ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : หนังสือวรรณกรรม
    ใครเคยอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์บ้างคะ ยกมือขึ้น!
    แล้วใครเคยอ่านหัวขโมยแห่งบารามอสบ้างคะ ยกมือขึ้นอีกที!
    คงจะชูมือกันไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน โฮ่ๆ สองเรื่องนี้เป็นเล่มโปรดของเราเลยล่ะ เล่มแรกที่สนใจอ่านคือเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์
    จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ ป.2 คงราวๆ 8 ขวบเองมั้ง รู้สึกว่าตัวเองเด็กมั่กๆ วันนั้นไปร้านหนังสือดอกหญ้าที่บิ๊กซีระยอง เดินดูนั่นดูนี่ก็ไปจ๊ะเอ๋เอาหนังสือเล่มนึง ชื่อว่า
    ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์’
    ชื่อก็งั้นๆแหละฟะ แต่หยิบมาดูหน่อยก็ดีวุ้ย
    ‘เรื่องราวของเด็กชายพ่อมดผู้โด่งดัง’ แหวะ ไม่เห็นน่าสนเลยพวกเวทมนตร์ มันก็เหมือนๆกันหมดแหละน่า
    แต่ถึงจะด่ามันขนาดไหน มันก็อยากได้นะ เพราะมันแพงไง (หึหึ เป็นพวกนิยมของแพง แต่มะค่อยมีตังค์จะจ่ายนั่นเอง) ก็เลยหยิบไอ้เล่มน้ำตาลๆนี่ไปหาแม่ อ้อนให้ซื้อให้ แต่คุณแม่สุดที่รักของหนูไม่ให้ค่ะ เหตุผลก็คือว่า
    “แพง”
    ใช่.. แพง
    เฮ้อ เมื่อไหร่จะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งซะทีน้า ถึงตอนนั้นแหละแม่จะกว้านซื้อหนังสือให้หมดทั้งร้านเลยคอยดู
    แต่ดูเหมือนสวรรค์ยังเห็นใจเด็กตาดำๆนะ เพราะท่านได้ประทานคุณยายวัยโจ๋มาให้ อ้าว.. พูดแล้วจะหาว่าโม้
    ยายของเราคนนี้อายุห้าสิบหกสิบแล้วมั้ง แต่ร่างผอมเพรียว (แม้จะเหี่ยวหน่อยๆ) แต่ดูไม่ค่อยออกว่าเป็นยายถ้าไม่เห็นผมขาวที่ขึ้นแซมอยู่บนหัว ก็ขนาดที่ว่า ตอนเราอยู่ ป.1 แล้วไปถ่ายรูปด้วยกันที่เขื่อนภูมิพล เอารูปนี้ไปให้เพื่อนดู คุณเธอยังทักว่าอาหรือเปล่า อิฉันก็ตาโตสิคะ  อาเรอะ อาบ้านเตี่ยแกสิ แหกตาดูดีๆ นี่มันยายเฟ้ยไม่ใช่อา!
    แต่มันก็น่าคิดอะนะ เพราะวันนั้นยายคนนี้ใส่ชุดทะมัดทะแมงมาก เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนขายาว สวมหมวกแก็ปสีดำปกปิดผมขาวแล้วก็ใส่แว่นตากันแดดอันโตๆ ยืนเลียไอติมกับเราอยู่ริมสะพาน ดูไม่ออกเลยว่าเป็นยาย ยายนะนั่น!
    เอาล่ะ เอาเป็นว่ายายคนนี้ก็ซื้อหนังสือแฮร์รี่ฯ เล่ม 1 ให้เราแล้วกัน
    กลับมาถึงบ้านก็อ่าน แต่ไม่ได้อ่านบทแรกหรอก เพราะเปิดๆดู อะไรวะ! แม่งเกือบไม่มีบทพูดเลย ไม่เชื่อถ้าใครอ่านไปเปิดเล่ม 1 บทแรกดูได้นะว่ามันบรรยายเกือบจะทั้งบท ขี้เกียจอ่านว่างั้นเหอะ
    แล้วอิฉันก็เปิดข้ามไปอ่านบทที่สองจนจบเล่มอย่างรวดเร็วภายในเวลาสองวัน (เร็วกะผีแกอะดิ เล่มกะติ๊ดอ่านตั้งสองวัน) ทานโทษ ตอนนั้นเดี๊ยนอยู่ ป.2 นะไม่ใช่ ม.2!
    พออ่านจบปุ๊บ มันติดเลยนะ เพราะจากที่เราแทบไม่เคยแตะหนังสือแม้แต่ปลายก้อย มาวันนี้เราดันติดหนังสือจนแทบจะไม่ได้กินไม่ได้นอน วันๆก็อ่านแต่เล่มนั้นล่ะ ตอนไหนชอบก็จะอ่านมันวนๆๆๆอยู่ตรงนั้นแหละ อย่างเช่นตอนผ่านด่านประตูกล รู้สึกว่าบทนั้นอ่านไม่ต่ำกว่าสองร้อยรอบ หนุกจริงๆเว้ย!
    เจเคบรรยายได้เห็นภาพมา า า ก ก อ่านไปๆนี่นึกได้เป็นรูปเป็นร่างเลยเชียว อย่างเช่นห้องโถงโรงเรียน งานวันคริสมาสต์ หรือแม้กระทั่งเขตหวงห้ามในห้องสมุด
    หลังจากนั้นก็ติดตามต่อมาเรื่อยๆจนถึงเล่มที่ห้า จำได้แม่นว่า
เล่ม 1 ซื้อตอน ป.2
เล่ม 2 ซื้อตอน ป.2
เล่ม 3 ซื้อตอน ป.3
เล่ม 4 ซื้อตอน ป.3
เล่ม 5 ซื้อตอน ป.5
    ตอนนี้กำลังรอเล่ม 6 อย่างใจจดใจจ่อ รู้สึกจะออกวันที่ 16 กรกฎาพร้อมกันทั่วโลกนะถ้าจำไม่ผิด (โปรดอย่าเชื่อมากนัก ไม่งั้นอาจขาดทุน)
    เอาล่ะ ผ่านเรื่องแรกมาแล้ว มาพูดถึงเรื่องที่สองกันบ้าง
    ‘หัวขโมยแห่งบารามอส กับมงกุฎแห่งใจ’
    เชื่อมั้ยว่าถ้าไม่ได้ยายวัยโจ๋คนที่พูดถึงคนนั้น ป่านฉะนี้เราไม่ได้อ่านเรื่องอะไรหนุกหนานอย่างเรื่องนี้แน่
    เพราะอะไรน่ะเหรอ หึ เพราะวันนั้น (ปีที่แล้ว) เราก็ไปที่ร้านหนังสือร้านเดิม แต่ถัดมาจากวันนั้น 5 ปีเท่านั้นเอง (แต่วันอื่นๆเราก็เข้าร้านนี้บ่อยนะ) ยายคนนี้เค้าชี้ให้ดูก่อน เราก็เออออห่อหมกยอมเดินตามมาดู เห็นหนังสือปกสีแดงๆ ก็ชักสน
    แต่พอเห็นชื่อเรื่องเท่านั้นแหละ แทบจะวางทิ้ง จำได้ว่าตอนนั้นคิดเลยว่า
    “หนังสืออะไรวะ ชื่อก็เชยเช้ยเชย มันจะไปสนุกอะไร้”
    แล้วจากนั้นยายก็บอกว่าจะซื้อให้ เพราะคิดว่ามันน่าสนุก เราก็เถียงสิ ไม่อ๊าว..ว ไม่เอา หนูจะเอาประวัติเลโมนี สนิกเก็ท (คนแต่งเรื่องอยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้ายค่ะ)
    แต่มีหรือเสียงเด็กอายุสิบสามใสซื่อบริสุทธิ์จะสู้เสียงของหญิงชราวัยหกสิบต้นๆได้ หนังสือเล่มนั้นก็มีอันต้องมาอยู่ในถุงหนังสือเราโดยไม่เต็มใจซักนิด
    กลับถึงบ้าน เฮ้อ จะอ่านดีมั้ยเนี่ย แค่ชื่อเรื่องก็ไม่น่าสนุกเลยซักนิด
    แต่ก็กลั้นใจหยิบขึ้นมาอ่านจนได้
    จำได้ว่า ตอนอ่านสี่ห้าบทแรก ไม่ชอบเลยนะ เพราะว่าเราติดการบรรยายแบบเห็นภาพของเจเค โรว์ลิ่ง พอมาอ่านเรื่องที่มันบรรยายไม่ค่อยละเอียดก็รู้สึกว่าอ่านไม่รู้เรื่อง
    โถๆๆๆๆ
    แต่พออ่านถึงกลางเล่ม มันสนุกอะ ถึงขนาดที่ว่าแทบไม่ได้ละสายตาไปเลย บางตอนอ่านก็ขำก๊าก บางตอนอ่านก็ขนลุกซู่ หลายอารมณ์จริงๆ พี่แรบบิทแต่งได้สุดยอด
    ถึงตอนนี้มันก็ออกมาครบแล้วสี่เล่ม สามเล่มแรกนี่เราซื้อร้านเดิมนั่นแหละ แต่พอเล่มสี่ออกเราลงทุนไปกรุงเทพฯเพื่อไปงานหนังสือโดยเฉพาะ ที่สำคัญได้หนังสือติดมือกลับมาเป็นกระบุง คุ้ม
    ที่อยากบอกก็คือว่า หัวขโมยแห่งบารามอส ทุกเล่ม เป็นนิยายแฟนตาซีที่ไม่เหมือนเรื่องอื่นทั่วๆไป เพราะส่วนใหญ่หนังสือพวกนี้จะเป็นผลงานของนักเขียนต่างชาติ เวลานำมาแปลแล้ว อาจจะสนุกอีกแบบหนึ่ง ในขณะที่คนไทยเขียน จะสนุกไปอีกแบบหนึ่ง
    เพราะอะไรเหรอคะ สำหรับเราเราคิดว่า มุขตลกบางคำของฝรั่ง คนไทยอ่านจะไม่ขำ เพราะเราเคยอ่านในรีดเดอร์ไดเจสต์ ที่พวกฝรั่งเค้าส่งเรื่องตลกมาอะค่ะ แต่อ่านเท่าไหร่ก็ไม่ขำ มันขำไม่ออกนะ อาจจะเพราะมุมมองต่างกัน
    แต่สำหรับคนที่อ่านเรื่องนี้แล้ว จะบอกได้เลยว่าเยี่ยม เพราะมันมีคนแต่งเป็นคนไทย สามารถสื่ออารมณ์หรือความนึกคิดออกมาได้เข้าใจง่ายกว่า มุขตลกก็ยังเป็นมุขตลกของคนไทยที่อ่านกี่รอบๆก็ยังหัวเราะได้ อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมเดียวกัน
    อีกอย่าง เรื่องนี้เป็นวรรณกรรมที่ดูเหมือนตลกไร้สาระ แต่ถ้าอ่านดีๆจะรู้ว่าไม่ไร้สาระเลย คำพูดตัวละครหรือว่าคำบรรยายบางประโยคมันเป็นข้อคิดดีๆที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
    ทึ่งเพราะไม่รู้ว่าพี่แรบบิทสามารถนำเอาเรื่องตลกเบาสมองมาผสมเข้ากับปรัชญาชีวิตได้อย่างกลมกลืนได้ยังไง ตรงนี้ที่นับถือสุดๆ
    อีกอย่าง ฉากหวีดๆของพระ-นางอะ อิอิ ชอบนัก (อย่าเปิดเผยตัวจริง ถ้าไม่จำเป็น!)
    โดยเฉพาะตอนท้ายเล่ม 3 กะเล่ม 4 อู๊ย.. อ่านงี้แทบละลายคาเก้าอี้ ใครยังมะได้อ่านลองไปหามาอ่านนะ แล้วจะรู้ว่าเป็นยังไง
    โอ้ กี่บรรทัดแล้วเนี่ย ขอโทษนะคะ คือมันเพลินไปหน่อย
    ใครทนอ่านมาถึงตรงนี้ต้องขอนับได้ว่าสุดยอด ท่านมีความอดทนดีมั่กๆ
    วันหลังถ้าเกิดมีหัวข้ออะไรมาพูดอีกก็จะมาอัพให้นะ
    บายค่ะ
น้องมิว
ปล.ถ้าใครอยากให้มิวลองเขียนถึงเรื่องอะไรบ้าง บอกกันได้นะคะ เพราะรู้สึกคันไม่คันมือ อยากเขียนนินทาคนเหมือนตอนที่ 1 อะ
    แล้วใครเคยอ่านหัวขโมยแห่งบารามอสบ้างคะ ยกมือขึ้นอีกที!
    คงจะชูมือกันไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน โฮ่ๆ สองเรื่องนี้เป็นเล่มโปรดของเราเลยล่ะ เล่มแรกที่สนใจอ่านคือเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์
    จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ ป.2 คงราวๆ 8 ขวบเองมั้ง รู้สึกว่าตัวเองเด็กมั่กๆ วันนั้นไปร้านหนังสือดอกหญ้าที่บิ๊กซีระยอง เดินดูนั่นดูนี่ก็ไปจ๊ะเอ๋เอาหนังสือเล่มนึง ชื่อว่า
    ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์’
    ชื่อก็งั้นๆแหละฟะ แต่หยิบมาดูหน่อยก็ดีวุ้ย
    ‘เรื่องราวของเด็กชายพ่อมดผู้โด่งดัง’ แหวะ ไม่เห็นน่าสนเลยพวกเวทมนตร์ มันก็เหมือนๆกันหมดแหละน่า
    แต่ถึงจะด่ามันขนาดไหน มันก็อยากได้นะ เพราะมันแพงไง (หึหึ เป็นพวกนิยมของแพง แต่มะค่อยมีตังค์จะจ่ายนั่นเอง) ก็เลยหยิบไอ้เล่มน้ำตาลๆนี่ไปหาแม่ อ้อนให้ซื้อให้ แต่คุณแม่สุดที่รักของหนูไม่ให้ค่ะ เหตุผลก็คือว่า
    “แพง”
    ใช่.. แพง
    เฮ้อ เมื่อไหร่จะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งซะทีน้า ถึงตอนนั้นแหละแม่จะกว้านซื้อหนังสือให้หมดทั้งร้านเลยคอยดู
    แต่ดูเหมือนสวรรค์ยังเห็นใจเด็กตาดำๆนะ เพราะท่านได้ประทานคุณยายวัยโจ๋มาให้ อ้าว.. พูดแล้วจะหาว่าโม้
    ยายของเราคนนี้อายุห้าสิบหกสิบแล้วมั้ง แต่ร่างผอมเพรียว (แม้จะเหี่ยวหน่อยๆ) แต่ดูไม่ค่อยออกว่าเป็นยายถ้าไม่เห็นผมขาวที่ขึ้นแซมอยู่บนหัว ก็ขนาดที่ว่า ตอนเราอยู่ ป.1 แล้วไปถ่ายรูปด้วยกันที่เขื่อนภูมิพล เอารูปนี้ไปให้เพื่อนดู คุณเธอยังทักว่าอาหรือเปล่า อิฉันก็ตาโตสิคะ  อาเรอะ อาบ้านเตี่ยแกสิ แหกตาดูดีๆ นี่มันยายเฟ้ยไม่ใช่อา!
    แต่มันก็น่าคิดอะนะ เพราะวันนั้นยายคนนี้ใส่ชุดทะมัดทะแมงมาก เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนขายาว สวมหมวกแก็ปสีดำปกปิดผมขาวแล้วก็ใส่แว่นตากันแดดอันโตๆ ยืนเลียไอติมกับเราอยู่ริมสะพาน ดูไม่ออกเลยว่าเป็นยาย ยายนะนั่น!
    เอาล่ะ เอาเป็นว่ายายคนนี้ก็ซื้อหนังสือแฮร์รี่ฯ เล่ม 1 ให้เราแล้วกัน
    กลับมาถึงบ้านก็อ่าน แต่ไม่ได้อ่านบทแรกหรอก เพราะเปิดๆดู อะไรวะ! แม่งเกือบไม่มีบทพูดเลย ไม่เชื่อถ้าใครอ่านไปเปิดเล่ม 1 บทแรกดูได้นะว่ามันบรรยายเกือบจะทั้งบท ขี้เกียจอ่านว่างั้นเหอะ
    แล้วอิฉันก็เปิดข้ามไปอ่านบทที่สองจนจบเล่มอย่างรวดเร็วภายในเวลาสองวัน (เร็วกะผีแกอะดิ เล่มกะติ๊ดอ่านตั้งสองวัน) ทานโทษ ตอนนั้นเดี๊ยนอยู่ ป.2 นะไม่ใช่ ม.2!
    พออ่านจบปุ๊บ มันติดเลยนะ เพราะจากที่เราแทบไม่เคยแตะหนังสือแม้แต่ปลายก้อย มาวันนี้เราดันติดหนังสือจนแทบจะไม่ได้กินไม่ได้นอน วันๆก็อ่านแต่เล่มนั้นล่ะ ตอนไหนชอบก็จะอ่านมันวนๆๆๆอยู่ตรงนั้นแหละ อย่างเช่นตอนผ่านด่านประตูกล รู้สึกว่าบทนั้นอ่านไม่ต่ำกว่าสองร้อยรอบ หนุกจริงๆเว้ย!
    เจเคบรรยายได้เห็นภาพมา า า ก ก อ่านไปๆนี่นึกได้เป็นรูปเป็นร่างเลยเชียว อย่างเช่นห้องโถงโรงเรียน งานวันคริสมาสต์ หรือแม้กระทั่งเขตหวงห้ามในห้องสมุด
    หลังจากนั้นก็ติดตามต่อมาเรื่อยๆจนถึงเล่มที่ห้า จำได้แม่นว่า
เล่ม 1 ซื้อตอน ป.2
เล่ม 2 ซื้อตอน ป.2
เล่ม 3 ซื้อตอน ป.3
เล่ม 4 ซื้อตอน ป.3
เล่ม 5 ซื้อตอน ป.5
    ตอนนี้กำลังรอเล่ม 6 อย่างใจจดใจจ่อ รู้สึกจะออกวันที่ 16 กรกฎาพร้อมกันทั่วโลกนะถ้าจำไม่ผิด (โปรดอย่าเชื่อมากนัก ไม่งั้นอาจขาดทุน)
    เอาล่ะ ผ่านเรื่องแรกมาแล้ว มาพูดถึงเรื่องที่สองกันบ้าง
    ‘หัวขโมยแห่งบารามอส กับมงกุฎแห่งใจ’
    เชื่อมั้ยว่าถ้าไม่ได้ยายวัยโจ๋คนที่พูดถึงคนนั้น ป่านฉะนี้เราไม่ได้อ่านเรื่องอะไรหนุกหนานอย่างเรื่องนี้แน่
    เพราะอะไรน่ะเหรอ หึ เพราะวันนั้น (ปีที่แล้ว) เราก็ไปที่ร้านหนังสือร้านเดิม แต่ถัดมาจากวันนั้น 5 ปีเท่านั้นเอง (แต่วันอื่นๆเราก็เข้าร้านนี้บ่อยนะ) ยายคนนี้เค้าชี้ให้ดูก่อน เราก็เออออห่อหมกยอมเดินตามมาดู เห็นหนังสือปกสีแดงๆ ก็ชักสน
    แต่พอเห็นชื่อเรื่องเท่านั้นแหละ แทบจะวางทิ้ง จำได้ว่าตอนนั้นคิดเลยว่า
    “หนังสืออะไรวะ ชื่อก็เชยเช้ยเชย มันจะไปสนุกอะไร้”
    แล้วจากนั้นยายก็บอกว่าจะซื้อให้ เพราะคิดว่ามันน่าสนุก เราก็เถียงสิ ไม่อ๊าว..ว ไม่เอา หนูจะเอาประวัติเลโมนี สนิกเก็ท (คนแต่งเรื่องอยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้ายค่ะ)
    แต่มีหรือเสียงเด็กอายุสิบสามใสซื่อบริสุทธิ์จะสู้เสียงของหญิงชราวัยหกสิบต้นๆได้ หนังสือเล่มนั้นก็มีอันต้องมาอยู่ในถุงหนังสือเราโดยไม่เต็มใจซักนิด
    กลับถึงบ้าน เฮ้อ จะอ่านดีมั้ยเนี่ย แค่ชื่อเรื่องก็ไม่น่าสนุกเลยซักนิด
    แต่ก็กลั้นใจหยิบขึ้นมาอ่านจนได้
    จำได้ว่า ตอนอ่านสี่ห้าบทแรก ไม่ชอบเลยนะ เพราะว่าเราติดการบรรยายแบบเห็นภาพของเจเค โรว์ลิ่ง พอมาอ่านเรื่องที่มันบรรยายไม่ค่อยละเอียดก็รู้สึกว่าอ่านไม่รู้เรื่อง
    โถๆๆๆๆ
    แต่พออ่านถึงกลางเล่ม มันสนุกอะ ถึงขนาดที่ว่าแทบไม่ได้ละสายตาไปเลย บางตอนอ่านก็ขำก๊าก บางตอนอ่านก็ขนลุกซู่ หลายอารมณ์จริงๆ พี่แรบบิทแต่งได้สุดยอด
    ถึงตอนนี้มันก็ออกมาครบแล้วสี่เล่ม สามเล่มแรกนี่เราซื้อร้านเดิมนั่นแหละ แต่พอเล่มสี่ออกเราลงทุนไปกรุงเทพฯเพื่อไปงานหนังสือโดยเฉพาะ ที่สำคัญได้หนังสือติดมือกลับมาเป็นกระบุง คุ้ม
    ที่อยากบอกก็คือว่า หัวขโมยแห่งบารามอส ทุกเล่ม เป็นนิยายแฟนตาซีที่ไม่เหมือนเรื่องอื่นทั่วๆไป เพราะส่วนใหญ่หนังสือพวกนี้จะเป็นผลงานของนักเขียนต่างชาติ เวลานำมาแปลแล้ว อาจจะสนุกอีกแบบหนึ่ง ในขณะที่คนไทยเขียน จะสนุกไปอีกแบบหนึ่ง
    เพราะอะไรเหรอคะ สำหรับเราเราคิดว่า มุขตลกบางคำของฝรั่ง คนไทยอ่านจะไม่ขำ เพราะเราเคยอ่านในรีดเดอร์ไดเจสต์ ที่พวกฝรั่งเค้าส่งเรื่องตลกมาอะค่ะ แต่อ่านเท่าไหร่ก็ไม่ขำ มันขำไม่ออกนะ อาจจะเพราะมุมมองต่างกัน
    แต่สำหรับคนที่อ่านเรื่องนี้แล้ว จะบอกได้เลยว่าเยี่ยม เพราะมันมีคนแต่งเป็นคนไทย สามารถสื่ออารมณ์หรือความนึกคิดออกมาได้เข้าใจง่ายกว่า มุขตลกก็ยังเป็นมุขตลกของคนไทยที่อ่านกี่รอบๆก็ยังหัวเราะได้ อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมเดียวกัน
    อีกอย่าง เรื่องนี้เป็นวรรณกรรมที่ดูเหมือนตลกไร้สาระ แต่ถ้าอ่านดีๆจะรู้ว่าไม่ไร้สาระเลย คำพูดตัวละครหรือว่าคำบรรยายบางประโยคมันเป็นข้อคิดดีๆที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
    ทึ่งเพราะไม่รู้ว่าพี่แรบบิทสามารถนำเอาเรื่องตลกเบาสมองมาผสมเข้ากับปรัชญาชีวิตได้อย่างกลมกลืนได้ยังไง ตรงนี้ที่นับถือสุดๆ
    อีกอย่าง ฉากหวีดๆของพระ-นางอะ อิอิ ชอบนัก (อย่าเปิดเผยตัวจริง ถ้าไม่จำเป็น!)
    โดยเฉพาะตอนท้ายเล่ม 3 กะเล่ม 4 อู๊ย.. อ่านงี้แทบละลายคาเก้าอี้ ใครยังมะได้อ่านลองไปหามาอ่านนะ แล้วจะรู้ว่าเป็นยังไง
    โอ้ กี่บรรทัดแล้วเนี่ย ขอโทษนะคะ คือมันเพลินไปหน่อย
    ใครทนอ่านมาถึงตรงนี้ต้องขอนับได้ว่าสุดยอด ท่านมีความอดทนดีมั่กๆ
    วันหลังถ้าเกิดมีหัวข้ออะไรมาพูดอีกก็จะมาอัพให้นะ
    บายค่ะ
น้องมิว
ปล.ถ้าใครอยากให้มิวลองเขียนถึงเรื่องอะไรบ้าง บอกกันได้นะคะ เพราะรู้สึกคันไม่คันมือ อยากเขียนนินทาคนเหมือนตอนที่ 1 อะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น