้มของตัวเองโดยไม่รู้ตัวในตำแหน่งที่ฮินาตะหอมไปก่อนหน้านี้ และก็มีรอยยิ้มเกิดบนใบหน้าของเขา "ในที่สุดฉันก็เพื่อน มือของเธอนุ่มจริงๆ และเธอก็สวยมาก สงสัยจังว่าเธอจะมาหาเมื่อไหร่กันนะ" เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ฉันก็ยังได้ยิน
"อืม.. ซอสมะเขือเทศนี้อะอร่อยจริงๆ ให้แม่เพิ่มเป็นอาหารเช้าดีกว่า" ฉันพูดพร้อมกับเลียรอยเลือดปลอมๆ จากริมฝีปากขณะนั่งบนไหล่ของเร็น สีหน้าประหลาดใจของเขาก็เผยออกมา
"ท่านสุดยอดมากเลยครับ ท่านหญิงฮินาตะ"เขากล่าว
"ท่านแสดงออกมาได้อย่างไม่มีที่ติเลยครับ ขนาดผมยังแปลกใจเลย" ริทสึพูดขึ้นบ้าง
"พวกนายเองก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น" ฉันหัวเราะ
"แล้วท่านจะมาหาเขาอีกเมื่อไหร่เหรอครับ?" เร็นถาม
"อาจจะเป็นสัปดาห์หน้าล่ะมั้ง" เธอตอบกลับ
"แล้วเขาจะลุกขึ้นได้เมื่อไหร่ล่ะ?" ฉันหมายถึงนารูโตะที่นั่งอยู่ที่เดิม
"ภายในสิบนาทีครับ ผมสกัดจุดจักระของเขาไว้บางส่วนเท่านั้น ดังนั้นเขาไม่เป็นอะไรมาก" ริทสึตอบ พวกเขาไม่ได้ทำร้ายนารูโตะหรือฉัน อย่างน้อยก็ทางร่างกาย
"ดี ดีมาก" ฉันพึมพำ
"มีอะไรเหรอครับท่านหญิงฮินาตะ" เร็นถามเธอ
"นายเห็นนินจาคุโมะในหมู่บ้านบ้างไหม" ฉันถามอย่างอื่นแทน
"ผมคิดว่าการประชุมคาเงะกำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองหรือสามวันครับ" ริทสึกล่าว
"งั้นเหรอ"
ความคิดเห็น