คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ นลิน
---------------------------------------------
29 ตุลาคม ( 9 ปีก่อน)
หอประชุมใหญ่ของโรงเรียนมัธยมถูกตกแต่งให้เข้ากับเทศกาลฮาโลวีน หรือเทศกาลปล่อยผีของชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
โดยเฉพาะเวทีที่มีการตกแต่งฉากพื้นหลังเป็นการวาดเขียนของกลุ่มนักเรียนศิลปะ เพื่อวาดตกแต่งฉากให้เข้ากับละครเวทีของนักเรียนชมรมการแสดงที่จะแสดงกันในสองวันข้างหน้า
กลุ่มที่ตกแต่งก็พากันตกแต่งไป ส่วนกลุ่มที่แสดงก็กำลังซ้อมกันอย่างจริงจัง จนกระทั่งครูผู้คอยดูแลบอกให้แยกย้ายกลับบ้านในเวลาค่ำ ทุกคนจึงวางมือจากงานของตนและพากันกลับบ้าน
นลินคือหนึ่งในนักเรียนชมรมการแสดงทำหน้าที่เป็นแค่สตาร์ฟจัดเตรียมชุดและดูแลความเรียบร้อยของนักเรียนอื่นที่เป็นนักแสดงในละคร เธอมองฉากบนเวทีตาละห้อย นึกอิจฉาเพื่อนๆ ที่ได้รับคัดเลือก ทั้งที่เธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเพื่อนคนอื่นในชมรมเลย แล้วเหตุใด คุณครูผู้เป็นหัวหน้าชมรมจึงไม่เลือกให้เธอเล่น
“เฮ้ยไอ้ลิน เสร็จรึยังวะ ฉันหิวข้าวจะแย่อยู่ละ”
เสียงรบกวนจากเทวารัณย์หรือที่คนอื่นเรียกสั้นๆ คือรัณย์ แต่เธอชอบเรียกเขาว่าเทวามากกว่า เด็กหนุ่มวัยเดียวกันที่เป็นเพื่อนข้างบ้านของนลิน เรียกได้ว่าค่อนข้างสนิทมาก เพราะเขาเป็นเพื่อนคนแรกของเธอที่โตมาด้วยกัน
“เออๆ เก็บของอยู่เนี่ย จะเร่งอะไรนักหนา” เธอบ่นพร้อมกับรีบเก็บข้าวของให้เข้าที่เรียบร้อย และสะพายกระเป๋าหนังสือเดินขนาบข้างออกจากโรงเรียนไปกับเทวารัณย์
“เป็นไรรึเปล่า แกดูเครียดนะ” เด็กหนุ่มถามเพื่อนสนิทสาวถึงอาการที่เธอแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมครูถึงไม่เลือกให้ฉันแสดงวะ หรือว่าฉันไม่สวย ก็เลยไม่โดนเลือกเหมือนยัยพิม” เธอพูดระบายความอึดอัดในใจอย่างเหลืออด พร้อมกับกล่าวไปถึงเพื่อนอีกคนที่เป็นตัวเต็งของชมรมการแสดง
เด็กหนุ่มไม่คิดเช่นนั้น เกี่ยวกับเรื่องที่เพื่อนสาวของเขาไม่สวย นลินเป็นเด็กสาวที่หน้าตาดี สวย น่ารักคนหนึ่ง จนบางทีก็น่าเสียดาย...ที่เขาเป็นได้แค่เพื่อนสนิทของเธอเท่านั้น
“ฉันว่า...แกสวยออก” และเขาก็หลุดปากพูดไปจนได้
“แกชมฉันเหรอ” เธอถามกลับด้วยหัวใจที่เบิกบาน เพราะนานๆ ทีเด็กหนุ่มจะกล้าเอ่ยปากชมเธอสวย
“บางทีแกอาจจะไม่เหมาะกับบทแบบนั้น หรือว่าแกชอบเล่นบทเป็นผีอาฆาตที่ไล่ฆ่าคนไปเรื่อยวะ”
นลินไม่ได้ให้คำตอบกับเทวารัณย์ เพราะทั้งคู่ได้เดินมาถึงหน้าบ้านของตนเอง เธอเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเครียดและเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ยอมลงมารับประทานอาหารเย็นกับครอบครัว
ครอบครัวของเธอรวมเธอด้วย มีทั้งหมดสี่คน พ่อที่ทำอาชีพเป็นนายแพทย์ แม่ที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน คอยดูแลบ้านและลูกๆ ส่วนน้องชายของนลินที่ชื่อนฤตย์ซึ่งห่างกว่าเธอสองปีก็เป็นตัวกวนประจำบ้าน
สุดท้ายเธอก็โดนน้องชายตามไปให้ร่วมโต๊ะอาหาร เหตุที่เธอหลบหน้าก็เพราะเกรงว่าพ่อจะถามเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยและสาขาที่เธอจะเลือกเรียน คำตอบที่เธอจะให้พ่อมันไม่ค่อยตรงใจพ่อนัก
“สรุปสมัครสอบเข้าคณะแพทย์รึยัง พ่อเห็นมหาลัยนั้นเปิดรับสมัครสอบแล้ว”
กาหลง มารดาของบ้านมองไปยังลูกสาวอย่างให้กำลังใจ เพราะแม่รู้ว่า ลูกสาวไม่อยากเรียนแพทย์ตามที่พ่อถาม
“หนู...ไม่ได้สมัครค่ะพ่อ เพราะหนูอยากจะเลือกสิ่งที่หนูชอบและรัก”
ตามคาด พ่อวางช้อนกระทบลงบนจานข้าวเสียงดัง บ่งบอกถึงความไม่พอใจในระดับมาก นลินรู้ผลที่ตามมาดี เธอกับพ่อเคยเถียงกันแล้วเรื่องอนาคตของเธอ คำตอบของพ่อก็ยังคงเดิม และคำตอบของเธอก็ยังคงเดิมเช่นกัน
“เราเคยคุยกันไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าพ่อไม่สนับสนุนงานเต้นกินรำกิน ลินควรจะคิดได้สิ มันไม่ใช่อาชีพที่มั่นคง พ่ออยากให้ลินได้สิ่งที่ดี อยากให้ลินมีอนาคตอันแน่นอนคงที่” เธอเข้าใจในสิ่งที่พ่อพูด เธอไม่โทษที่พ่อคิดกำหนดชีวิตเธอ ต้องโทษตัวเธอเองต่างหากที่ดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเอง
นลินวางช้อนลง หันไปสบตากับแม่ “หนูอิ่มแล้วค่ะ” แม่พยักหน้ารับ จากนั้นเธอก็ลุกเดินขึ้นห้องไป
เป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง แถบหมู่บ้านของนลินเงียบสงัด ทุกคนเตรียมตัวเข้านอน แต่นลินยังคงนั่งมองกองตำราเกี่ยวกับการแพทย์ที่พ่อของเธอสรรหามาให้อ่าน เธอเคยหยิบจับมันบ้าง แต่ก็ไม่เคยจริงจังอะไรนัก
แก๊ก!
เสียงบางอย่างกระทบกับบานหน้าต่าง ดึงความสนใจของนลินไป เธอถอนหายใจ ลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างออก มองลงไปยังด้านล่าง เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้ม ทรงผมรองทรงนักเรียนเริ่มยาว สังเกตได้จากหน้าม้าที่ยาวแทบจะปิดหน้าผาก
”มาทำอะไรที่นี่" เธอเปิดหน้าต่างออกไปถาม โดยพยายามลดเสียงให้เบาที่สุด เพื่อที่คนในบ้านจะได้ไม่สงสัย
ชายคนนั้นส่งยิ้มให้เธอ เป็นยิ้มที่นลินแอบหลงไหลอยู่บ้าง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาติดอันดับในโรงเรียน และยังเป็นเพื่อนร่วมห้องของเธออีกด้วย
"เราอยากขอให้ลินไปช่วยซ้อมบทของพิมให้หน่อย" เขาพูด "ลินสะดวกไหม ตอนนี้"
เขาอยู่ชมรมการแสดงเช่นเดียวกับนลิน จึงไม่แปลกที่เขาจะขอให้เธอไปช่วยซ้อมบทแทนคนที่ไม่อยู่ซ้อม "อ้าว พิมไม่ได้อยู่ซ้อมเหรอ"
"กลับไปแล้ว เห็นว่ามีธุระต่อ"
นลินลังเลสองจิตสองใจ หันไปมองนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มครึ่ง รึว่าเธอจะชวนเทวารัณย์ให้ไปด้วยดีนะ แต่ได้ยินว่าช่วงนี้หมอนั่นซ้อมกีฬาหนักเพราะใกล้จะไปแข่ง ป่านนี้คงจะหลับด้วยความเหนื่อยล้าไปแล้ว จึงไม่ชวนดีกว่า และหากเธอจะแวบไปโรงเรียนสักแป๊บคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แค่แป๊บเดียว คนในบ้านไม่มีทางรู้หรอก ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจแอบย่องออกจากบ้านและไปโรงเรียนในที่สุด
"แค่แป๊บเดียวนะ" เธอบอกกับชายหนุ่มที่รออยู่นอกบ้าน
ชายคนนั้นฉีกยิ้มดีใจ "ถ้าไม่มีลินช่วย พวกเราคงต้องลำบากแย่เลย"
เขาพูดเสียงละมุนฟังแล้วทำเอานลินแอบใจเต้นแรง
"อืม ดีใจที่ได้ช่วยนะ"
ทั้งคู่เดินออกจากบ้านไปโรงเรียน เป็นเส้นทางที่นลินใช้เดินไปทุกวันกับเทวารัณย์ แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เธอสุขใจได้เท่ากับได้เดินเคียงเด็กหนุ่มคนนี้ คนที่เธอแอบมีใจให้เงียบๆมาตลอด
"ขอบคุณมากนะ ลิน"
เขากล่าวขอบคุณเธออีกครั้งก่อนจะก้าวเข้าประตูรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน
วันที่ 31 ตุลาคม (วันฮาโลวีนสากล)
บรรยากาศภายในโรงเรียนที่ควรจะมีเสียงดนตรี เสียงผู้คน เสียงของนักเรียนที่พากันแต่งชุดแฟนตาซีเล่น Trick or Treat กับบรรดาครูอาจารย์ดั่งเช่นทุกปี กลับเต็มไปด้วยความเงียบ เงียบ และก็เงียบ ไม่มีเสียงของอะไรทั้งสิ้น ทั้งโรงเรียนร้างผู้คนสงัดจนไม่อาจจะคิดได้
แต่กลับเป็นอีกสถานที่ที่มีผู้คนไปมากที่สุด
....วัด....
ภายในศาลาวัด เสียงพระสวดมนต์ตามบทสวด เสียงคนคุยกระซิบกระซาบ และเสียงสะอื้นเบาๆกับน้ำตาที่ไหลออกมาจนเปียกปอน
"น่าสงสารยังเด็กอยู่แท้ๆ กลับต้องมาถูกคนใจทรามฆ่า"
"ได้ยินว่าหนีออกจากบ้าน แต่กลับถูกลากไปฆ่าซะก่อน"
"หนีออกจากบ้านทำไม ก็เห็นว่าเป็นครอบครัวที่ดูดีอบอุ่นไม่ใช่เหรอ"
"คนพ่อค่อนข้างเข็มงวด ลูกฉันเล่าให้ฟังว่า เขาอยากให้เด็กคนนั้นเรียนหมอ แต่เธอไม่ยอม"
"นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กหนีออกจากบ้านรึเปล่า"
"อาจใช่ๆ"
เสียงซุบซิบของคนรอบข้าง ไม่ว่าจะพูดกันเบาแค่ไหน อย่างไรก็ลอยมาถึงหูของคนในครอบครัวผู้ตายอยู่ดี โดยเฉพาะกับคนเป็นพ่อของผู้ตาย ที่ดูซุบเซียวไร้ชีวิตจนน่าใจหาย ทั้งที่เขาเคยเป็นคนดูสุขภาพดี เพียงไม่กี่วัน ดวงตาของเขาก็กลวงโบ๋ หน้าตอบผอม แววตาเหม่อลอยไร้วิญญาน
คนเป็นแม่นั่งร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ร้องจนสลบ ตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้อีกรอบและก็สลบไป เป็นอย่างนี้จนแทบจะไม่มีแรงมีชีวิต
เทวารัณย์นั่งเหม่อมองไปยังรูปที่ประดับอยู่ข้างโลงศพอยู่เงียบๆ เขาไม่คุยกับใครมาสองวันเห็นจะได้ ทำแค่นั่งมองรูปอยู่แบบนั้น รูปของ 'ยัยเด็กผู้หญิงคนนั้น' 'ยัยบ้าคนนั้น' 'เด็กคนนั้น' เป็นคำไม่กี่คำที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาไม่จบสิ้น
คนที่นั่งข้างเขาคือ นฤตย์ น้องชายของ 'คนในรูป' ซึ่งเขามีสภาพไม่แตกต่างจากเทวารัณย์เท่าใดนัก ดวงตาของเขาบวมและแดงก่ำ อาจเป็นเพราะไม่ได้นอนและเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
'คนในรูป' ที่พวกเขานั่งมองอยู่ ส่งยิ้มหวานผ่านเลนส์กล้องออกมาเป็นรูปถ่าย เทวารัณย์จำได้ว่า มันคือรูปที่เขาเป็นคนถ่ายให้ตอนไปทัศนศึกษาเมื่อปีก่อน โดยก่อนที่เขาจะกดถ่ายภาพ ก็ยังโดนคนในรูปขู่อีกด้วย
"ถ่ายฉันออกมาให้สวยที่สุดนะ ถ้าเกิดแกพลาด แกโดนฉันกัดหูขาดแน่"
ราวกับรู้ว่ารูปนี้จะได้มาใช้ในวันนี้ วันที่เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น
"พี่เป็นคนถ่ายรูปนี้เหรอ" เสียงแหบราวกับคนไม่มีแรงแม้แต่จะพูด ดึงสติที่กระเจิงในสองวันนี้ของเทวารัณย์กลับมา เป็นนฤตย์ที่ถามขึ้นมา
"อืม" เสียงของเขาก็แห้งแหบไม่ต่างกัน เขาพึ่งรู้ว่าสภาพของเขาตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงออกมา อาจเป็นเพราะไม่ยอมกินหรือนอน แต่กลับรู้สึกเหมือนหลับลึกไปตลอดสองวัน ทั้งที่ตาตื่นแทบจะทั้งวันทั้งคืน
"สวยเหมือนดาราเลยเนอะ" นฤตย์พูดพร้อมกับยิ้ม ราวกับต้องการจะยิ้มตอบให้กับคนในรูป
หากเจ้าตัวมาได้ยินเองคงจะดีใจไม่น้อย เพราะความฝันของ 'เธอ' คือการได้เป็นดารา เป็นนักแสดงที่ผู้คนต่างจดจำความสามารถ แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ความฝันก็ยังคงเป็นแค่ความฝัน 'เธอ' ไม่มีวันสานฝันให้เป็นจริงได้อีก
"อืม...สวย" เขาเค้นเสียงพูดออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีก้อนจุกขึ้นมาที่คอ ทำเอาปวดร้าวระบมไปทั้งกาย ราวกับว่าร่างของเขากำลังจะแหลกสลายไป
เสียงเจื้อยแจ้วของกลุ่มคนค่อยๆดังขึ้น เมื่อพบว่า มีกลุ่มคนสวมชุดตำรวจเดินเข้ามา ท่ามกลางกลุ่มตำรวจ มีชายที่เทวารัณย์คุ้นหน้าคุ้นตาอย่างดี ชายคนนั้นถูกตำรวจจับจูงแขน มือใส่กุญแจมือไว้โดยมีผ้ามัดปิดพลางสายตาประชาชนอีกที
ก่อนจะก้าวเข้ามาในศาลาวัด ทุกคนที่นั่งลุ้นดูปฏิกิริยาของกลุ่มญาติ 'เด็กผู้หญิง' ในรูป ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดต่อไป กระทั่งเดินไปหยุดอยู่หน้าโลงศพ ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่มีการโวยวาย ไม่มีเหตุรุนแรง มีแค่ควันธูปที่ถูกจุดและยื่นให้กับชายที่สวมกุญแจมือ
ทั้งศาลาตกอยู่ในความเงียบ พระสงฆ์ที่สวดจบบทสุดท้ายแล้วก็ยังลุ้นไปด้วย
ตั้งแต่เดินเข้ามา จุดธูปไหว้หน้าโลงศพ กระทั่งเดินเข้าไปหากลุ่มญาติของเด็กในรูป ก่อนจะก้มพนมมือไหว้ราวกับต้องการขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครในกลุ่มสนใจชายคนนั้นเลย ไม่แม้แต่จะชายตามอง ทุกคนในครอบครัวต่างมองไปที่รูปของ 'เธอ' เท่านั้น
มองไปที่รอยยิ้มหวานบริสุทธิ์ มองไปที่ดวงตาสนุกสนานไร้เดียงสา มองไปที่ใบหน้าอันไร้การแต่งแต้มเครื่องสำอาง มองไปที่เสื้อยืดสีเรียบตัวโคร่งที่สวมทับร่างบางเล็ก มองไปที่ผมยาวสีเข้มซึ่งถูกรวบเป็นหางม้า มองไปที่ข้อมือซึ่งสวมสร้อยเงินเส้นเล็กงามต้องตา
สร้อยข้อมือเส้นนั้น เทวารัณย์ซื้อให้ เป็นของขวัญวันเกิดของ 'เธอ' ซึ่งเขาตั้งใจทำงานพิเศษเก็บเงินซื้อเพราะเห็นว่า 'เธอ' อยากได้ และยังบังคับสวมมันให้เขาเห็นด้วย 'เธอ' จึงสวมมันไม่เคยถอด
"ผมขอสร้อยข้อมือของลินคืนด้วยครับ ลุงพัน"
ทุกคนดูเหมือนจะตกใจ เมื่อจู่ๆเทวารัณย์ก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาชายผู้ถูกตำรวจห้อมล้อม พร้อมกับแบมือขอสิ่งที่เขาต้องการ
ชายคนนั้นแสดงท่าทีแปลกใจ แค่แวบเดียวเท่านั้นที่คำว่าไม่รู้ ไม่เข้าใจ ส่งผ่านออกมาจากชายวัยใกล้เกษียน
"ลุงไม่มีหรอก"
ลุงพัน เป็นชายวัยใกล้เกษียน รูปร่างผอมผิวคล้ำแดด เขาทำงานเป็นภารโรงในโรงเรียนมา 40 ปี เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส ใจดีกับเด็กทุกคน เขาเปรียบเสมือนผู้อาวุโสในโรงเรียน เทวารัณย์เป็นนักกีฬาของโรงเรียน บางครั้งต้องอยู่ซ้อมจนมืดค่ำ ลุงพันก็จะมารอคอยเพื่อปิดโรงยิม โดยที่ไม่มีการบ่นสักคำ เขาจึงมักจะนอบน้อมต่อชายผู้นี้เสมอ แม้ว่า ชายผู้นี้จะพลากสิ่งที่มีค่าที่สุดของเขาไปก็ตาม
ลุงพันที่ถูกจับกุมข้อหา 'ฆาตกรรมนางสาวนลิน' ถูกพาออกไปขึ้นรถตำรวจ นายตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเทวารัณย์พร้อมกับกล่าวว่า
"ไว้จะหาให้ในกองหลักฐานละกันนะ"
เทวารัณย์ไม่ได้ตอบกลับนายตำรวจคนนั้น เขายืนนิ่ง เพราะกำลังคิดไตร่ตรอง สมองของเขากำลังทำงานอย่างหนัก
เขาคิดว่าบางอย่างมันไม่ถูกต้อง ลุงพันไม่ใช่คนที่จะชอบขโมยของของใคร เขาทำงานเป็นภารโรง อาศัยอยู่ในโรงเรียนมา 40 ปี ครอบครัวเสียชีวิตหมดแล้ว เลยอยู่ตัวคนเดียว สุขภาพก็ไม่ค่อยสู้ดี วันที่ก่อเหตุฆาตกรรม ผอ.โรงเรียนก็บอกว่าเขาลาหยุดไปพบแพทย์ตามใบนัด ก่อนจะถูกจับในวันถัดมาเพราะพบอาวุธก่อเหตุ คือ กรีชโบราณขนาด 7 นิ้ว ในบ้านพักพร้อมคราบเลือดของนลินติดอยู่บนกริช
"กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ ไอ้หนุ่ม"
เทวารัณย์สะดุ้งหลุดจากความคิด เพราะเสียงของนายตำรวจวัยกลางคน
"ถ้าเอ็งคิดว่าคดีมันแปลก มันก็จะแปลก แต่ก็นะ หลักฐานมันชี้ว่าลุงแกเป็นคนร้าย" นายตำรวจพูดพร้อมกับมองไปรอบๆแขกในงาน "เพื่อนของเอ็งน่ะ แอบออกจากบ้านไปทำอะไรที่โรงเรียนกันแน่ เอ็งลองคิดให้ดีๆ ส่วนเรื่องกำไล ข้าจะหาให้ ถ้าไม่เจอในกองหลักฐาน เอ็งก็ลองคิดเอาเองละกันว่าเพราะอะไร"
พูดจบก็เดินคาบบุหรี่ไปขึ้นรถตำรวจขับออกไป ปล่อยให้เทวารัณย์ยืนนิ่งอยู่แบบนั้น
"รัณย์ กลับมานั่งเถอะลูก" คุณยายท่าทางใจดีเดินเข้ามาจูงหลานชายคนเดียวให้กลับไปนั่ง ฝ่ามืออบอุ่นของยายทำให้เด็กหนุ่มได้สติ
เขาอาศัยอยู่กับยายแค่สองคน พ่อกับแม่ของเขาเสียไปนานก่อนที่เขาจะจำความได้ เขาจึงโตมากับยาย โดยมีความอบอุ่นของยายและครอบครัวข้างบ้าน ครอบครัวของนลิน ที่มี พ่อ แม่ น้องชาย และนลิน ที่คอยโอบอุ้มจิตใจของเขาไว้ แต่ตอนนี้คนสำคัญอย่างนลินกลับหายไปจากโลกนี้ สติและจิตใจของเขาก็เหมือนกับแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง
"พี่ลินไม่เคยถอดสร้อยข้อมือเส้นนั้น วันนั้นตอนนั่งกินข้าวก่อนที่จะ.....ผม...เห็นพี่ลินสวมอยู่" นฤตย์พูดขึ้นราวกับรู้ว่าเทวารัณย์กำลังคิดอะไรอยู่
"อาจหลุดหล่นหายก็ได้" คุณยายตอบเมื่อเห็นว่าหลานชายยังคงนั่งเหม่อมองรูปของนลิน
ทั้งนฤตย์และเทวารัณย์ไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งคู่เอาแต่นั่งมองรูปเด็กสาว ราวกับต้องการจะจดจำทั้งหมดไว้เป็นครั้งสุดท้าย
ข่าวของเด็กสาวที่ถูกฆาตกรรมกลางโรงเรียน โด่งดังเป็นอย่างมาก
รายละเอียดของข่าวมีไม่ค่อยมาก เพราะครอบครัวของเหยื่อไม่ต้องการให้มีรูปที่เหยื่อถูกกระทำออกไปให้ใครเห็น แต่มีการจับกุมฆาตกรที่แฝงตัวเป็นภารโรงอยู่ในโรงเรียน บ้างก็ว่าเป็นพวกลัทธิคลั่งที่ฆ่าคนบูชายัญ ดูได้จากอาวุธที่ใช้ฆาตกรรมคือ กรีชโบราณ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญออกมาให้ข้อมูลว่า นี่คือกริชที่ใช้สังหารสัตว์ร้ายกาจในร่างคน โดยวิญญานของสัตว์ร้ายจะถูกกักขังไว้ในกริช อีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่า วิญญานสัตว์ร้ายที่สิงสู่อยู่ในกริชจะให้พรสมปรารถนาถ้าหากว่าได้สังเวยชีวีตบูชายัญแด่มัน
กริชเล่มนี้ถูกพิพิธภัณฑ์นำไปวิเคราะห์อายุ พบว่า มันมีอายุมากกว่าพันปี จากหลักฐานอาวุธของฆาตกร กลายเป็นของล้ำค่า ทางกรมตำรวจจึงมอบให้พิพิธภัณฑ์เก็บรักษาไว้
ไม่มีใครสนใจข่าวการตายของเด็กสาวอีก เพราะทุกคนหันไปสนใจกลุ่มเด็กนักเรียนที่มาจากโรงเรียนในข่าวฆาตกรรมแทน
กลุ่มเด็กนักเรียน จากชมรมการแสดง 3 คน กลายเป็นคนดังได้เข้าวงการบันเทิงเพราะมีนักข่าวไปสัมภาษณ์เรื่องการตายของเหยื่อที่ถูกฆ่าอยู่กลางเวทีแสดงละครก่อนวันงานโรงเรียนสองวัน ทั้งสามเป็นเพื่อนร่วมชมรมและรู้จักเหยื่อเพราะต้องซ้อมบทการแสดงด้วยกัน เมื่อทั้งสามได้ออกข่าวทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ด้วยใบหน้าที่โดดเด่น ทั้งหล่อและสวย จึงมีบริษัทต้นสังกัดติดต่อให้เข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่นั้น
ยังมีนักเรียนเรียนดีติดอันดับชั้นปีที่สามารถสร้างชื่อให้กับโรงเรียน อำเภอ และจังหวัด รวมถึงต่างประเทศ นักเรียนคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกับเหยื่อ เขาได้แสดงทักษะทางวิชาการอันเป็นเลิศให้นักข่าวที่มาสัมภาษณ์เห็น พวกนักวิชาการที่เห็นข่าวจึงสนใจอัจฉริยะที่ซุกซ่อนอยู่ในโรงเรียนย่านชานเมือง จึงมอบทุนการศึกษาให้ได้ไปเรียนมหาลัยชั้นนำระดับโลก
และนักเรียนอีกคนที่สร้างชื่อด้วยการเป็นทายาทของมหาเศรษฐีที่แอบมาเรียนโรงเรียนย่านชานเมืองเพราะต้องการเรียนรู้ชีวิตของคนฐานะทั่วไป เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเดียวกับเหยื่อเช่นกัน ด้วยความใจดี มีน้ำใจจึงมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวของเหยื่อ เป็นเงินจำนวนหลายล้านบาท แต่น่าเสียดายที่ครอบครัวของเหยื่อปฏิเสธที่จะรับเงิน เงินส่วนนั้นจึงถูกนำไปช่วยในการจ้างทนายให้เหยื่อ รวมทั้งบูรณาการปรับปรุงโรงเรียนให้น่าเรียนยิ่งขึ้น
สุดท้ายแล้ว คนร้ายที่ทำการฆาตกรรมเด็กสาว ก็ถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต ทุกคนที่ติดตามข่าวนี้ต่างพากันขัดใจที่ไม่ยอมเป็นโทษประหารชีวิต และที่น่าตกใจที่สุดก็คือครอบครัวของเหยื่อเป็นคนขอให้ตัดสินจำคุกตลอดชีวิตแทนการประหาร
หลักจากสิ้นสุดการตัดสินคดีฆาตกรรมเด็กสาวในโรงเรียน ข่าวก็เงียบลงสนิท ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ชีวิตนี้ ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล
---------------------------------------------
ความคิดเห็น