ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพลิงสมิงพราย

    ลำดับตอนที่ #3 : 1.2 ชยันต์

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.พ. 66


    */มีบางฉากที่อาจรุนแรงเกินไปจนกระทบกระเทือนจิตใจได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ/*

     

    ---------------------------------------------

    บนเตียงหนานุ่มมีร่างลอนกล้ามกำยำงามสมส่วนของบุรุษนอนเปลือยกายอยู่ โดยท่อนล่างของเขามีเพียงผ้าห่มขนห่านคลุมไว้เท่านั้น ผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่จนแทบจะหลุดออกจากเตียงบ่งบอกว่าพึ่งจะผ่านกิจกรรมเร่าร้อนอันดุเดือดไป

    เจ้าของร่างบนเตียงคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเป็นสุขก่อนเอื้อมไปหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเต็มปอดจนอิ่มอุรา มองร่างสูงของบุรุษอีกคนเดินออกมาจากห้องน้ำ

    "นึกว่าเลิกบุหรี่ไปแล้วซะอีก" ชายหนุ่มหน้าหวานที่เดินเปลือยอกออกมาจากห้องน้ำเอ่ยทัก จากนั้นก็เดินมาแย่งบุหรี่จากมือของคนบนเตียงไปร่วมสูบด้วยกัน

    "ฉันจะเป็นตัวของตัวเองก็ต่อเมื่ออยู่กับนายเท่านั้น" 

    ทั้งคู่ส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยเสน่หาให้แก่กัน จากนั้นคนบนเตียงก็ลุกขึ้นเปลือยเดินเข้าห้องน้ำไปชำระล้างร่างกาย

    ชยันต์ยืนสำรวจความเรียบร้อยในกระจกหลังจากแต่งกายเสร็จ หนุ่มหน้าหวานก็เข้ามากอดเขาจากด้านหลังอย่างออดอ้อน

    "พรุ่งนี้พี่มาหาผมอีกได้ไหม" เขาสะอื้นออดอ้อนเช่นที่เคยทำกับชยันต์ แล้วคำตอบก็ยังคงเดิมเช่นกัน

    "อย่าใจร้อนสิ นายก็รู้ว่าพระเอกแนวหน้าอย่างพวกเรากำลังถูกจับตามองทุกฝีก้าว ขืนมีข่าวฉาวขึ้นมามีหวังดับทั้งคู่" ชยันต์พูดได้เหมือนเดิมทุกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับท่องจำบทสนทนาจนขึ้นใจ

    ชยันต์กับพระเอกหน้าหวานคนนี้แอบพบปะหาความสุขกันอย่างลับๆมาตั้งแต่ต้นปี ทั้งสองเจอกันในงานอีเว้นท์งานหนึ่ง ตอนแรกชยันต์แค่วางแผนจะเข้าไปตีสนิท เพราะฝ่ายนั้นเป็นดาราน้องใหม่ที่พึ่งเข้าวงการแล้วดังเปรี้ยงปร้างเป็นพลุแตก คล้ายกับเขาตอนเข้าเข้าวงการใหม่ๆ จึงถือว่าเป็นคู่แข่งแย่งบทพระเอกในอนาคต โดยจุดประสงค์การตีสนิทของเขาคือต้องการล้วงความลับของอีกฝ่ายเพื่อเอาไว้ใช้เป็นจุดอ่อน

    แต่แล้วก็มาถึงจุดพีคเมื่อชยันต์หน้ามืดหลวมตัวเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ จึงพลาดท่าได้เสียกับดาราหนุ่มหน้าหวานคนดังกล่าวราวกับต้องมนต์สะกด ความคิดที่จะแบล็กเมล์ในตอนแรกเหมือนโดนลบทิ้งไป กลายเป็นชยันต์เองที่ถอนตัวไม่ออก

    เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันมาก่อน โดยตั้งแต่เข้าวงการมาก็มีแต่ผู้หญิงเท่านั้น ความรู้สึกที่มีต่อหนุ่มหน้าหวานคนนี้จึงแปลกใหม่และแตกต่าง มันช่างร้อนแรงราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล แต่จะเรียกว่ารักมันก็คงไม่ใช่แบบนั้น

    "ผมอยากเล่นละครกับพี่สักเรื่องจังเลย ต่อให้เป็นพระรองหรือตัวร้ายหรือตัวประกอบ ขอแค่มีพี่ผมยินดีรับทุกบท" 

    "อืม ไว้ฉันจะคุยกับทางค่ายให้ละกัน"

    ทั้งชยันต์และหนุ่มน้อยหน้าหวานอยู่บริษัทต้นสังกัดเดียวกัน ชยันต์เซ็นสัญญา 10 ปี เหลืออีกปีเดียวก็จะหมดสัญญา จากนั้นเขาก็จะกลายเป็นนักแสดงอิสระ แต่เขารู้มาว่า ตัวเขาเป็นคนทำให้หุ้นกำไรของค่ายขึ้นสูงมาตลอด ดังนั้นไม่มีทางที่ค่ายจะปล่อยให้เขาหลุดมือไปเด็ดขาด เขาจึงเปรียบดั่งคนมีสิทธิมีเสียงในการเรียกร้องสิ่งต่างๆ อยากเล่นละครเรื่องไหน บทอะไร กับนางเอกคนไหน ก็สามารถชี้สั่งได้ดั่งใจต้องการ พวกเด็กใหม่ในค่ายจึงพากันมาประจบประแจงหวังใช้เส้นสายเพื่อได้บทเด่นที่สุด

    ผิดกับหนุ่มน้อยหน้าหวานคนนี้ที่หลงเขาหัวปักหัวปำ ยอมเขาด้วยความเสน่หา เขาจึงค่อนข้างเอ็นดูและปั้นให้เป็นพระเอกของค่ายในที่สุด

    "ผมได้ยินมาว่า ฝ่ายบริหารเปลี่ยนบอสคนใหม่ พี่ได้เจอบอสคนใหม่แล้วเหรอ"

    เขาเองก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าฝ่ายบริหารมีการเปลี่ยนผู้บริหารคนใหม่ โดยคนเก่าที่ชยันต์ค่อนข้างสนิทสนมด้วยได้เกษียณตำแหน่งแล้วยกอำนาจหน้าที่ทั้งหมดให้กับบุตรสาวปริศนาที่จู่ๆก็โผล่มาเป็นที่เลื่องลือในบริษัทมาก

    "ยังไม่เคยเจอ"

    "เจ๊ผู้จัดการของผมเคยเจอแล้ว เห็นว่าตอนที่คุยด้วยกันแล้วสบตาก็รู้สึกขนลุกแปลกๆ สัญชาตญาณบ่งบอกว่าอันตราย เพราะปกติเจ๊แกจะเป็นคนที่อ่านใจคนเก่ง แต่กับผู้หญิงคนนี้เจ๊แกรู้สึกเหมือนโดนอ่านเอง เลยเตือนผมไว้ให้ระวัง หลีกเลี่ยงได้คือดีสุด"

    ชยันต์ขับรถออกจากคอนโดหรู โดยไม่ได้เก็บคำพูดของพระเอกหน้าหวานมาใส่ใจ คิดแค่ว่า อย่างไรนิวบอสคนใหม่ของค่ายก็เป็นผู้หญิง ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงเมื่อเจอเขา ไม่ว่าจะพยศแค่ไหนก็ต้องยอมศิโรราบให้โดยดี

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิดของดาราหนุ่ม เมื่อเห็นว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขาโทรมาก็กดรับทันที

    "คุณชยันต์ ขอโทษที่โทรมารบกวนตอนนี้ค่ะ แต่ฉันมีเรื่องด่วนต้องรีบบอกคุณ" ผู้จัดการสาวพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนอบน้อมอย่างเกรงใจขั้นสุดและแฝงไปด้วยความร้อนรนเช่นกัน

    "มีอะไรเหรอ คุณน้ำตาล" น้ำตาลเป็นผู้จัดการอายุน้อยคนใหม่ที่พึ่งได้เข้ามาดูแลเขาได้เกือบสองเดือนแล้ว เพราะผู้จัดการคนเก่าลาออกกระทันหันด้วยเหตุผลเกี่ยวกับสุขภาพ น้ำตาลที่พึ่งจะเป็นน้องใหม่จึงถูกส่งให้มาจัดการพร้อมกับเรียนรู้งานจากนักแสดงมากประสบการณ์อย่างเขา

    "ฉันได้รับแจ้งจากผู้ช่วยฝ่ายบริหารว่า ผู้บริหารคนใหม่ต้องการพบคุณชยันต์ค่ะ"

    ผู้บริหารคนใหม่? อยากพบเขาไปทำไมกัน

    "ได้บอกไหมว่าเพราะอะไร"

    "ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ถามเขาไว้"

    "คราวหลังต้องถามนะ จะได้รู้ว่าสำคัญมากน้อยแค่ไหน" เขาตำหนิกึ่งสั่งสอนหล่อนอย่างหวังดี

    "ค่ะ ค่ะ ขอโทษค่ะคุณชยันต์"

    "แล้วนัดไว้เมื่อไหร่ล่ะ"

    "เขาไม่ได้แจ้งไว้ แต่บอกว่า หากคุณชยันต์สะดวกตอนไหน ให้เข้าไปพบได้เลยค่ะ"

    ก็ถือว่าฝ่ายนั้นมีความเกรงใจเขาอยู่เหมือนกัน แม้จะยังไม่เคยพบกัน แต่ชยันต์รู้สึกได้เลยว่า จะต้องเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจแน่นอน

    ผู้บริหารคนใหม่อย่างนั้นเหรอ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะใช้ชื่อแปลกหูว่า...

    สมิงคารา

     

    ชยันต์ไม่ได้เข้าไปหาฝ่ายบริหารตามที่ผู้จัดการสาวแจ้ง เขาอยากให้ผ่านไปสักพักหรือวันสองวัน ให้ฝ่ายนั้นรอจนคิดว่า เขานั้นไม่ได้ใส่ใจในคำเชิญแม้ว่าจะเป็นถึงผู้บริหารก็ตาม หากทนรอไม่ไหวก็ต้องโทรตามมา แล้วเขาก็จะอ้างว่ารอผู้บริหารคนใหม่โทรมาตามด้วยตนเอง เพราะเขานั้นคือคนสำคัญของบริษัทตัวแปรสำคัญของหุ้นทางการตลาดที่ได้กำไรมหาศาล และกำลังจะหมดสัญญาสิ้นปีนี้

    ผ่านไปเกือบสองสัปดาห์ ชยันต์ก็กลับมาจากต่างประเทศเนื่องจากไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุดยาวเทศกาล เขาแทบจะลืมไปเลยว่า ฝ่ายบริหารต้องการพบเขา จนตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววของการตามตื้อให้เข้าไป

    กระทั่งในเช้าของวันที่ 29 เมษายน เขาก็พึ่งรู้สึกตัวว่าตนเองยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ เท่าที่จำได้มันคือประตูห้องทำงานผู้บริหารสูงสุดของบริษัทชั้นนำในวงการบันเทิง บริษัทที่เขากำลังจะหมดสัญญาภายในสิ้นปีนี้

    ชยันต์รู้สึกเย็นยะเยือกบริเวณต้นคอ ขนลุกอย่างแปลกประหลาด เขาจำไม่ได้ว่าตนมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร รู้สึกคล้ายกับหลับพึ่งตื่น ราวกับเขาละเมอมาตื่นอยู่ตรงนี้

    "เข้าไปได้เลยค่ะคุณชยันต์ คุณคาร่ากำลังรอคุณอยู่ค่ะ" เสียงใสของผู้จัดการสาวมือใหม่ดังอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม เขาหันไปมองหล่อนอย่างงุนงง

    "ผมมาถึงที่นี่เมื่อไหร่" เขาเผลอถามออกไปพร้อมกับหันไปมองหน้าตาอ่อนเยาว์ใสซื่อใต้แว่นตาหนาที่หล่อนสวมใส่

    "เมื่อครู่นี่เองค่ะ"

    ชยันต์ก้มลงมองนาฬิกา จำได้เมื่อสิบห้านาทีก่อนเขาพึ่งจะลงจากเครื่องบิน และโทรให้น้ำตาลขับรถมาจอดรอรับเขาที่หน้าสนามบิน แล้วหลังจากนั้น....

    เขาจำอะไรต่อจากนั้นไม่ได้อีก แค่สิบห้านาทีเท่านั้น สิบห้านาทีที่หายไป เขาทำอะไร เผลอหลับงั้นเหรอ

    "งั้นผมมาที่นี่ได้ไง" เขาตัดสินใจถามออกไปอีกครั้ง ต่อให้คนอื่นฟังแล้วจะทำให้รู้สึกว่าเขาประหลาดก็ตาม 

    "หืม...คุณชยันต์เป็นคนบอกฉันให้พามาพบคุณคาร่าไม่ใช่เหรอคะ" น้ำตาลเริ่มมองเขาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็เดินไปเคาะประตูตรงหน้าก่อนจะผลักเข้าไปด้านใน

    ห้องด้านในเป็นห้องทำงานส่วนตัวทั่วไปที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย มีโต๊ะทำงานตั้งอยู่กลางห้อง มีตู้หนังสือ ด้านหลังโต๊ะทำงานเป็นหน้าต่างกระจกที่ทำให้เห็นวิวตัวเมืองชัดเจน 

    ผู้ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานกำลังนั่งหันหลังให้กับชายหนุ่ม คล้ายว่าเหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง และเริ่มรู้สึกตัวเมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะ จึงได้หมุนเก้าอี้หันมาพบเขา

    ชยันต์รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่ากลางแดดจ้า ทั่วทั้งร่างชาอ่อนแรง ขนหัวลุกทั่วตัว แน่นหน้าอกและหายใจหอบถี่

    นี่สินะ ที่เขาว่ากันว่าผีหลอกกลางวันแสกๆ!!

    "สวัสดีค่ะ คุณชยันต์ ในที่สุดเราก็ได้เจอกันสักทีนะคะ"

    หญิงสาวหลังเก้าอี้หันมากล่าวทักทายดาราหนุ่มตัวท๊อปของบริษัท ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงชาดฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวงามราวไข่มุกให้ดูเป็นกันเอง โดยไม่สนใจเลยว่า ใบหน้าของชยันต์พลันขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ

    "กะ...กะ...แก" คำพูดของชยันต์ติดขัดไปหมด เขาพยายามตั้งสติ แต่ก็ทำไม่ได้ สองขาก้าวถอยหลังก่อนจะสะดุดล้มหงายไปนั่งลงบนพื้นอย่างไม่เหลือภาพลักษณ์ของพระเอกชื่อดัง

    "เจ็ตแล็กเหรอคะคุณชยันต์!" น้ำตาลผู้จัดการสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม คล้ายพึ่งจะตกใจเมื่อเห็นดาราราหนุ่มที่อยู่ในการดูแลของตนเองถอยมานั่งบนพื้น แต่ก็ไม่ได้เข้าไปช่วยพยุงขึ้นแต่อย่างใด

    ชยันต์เงยหน้ามองร่างระหงที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง การแต่งกายของเธอเป็นชุดสูทกางเกงสีขาว ดูทันสมัยและนำแฟชั่น อวดรูปร่างอรชร เรียวขาสวยยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูงสีขาวแบรนด์ดัง ใบหน้าต้องห้ามซึ่งคุ้นเคยในความทรงจำของชยันต์บัดนี้ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนเข้ม หากนี่เป็นการเจอหน้ากัน 'ครั้งแรก' เขาอาจจะกำลังคิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนสวยจริงๆ ดูโฉบเฉี่ยว เปรี้ยว เซ็กซี่ และเป็นเวิร์กกิ้ง วูแมน ที่ลึกลับน่าค้นหาที่สุดที่เขาเคยเจอ

    แต่นี่ไม่ใช่การพบกัน 'ครั้งแรก' และไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะได้เจอ 'อีกครั้ง' ต้องไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอน ดูท่าเขาคงจะมีอาการเจ็ตแล็กอยู่จริงๆ จึงขยี้ตาทั้งสองและเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง

    แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ยืนอยู๋ตรงหน้าของเขาแล้ว เธอเดินไปยังตู้เอกสาร หันหลังให้เขาแล้วหยิบแฟ้มหนาออกมาเปิดดู ราวกับเขาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น ชยันต์หน้าชาราวกับถูกตบหน้า จึงหันไปหาผู้จัดการสาวที่ยืนเฉยเมยจนเขาฉุนขาด

    "คุณน้ำตาล! พยุงผมลุกขึ้นสิ" เขาขึ้นเสียงใส่ผู้จัดการสาวทันทีอย่างหัวเสีย ไม่สนที่จะรักษาภาพพจน์พระเอกอีก

    น้ำตาลสะดุ้งสุดตัวรีบพุ่งเข้ามาหิ้วปีกเขาขึ้นราวกับอุ้มเด็ก น่าประหลาดที่ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอกับอุ้มผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่อย่างเขาขึ้นยืนโดยง่ายดาย 

    ชายหนุ่มจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานและหันไปสั่ง "คุณน้ำตาลหากาแฟให้ผมสักถ้วยสิ ขอบคุณ"

    เมื่อได้ยินคำสั่งของดาราหนุ่ม น้ำตาลก็คล้ายชะงักไป เธอหันไปมองทางหญิงสาวชุดสูทแฟชั่นสีขาว ครู่หนึ่งก็เดินออกจากห้องไป ตอนนี้จึงเหลือเพียงชยันต์กับหญิงสาวเจ้าของห้องทำงาน ที่ยังคงยืนเปิดแฟ้มหันหลังใส่ชายหนุ่ม

    เขาไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรก่อน คิดถึงคำที่เขาพูดอย่างเสียมารยาทเมื่อครู่ คำว่า 'แก' ดูหยาบคายมากสำหรับคนที่พึ่งเจอกัน และฝ่ายนั้นยังเป็นถึงผู้บริหารบริษัท เขาควรกล่าวขอโทษเธอแต่โดยดี แม้ว่าจะรู้สึกแปลกกับใบหน้าของเธอก็ตาม

    "ผมต้องขอโทษที่เมื่อครู่ผมเสียมารยาทกับคุณนะครับ" เขากล่าวเสียงทุ้มนุ่มอย่างที่สาวๆหลายคนต่างหลงใหล "คุณคาร่าใช่ไหมครับ ผมได้ยินน้ำตาลเรียกแบบนั้น"

    "เราพึ่งจะพบกัน เช่นนั้นรบกวนคุณชยันต์เรียกฉันว่าสมิงคาราเถอะค่ะ" หญิงสาวกล่าวเสียงเรียบแต่กลับเป็นคำพูดห่างเหินไม่แม้แต่จะหันมาสบตา มันทำให้เขาเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจังจนแสบบวมอีกครั้ง

    ชยันต์พยายามพูดแก้หน้า "ผมไม่ถือตัวครับ คนกันเองทั้งนั้น"

    "แต่ฉันถือค่ะ" เธอหันหลังตอบอย่างมุ่งมั่น บ่งบอกฐานะของตนชัดเจนว่าอยู่เหนือกว่าเขา "ชื่อคาร่าฉันไว้ให้คนสนิทเรียกเท่านั้นค่ะ"

    ชายหนุ่มกำหมัดแน่นจนนิ้วมือแทบจะห้อเลือด โกรธแค้นที่อีกฝ่ายทำท่าคล้ายรังเกียจกันและทำให้เขาเสียหน้า

    แต่เมื่อใบหน้านั้นหันกลับมามองเขาอีกครั้ง ชยันต์ก็รีบก้มหน้าหลบสายตาทันที ไม่ผิดแน่ เป็นใบหน้าของคนผู้นั้น 

    ใบหน้าของคนตาย!!

    ในโลกนี้จะมีใครที่มีใบหน้าเหมือนกันได้ขนาดนี้ นอกจากพี่น้องสายเลือดเกี่ยวพันกันแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้

    แต่ผู้หญิงคนนี้มีชาติกำเนิดที่ไม่ว่าดูยังไงก็ไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด แถมบุคลิกยังแตกต่างกัน ยังไงก็เป็นไปไม่ได้

    "เป็นอะไรคะ ยังเจ็ตแล็กไม่หายอีกเหรอคะ"

    ชยันต์รู้ตัวดีว่าคงปกปิดสีหน้าของตนเองไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายถามแบบนี้ เขาก็คงต้องตามน้ำหาทางไปก่อน "คงอย่างนั้น...มั้งครับ"

    "แย่จังนะคะ แล้วแบบนี้เราจะคุยกันรู้เรื่องเหรอ" เธอพูดตัดเพ้อ แต่ก็ไม่วายเข้าประเด็นอย่างไม่ยอมเสียเวลา "คุณชยันต์คงจะทราบดี ว่าฉันเรียกคุณมาพบด้วยเรื่องอะไร"

    แน่นอนเรื่องต่อสัญญาในสังกัด เขารู้ดี แต่ก็ยังแสร้งต่ออย่างต้องการเล่นตัว "ผมไม่ค่อยมั่นใจว่าเรื่องอะไร"

    เธอยิ้มอวดฟันขาวอีกครั้ง เป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา เหมือนเป็นยิ้มเย้ยหยันเหยียดหยาม ชยันต์ถึงได้มั่นใจว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่เขารู้จักแน่นอน ผู้หญิงคนนี้ให้ความรู้สึก...กดดัน ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดีและเริ่มไม่พอใจรอยยิ้มนั้น

    "เมื่อเก้าปีก่อน คุณชยันต์ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดของบริษัทกับคุณพ่อของฉัน เขาบอกฉันว่าหลายปีที่ผ่านมาคุณทำกำไรให้แก่บริษัทมากมาย ชื่นชมคุณว่าเป็นขุมสมบัติที่มีเขาเป็นเจ้าของและสามารถถลุงดั่งใจ เขาปลื้มคุณมากๆ"

    ชยันต์นิ่งฟังเธอพูดอย่างตรงไปตรงมา พลางคิดว่าวิธีการพูดของเธอช่างไม่น่าฟังเลยสักนิด บ่งบอกชัดเจนว่าเขาเป็นแค่ตัวทำเงินเท่านั้น ชายหนุ่มจึงตั้งใจพูดแทรกขัดเธออย่างไม่พอใจ "คุณคาร่าพูดแบบนี้ เห็นผมเป็นคนอยู่รึเปล่า"

    ผู้บริหารสาวยังคงรอยยิ้มบนใบหน้า ยิ้มหยันเขาอย่างไม่ปิดบัง "คุณชยันต์เองก็รู้ตัวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ คุณรู้ดี คุณถึงได้เมินไม่ยอมมาพบฉันตั้งแต่ทีแรก คุณรู้ว่าสัญญากำลังจะหมด แล้วฉันต้องกล่อมให้คุณต่อสัญญา คุณรู้ว่าสามารถเรียกร้องสิทธิได้อีกมากมาย คุณรู้ว่าบริษัทไม่มีทางปล่อยมือคุณไปหาเจ้าอื่น คุณรู้ว่าคุณมีอำนาจมากพอที่จะต่อกลอนกับฉัน คุณถึงได้มาอยู่ตรงนี้ในวันนี้ยังไงคะคุณชยันต์"

    เธอร่ายยาวอย่างที่ไม่ยอมปล่อยช่องว่างให้เขาได้อ้าปากเถียง กระทั่งเขาจนคำพูด สิ่งที่เธอพูดล้วนเป็นความคิดของเขาทั้งหมด และเขาก็คิดถึงคำเตือนผู้จัดการของดาราหนุ่มหน้าใสที่บอกเขาในวันนั้น 'ราวกับว่าถูกอ่านใจ ดังนั้นต้องระวัง เลี่ยงได้คือเลี่ยง'

    "ผมว่าคุณคาร่ากำลังใช้อารมณ์ ทางที่ดีผมควรไปดีกว่า ไว้คราวหลังผมจะติดต่อมาคุยละกัน" เขาลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินออกจากห้องไป แต่ทว่า...

    "ถ้าเป็นคุณพ่อเขาจะยื้อคุณไว้ แต่น่าเสียดายที่วันนี้เป็นฉันคนนี้ เกรงว่าจะไม่มีคราวหลังแล้วค่ะ เพราะคุณหมดสัญญาแล้วคุณชยันต์" เธอพูดพร้อมกับปิดแฟ้มหนาบนโต๊ะลงเสียงดัง ชายหนุ่มจึงหันไปขมวดคิ้วชักสีหน้าไม่พอใจชัดเจน ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ แต่ก็พลาดแล้วที่มาลองดีกับเขา คนที่มาลบหลู่ดูหมิ่นเขาอย่าหวังว่าจะได้ยิ้มอีกเลย

    "สัญญาจะหมดสิ้นปีนี้ต่างหาก คุณพูดเหมือนจะละเมิดสัญญาแบบนี้ผมฟ้องได้นะ!" น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าว ชยันต์ไม่เคยโมโหใครแบบนี้มานานแล้ว "ผมอยู่วงการนี้มานาน รู้จักคนมากมาย ทั้งในและนอก ผมสามารถทำให้คุณคาร่าหลุดจากเก้าอี้ในบอร์ดบริหารได้ คุณก็รู้ว่าผมทำได้อย่างที่พูดแน่นอน" เขาเริ่มขู่อย่างฮึกห้าว ลำพองตนใหญ่โต หวังว่าเธอจะสำนึกได้ว่าบริษัทที่เต็มไปด้วยการแข่งขันในวงการบันเทิงอยู่มานานได้ขนาดนี้ ก็เพราะเขา

    หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม ราวกับต้องการยั่วโทสะของชายหนุ่มเพิ่ม ก่อนจะกล่าวกลั่วหัวเราะ "คุณกำลังเข้าใจผิด…ฉันพูดถึงอีกสัญญาหนึ่งค่ะ" มือเรียวขาวผ่องถูกยกขึ้นมาปิดปากหัวเราะเสียงเล็กแหลมบาดหู เล็บยาวถูกทาทับด้วยสีแดง ทำให้ตอนนี้เธอดูราวกับนางปีศาจก็ไม่ปาน

    รออยู่เป็นพัก ผู้บริหารสาวก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหัวเราะหรืออธิบายอะไร โทสะของชยันต์จึงเพิ่มกว่าเดิมจนไม่เหลือความสุภาพใดๆอีก "หัวเราะอะไรของเธอ! สัญญาอะไรกัน!!"

    ได้ยินดังนั้นแทนที่จะหยุด เสียงหัวเราะกลับดังเพิ่มมาอีกเสียงจากด้านหลัง ชยันต์จึงเห็นว่า น้ำตาลผู้จัดการสาวที่เขาใช้ไปชงกาแฟเข้ามาในห้องและกำลังร่วมหัวเราะใส่เขาอยู่!! 

    "หยุดนะ!" เขารู้สึกราวกับตนเองเป็นตัวตลก ความรู้สึกที่เหมือนกับโดนดูถูกเมื่อนานมาแล้วกลับมาอีกครั้ง เขาหน้ามืดสติแตกพุ่งเข้าไปบีบลำคอของน้ำตาลอย่างแรง แต่อีกฝ่ายก็ยังหัวเราะ ดวงตาที่เคยใสซื่อหลังกรอบแว่นตาเริ่มแดงก่ำขึ้นเส้นเลือดและถลึงมองเขาไม่วาง ใบหน้าเริ่มม่วงซีด แต่เสียงหัวเราะก็ยังไม่หยุด "เงียบ! บอกให้เงียบ!!" เขาตะคอกเสียงดังพร้อมกับออกแรงบีบที่คอของน้ำตาลมากขึ้น ไม่นานทั้งเสียงและร่างของน้ำตาลก็แน่นิ่งไป เขาจึงปล่อยมือออกจากคออย่างพึ่งได้สติ ร่างของน้ำตาลจึงร่วงลงไปนอนกับพื้น ใบหน้ายังคงยิ้มเยาะถลึงตาจ้องมองเขาดูสยดสยอง

    ชยันต์พึ่งได้สติว่าตนทำอะไรลงไป สองมือที่พึ่งทำการ 'ฆาตกรรม' ไปเมื่อครู่สั่นเทา เขาหันไปมองผู้บริหารสาวที่ยังคงยืนปิดปากหัวเราะใส่เขาไม่หยุด ราวกับว่าสิ่งที่เห็นเป็นที่เรื่องตลกเหลือเกิน ผิดกับชยันต์ที่ตอนนี้กำลังพึมพำกับตนเองราวกับคนบ้า "ไม่! ไม่! ฉันไมได้ตั้งใจ!! ไม่! ไม่!"

    ขณะที่ลนลานไปที่ประตู ประโยคที่ทำเอาเขาตะลึงฟังแล้วยังไม่เข้าใจก็ลอยมาเข้าหู "ฉันหมายถึงสัญญาอีกฉบับ ฉบับที่ทำเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม เก้าปีก่อน...."

     

    ---------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×