คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1.1 ชยันต์
*/มีบางฉากที่อาจรุนแรงเกินไปจนกระทบกระเทือนจิตใจได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ/*
---------------------------------------------
29 เมษายน ( 9 ปีต่อมา)
"ผู้กองรัณย์ มีสาวมาหาครับ"
ชายหนุ่มยศผู้กองอายุย่าง 27 ปี หันไปทางประตูของสำนักงานตำรวจ เมื่อได้ยินตำรวจนายอื่นบอกว่ามี 'สาว' มาหา
เธอสวมชุดกระโปรงสีครีมอ่อนเรียบร้อย ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางเบาบางยิ้มสดใส ในมือถือกล่องบรรจุอาหารที่เธอทำขึ้นเอง
เทวารัณย์ มองไปที่นาฬิกาเรือนใหญ่ของสำนักงาน เข็มสั้นและยาวชี้ไปที่เลข 12 ก่อนที่มันจะส่งเสียงเตือนว่าตอนนี้ได้เวลาพักเที่ยงแล้ว
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง 185 ซม. รูปร่างใหญ่กำยำดั่งเช่นคนออกกำลังกายอย่างหนักเป็นประจำ ผิวขาวคล้ำกร้านแดดนิดๆ นั่นทำให้ดูน่ามองไม่น้อย นี่ยังไม่รวมเครื่องหน้าหล่อเหลา ตาคม ที่ทำให้สาวๆในสำนักงานต่างพากันเหลียวมองทุกครั้งที่เขาเดินผ่าน และก็ต้องตาลุกเป็นไฟทุกครั้งเมื่อเห็นว่าเขาเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่มาพร้อมปิ่นโตเป็นประจำทุกวันตอนเที่ยง
ไม่ว่าจะมองยังไง ก็ดูไม่เหมาะสมกันสักนิด ไม่เพียงแต่สาวๆที่คิดกันแบบนี้ แต่รวมหนุ่มๆคนอื่นด้วย
"ดูยังไงก็เป็นคู่ที่เข้ากันไม่ได้" หนึ่งในสาวๆของสำนักงานจับกลุ่มคุยกันตอนรับประทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารของสำนักงาน จากนั้นก็พากันเหลือบมองคู่ที่กำลังพูดถึง
"ได้ยินว่าหมั้นกันมาเกือบสองปีแล้วด้วย"
"หมั้นกันนานขนาดนั้น แล้วทำไมถึงยังไม่แต่งวะ"
"แกก็รู้ว่าผู้กองงานวุ่นจะตาย วันๆหนึ่งเนี่ย 90% ออกไปทำคดี 5% หลับคาสำนักงาน ส่วนที่เหลืออีก 5% ก็รอปิ่นโตจากครูวณาเนี่ยแหล่ะ"
"จริง ขืนแต่งกันไป ไม่รู้ว่าผู้กองจะกลับบ้านรึเปล่า"
แม้ว่าจะพูดคุยกันเสียงเบา แต่เสียงก็ยังแว่วมาเข้าหูของหญิงสาวที่กลุ่มคนกำลังพูดถึงให้ได้ยินชัดเจน
วณา หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเทวารัณย์ เธอเป็นเพื่อนสนิทของนลินที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน หลังจากนลินตาย วณาก็กลายเป็นคนซึมเศร้า แต่เพราะได้เทวารัณย์ที่เข้าใจความรู้สึกของเธอดี ทั้งคู่จึงได้สนิทสนมและปรับทุกข์กันตั้งแต่นั้นมา กระทั่งพัฒนาความสัมพันธ์กลายเป็นมากกว่าเพื่อน
ความเข้าใจถึงการสูญเสียสิ่งสำคัญ ทำให้เทวารัณย์รู้สึกว่าเขาต้องการคนแบบนี้อยู่เคียงข้าง จึงขอวณาแต่งงาน แต่เพราะงานตำรวจของเขาที่ยุ่งจริงๆนั่นแหล่ะ จึงทำได้แค่หมั้นกันไปก่อนเท่านั้น
เหมือนจะโชคดีที่วณาได้บรรจุเป็นครูอยู่โรงเรียนใกล้สำนักงานตำรวจที่เขาประจำอยู่ ทั้งคู่จึงได้เจอกันช่วงพักกลางวัน ซึ่งวณาจะทำอาหารมาจากบ้านพักครูเพื่อมากินด้วยกันกับเขาทุกวัน ส่วนเขานั้นตั้งแต่คุณยายของเขาเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน ก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านมากนัก เอาแต่สิงสถิตอยู่ที่สำนักงานจนหัวหน้าหน่วยต้องจัดห้องเล็กๆข้างห้องฝากขังไว้ให้เขานอนเฝ้าสำนักงานไปพลางๆแทน
"วันนี้ณาทำแกงฟักทองสูตรของคุณยายมาด้วยนะ จำได้ว่าเป็นของโปรดรัณย์นี่หน่า" วณายังคงยิ้มแย้มปกติ เธอเปิดกล่องข้าวแกงให้กับคนรัก และมองดูเขาตักเคี้ยวกินอย่างอิ่มใจ
"ขอบคุณนะ อร่อยมากเลยล่ะ"
ชายหนุ่มตอบไปอย่างนั้น แต่ในใจแล้ว เขากำลังคิดถึงบางคนอยู่ เพราะอันที่จริง แกงฟักทองไม่ใช่ของโปรดของเขา แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่ชอบกินฟักทอง เขาจึงมักอ้อนยายให้ทำ เพื่อที่เด็กคนนั้นจะได้มากินข้าวร่วมกับเขา
แต่เพราะเด็กคนนั้นไม่มีวันจะได้กินอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องกินแทนมาตั้งแต่นั้น กินให้เหมือนเป็นของโปรดของตัวเอง
"เรื่องงานเลี้ยงรุ่นมัธยมในสัปดาห์หน้า รัณย์จะไปรึเปล่า"
เทวารัณย์ไม่เคยตอบรับคำชวนไปงานเลี้ยงรุ่นที่ว่านี้เลยสักปี ในเมื่อเพื่อนสนิทคนเดียวของเขาไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ส่วนวณาก็เจอกันทุกวัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลให้ไป ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสักนิด ชายหนุ่มคิดแบบนั้น
"ผู้กองครับ! มีคดี..." นายตำรวจน้อยจบใหม่พรวดพราดเข้ามายังโต๊ะที่เทวารัณย์นั่งอยู่กับวณา พร้อมกับเรียกเสียงดังอย่างเคยตัว เชื่อเถอะว่าถ้าหากอยู่ต่อหน้าหัวหน้าใหญ่คงได้โดนเทศนาจนหงอยรับประทานแน่
"หมู่ทาย ผมกินข้าวอยู่นะ ทำไมไม่รอให้หมดพักเที่ยงก่อนล่ะแล้วค่อยรายงาน" เขาพูดเตือนลูกน้องก่อนจะยิ้มให้กับวณาอย่างเกรงใจ
"เอ่อ ขอโทษครับผู้กอง ขอโทษนะครับคุณครู แต่ว่ามัน..." นายตำรวจน้อยขอโทษและกระซิบให้ได้ยินกันแค่ผู้กองคนเดียว
ทันใดนั้น ผู้กองหนุ่มก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร หน้าตาเคร่งเครียดและตั้งท่าจะเดินจากไป แต่พอนึกขึ้นได้ว่ายังอยู่กับวณา เขาจึงหันกลับไปหาเธอ
"เราขอโทษด้วยนะ แต่มีเรื่องด่วน ไว้จะโทรหาละกัน" ไม่รอให้วณาตอบอะไร เขาก็บึ่งออกไปจากโรงอาหารอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้วณานั่งอยู่คนเดียว มองอาหารที่ยังไม่ทันจะหายร้อนแต่กลับต้องโดนทิ้งไปซะก่อน
เทวารัณย์ที่มุ่งหน้าไปยังโรงแรมม่านรูดย่านเปลี่ยวแถบชานเมือง ไม่ได้คิดย้อนไปหาความรู้สึกของคู่หมั้นที่ต้องถูกทิ้งให้นั่งกินข้าวคนเดียว เพราะ สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือมีการแจ้งเหตุฆ่าตัวตายอยู่ในห้องพักของโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง รายละเอียดยังไม่มีการแจ้งมา เขาจึงต้องมุ่งหน้าไปดูด้วยตาของตัวเองเท่านั้น
เมื่อไปถึงก็พบว่า มีตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิกำลังยืนอยู่ข้างนอกห้องกัน บางคนก็มีอาการอ่อนเพลียนั่งเข่าทรุด เจ้าหน้าที่กู้ภัยบางคนกำลังทำท่าเหมือนจะอาเจียน อะไรทำให้เจ้าหน้าที่ที่เห็นศพมานับไม่ถ้วนเป็นได้ขนาดนั้น
"ผู้กองมาแล้วๆ" จ่าคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงแรมแจ้งวิทยุให้นายตำรวจคนอื่นทราบ ก่อนจะปล่อยให้เขาเดินเข้าไปในตัวโรงแรม
เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในซอยเปลี่ยว ห้องพักของโรงแรมถูกสร้างเรียงต่อกันเกือบสิบห้อง รอบข้างโรงแรมมีกอหญ้ารกชันขึ้นสูงท่วมหัว ผ้าม่านที่ใช้รูดปิดห้องพักเวลาแขกขับรถเข้าไปจอดมีสีซีดเก่า พนักงานปิด-เปิดม่านก็มีแค่คนเดียว และกำลังให้ปากคำข้อมูลกับตำรวจอีกคน
ตำรวจนายนั้นตัวสูงใหญ่ ท่าทางทะมัดทะแมงปราดเปรี่ยว เสี้ยวใบหน้าด้านข้างเวลาจริงจังและตั้งใจ ชวนให้เขาคิดถึงใครอีกคนที่ใบหน้าละม้ายกัน ก็ต้องเหมือนกันเป็นธรรมดาเพราะว่าเป็นพี่น้องกันนี่หน่า
"ได้เรื่องว่าไงบ้างผู้หมวด" เทวารัณย์เดินเข้าไปถามตำรวจหนุ่มที่มียศเป็นผู้หมวด เขาก็คือ นฤตย์ น้องชายของนลินนั่นเอง
"อ้าวผู้กอง ยังไม่ทันหมดพักเที่ยงเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่อยู่กินข้าวกับครูวณาให้เสร็จก่อนล่ะครับ มาเร็วขนาดนี้ ผมยังไม่ทันสรุปอะไรได้เลยนะ" นฤตย์ร่ายยาวไม่สนใจผู้เป็นเหมือนพี่ชายและเป็นทั้งคู่หูตำรวจของเขา การที่ชายหนุ่มมาถึงที่เกิดเหตุก่อนโดยที่ไม่แจ้ง เป็นเพราะอยากให้เทวารัณย์ได้ใช้เวลาอยู่กับคนรักให้มากที่สุด โดยหวังว่าสิ่งนั้นจะสร้างความสุขให้แก่เทวารัณย์ได้บ้าง
"คนตายเป็นใคร" ผู้กองหนุ่มไม่ใส่ใจคำพูดของคู่หูรุ่นน้อง ตอนนี้เขาควรจะสนใจแค่เรื่องงานเท่านั้นมากกว่า
นฤตย์หยิบกระเป๋าสตางค์หนังแท้คุณภาพดีราคาแพงยื่นให้ ผู้กองหนุ่มรับไปเปิดก่อนจะเริ่มทำหน้าขมวดคิ้วเป็นปมอย่างที่เขาชอบทำประจำเวลามีอะไรขัดแย้งในใจ
ผู้ตายก็คือ ชยันต์ พระเอกหนุ่มดาวรุ่ง ผู้เป็นดาวค้างฟ้าขวัญใจมหาชน ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักดาราหนุ่มคนนี้แน่นอน คนที่โด่งดังเพราะหล่อเหลาราวเทพบุตรจุติ และยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเหยื่อที่ถูกฆาตกรรมกลางโรงเรียนเมื่อ 9 ปีก่อน รวมทั้งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเดียวกับเทวารัณย์ด้วยเหมือนกัน
เขายังจำชยันต์ได้ดี หมอนี่อยู่ชมรมการแสดง ชมรมเดียวกับนลิน และชอบใช้ให้นลินทำนุ่นทำนี่ให้ โดยอ้างว่าขาดคน แต่เพราะยัยนั่นอยากมีส่วนร่วมสักบทในการแสดงละครจึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย เขาเคยเตือนนลินว่าอย่าไปทำตามคำขอของหมอนี่มาก เพราะเธอไม่ใช่ทาสของมัน แต่ก็ถูกยัยนั่นเถียงย้อนกลับมา ทำเอายัยนั่นไม่ยอมคุยด้วยตั้งหลายวัน หลังจากนั้นเขาก็ไม่เตือนหรือว่าอะไรนลินอีกเพราะกลัวจะโดนโกรธ
แล้วเขาก็รู้ว่า ที่นลินยอมทำตามคำขอของชยันต์อยู่ตลอด เป็นเพราะยัยนั่นแอบชอบมันอยู่นั่นเอง!
ชยันต์เป็นคนหล่อเหลาหน้าตาดีขึ้นกล้อง หลังจากข่าวนลินโดนฆาตกรรม ชยันต์ก็ได้เข้าวงการบันเทิงเพราะอ้างว่าเป็นเพื่อนร่วมชมรมของนลิน สื่อจึงสนใจ กระทั่งได้มีการสัมภาษณ์ออกโทรทัศน์ นั่นทำให้เขากลายเป็นขวัญใจมหาชน ได้เซ็นสัญญาเล่นละคร ด้วยความสามารถทางการแสดงทำให้เขาได้เล่นเป็นพระเอกหรือตัวละครเด่นทุกเรื่องตลอดมา
เท่าที่เทวารัณย์รู้ ชยันต์ไม่เคยมีข่าวเสียหาย เป็นพระเอกสายบุญที่ชอบทำบุญร่วมกับเหล่าแฟนคลับ
เช่นนั้นคงต้องสืบสวนถึงสาเหตุการฆ่าตัวตาย ผู้กองหนุ่มจึงตั้งใจจะเดินเข้าไปในห้องพักจุดเกิดเหตุ แต่กลับโดนเตือนตามหลังมาโดยนฤตย์
"ผู้กองเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของหมอนั่น ฉะนั้นเข้าไปแล้วอย่าร้องไห้ออกมานะ"
ตำแหน่งก่อกวนประสาทตั้งแต่เล็กยันโตต้องยกให้เจ้านี่จริงๆ ผู้กองหนุ่มที่โดนเตือนหันไปค้อนใส่คู่หู ก่อนจะก้าวเข้าประตูผ้าม่าน
หลังประตูผ้าม่าน พบรถหรูสีขาวจอดอยู่ สภาพของรถไม่มีอะไรเสียหาย ทีมเก็บหลักฐานเริ่มลงพื้นที่เก็บลายนิ้วมือและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกันคนละมุม
เทวารัณย์ได้กลิ่นคาวเลือดโชยออกมาจากประตูห้องพักชั้นในที่ถูกเปิดอยู่ นายตำรวจน้อยยศหมู่ ชื่อทาย ยืนทำหน้าผะอืดผะอมคล้ายจะอาเจียน เขาเห็นดังนั้นจึงปรามไป
"นี่หมู่ทาย อย่ามาอ้วกแตกในที่เกิดเหตุนะ"
หมู่ทายหน้าเริ่มขึ้นสีเขียวมือปิดปากพูดอู้อี้ "โทษครับผู้กอง...อุบ" ก่อนจะวิ่งออกไปอาเจียนกองโตด้านนอกแทน
แล้วเขาก็เข้าใจว่าทำไม ทั้งตำรวจและเจ้าหน้าที่อื่นต่างพากันเข่าอ่อนเข่าทรุดและอาเจียนตามกัน เพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า เล่นทำเอาเขาอาจเก็บไปฝันร้ายได้ พร้อมกับตั้งคำถามว่า นี่ใช่คดีฆ่าตัวตายจริงๆเหรอ!!
ร่างของชยันต์นอนอยู่บนเตียงในสภาพนอนหงาย สวมเสื้อสูทสีดำ เสื้อเชิ้ตด้านในสีขาว ถูกของมีคมกรีดยาวตรงช่วงอกถึงท้อง ทำให้เครื่องในตับไตไส้พุงไหลออกมากองอยู่บนเตียง ผ้าปูที่นอนที่เคยเป็นสีขาวจึงถูกชะโลมไปด้วยเลือดแดงฉาน
ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาฉาบไปด้วยเสน่ห์ของชยันต์มีรอยเล็บซึ่งเกิดจากการที่เขาพยายามควักดวงตาออกมาจนสำเร็จทั้งสองข้าง ปากอ้าค้างไว้จึงพบว่าเขากัดลิ้นของตนเองจนเละ
มีดที่ชยันต์ใช้กรีดท้องควักเครื่องในของตนยังวางอยู่ข้างๆร่าง เป็นมีดคัตเตอร์ธรรมดาที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แต่มีรอยเท้าเปื้อนเลือดเดินไปทั่วห้อง เมื่อเทียบขนาดแล้วก็คือรอยเท้าของชยันต์
"เขาเข้าโรงแรมมาคนเดียวเหรอ" ผู้กองหนุ่มหันไปถามคู่หูที่เดินเข้ามาด้วยกัน
"ใช่ พนักงานที่เฝ้าข้างนอกบอกว่ามาคนเดียว"
"แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าคดีนี้เป็นคดีฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ฆาตกรรม"
พนักงานที่เฝ้าโรงแรมมีกันอยู่แค่สองคน คือคนที่ทำอยู่ออฟฟิศคอยจัดการบัญชีของโรงแรม ซึ่งห้องออฟฟิตอยู่ถัดไปประมาณ 5 ห้อง กับพนักงานที่คอยรูดม่านบริการลูกค้าเข้าพัก ซึ่งจะคอยประจำนั่งอยู่ด้านนอก ช่วงเวลานั้นยังไม่มีลูกค้าอื่นเข้าพัก ชัดเจนที่สุดหากพนักงานรูดม่านจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย
"พนักงานได้ยินเสียงร้อง จึงโทรแจ้งตำรวจ ดีที่มีสายตรวจขับเข้าซอยนี้พอดี เลยมาถึงเร็ว ตอนมาถึงยังได้ยินเสียงร้อง พอพยายามจะเปิดประตู ก็พบว่าถูกลงกลอนจากด้านใน สายตรวจอีกคนจึงอ้อมไปหลังเพื่อจะเปิดหน้าต่าง แต่หน้าต่างก็ถูกล๊อกจากด้านในเหมือนกัน เมื่อมองผ่านหน้าต่างเข้าไปก็ไม่เห็นใครอื่นนอกจากดาราหนุ่มชื่อชยันต์ในสภาพที่เห็นกันนี่แหล่ะ"
ผู้หมวดนฤตย์อธิบายตามข้อมูลที่ได้มาจากการสอบสวนพนักงานและตำรวจสายตรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาเข้าใจดีในสิ่งที่เทวารัณย์คิด เพราะตอนแรกเขาเองก็คิดเช่นเดียวกัน คิดว่าต้องมีใครสักคนเป็นฆาตกร แต่ในเมื่อห้องมันปิดตาย คนนอกเข้าไปไม่ได้ ด้านในก็มีเพียงแค่คนเดียว คดีก็ต้องถูกตัดสินว่าเป็นเหตุฆ่าตัวตายได้เท่านั้น
"ไม่มีร่องรอยใครออกจากห้องนี้เลย พวกเราค้นทุกที่แล้ว เป็นไปไม่ได้หากจะมีใครซ่อนอยู่นอกจากว่า..."
"นอกจากอะไร"
ผู้หมวดหนุ่มลดเสียงให้ได้ยินกันสองคนก่อนจะพูดด้วยท่าทีลึกลับว่า
"ผีไงล่ะครับ ฆาตกรอาจจะเป็นผีก็ได้"
เทวารัณย์รู้สึกคันมืออยากจะตีปากคู่หูคนนี้เหลือเกิน พูดมาได้ไม่อายอาชีพตำรวจกันเลย แต่ก่อนที่เขาจะได้ด่านฤตย์ เท้าของเขาก็ไปเหยียบใส่บางสิ่งเข้าจนต้องก้มลงมอง
เป็นสร้อยเงินเส้นเล็กที่เปื้อนเลือด ทำให้มองเห็นรายละเอียดไม่ชัดเจน ไม่แปลกใจที่ทีมเก็บหลักฐานจะไม่สังเกตเห็นมัน เขาจึงคว้าถุงมือยางของทีมเก็บหลักฐานขึ้นมาสวมและหยิบสร้อยเงินเส้นนั้นขึ้นมาดูให้ถนัดตา
หัวใจของเทวารัณย์แทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ทั้งมือและปากของเขาสั่นอ่อนราวกับคนจะหมดลมหายใจ เพราะสิ่งที่เขาถืออยู่ มันคือ....
สร้อยเส้นนั้น! สร้อยที่เขาตามหามานานจนถอดใจ สร้อยข้อมือของนลิน!! เขาจำสร้อยเส้นนี้ได้ไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งลายเส้น น้ำหนัก จี้รูปดาวดวงน้อย เขาเป็นคนจ่ายเงินซื้อมันมาเองกับมือ ไม่มีทางเป็นเส้นอื่นได้
"มีอะไรเหรอผู้กอง" นฤตย์ที่สังเกตอาการของผู้กองมาสักพักรู้สึกแปลกไปจึงเอ่ยถาม
"น...นลิน...ของไอ้ลิน" คำพูดของผู้กองแทบจะฟังไม่ได้ความ แต่ที่สะดุดหูที่สุดก็คือชื่อของพี่สาวที่ตายไปนานแล้วคนนั้น
แต่พอเขาดูสร้อยเส้นเล็กนั่นดีๆก็รู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นใครสวมมาก่อน
"ของไอ้ลิน...ทำไม...ทำไมมาอยู่นี่วะ"
ได้ยินอีกครั้ง นฤตย์ก็คิดออกทันที ว่าสร้อยนี้คืออะไร เขาเบิกตากว้างมองของที่เคยคิดว่าหายสาบสูญไปแล้ว แต่ตอนนี้มันกลับมาปรากฎอยู่ในที่เกิดเหตุอีกแห่ง แทนที่จะอยู่ในวันนั้น
แล้วทั้งคู่ก็หันไปมองร่างไร้ชีวิตของชยันต์บนเตียง มือเปื้อนเลือดของศพชยันต์ยังกำบางอย่างไว้ ฝ่ายเก็บหลักฐานพยายามงัดแกะออกจึงรู้ว่า สิ่งที่ชยันต์กำอยู่ก็คือ....ลูกตาทั้งสองข้าง
สภาพของชยันต์คล้ายว่าหวาดกลัวบางอย่างจนขาดสติกระทั่งควักลูกตาออกมา อย่างกับว่าไม่ต้องการเห็นบางสิ่งอย่างนั้นแหล่ะ
แต่ประเด็นที่สองคู่หูตำรวจสงสัยมากที่สุดไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่ที่สร้อยข้อมือเส้นนี้ต่างหาก
ทำไมกัน ทำไมถึงมาอยู่กับชยันต์ได้ล่ะ!!
---------------------------------------------
ความคิดเห็น