ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Jenlisa เกลียดก็จริง แต่ยัยหน้าหยิ่งนี่น่ะของฉัน (END)

    ลำดับตอนที่ #36 : แว่นตา 1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.2K
      122
      10 มี.ค. 63








    สองวันที่แล้ว


    หน้ามหาวิทยาลัยแห่งใหญ่...ขณะนี้มีรถบัสจอดอยู่หลายคัน นักศึกษาจำนวนมากที่ใส่เสื้อผ้าชายหาดลวดลายและสีสันสดใสจนเหมือนกับหลุดออกมาจากการ์ตูนโต้คลื่นกำลังยืนแบกเป้สะพายกระเป๋ากันอยู่อย่างสบายใจ


    การแต่งตัวที่มีทั้งหมวกใบใหญ่ กระโปรงเนื้อผ้าบางพลิ้วลายดอกไม้ กางเกงขาสั้นชายทะเล และเสื้อฮาวาย ทำให้เหล่านักศึกษาต่างคณะในวันนี้ต่างดูสดชื่นสมวัย ผิดกับปกติที่ต้องใส่ชุดเครื่องแบบแบกหนังสือเรียนด้วยขอบตาที่ดำคล้ำเพราะอ่านหนังสือหนักกันจนไม่ได้นอนในหลายๆคืน


    "ขึ้นรถได้แล้วค่าาา"


    หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวเอามือป้องปากตะโกนไปทางกลุ่มนักศึกษาที่ยืนคุยกันเป็นวงเล็กๆหลายวง หากแต่เสียงสดใสของเธอก็ยังไม่สามารถทำให้ผู้คนร่วมสถาบันมาขึ้นรถบัสที่จอดเทียบอยู่ข้างๆตัวเธอได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นหน้าที่เธอคงจะเดินขึ้นไปนั่งเองตั้งนานแล้ว ไม่มายืนป่าวประกาศเป็นธาตุอากาศอยู่แบบนี้หรอก 


    'อากาศวันนี้ก็ร้อนเหลือเกิน... น่าแปลกที่ยังยืนจับกลุ่มเม้ากันอยู่ได้ ไม่กลัวแดดรึไงกัน?'


    สาวตัวสูงห้อยป้ายกระดาษเคลือบที่เขียนว่าเป็นสตาฟยกมือขึ้นปาดเหงื่อตัวเองอย่างเหนื่อยใจ ขึ้นรถกันช้าแบบนี้ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ไปกันเสียที ใจจริงเธอก็แอบอยากที่จะว้ากออกไปเหมือนตอนค่ายรับน้องที่ตัวเองเพิ่งจะโดนมาหมาดๆเหมือนกัน แต่รู้ว่าก็ไม่สามารถทำได้เพราะลูกค่ายครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ปีหนึ่งเหมือนกับเธอเท่านั้น... แต่รุ่นพี่ปีสองปีสามก็มากันหลายคณะเลยทีเดียว


    แต่แล้วต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนยังยืนอยู่ข้างนอกก็ปรากฏตัวมาตามที่ทุกคนรอคอย 


    ตึก ตึก ตึก


    เสียงรองเท้าแตะมีส้นของใครบางคนเรียกสายตาหลายคู่ให้หันมองตามกันอย่างติดๆ ร่างเล็กสะโอดสะองในชุดเดรสสีขาวความยาวประมาณหัวเข่าเดินมาดั่งกับเธอเป็นเจ้าของของที่แห่งนี้ ไหล่ขาวทั้งสองข้างถูกเปิดออกโชว์ผิวขาวเนียนราวกับนางฟ้า แต่ก็หาได้กระทบแดดไม่เพราะหมวกชายทะเลใบใหญ่ที่เธอใส่นั้นคลุมแม้แต่ไหล่บางของเจ้าตัวไปด้วย ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มอ่อนๆเป็นโทนแดงของสาวหมวยเรียกเสียงหวีดวิ้วจากหลายปากได้อีกเช่นเคย แต่แววตาคมกริบในแว่นกันแดดก็เพียงแต่มองตรงไปข้างหน้าและเดินลากกระเป๋าเดินทางสีม่วงเข้มผ่านหน้าเหล่าเด็กนักศึกษาทั้งหลายอย่างไม่สนใจ เธอมาหยุดอยู่หน้าบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตูรถแล้วจึงลดแว่นกันแดดของตัวเองลง 


    "ขึ้นคันนี้ได้ใช่มั้ยคะ?"  สายตาเฉี่ยวตวัดขึ้นมองหน้าคนที่ตัวสูงกว่า ดาวคณะสาวถามด้วยคิ้วที่เลิกขึ้น น้ำเสียงที่เอาแต่ใจติดเซ็งเล็กน้อยเพราะทั้งเธอและคนตรงหน้าก็ต่างรู้ว่าในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากที่เธอก้าวขึ้นรถคันนี้ทุกคนจะต้องตามมาขึ้นกันอย่างล้นหลามเหมือนทุกครั้งอีกเรื่อยไป


    "ได้สิคะ"  ร้อยยิ้มหวานถูกส่งให้ก่อนที่สตาฟที่มีอายุน้อยกว่าจะหลีกทางให้แล้วแผ่มือเชิญรุ่นพี่เข้าไปข้างใน


    หมับ


    แต่ก่อนที่เจนนี่จะได้ก้าวขึ้นรถบัสสองชั้นที่มีสีสดสวย มือเรียวของคนที่เพิ่งเชิญเธอเข้าไปก็ยื่นเข้าคว้าแขนเล็กเอาไว้ แล้วกล่องข้าวที่ไม่รู้อีกคนเอามาจากไหนก็ถูกยื่นให้


    "นี่ข้าวเผื่อหิวค่ะ... ส่วนของหวานถ้าอยากทานอาจจะต้องรอก่อนนะ"


    ลิซ่าส่งสายตากรุ้มกริ้มไปให้รุ่นพี่คนสวยที่ดูจะเป็นจุดสนใจเสียเหลือเกิน หลังจบประโยคที่ได้ยินกันเพียงแค่สองคน สาวตากลมโตก็ขยิบตาให้รุ่นพี่หน้าหมวยพร้อมส่งรอยยิ้มหวานที่มีเพียงเธอและดาวคณะสาวเท่านั้นที่เข้าใจความหมายให้ สายตากี่คู่ที่ยังคงแอบมองเจนนี่อยู่ทำให้สาวร่างโปร่งต้องถอยตัวกลับเมื่อส่งข้าวกล่องให้แล้ว เพราะไม่อยากให้ใครผิดสังเกต เนื่องจากตอนนี้เธอเป็นเพียงรุ่นน้องหรือน้องรหัสของอีกคนเท่านั้น...


    อย่างน้อยก็เท่าที่คนอื่นรู้น่ะนะ


    "หึ"


    สาวปีสองแค่นหัวเราะในลำคอแม้ใบหน้ายังคงนิ่งเรียบ ก่อนจะตวัดสายตาคมขึ้นสบตาลิซ่าแล้วก็ขบกรามเบาๆเป็นการพยายามเก็บกักรอยยิ้มที่กำลังผุดขึ้นมาในใจและกำลังจะออกมาทางสีหน้า คงเป็นเพราะคำพูดและใบหน้าอารมณ์ดีของคนตากลมอีกเช่นเคยที่ไม่ว่าตอนไหนก็ทำให้เธอเผลอใจอ่อนลงได้ทุกครั้ง


    ขาเรียวสวยก้าวขึ้นรถทันที และหลังจากนั้นแน่นอนว่างานหนักก็มาอยู่ที่สาวนักเต้นปีหนึ่งที่คอยรับคนที่ต่างเทมายังรถคันนี้กันอย่างล้นหลาม


    อาจเป็นเพราะตอนแรกที่ทุกคนกำลังยืนรออยู่ก็คือดาวคณะปีสองที่จู่ๆปีนี้ก็มาค่ายอาสาสี่วันสามคืนนี้ก็เป็นได้... เมื่อเธอขึ้นบัสแล้วคนอื่นๆจึงแห่กันมาขึ้นตามจนรถคันนี้แทบจะเต็มก่อนเป็นคันแรกทั้งๆที่ตอนแรกไม่มีใครเดินมาขึ้นด้วยซ้ำแม้คนที่เป็นสตาฟค่ายจะเรียกแล้วเรียกอีก


    ไม่ถึงสิบนาทีต่อมาทุกคนก็ขึ้นรถกันจนครบไม่เหลือคนที่ยืนรออยู่ข้างนอก





    "เฮ้อ"


    ลิซ่าถอนหายใจออกมาเล็กๆเมื่อประตูรถได้ปิดลง เธอเดินนับจำนวนคนในทั้งสองชั้นเรียบร้อยแล้วและตอนนี้หน้าที่บนรถบัสของเธอก็หมดลง


    สาวร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งบนเบาะที่นั่งสีม่วงที่เป็นเบาะคู่อย่างเพลียๆ ตอนนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ห้องข้างล่างเลยเพราะสตาฟทั้งหมดของคันนี้กำลังขึ้นไปแจกน้ำแจกอาหารให้กับนักศึกษาข้างบน


    '2... 4... 6... 7 8 9 10 11'


    สายตากลมมองไปรอบๆห้องแคบที่ปิดม่านสนิทพลางนับที่นั่งทั้งหมดด้วยนิ้วเรียวที่ชี้ไปตามเบาะรอบห้อง มีที่นั่งครึ่งวงกลมล้อมโต๊ะตรงกลางที่นั่งได้ประมาณห้าหกคน กับที่นั่งคู่ที่นั่งได้สองคนอีกสี่คู่ คู่หนึ่งมีกระเป๋าเป้วางทับกันอยู่หลายใบเพราะฉะนั้นไม่นับอันนั้น ก็จะเหลือสามคู่


    แววตากลมมองไปยังรูแอร์กลมๆสองอันบนเพดานที่นั่งของเธออย่างเหม่อลอย ในใจก็คิดนู่นนี่ไปด้วย... ทั้งเรื่องค่ายสามวันสองคืนที่ตนเองกำลังจะไปนี้ และเรื่องของสาวหน้าหมวยที่นั่งอยู่กับใครอีกคนบนชั้นบนของรถที่อยู่บนหัวของเธอตอนนี้


    อันที่จริงห้องข้างล่างของรถสองชั้นนี้ก็ดีเหมือนกัน... ถึงแม้มันจะเต็มไปด้วยสิ่งของที่ทีมสตาฟเตรียมกันมาและแพ็คขวดน้ำดื่มที่หนักอึ้งและกินพื้นที่ แต่มันก็ทำให้เธอไม่ต้องไปอยู่ในสถานการณ์หรือไปเห็นมันด้วยตัวเอง


    แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... สมองก็ยังอดจินตนาการภาพในตอนนี้ของคนข้างบนไม่ได้อยู่ดี


    ลิซ่ากำมือแน่นแล้วก็ถูนิ้วโป้งของตัวเองไปตามข้อนิ้วด้วยความร้อนรุ่มใจ วิธีระบายความคับแค้นในตอนนี้มีอยู่ไม่มาก... และเธอก็มั่นใจว่าตัวเองจะต้องทนได้จนไปถึงที่หมาย ดวงใจที่ร้อนเป็นไฟนี้จะต้องเป็นความรับผิดชอบของเธอเอง เพราะเธอได้ตกลงกับรุ่นพี่หน้าหมวยไว้แล้วว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นอารมณ์ความรู้สึกที่เกินออกมาจากแผนที่วางไว้นั้นก็เป็นความผิดของเธอทั้งนั้น


    'ไม่แฟร์... รู้สึกไม่แฟร์อยู่ดี'


    หน้าของคนเอาแต่ใจลอยขึ้นมาเต็มไปหมด


    สาวร่างโปร่งรีบสลัดความคิดของตัวเองออกแล้วก็ลุกขึ้นยืนมาอย่างเฉียบพลัน ขายาวก้าวไปมาภายในห้องดั่งหนูติดจั่นแล้วเธอก็ทรุดตัวนั่งลงที่เดิมอย่างไร้ทางออก


    'บ้าจริง ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ'


    หลังจากถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สิบตั้งแต่มาอยู่ในห้องนี้ ลิซ่าที่ขมวดคิ้วเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัวก็มองไปยังประตูเล็กที่มีลวดลายเดียวกับภายในห้อง เธอทนไม่ไหวที่จะอยู่แต่ในนี้อีกแล้ว มันช่างน่าอึดอัดไปหมด... ด้วยความคิดที่รวดเร็วนิ้วยาวจึงเปิดลูกบิดประตูออกไปหวังจะได้อากาศจากภายนอกบ้าง อย่างน้อยไม่ได้ขึ้นไปข้างบนแต่ขอได้หายใจร่วมกับคนอื่นหน่อยก็ยังดี แต่แล้วคนที่ปรากฏตัวอยู่หน้าเธอก็ทำให้สาวร่างโปร่งหัวใจเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งทีและคนตรงหน้าเองก็ดูจะไม่ทันได้ตั้งตัวไม่แพ้กัน


    ฟึ่บ


    ร่างเล็กของรุ่นพี่คนสวยที่เธอกำลังนึกถึงจนจิตใจวุ่นวายปรากฏอยู่หลังบานประตูที่เธอเพิ่งเปิดออก เจนนี่จ้องหน้าสาวร่างโปร่งกลับมาด้วยแววตาที่เบิกกว้างไม่แพ้กัน คงเป็นเพราะอีกคนก็คาดไม่ถึงว่าจะมาเจอเธอตอนนี้ทั้งๆที่ตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่พูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กันเยอะในค่ายนี้ถ้าไม่จำเป็น


    แต่นี่มันบังเอิญนี่นา...


    ระหว่างที่ยังไม่มีใครได้พูดอะไร แววตากลมโตของสาวร่างสูงก็เหลือบไปเห็นประตูห้องน้ำข้างตัว ที่รุ่นพี่ดาวคณะลงมาชั้นล่างก็อาจเป็นเพราะเหตุนี้ แต่ตอนนี้ลิซ่ากลับกำลังต่อสู้กับความคิดตัวเองที่วุ่นวายไปเสียยิ่งกว่าเสียงคุยของผู้คนข้างบน เพราะเธอไม่สามารถต่อต้านความอยากที่จะอยู่กับอีกคนสองต่อสองได้...แม้มันจะหมายถึงการที่ต้องเข้าไปในที่แคบๆที่มีชักโครกเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ก็ตาม


    'ดึงเข้าไปในห้องน้ำเลยดีมั้ย'


    ความตื่นเต้นก็มีอยู่ ความกลัวก็ยังจุกอก แต่ความอยากก็ทุรนทุรายอยู่ในใจไม่แพ้กัน 


    'พอเข้าไปแล้วจะยังไงต่อ... ถ้ามีคนมารอเข้าต่อล่ะ?'


    'หรือถ้ามีคนมาเห็นว่าออกมาพร้อมกันสองคนล่ะ?'


    หัวสมองคิดกลับไปกลับมาถึงผลที่อาจเกิดขึ้นและความเสี่ยงที่จะตามมาจากสิ่งที่คิดแล้วสาวร่างโปร่งก็หยุดตัวเองจากการกระทำอันตรายได้ด้วยเหตุผล


    ดวงตากลมโตกะพริบสองสามทีพลางจ้องหน้ารุ่นพี่หน้าหมวยที่ยังคงจ้องตนเองกลับ ลิซ่าปรับสภาพจิตใจของตัวเองพยายามทำให้คงที่ที่สุดไม่ให้กิเลสหรือไฟในตัวมาครอบงำ เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่เธอจะรอดไปได้ถ้ายังอยากสงบสุขไปจนจบค่ายนี้


    รอยยิ้มบางๆถูกส่งไปให้คนสวยแห่งคณะที่อายุมากกว่าเธอ แล้วสาวร่างโปร่งก็ก้าวขายาวหลีกให้อีกคนได้เข้าห้องน้ำตามที่ประสงค์


    'ถึงแม้จะไม่ได้ใกล้ชิดหรือแสดงออกอะไรด้วยกันมาก... แต่แค่ได้อยู่ด้วยกันหรือในที่เดียวกันก็น่าจะเพียงพอแล้ว'


    คิดได้ดังนั้นลิซ่าจึงก้มหน้าหลับตาลงแล้วก็ยิ้มให้กับตัวเอง สิ่งที่เธอต้องทำก็เพียงแค่รอสองสามวันเท่านั้น


    ระหว่างนั้นก็หวังว่าทุกอย่างระหว่างพวกเธอจะอยู่ในภาวะราบลื่นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกัน





    "พี่จะลงไหม?"


    "ไม่"


    "ผมลงไปดีมั้ย?"


    "แล้วแต่สิ"


    "'งั้นลงไปฉี่หน่อยดีกว่า พี่จะเอาไรเซเว่นป่าว?"


    "ไม่อะ"


    สายตาของดาวคณะสาวมองไปยังที่วางเท้าตรงเบาะที่นั่งตรงหน้าของชายหนุ่มพลางตอบคำถามที่เขาถามขึ้นมามากมาย ขณะนี้รถบัสกำลังจอดเทียบอยู่ในปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ที่วุ่นวายราวกับจุดท่องเที่ยว ทันทีที่รถจอดหลายคนก็ยืนขึ้นพร้อมกระเป๋าตังและกระดาษทิชชู่แล้วรีบลงกันไปมากกว่าครึ่งคัน ต่างจากชายหนุ่มข้างๆเธอที่ยังคงนั่งจับมือเธอไม่ยอมปล่อยเสียที


    ใช่... จับมือ


    ตอนนี้มือของเธอถูกมือหนาอุ่นกุมเอาไว้อีกทีบนตักของชายหนุ่ม เขายื่นมือมาจับเอาไว้ตั้งแต่รถเพิ่งออกจากมหาวิทยาลัย มาถึงตอนนี้ก็มากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว


    ถามว่าเธอพอใจไหมแน่นอนว่าไม่... แต่เจนนี่กลับไม่ได้ปฏิเสธหรือปัดมือเขาออกอย่างที่เธอน่าจะทำ


    มันกลับมีบางอย่างที่ทำให้เธอเพียงขมวดคิ้วแล้วส่งสายตารำคาญไปให้ชายหนุ่มตอนที่เขายื่นมือมาจับมือเธอเท่านั้น


    ถามเธอ เธอเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร


    จะบอกว่าไม่รังเกียจงั้นเหรอ?


    บ้าน่า...ต่อให้เป็นใครมาทำแบบนี้เธอก็รังเกียจทั้งนั้นแหละ 


    "ถ้าอย่างนั้นผมไปแล้วนะ"


    ในที่สุดแม็คก็ยอมปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระจนได้ ร่างสูงลุกออกไปพร้อมกระเป๋าเงินแล้วก็แวะทักทายเพื่อนเบาะหน้าๆเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปจากระยะสายตาเธอเสียที


    "เฮ้อ"


    เจนนี่ถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อในที่สุดก็ได้อยู่กับตัวเอง ตลอดเวลาที่นั่งมาเธอรู้สึกอึดอัดกับคนข้างๆที่คอยนั่งจ้องหน้าเธอเหลือเกิน ไหนจะถือวิสาสะเอามือเธอไปจับเอาไว้อีก


    แต่ที่เธอไม่ได้ว่าอะไรก็คงเป็นเพราะความที่เริ่มเคยชินกับชายหนุ่มที่มาบอกว่าเป็นเจ้าของตัวเอง ถึงแม้มันจะน่ารำคาญแต่เจนนี่ก็เริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน กับอะไรลึกๆบางอย่างที่ทำให้ดาวคณะสาวไม่อยากจะไปหาเรื่องกับหนุ่มหน้าเข้มที่สามารถดึงเรื่องนู้นเรื่องนี้มาขู่เธอได้ทุกเมื่อ


    ขอแค่แม็คไม่สงสัยอะไรก็พอ... เรื่องที่เหลือรอไว้จัดการเอาทีหลัง


    'รอไม่ไหวแล้วที่จะได้อยู่กับเธอสักที'


    ถึงแม้จะอยู่กันเพียงแค่นี้... แต่ก็ทำเหมือนไม่รู้จักกัน 


    สาวหน้าหมวยหลับตาลงหลังจากมองออกไปนอกกระจกจนแสบลูกตาไปหมดกับแสงแดด เพียงเธอปิดตาลงเท่านั้น ความมืดในใจก็ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของใครบางคนที่เปรียบเสมือนเป็นแสงสว่างของเธอ


    เพียงแค่นึกถึงหน้าลิซ่า จิตใจของเธอก็เหมือนมีน้ำผึ้งหวานเข้าชะโลมปลอบให้เย็นลง ทุกปัญหาค้างคาใจก็ดูจะง่ายขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีอีกคนอยู่เคียงข้าง


    เจนนี่เพียงต้องรอเท่านั้น... บทบาทของเธอคือเล่นตามน้ำไปกับชายหนุ่มพอให้เขาได้เบี่ยงเบนความสนใจแล้วไม่มาสงสัยอะไรในตัวเธอ


    ถึงแม้มันอาจฟังดูไม่ง่ายและน่ารำคาญใจสุดๆสำหรับคนอย่างเธอที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่าม 


    แต่ที่ยากกว่าคงเป็นฝ่ายสาวร่างโปร่งที่แหละ... 


    ที่ต้องทั้งทนรอแสร้งแสดงละครคนห่างเหินไปกับเธอ แถมยังต้องมาคอยเห็นเวลาเธออยู่กับชายหนุ่มที่ค่อนข้างแสดงออกว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตัวเธอต่อสาธารณชนอีก


    'เธอจะทนได้ไหมนะ?'


    'ถ้าเป็นฉันต้องสลับไปอยู่ฝ่ายเธอเองคงร้อนใจแย่'


    สาวดาวคณะคิดอย่างสงสารปนเห็นใจคนที่เปรียบเสมือนเป็นคนรักของตัวเองทั้งๆที่ตอนนี้ยังไม่ยืนยันบอกสถานะออกมากันชัดเจน ถึงแม้มันจะดูเหมือนสถานการณ์ตอนนี้อีกคนจะย่ำแย่กว่า... แต่คนที่มานั่งคอยห่วงอย่างเธอเองจริงๆแล้วก็ร้อนใจไม่แพ้กัน


    แต่ดีนะที่เป็นลิซ่า... ใครก็รู้ว่าคนอย่างสาวหน้าหมวยไม่เก่งเรื่องทนความหึงหวงซะด้วย


    ถ้ามีใครเข้ามาหาคนของเธอแบบนั้นละก็ เธอจะทำให้แน่ใจว่าตัวเองจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้เห็นคนคนนั้นมีชีวิตอยู่


    แต่ก็นะ... คนอย่างสาวร่างโปร่งน่ะ ให้ตายยังไงเจนนี่ก็เชื่อใจว่ายัยบ้านั่นไม่มีทางนอกใจเธอได้หรอก


    'ลิซ่า'


    ลมหายใจที่สม่ำเสมอของเธอเหมือนกำลังไหลไปตามเสียงในหัวของตัวเองที่กำลังเรียกชื่ออีกคน


    'ลิซ่า'


    ความนุ่มนวล ความสุข ความอบอุ่น ความต้องการ ความร้อนรุ่ม ทุกอย่างออกมาจากเจ้าของร่างโปร่งคนนั้น


    'ลิซ่า'


    ความเข้ากันได้ที่น่าประหลาด ความเกลียดและความรัก ความเข้าใจและความสบายใจ ในขณะเดียวกันก็สนุกและน่าตื่นเต้นไปด้วยทุกครั้งไป


    'ลิซ่า'


    "ลิซ่า"


    ...


    "ชื่อลิซ่าใช่ปะ? คนที่เต้นเก่งๆปะวะ?"


    'หืม?'


    เสียงของใครบางคนดังมาจากเบาะหลังพูดถึงชื่อที่สาวดาวคณะกำลังคิดอยู่ทำให้เจนนี่ต้องเงี่ยกูฟังขึ้นมาทันทีทั้งๆที่ไม่ได้อยากจะไปยุ่ง


    "เออ... วันนั้นก็ยืนเกาะขอบเวทีดูเค้าเต้นอยู่ด้วยกันหนิ"


    คนที่เสียงห้าวกว่าตอบออกมาเร็วทันใจ 


    เจนนี่หรี่ตาลงเล็กน้อย... จากการดักฟังคนที่ทั้งสองคนข้างหลังกำลังพูดถึงก็ไม่พ้นลิซ่าน้องรหัสเธอเป็นแน่


    "เออก็เต้นเก่งดีมั้ง ทำไม? เรียนคนละเซ็คไม่เคยเจอกันเลยไม่ใช่เหรอ"


    "ก็ใช่ไง... น่าเสียดายเป็นบ้า"


    "ทำไมวะ?"  เสียงของคนถามดูไม่เข้าใจอย่างจริงจัง ว่าทำไมเพื่อนของตัวเองถึงได้ดูสนอกสนใจเพื่อนร่วมรุ่นที่แทบจะไม่เคยคุยกันหรือสบตากันเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่เข้ามา


    แต่คำตอบต่อไปของสาวเสียงห้าวก็ทำให้เธอเข้าใจกระจ่างชัดแจ้งขึ้นมาทันที


    "ก็คนนี้แหละ... ฉันชอบเค้า"


    ...



    และก็กระจ่างไปถึงคนที่นั่งเบิกตากว้างอยู่ข้างหน้าซึ่งมีตำแหน่งเป็นพี่รหัสของเจ้าตัวด้วย





    สามชั่วโมงต่อมา


    "ลิซ"  เสียงหวานของสาวผมแดงดังผ่านโทรศัพท์ที่สาวร่างโปร่งเพิ่งควักออกมาจากกระเป๋าด้วยความทุลักทุเล ดวงตากลมโตปรือมองออกไปข้างนอกด้วยความเบลอและง่วง แต่ก็กำลังสงสัยว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน เพราะดูจากสภาพข้างนอกแล้วมันไม่น่าจะเป็นโรงแรมที่เป็นจุดหมายปลายทางได้เลย


    มองผ่านกระจกออกไปมีแต่ต้นไม้ป่าใหญ่เต็มไปหมด ไหนจะกระท่อมเล็กๆที่ดูซ่อมซ่อและน่ากลัวพวกนั้นอีก


    "หือว่าไง?"  สาวร่างโปร่งกรอกเสียงลงไปอย่างสะลึมสะลือ เธอกะพริบตาสองสามทีเพื่อปรับระดับความชัดของภาพในจอตาของตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยสักเท่าไหร่เมื่อต้นไม้ที่สูงใหญ่ในป่าแห่งนี้มันทำให้วิวทิวทัศน์ที่เห็นข้างนอกนั้นมืดไปหมด


    "ถึงแล้วนะ... บอกสตาฟที่เหลือในคันของแกด้วยว่าให้สตาฟทุกคนไปรวมกันในห้องประชุมก่อน แล้วกระเป๋าของพวกเราค่อยเอาเข้าห้องทีหลังหลังทานข้าวเย็น"


    "เคๆ"


    ร่างสูงรับคำเพื่อนก่อนจะลุกขึ้นยืนสลัดความง่วงออกเล็กน้อย แล้วก็เห็นว่าในห้องเล็กชั้นล่างของคันรถนั้นมีสตาฟอยู่ไม่ครบทุกคน สงสัยจะขึ้นไปอยู่ข้างบนกันบ้างแหงๆ


    "เฮ้ย... แบมๆ"


    "ฮะ?"  หนุ่มผมสีอ่อนลืมตาขึ้นมามองเธอขณะที่คนข้างๆเขาก็ขยับตัวพลิกไปนั่งหลับอีกฝั่ง ลิซ่าบอกความประสงค์ของตัวเองออกไปแล้วก็ทำท่าชี้ขึ้นไปข้างบนประกอบการพูดด้วย


    "ไปบอกพวกข้างบนให้หน่อยดิว่าสตาฟให้ไปรวมกันห้องประชุมก่อน กระเป๋าพวกเราค่อยเอาเข้าห้องทีหลัง"


    หนุ่มไทยหน้าเกาหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม คนตัวสูงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินออกจากห้องไปเพื่อทำตามที่เธอบอก และนั่นก็ทำให้สาวร่างโปร่งสบายใจไปไม่น้อยที่ไม่ต้องตอบคำถามอะไรมากมาย


    "เฮ้อ" ลิซ่าถอนหายใจออกมาเบาๆ


    ทำไมเธอไม่ขึ้นไปเองน่ะเหรอ?


    ก็ไม่อยากจะไปเห็นภาพแม็คกับรุ่นพี่หน้าหมวยที่นั่งข้างกันอยู่ข้างบนนั่นน่ะสิ


    ครืด~


    J: เธอ


    J: ถึงแล้วเหรอ


    โทรศัพท์ที่หยิบออกมาดูขึ้นชื่อตัวอักษรเพียงตัวเดียวที่ทำให้หัวใจเธอหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะได้


    สาวร่างโปร่งรีบกดอ่านแล้วพิมตอบไปทันที เพราะรู้ว่าคนข้างบนคงมีจังหวะไม่มากที่จะมาพิมหาเธอแบบนี้... คงจะแอบแม็คหรือไม่ชายหนุ่มก็คงหลับอยู่แน่ๆ เพราะปกติพวกเธอไม่ได้พิมคุยกันเยอะขนาดนั้น 


    L: อื้อ


    ขนาดชื่อในนี้ยังต้องตั้งเป็นตัวอักษรตัวเดียวให้คนไม่รู้ว่าเป็นใครเลย


    J: หิวแล้ว


    ลิซ่าแอบอมยิ้มเล็กน้อยกับสิ่งที่อีกคนบอกมา แล้วก็พิมกลับไปพลางเหลือบมองคนรอบๆห้องซึ่งเป็นสตาฟที่เหลือที่กำลังนอนหลับกันอยู่ทุกคน


    L: ข้างล่างมีแซนด์วิช


    L: เต็มเลย


    พิมไปก็มองถุงสีขาวใบใหญ่ที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างๆตัว ภายในนั้นมีแซนด์วิชที่เหลือจากที่แจกไม่หมดอยู่เกือบสิบอันได้


    J: จะให้ลงไปเอารึไง


    ในใจเธอก็แอบอยากให้อีกคนลงมาอยู่หรอก ถึงได้พิมไปแบบนั้นแม้จะรู้ว่าอาจลงมาไม่ได้ก็เถอะ


    L: มาสิ 


    L: ไม่ได้เหรอ?


    สาวร่างโปร่งแอบคาดหวังในใจนิดๆว่ารุ่นพี่หน้าหมวยจะสามารถมาหาเธอได้ แต่ก็รู้อยู่เป็นนัยๆว่ามันคงจะไม่สะดวกแน่ๆถ้านางจะแอบชายหนุ่มลงมาหาเธอแบบนี้ และสิ่งที่คาดไว้ก็เป็นจริงเมื่ออีกคนพิมตอบกลับมาตามที่เธอคิดเป๊ะๆ


    J: ไม่ได้หรอก


    J: เรานั่งข้างใน


    ...


    ลิซ่าถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความผิดหวังเล็กน้อย แต่เธอก็ยิ้มสู้แล้วก็พิมตอบกลับไปอย่างไม่อยากให้อีกคนรู้สึกว่าเธอคิดมากหรือรู้สึกผิดอะไรไปมากกว่านั้น


    L: งั้นเดี๋ยวเอาไปให้


    L: หลังประชุมกินข้าวเสร็จแล้วไปเอากุญแจห้องที่แชงนะ


    L: ล็อคเบอร์ห้องไว้ให้ละ


    ...


    J: ตอนนั้นก็กินข้าวเสร็จแล้วมั้ย


    J: จะเอาแซนวิชมาให้เรากินแทนข้าวเย็นเหรอ


    - -"


    L: หึ


    L: งั้นไม่ไปละ


    สาวร่างโปร่งนั่งเบะปากงอนอีกคนอยู่คนเดียวอยู่ข้างล่างของรถบัสคันเดียวกัน นี่เธออุตส่าห์พยายามไม่แสดงอารมณ์เรื่องที่ต้องมาทนกับการที่อีกคนไปอยู่กับแม็คตลอดเวลาแล้วนะ... ไหนจะต้องมาแสดงละครทำเป็นเหมือนไม่ได้เป็นอะไรกันอีก!


    อีกคนยังจะมาพูดกันแบบนี้อีก


    แต่ทางเทคนิคแล้ว...


    ก็ไม่ได้เป็นจริงๆนั่นแหละ


    ก็ทั้งสองคนไม่เคยปริปากพูดออกมาจริงๆเลยสักครั้ง... ว่าเธอสองคนเป็นอะไร-


    J: ไม่น้อยใจสิ


    J: เดี๋ยวคืนนี้เราไม่ให้รางวัลนะ

    J: ;)



    ดวงตากลมโตของสาวร่างสูงเบิกกว้างขึ้นทันทีก่อนจะรีบมองซ้ายมองขวากลัวว่าจะมีใครมาเห็นข้อความ ทั้งๆที่ทุกคนในห้องก็ยังคงหลับปุ๋ยสนิทไม่มีใครรู้เรื่องว่ารถบัสกำลังมาจอดถึงที่หมายแล้ว ลิซ่าเผลอเม้มปากแน่นกับคำพูดของอีกคน ในใจก็คิดดีไม่ได้เลยเมื่อเห็นอีกคนพิมมาแบบนั้น


    คนบ้า!


    'ไม่ๆๆๆๆ หยุดคิดเดี๋ยวนี้'


    L: -0-


    L: บ้า


    นิ้วเรียวพิมตามที่คิดอย่างว่องไว หน้าก็เผลอร้อนขึ้นมาเมื่อนึกถึงรุ่นพี่หน้าหมวยที่อยู่อีกฝั่ง ไหนจะดูกลายเป็นคนละคนเวลาคุยกันผ่านตัวอักษร ไม่รู้ทำไมอีกคนชอบพิมสรรพนามเรียกแทนตัวเองว่า 'เรา' อยู่ตลอดทั้งๆที่ตัวจริงคุยกันทีไรก็ไม่พูดแบบนี้ด้วยซ้ำ


    มันทำให้เธอรู้สึกเกรงใจอีกคนขึ้นมานิดหน่อยยังไงก็ไม่รู้


    "ลิซ่า"


    เฮือก!!!


    "ห..ห้ะ!?"  มือเรียวตวัดโทรศัพท์พลิกเก็บเข้ากระเป๋าทันทีที่ได้ยินเสียงคนเรียก สาวร่างโปร่งหันไปก็เจอหนึ่งในสตาฟที่อยู่ชั้นปีเดียวกันกำลังยกมือขึ้นปิดปากหาวเหมือนกำลังเพิ่งตื่น ดูท่าอีกคนจะไม่เห็นว่าเธอตกใจขนาดไหนตอนได้ยินเสียงเรียก...แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีแล้วล่ะ


    "ถึงแล้วอ่อ?"


    สาวผมดำยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าออกพลางมองออกไปข้างนอกสลับกับสตาฟในห้องที่เหลือที่ยังคงหลับกันอยู่ ขณะนี้รถบัสกำลังค่อยๆจอดใกล้นิ่งสนิทแล้ว... ซึ่งก็แปลว่าถึงเวลาที่จะปลุกทุกคนให้ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ดูแลของค่ายนี้เสียที


    "อื้อ กระเป๋าของพวกเราให้เอาเข้าห้องหลังอาหารเย็นนะ ไปเจอกันห้องประชุมก่อน"


    "หมายถึงสตาฟอะนะ"


    "เออ ฝากบอกทุกคนด้วย เดี๋ยวฉันต้องไปสแตนด์บายที่ห้องทานข้าวก่อน"


    "เออได้ๆ"


    เมื่อเพื่อนรับคำเธอเรียบร้อยสาวร่างโปร่งก็ออกมาจากห้องชั้นล่างที่ตัวเองนั่งอยู่พร้อมกับกระเป๋าสะพายใบเล็กเท่านั้น เมื่อออกมาข้างนอกก็เจอกับชายหนุ่มที่เป็นฝ่ายสวัสดิการเหมือนกับเธอ ลิซ่าผงกหัวทักทายแบมแบมเล็กน้อยพอดีกับจังหวะนั้นที่รถจอดสนิท ทั้งสองที่เป็นสตาฟฝ่ายสวัสดิการเพียงสองคนของคันรถก้าวออกมาจากประตูรถเป็นคนแรก แล้วก็มุ่งหน้าไปที่ห้องอาหารด้วยกันเพื่อรีบทำภารกิจให้เสร็จ


    ดงป่าไม้ที่รถมาจอดอยู่นั้นไม่ได้ทำให้โรงแรมแห่งที่กำลังจะมาพักอยู่กันสามวันสองคืนดูปลอดภัยขึ้นเลย สองขายาวของคนทั้งคู่ก้าวเคียงกันด้วยความรวดเร็ว ใบไม้สีเหลืองอ่อนที่ปนกับสีน้ำตาลถูกเหยียบเสียงดังกรอบแกรบ และเนื่องจากรอบข้างไม่มีเสียงใดๆอื่นเลย แม้แต่ห้องพักให้เห็นสักห้องเหมือนก่อนหน้านี้ก็ไม่มี ทำให้สาวร่างโปร่งและหนุ่มร่างบางต้องเดินให้ไวขึ้นมาเดิมโดยกลัวว่าจะมีสัตว์ป่าหรือตัวอะไรโผล่ออกมาจากดงมืด


    "ห้องอาหารมันอยู่อีกไกลไหมเนี่ย?"  ลิซ่าถามขึ้นพลางชะเง้อมองไปข้างหน้า แต่ก็ยังคงไม่เห็นสิ่งที่ตามหาทั้งที่สองขาก็ยังคงก้าวไปอย่างเร็วไม่หยุดหย่อน


    "ไม่รู้อะ... แต่ฝ่ายสวัสดิ์ที่อยู่รถคันอื่นๆไปไหนกันหมด"


    "หรือเรามาผิดทาง?"


    "ไม่หรอก คงกำลังตามมากันแหละ"


    "คันเราจอดเร็วสุดนี่เนอะ"  สาวร่างโปร่งพูดพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อตัวเองดูเหมือนจะหาจุดหมายปลายทางไม่เจอสักที แถมถ้าไปถึงสายหรือหลังคนอื่นๆในค่ายที่ไม่ใช่สตาฟพวกเธอคงจะโดนด่าแน่ๆ


    "นั่นไง!"  ชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆยกนิ้วขึ้นชี้บางอย่างที่เป็นเหมือนหลังคาสีขาวๆซึ่งโผล่มาจากต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าไม่ไกลมาก ลิซ่ารีบมองตามแล้วก็อุทานออกมาทันทีเมื่อเห็นว่ามันน่าจะใช่แน่ๆ... ห้องอาหารที่พวกเธอกำลังพยายามไปให้ถึงอยู่


    "จริงด้วย!"


    ขาทั้งสี่ก้าวไวขึ้นประหนึ่งได้ติดเทอร์โบแห่งความมั่นใจในจุดหมาย เพียงแค่อึดใจเดี๋ยวก็จะหมดหน้าที่ในส่วนของพวกเธอในวันนี้แล้ว ถ้าไม่นับการยกของนิดๆหน่อยๆ... ฝ่ายสวัสดิการก็แทบจะเป็นสตาฟฝ่ายที่สบายที่สุดแล้ว


    แล้วหลังจากนั้นจะไปทำอะไรก็ได้... รวมถึงเล่นกับลูกค่ายหรือไปช่วยฝ่ายอื่นจัดกิจกรรมก็ยังได้


    'ดีจริงๆเลย'





    ท่ามกลางเสียงคุยที่ดังระงมในห้องอาหารแห่งใหญ่ที่เป็นห้องเปิด นักศึกษาหลายชั้นปีจากหลายคณะกำลังนั่งล้อมโต๊ะวงกลมจำนวนมากซึ่งมีสตาฟฝ่ายสวัสดิการที่ลงมาก่อนยืนคุมอยู่โต๊ะละคน เสียงคุยจะไม่ยอมเงียบลงเลยถ้าไม่มีเสียงปรบมือดังสองครั้งและการประกาศขอความสนใจจากหัวหน้าของสตาฟฝ่ายนี้


    แปะ!! แปะ!!


    "ฟังทางนี้หน่อยค่ะ!!"


    ทั้งห้องเงียบกริบขึ้นมาทันทีที่หัวหน้าของสตาฟฝ่ายสวัสดิการได้ขึ้นไปยืนบนเวทีที่อยู่สุดมุมห้องซึ่งทุกคนสามารถเห็นกันได้ทั่วถึง ทุกสายตาจับจ้องไปยังหญิงสาวเพียงคนเดียวที่ทำให้เสียงคุยเงียบลงได้


    เจ้าของใบหน้าหวานกวาดตามองลูกค่ายทุกคนของค่ายแห่งนี้ที่นั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆข้างล่างของเวทีที่เธอยืนอยู่ หญิงสาวหยิบปอยผมสีแดงทัดหูตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ชัดถ้อยชัดคำเมื่อเห็นว่าสตาฟทุกคนของเธอประจำอยู่ตามโต๊ะกันพร้อมแล้ว


    "เดี๋ยวจะมีการเก็บโทรศัพท์... อย่างที่ได้แจ้งเอาไว้แล้วในใบตอนแรก หลังจากนั้นจะให้ทานข้าวกันแล้วมารับกุญแจห้อง เรามีเวลาให้หนึ่งชั่วโมงในการทานข้าวเที่ยงและเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้อง ในเวลาบ่ายโมงสิบห้านาทีขอให้ไปรวมกันที่ห้องประชุม"


    "สตาฟเริ่มเก็บโทรศัพท์ได้ค่ะ"


    พูดจบสาวดาวคณะก็ยืนนิ่ง ปล่อยให้ลูกทีมเก็บโทรศัพท์ตามโต๊ะภายใต้สายตาของเธอ


    จากการสังเกตในระยะไกลทุกโต๊ะก็ดูเรียบร้อยดี ถึงแม้จะไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าทุกคนให้ความร่วมมือในส่วนนี้ แต่เธอก็มั่นใจดีว่ากิจกรรมในค่ายนั้นแม้จะนำโทรศัพท์มาหรือแอบซ่อนเอาไว้อีกเครื่องก็คงไม่ได้ใช้อยู่แล้ว เพราะตารางกิจกรรมแต่ละอย่างที่สตาฟได้เตรียมเอาไว้นั้นแน่นมากๆ สืบทอดมาจากค่ายนี้ของปีที่แล้วและปีที่ผ่านๆมา


    สาวร่างบางยังคงยืนอยู่บนเวที ไมโครโฟนที่ช่วยขยายเสียงให้คนที่อยู่สุดริมห้องอีกฝั่งได้ยินนั้นเธอถือไว้ข้างตัว มีสายตาจากตามโต๊ะมองมาที่เธออยู่ไม่น้อย ตั้งแต่รับตำแหน่งมาเป็นดาวคณะของชั้นปีนี้เธอก็ดูจะได้รับความสนใจมากขึ้นจากทั้งคนที่ชื่นชมและคนที่เหมือนจะเข้ามาสนใจเธอ แต่ถึงอย่างนั้นสาวปีหนึ่งก็มั่นใจได้เลยว่าเธอไม่มีทางชายตาให้ใครคนไหน


    นอกจากเจ้าของสายตาคมคู่สวยของคนหน้าหวานที่กำลังมองมาที่เธอพร้อมแอบยักคิ้วให้อยู่ตรงมุมห้องนั้น


    ...


    "โรเซ่!"


    ฮะ!?


    หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเธอเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนเรียกจากด้านข้าง เมื่อหันไปก็เจอกับชายหนุ่มผมสีเดียวกันที่กำลังจ้องมองขึ้นมาที่เธอเหมือนกับเขาได้พยายามเรียกหลายรอบแล้ว


    เดือนคณะหน้าหล่อที่เป็น 'คู่แอเรียล' ของเธอก็มาเป็นสตาฟอยู่ในฝ่ายสวัสดิการที่เธอเป็นคนควบคุมด้วยเช่นกัน เหตุผลถ้าไม่พยายามมองข้ามก็คงเป็นเพราะเขาอยากจะเข้ามาอยู่ใกล้ๆเธอนั่นแหละ


    "บาส... ว่าไงนะ?"


    สาวร่างบางก้าวเข้าไปทางชายหนุ่มคณะเดียวกันที่มีตำแหน่งคู่กับเธอพร้อมลดตัวลงเล็กน้อยด้วยเวทีที่ทำให้เธออยู่สูงกว่ามาก สาวผมแดงไม่ลืมเอามือปิดเสื้อตัวเองด้วยเมื่อก้มตัวลงคุย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเห็นชายหนุ่มแอบเหลือบมองลงไปนิดนึงอยู่ดีแม้เป็นเพียงเสี้ยววินาทีก็ตาม


    เฮ้อ...


    "จะบอกว่าสตาฟเก็บโทรศัพท์หมดแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ไปรวมกับฝ่ายอื่นกันที่ห้องประชุมได้เลยใช่ไหม"


    "อื้อ"


    เมื่อเห็นเธอตอบดังนั้นเขาจึงยื่นมือขึ้นมาเพื่อจะรับหญิงสาวให้จากเวที แต่แชยองก็รู้ดีพอที่จะก้าวลงมาด้วยตัวเองแล้วยิ้มขอบคุณเป็นการปฏิเสธการจับมือกับชายหนุ่มเพียงเท่านั้น เพราะเธอเองก็รู้ดีว่าเขาคงทำไปเพราะคิดอะไรอยู่แน่ๆ และวิธีที่ดีที่สุดแม้จะไม่ต้องอธิบายอะไรก็คือการปฏิเสธอย่างนุ่มนวลนี่แหละ มันคือรักษาน้ำใจแต่ก็บอกเป็นนัยๆว่าไม่เอาเช่นกัน


    "นี่..."


    หมับ


    จู่ๆสัมผัสที่เพิ่งปฏิเสธก็กลับมาจับข้อมือเธอเอาไว้ทำให้ต้องหันหน้ากลับไปหา


    บาสมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย เขาเม้มปากพลางมองไปที่พื้นข้างๆอย่างตัดสินใจ แล้วก็กลับมามองหน้าเธออีกครั้งโดยที่ยังไม่ปล่อยข้อมือบางที่เขากำลังรั้งเอาไว้


    "ฉ..ฉันมีเรื่องอยากจะพูดด้วย กับเธอ..."


    "บาส... ถ้าไม่ใช่เรื่องงานในค่ายนี้ล่ะก็ เก็บไว้ทีหลังเถอะนะ"  หญิงสาวดาวคณะพูดออกมาพลางถอนหายใจเบาๆ ในใจเธอก็พอรู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นการมาในค่ายที่นี่พวกเธอก็มีจุดประสงค์อันดับหนึ่งคือช่วยกันทำงานและหน้าที่ในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อให้ส่วนรวมของค่ายมันออกมาดีและเป็นอย่างที่คาดไว้ เพราะฉะนั้นเรื่องส่วนตัวก็ไม่ควรจะเอามาให้ขัดการทำงานในตอนนี้


    "แต่ว่าฉันอยากจะถามเธอมาสักพัก-"


    "เอาไว้ก่อนเถอะน่า"


    "เธอมีใครอยู่แล้วใชไหม!!?"


    ประโยคค้างคาใจถูกตะโกนออกมาด้วยความอดกลั้นไม่ไหวของหนุ่มผมสีแดง บาสจ้องหน้าดาวคณะเดียวกับเขาด้วยตาที่เบิกกว้างและคิ้วขมวดแน่น


    เขาสงสัยมานานมากแล้ว... สงสัยมานานมากจริงๆ


    ผู้หญิงมากมายจากทั้งในคณะและนอกคณะที่ต้องการเขา หรือเข้ามาคุย


    แต่ทำไมผู้หญิงคนเดียวที่เขาสนใจกลับดูจะไม่อะไรกับเขาเลยสักนิดนอกจากจะรักษาระยะอยู่ในสถานะแค่ 'เพื่อน'


    ทำไมล่ะ? หรือว่าใครกัน? ที่เอาหัวใจของเธอไปจับจองเอาไว้แล้ว


    ไอ้ผู้ชายหน้าไหนที่สามารถทำให้สาวเรือนผมสีแดงร่างบางที่เป็นดาวคณะคู่กับเขาไปสนใจมันคนเดียวได้


    ทำไมกัน? บอกเขามาเพียงเท่านั้นแล้วเขาจะตัดสินใจเองว่าไอ้ใครก็ไม่รู้นั่นมันคู่ควรกับเธอหรือเปล่า


    ถ้ามันหน้าตาดีกว่าเขา ฉลาดกว่าเขา เรียนเก่งกว่าเขา และที่สำคัญเป็นเดือนเหมือนกับเขา... เขาอาจจะปล่อยเธอไป


    แต่ถ้ามันมีอะไรแม้แต่อย่างเดียวที่น้อยกว่านั้นล่ะก็...


    เขาจะไปแย่งหัวใจของเธอคืนมาจากมันแล้วให้มาเป็นของเขาให้ได้!





    'น่าจะครบแล้วนะ'


    โทรศัพท์มือถือนับสิบในมือถูกใส่ลงในถุงพลาสติกหนาทันทีเมื่อเธอนับจำนวนเสร็จ เมื่อส่งถุงโทรศัพท์จากโต๊ะที่ตัวเองเพิ่งยืนคุมและเก็บมาให้กับเพื่อนสตาฟอีกคนเรียบร้อยแล้ว สาวร่างโปร่งก็กำลังจะเดินออกไปจากโต๊ะอยู่แล้วถ้าไม่มีมือเย็นๆมาจับข้อมือเธอเอาไว้เสียก่อน


    "คุณคะ"


    "หื้ม?"  ลิซ่าขานรับเสียงสูงเมื่อหันไปก็เจอลูกค่ายคนหนึ่งที่นั่งอยู่จากโต๊ะนั้นกำลังจ้องมองกลับมาที่เธอเหมือนกับจะต้องการความช่วยเหลือ ด้วยความที่เป็นสตาฟของค่ายเพียงคนเดียวของโต๊ะนั้นสาวร่างสูงจึงรีบเข้าไปใกล้แล้วก็รับฟังความต้องการของหญิงสาวตัวเล็กเต็มที่ เพราะมาเป็นสตาฟค่ายจริงๆจังๆครั้งแรกเธอก็อยากจะทำหน้าที่ไม่ให้ขาดหายแม้แต่นิดเดียว


    "คือว่า..."  เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองมาที่เธออย่างไม่ค่อยสู้ดี เมื่อดูใกล้ๆก็เพิ่งเห็นว่าคนตัวเล็กคนนี้นั้นหน้าตาน่ารักไม่น้อย ดูจากท่าทางแล้วน่าจะอยู่ปีหนึ่งเหมือนกับเธอไม่ก็ปีสองแน่ๆ ดูเหมือนเด็กขนาดนี้ไม่น่าจะมาจากปีสามหรือปีสี่แหงๆ


    "?"  สาวร่างโปร่งเอียงคอนิดๆอย่างเป็นคำถาม แล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงให้อีกคนพูดต่อ


    "ฉันลืมโทรบอกเรื่องสำคัญกับแม่น่ะค่ะ... โทรศัพท์ก็โดนเก็บไปแล้วด้วย..."  เสียงที่พูดแล้วค่อยๆเล็กลงไปเรื่อยๆอย่างกับเจ้าตัวรู้สึกผิดทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไรขนาดนั้นทำให้ลิซ่าก็เผลอเอ็นดูคนตัวเล็กไปนิดๆในใจ เธอไม่เห็นเรื่องที่อีกคนทำหน้าเครียดเป็นเรื่องที่ควรหนักใจเลยสักนิด ออกจะดูตลกด้วยซ้ำไป แต่จะขำออกมาเธอก็สงสารลูกค่ายที่ตัวเองเพิ่งเก็บโทรศัพท์ไปเองกับมือ สาวร่างสูงจึงย่อตัวลงแล้วก็ยิ้มให้อีกคนบางๆพลางเสนอความช่วยเหลือทั้งๆที่เป็นการขัดกับกฏของค่ายเล็กน้อย


    "ยืมของฉันโทรก่อนไหมล่ะ? แต่ต้องรีบคุยแล้วก็แอบๆพอเป็นพิธีหน่อยนะ"  น้ำเสียงสบายๆติดตลกของสตาฟขายาวทำให้หญิงสาวตัวเล็กก็หัวเราะออกมาเบาๆและมีท่าทีคลายเครียดลง


    เธอพยักหน้าเบาๆแล้วก็รับข้อเสนอของอีกคนอย่างง่ายๆ โทรศัพท์ของสาวร่างโปร่งถูกควักออกมาจากกระเป๋าอย่างพยายามไม่โจ่งแจ้ง แล้วเจ้าตัวก็รีบสแกนลายนิ้วมือเข้าไปหวังรีบยื่นให้อีกคนโทร... แต่ทาบนิ้วโป้งลงไปเท่าไหร่ก็ไม่ปลดล็อกเข้าได้เสียที


    'ยิ่งรีบยิ่งไม่ได้... บ้าจริงไอ้โทรศัพท์'


    สาวร่างโปร่งสบถในใจก่อนจะตัดสินใจใช้กดรหัสแทนโดยไม่ได้ใส่ใจมากนักว่าคนที่อยู่ข้างๆตัวเธอนั้นจะมองโทรศัพท์ของเธออยู่ด้วยรึเปล่า


    2 7 0 3 9 7


    โค้ดง่ายๆที่ตั้งตามวันเกิดของตัวเธอเองได้ถูกใส่ลงและปลดล็อคโทรศัพท์ทันทีอย่างง่ายๆ ลิซ่ารีบส่งโทรศัพท์ให้กับสาวตัวเล็กข้างกายแล้วก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางบังอีกคนให้ระหว่างที่กำลังโทรหาแม่ด้วยมือถือของเธอซึ่งเป็นสตาฟที่ทำหน้าที่เก็บมือถือไปเมื่อครู่


    บทสนทนาดูจะไม่มีอะไรมากนอกจากหญิงสาวที่แจ้งแม่ว่าเธอจะไม่มีโทรศัพท์ไปอีกกี่วันและจะกลับจากค่ายถึงประมาณกี่โมง เมื่อวางสายไปแล้วมือเล็กๆของคนที่ขอยืมโทรศัพท์เธอก็ส่งเครื่องมือสื่อสารอันเล็กกลับคืนมาให้เธอด้วยท่าทางเกรงใจ ลิซ่ารับกลับมาใส่กระเป๋าแล้วก็ยิ้มให้เมื่ออีกฝ่ายรีบกล่าวขอบคุณเธออย่างมากมาย


    "ไม่เป็นไรหรอกๆ มีอะไรก็มาบอกพวกสตาฟได้ตลอดเลยนะ"


    "ได้เลยค่ะ คุณชื่ออะไรนะ?"


    "ลิซ่าค่ะ เราอยู่ปีหนึ่ง"


    "เราก็ปีหนึ่งเหมือนกันค่ะ"


    "งั้นก็ไม่เห็นต้องพูดเพราะเลยนี่"  สาวร่างสูงแซวอีกคนเล่นเมื่อเห็นว่าอยู่ชั้นเดียวกัน 


    "่อ่า5555"  
    สาวตัวเล็กมีท่าทีเขินขึ้นมาทันทีแล้วก็หัวเราะตามเธอเบาๆ


    'ที่ไม่เคยเห็นต้องเป็นเพราะอยู่คนละคณะแน่ๆเลย'  ลิซ่าคิดในใจขึ้นมา


    "เราชื่อตาค่ะ อยู่ศิลปศาสตร์"


    "หื้ม... ก็บอกว่าไม่ต้องพูดเพราะไง"


    "5555"  ทั้งคู่ขำไปด้วยกันอย่างเขินๆ อาจจะเป็นเพราะยังไม่รู้จักกันแต่สาวร่างโปร่งก็เป็นคนเฟรนลี่ขี้เล่นเอามากๆ... หรืออาจจะเป็นเพราะสาวตัวเล็กเองก็ดูจะชอบความขี้เล่นของคนตัวสูงเป็นพิเศษจนทั้งคู่เองก็สังเกตได้ก็ไม่รู้


    "เราอยู่เศรษฐศาสตร์ ยังไงก็ไว้เจอกันนะ...ตา เราต้องไปละ"  ลิซ่าตัดบทสนทนาเอาไว้แค่นั้นเพราะเธอต้องรีบไปรวมสตาฟที่ห้องประชุมใหญ่ ไม่รู้เธอรู้สึกไปเองรึเปล่าแต่อีกคนมีแววตาเสียดายขึ้นมาทันทีแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลานิดเดียว


    ถึงกระนั้นสาวตัวเล็กแววตาสีน้ำตาลอ่อนก็ยิ้มกลับมาให้เธอแล้วก็โบกมือลาเบาๆ... แม้หันหลังเดินออกมาแล้วก็ยังรู้สึกถึงรังสีบางอย่างของอีกคนที่เหมือนยังคงจ้องมองมาที่เธอจนลับสายตา


    ...


    'ตา ศิลปศาสตร์' งั้นเหรอ?





    แต่ในการแนะนำตัวย่อๆในบทสนทนาที่เรียบง่ายและเป็นมิตรของสตาฟกับลูกค่ายนั้น... ใครที่อยู่รอบข้างแล้วได้ฟังก็คงจะคิดว่าเป็นการเพิ่งเริ่มรู้จักกันของคนสองคนที่ไม่เคยรู้อะไรในตัวอีกคนมาก่อนเลย


    ...ถ้าคนที่เผลอได้ยินนั้นไม่ใช่เจ้าของใบหน้าสวยโดดที่นั่งอยู่ข้างๆ


    'ยัยนั่น...'  ในตอนแรกเจนนี่คิดในใจ มือเธอก็กำแน่นด้วยความไม่พอใจที่บทสนทนาระหว่างลิซ่ากับใครก็ไม่รู้มาเกิดขึ้นข้างหลังเธอพอดีอย่างใกล้และได้ยินถึงความเฟรนลี่ของคนตัวสูงชัดเจนทุกคำ


    แต่แม้แต่เธอยังแปลกใจว่าระหว่างที่ลิซ่ายืนคุยและให้ยืมโทรศัพท์กับคนแปลกหน้านั่น... เจ้าตัวไม่เห็นเธอที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆเลยสักนิด


    จริงอยู่ว่าเธอกำลังนั่งข้างชายหนุ่มที่เอาแขนมาพาดหลังพนักเก้าอื้ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าอีกคนควรจะไม่เห็นเธอในเมื่อปกติเธออยู่ที่ไหนลิซ่าก็จะมองเห็นเธอก่อนเป็นคนแรกเท่านั้น


    ยังไม่ทันจะหงุดหงิดเสร็จ และแล้วสิ่งที่ทำให้จุดไฟในดวงใจของดาวคณะสาวหน้าหมวยขึ้นมาได้มากกว่าเดิมก็ปะทุขึ้นมาอย่างควบคุมมิได้


    เมื่อเธอหันไปมองหน้าคนที่กำลังคุยกับลิซ่าอย่างรื่นเริง แล้วก็พบกับ...


    คนคนเดียวกับที่เธอได้ยินนางคุยกับเพื่อนบนรถบัส... คนที่บอกว่าตัวเองแอบเล็งสาวนักเต้นเอาไว้อย่างเปิดเผย


    ...


    "ก็คนนี้แหละ... ฉันชอบเค้า"


    หึ...


    เพียงเท่านั้น ไฟแห่งโมหะก็เดือดขึ้นดั่งน้ำร้อนที่ถูกเร่งไฟให้มากกว่าเดิมแม้จะเดือดปุดๆจนกระเด็นลวกคนทำจนต้องวิ่งหนีไปไกลแล้วก็ตาม


    ...


    'ตา ศิลปศาสตร์' งั้นเหรอ?










    ไรท์มาอัพให้แบบไม่ได้นอน... พรุ่งนี้มีเรียนอีกT-T ฮรื่อ


    ขอแบ่งตอนนี้เป็นสองพาร์ทแล้วกันนะคะ ดูเหมือนจะไม่พอ5555


    จะสอบกลางภาคแล้ว(ล้องห้าย) แต่ถ้ามีเวลาจะพยายามมาอัพเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกเม้นและการติดตามค่า^^


    ปล. เลยครึ่งเรื่องแล้วจ้า //บอกทำไม


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×