ตอนที่ 12 : บทที่ 12 100%
บทที่ 12
เช้าตรู่ คุณชายสามยังตื่นเช้าเหมือนดั่งที่เคยอยู่พรรควิหคเพลิง เขาไปปลุกหย่งชิ่งในห้องนอน พบว่าเจ้าตัวกำลังนอนหน้ามุ่ยไม่ยอมลุกจากเตียง ต้องเข็นอยู่เป็นนานจึงยอมลุกขึ้นมาล้างหน้าเปลี่ยนชุดสางผม
"โอย ปวดท้องจัง สงสัยเมื่อคืนกินเยอะไปหน่อย" หย่งชิ่งบ่นพึมพำยามพี่สามกำลังช่วยแปรงผมให้นาง
"เมื่อคืนไปกินอะไรมาถึงได้ปวดท้อง ข้าจัดยาต้มให้เจ้าดื่มสักชุดไหม"
"สงสัยเพราะกินผิดเวลา เมื่อวานเย็นข้ากินข้าวไม่ลง แต่พอเมื่อคืนท่านอ๋องน้อยเลี้ยงของว่าง ข้าเลยกินเสียเต็มคราบ" หย่งชิ่งด่าความตะกละของตัวเองในใจ แต่นึกแล้วก็อยากกินขนมแบบเมื่อคืนอีก อร่อยเกินบรรยายจริงๆ ถ้าไม่เกรงใจนางคงบอกนางกำนัลไม่ต้องยกกลับขอห่อไปกินต่อมื้ออื่น
คุณชายสามชะงักมือที่กำลังสางผมให้น้องน้อยสีหน้าเป็นกังวล
"เจ้าไปรู้จักท่านอ๋องน้อยตั้งแต่เมื่อไร เมื่อคืนเขาอุ้มเจ้ามาส่งถึงหน้าตำหนัก แล้วเจ้าก็ยังหลับปุ๋ยได้ เป็นสาวเป็นนางมันอันตราย ช่างไม่รู้จักระวังตัวเอาเสียเลย"
เขาเดินวนในสวนหน้าตำหนักรอหย่งชิ่งอยู่นานกระทั่งเห็นท่านอ๋องน้อยอุ้มนางมาส่ง ท่าทางและกิริยาทะนุถนอมสะกิดใจเขาอย่างแรง
"ข้ายังเด็กอยู่ใครจะมาสนใจ แค่บังเอิญเจอท่านอ๋องน้อยตอนเดินเล่นในอุทยาน เขาก็เลยชวนข้าไปนั่งกินขนม ให้ข้าช่วยบรรเลงเพลงพิณเท่านั้นเอง" หย่งชิ่งหลุบตาเกรงพี่ชายจะเห็นแววตา นางไม่ได้โกหกแค่พูดไม่หมดเท่านั้น
"ท่านอ๋องน้อยนี่นะ ชวนเจ้าไปกินของว่างที่ตำหนัก แล้วยังอุตส่าห์ทนฟังเจ้าบรรเลงเพลงพิณพิสดารทำลายโสตประสาท ข้าจะเชื่อเจ้าได้ไหม" คุณชายสามถามเสียงสูง น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงความประหลาดใจหลายส่วน นอกจากเขาและคนในพรรควิหคเพลิงแล้วยังมีผู้อื่นสามารถทนเสียงพิณอันน่าสะพรึงกลัวของน้องน้อยได้อีกหรือนี่
พี่สามว่านาง!
พี่สามผู้อ่อนโยนดุจสายลมวสันต์อันอบอุ่น เอ่ยว่านาง!
พี่สามผู้น่ารักของนางเปลี่ยนไป ตั้งแต่มาอยู่วังหลวงย่างเข้าวันที่สาม เขาเหินห่างกับนางต้องคอยตามก้นองค์หญิงเจ็ดทั้งวันทั้งคืนคงเก็บกดอยู่ไม่น้อย
องค์หญิงเจ็ดก็กระไรอยู่วางตัวไม่สมกับเป็นองค์หญิง พอรู้ว่าพี่สามมีวิชาแพทย์ ตั้งแต่ตกน้ำวันนั้นพระองค์ใช้จริตมารยาแสร้งทำเป็นป่วยหนัก หมอหลวงรักษาเท่าไรก็ไม่ดีขึ้น ต้องให้พี่สามไปช่วยรักษาจึงอาการดีขึ้นทันตา แต่พอตกเย็นก็อาการกำเริบ เดือดร้อนถึงพี่สามที่ต้องอยู่โยงที่ตำหนักเฝ้าเช้ากลางวันเย็น
หย่งชิ่งเคยติดตามไปกับพี่สาม แต่ถูกองค์หญิงเอ่ยปากไล่อย่างเสียกิริยา พี่สามกลัวน้องน้อยจะได้รับอันตรายจึงสั่งให้อยู่ห่างจากองค์หญิงเจ็ดไม่ต้องไปที่ตำหนักนั้นอีก
ถึงแม้พี่สามจำต้องไปดูแลองค์หญิงตามรับสั่ง แต่เขาก็จะตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อมาดูแลนางตอนตื่นนอน ก่อนที่องค์หญิงสามจะส่งนางกำนัลมาตามถึงตำหนักปทุมมาพันปี
"ท่านดูถูกข้าเกินไปแล้วพี่สาม ฝีมือบรรเลงเพลงพิณของข้าก็ไม่ได้น้อยหน้าผู้ใดดอกหนา"
"ชิ่งเอ๋อร์ ข้าไม่ได้อยากทำร้ายน้ำใจเจ้าหรอกนะ แต่หากไม่ใช่ข้าหรือคนในพรรควิหคเพลิงแล้ว เพลงพิณของเจ้าช่างบาดหูยิ่งนัก แม้ยามหลับยังต้องฝันร้าย จักให้ข้าเชื่อหรือว่าท่านอ๋องน้อยนิยมชมชอบในเพลงพิณของเจ้า"
บอกว่าไม่อยากทำร้ายน้ำใจ แต่พี่สามทำร้ายน้ำใจนางเต็มที่เชียวล่ะ
หย่งชิ่งหน้าง้ำงอ เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่พบผู้ใด ในวังหลวงแห่งนี้ครอบครัวของนางมีเพียงพี่สามเท่านั้น จะงอนพี่สามแล้วไปหาพี่ชายคนอื่นก็ทำไม่ได้
นางเกลียดวังหลวง!
“ข้าเล่นเพลงพื้นบ้านของท่านแม่ให้ท่านอ๋องน้อยฟังต่างหาก ข้าหลงนึกว่าพี่สามชอบเพลงพิณที่ข้าบรรเลงเสียอีก ที่แท้ท่านก็ฝืนใจฟัง ครั้งหน้าข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากหูอีกแล้ว"
เฉินหย่งฝูรับรู้ถึงอาการงอนของน้องน้อย เขารวบผมให้นางเสร็จแล้วจึงวางหวีบนโต๊ะแล้วนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ
"ชิ่งเอ๋อร์ เพลงพิณของเจ้าข้าก็ชอบฟังนะ เพียงแต่ว่ามันฟังแปลกหูไปเท่านั้นเอง ไว้กลับบ้านแล้วคงถึงฤดูใบไม้ผลิพอดี เราไปนั่งในสวนบรรเลงเพลงพิณจิบน้ำชากันเถอะนะ"
พี่สามง้อนางแล้ว นางจึงหันไปกอดเอวพี่ชาย
“ใช่... ใกล้จะถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ข้าจะได้สวมชุดใหม่ที่ท่านแม่ตัดเย็บให้ ข้าจะได้กินน้ำบ๊วยเปรี้ยวเย็นของโปรด ข้าจะได้ไล่จับผีเสื้อเบิกบานบนภูเขากับพี่สี่ และรอยยิ้มราวกับวสันตฤดูของพี่สามจะกลับคืนมาสักที วังหลวงแห่งนี้ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น หย่งชิ่งเงียบเสียงลงทันควัน นางปล่อยมือจากเอวพี่สามนั่งตัวตรงอย่างสำรวม
“เข้ามาได้” พี่สามเป็นคนเอ่ยขึ้น
นางกำนัลคุ้นหน้าสองคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง นางกำนัลที่ดูสูงวัยกว่าเป็นคนเอ่ยปาก
“เรียนคุณชายสาม องค์หญิงเจ็ดให้มาเชิญท่านไปตรวจอาการเจ้าค่ะ”
คุณชายสามลุกขึ้นเดินไปตรงหน้านางกำนัล โค้งศีรษะให้เล็กน้อย
“รบกวนท่านช่วยเรียนองค์หญิงเจ็ดด้วยว่าวันนี้น้องชายของข้าไม่สบาย ข้าต้องอยู่ดูแลเขาคงไปอยู่เฝ้าองค์หญิงเจ็ดไม่ได้ ช่วยบอกให้พระองค์ถนอมพระวรกายด้วย”
นางกำนัลทั้งสองมองหน้ากันด้วยสีหน้าหวาดกลัว องค์หญิงเจ็ดอารมณ์ร้ายแค่ไหนพวกนางรู้แก่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของคุณชายสาม แม้กระทั่งการมาตามเขาไปเฝ้าองค์หญิงช้าแม้เพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปพวกนางก็ถูกโบยหลังลายแล้ว หากกลับไปโดยไร้เงาคุณชายสาม พวกนางต้องประสบเคราะห์กรรมใหญ่หลวง
“คุณชายสามโปรดทบทวนอีกครั้งเถิดเจ้าค่ะ หากคุณชายสามไม่ไปเฝ้าองค์หญิงเจ็ด พวกข้าเกรงว่า”
“น้องห้ายังเล็กนัก ในวังหลวงเขามีข้าเป็นที่พึ่งเพียงผู้เดียว พวกท่านจะให้ข้าใจร้ายทิ้งเขายามเจ็บป่วยไว้เพียงลำพังรึ”
นางกำนัลหน้าซีดถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยอมออกไปโดยดี
"ไม่ดีกระมังพี่สาม องค์หญิงเจ็ดคงไม่ยอมให้ท่านปฏิเสธง่ายๆ"
"ในวังหลวงแห่งนี้ เรามีกันเพียงสองคน ถ้าข้าไม่ดูแลเจ้าแล้วใครจะดูแล"
"แต่ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก นอนพักสักวันก็หายแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินยาก็ได้" หย่งชิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะนำความเดือดร้อนมาสู่พี่ชายอย่างไรอย่างนั้น
"ท่านพ่อกับท่านแม่อุตส่าห์ไว้วางใจให้ข้ามาดูแลเจ้า หากพวกเขารู้ว่าข้าละเลยต่อเจ้า กลับไปถ้าข้าคงไม่มีหน้า มองพวกท่านทั้งสอง"
"ถ้าไม่อยากให้ท่านต้องลำบากใจ แรงกดดันในวังหลวงมีมากมาย ทีแรกข้าไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เมื่อวานองค์หญิงสิบสองก็ทรงตรัสว่าจะขอให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับพระองค์ที่นี่ ข้ากลัวเหลือเกินพี่สาม กลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้านไปหาทุกคนอีก"
"เราต้องได้กลับบ้าน เมื่อวานพี่แวะไปที่พรรคสาขาแจ้งข่าวให้ท่านพ่อทราบ ภายในแรมหกค่ำพวกเราก็จะเดินทางกลับเหอเสี่ยง"
สองพี่น้องจองตากัน ความไม่มั่นใจฉายชัดในดวงตาของทั้งคู่
"ข้าไปต้มยาให้เจ้าดีกว่า เช้านี้ข้าจะขอให้นางกำนัลจัดข้าวต้มโรยเกลือ กับผัดผักน้ำมันให้เจ้าสักจานหนึ่ง กินอาหารอ่อนไปก่อน วันนี้ห้ามออกไปซนที่ไหน รออยู่ที่ห้องเดี๋ยวข้ากลับมา"
พี่สามวางมือบนศีรษะนางก่อนจะออกไปจากห้อง
อาการปวดท้องทวีขึ้นทุกขณะ หย่งชิ่งปีนขึ้นไปนอนบนเตียงอีกครั้ง เมื่อได้ไออุ่นจากผ้าห่มจึงรู้สึกดีขึ้น ดวงหน้าเล็กซีดเผือดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดบนขมับสีหน้าทนทรมาน ถ้าอาหารเป็นพิษนางก็น่าจะมีอาการท้องเสียร่วมด้วย แต่นี่กลับปวดท้องเพียงอย่างเดียวหรือจะเป็นโรคกระเพาะก็ไม่รู้
สมัยนี้มีแต่ยาต้มกับยาลูกกลอนเหมือนยาผีบอกอย่างไรอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่พี่สามเป็นผู้ปรุงยานางไม่ยอมกินเด็ดขาด
เด็กหญิงเกือบเคลิ้มหลับไปอีกรอบแต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดังอยู่ที่หน้าห้อง
"เฉินหย่งชิ่งเจ้าอยู่ที่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้" น้ำเสียงเปี่ยมด้วยโทสะรุนแรงขององค์หญิงเจ็ดดังเข้ามาถึงในห้อง
หย่งชิ่งลงจากเตียงก้าวเท้าแทบไม่ออกยืนตัวงออยู่เป็นครู่ใหญ่ ปวดท้องจนก้าวขาแทบไม่ออก หากนางอยู่แต่ในห้อง ไม่นานองค์หญิงเจ็ดก็คงจะสั่งให้คนเข้ามาลากตัวนางออกไปอยู่ดี นางจึงกัดฟันเปิดประตูเดินออกไปที่สวนหน้าตำหนัก
องค์หญิงเจ็ดสวมอาภรณ์สีแดงห้าชั้นงดงามอลังการยืนอยู่หน้าตำหนักด้วยใบหน้าถมึงทึงลดทอนความงามไปหลายส่วน พระองค์เสด็จมาพร้อมนางกำนัลสองคนที่มาตามพี่สามเมื่อเช้า และองครักษ์นับสิบถือกระบี่เตรียมพร้อม
เตรียมพร้อมเรื่องอะไรกัน?
หย่งชิ่งคุกเข่าลงอย่างเชื่องช้าก้มหน้าพูดเสียงเบา
“ถวายพระพรองค์หญิงเจ็ด”
“ฮึ! ไม่ต้องเสแสร้างทำเป็นเคารพข้า เจ้ากล้าออดอ้อนพี่ชาย ห้ามไม่ให้เขาไปหาข้าเชียวรึ ช่างไม่กลัวตายเสียเลย"
หย่งชิ่งหลับตาเดินลมปราณช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดบริเวณท้อง แต่ช่วยได้ไม่มากนัก
"หามิได้องค์หญิงเจ็ด กระหม่อมไม่สบายจริงๆ พะย่ะค่ะ" หย่งชิ่งเงยหน้าขึ้นบอกในขณะที่ยังนั่งคุกเข่ากับพื้นหินเย็นเฉียบ
เพียะ!
องค์หญิงเจ็ดตบหน้าเด็กน้อยเต็มแรง จนฝ่ามือตัวเองสะท้านสะท้อนกลับสั่นไปทั้งมือ
หย่งชิ่งรับรู้รสเลือดในปาก หน้าชาไปทั้งแถบ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครกล้าตบหน้านางแบบนี้มาก่อน ใบหน้าแดงก่ำก้มลงมองพื้น มือทั้งสองกำแน่นข้างกาย ฤทธิ์ฝ่ามือขององค์หญิงเจ็ดไม่เบาเลยทีเดียว แสดงว่าผ่านวิชาต่อยตีมามิใช่น้อย
แต่ถ้าหากหย่งชิ่งซัดฝ่ามือออกไปเพลานี้ องค์หญิงเจ็ดไม่แคล้วต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็อาจจะสิ้นพระชนม์ไปเลยก็ได้
เพราะเหตุนี้... นางจึงต้องอดทนต่อไป
ยุติธรรมดี!
เด็กน้อยกัดฟันกรอดอดสูใจเหลือจะกล่าว ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน นางคือคุณชายห้าแห่งภาควิหคเพลิงที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องแม้แต่ปลายเส้นผม หากวันนี้ ต่อให้สิ้นลมก็ไม่มีผู้ใดยื่นมือมาช่วยเหลือ!
"ยังจะเถียงอีก! เจ้าไม่ได้นอนป่วยใกล้ตายสักหน่อย ถ้าไม่ได้ใกล้ตาย เจ้าห้ามรั้งตัวคุณชายสามไว้"
ต้องรับมือผู้อื่นด้วยเหตุผลนางมิเคยหวั่น แต่สำหรับองค์หญิงเอาแต่ใจไร้เหตุผลผู้นี้ นางจนด้วยเกล้า
"พี่สามเป็นพี่ชายของกระหม่อม การที่กระหม่อมให้พี่ชายช่วยดูแลยามป่วยไข้ เป็นเรื่องสามัญธรรมดา รบกวนองค์หญิงเจ็ดบอกกระหม่อมหน่อยเถิดว่ากระหม่อมทำผิดอันใดจึงถูกพระองค์ลงโทษ"
หย่งชิ่งถูกกระชากคอเสื้อขึ้นยืนไม่ต่างกับตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง องค์หญิงเจ็ดโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ดวงตาวาววาวด้วยโทสะดุจจะแผดเผาตัวนางให้ไหม้เกรียม วันนี้ใบหน้าของพระองค์แต่งแต้มทาชาดวาดคิ้วด้วยความประณีตงดงามเป็นพิเศษ เหมือนกำลังจะไปออกงานพิธี หรือไม่ก็มีโอกาสสำคัญอันใดสักอย่าง
องค์หญิงเจ็ดอุตส่าห์ตื่นบรรทมแต่เช้ามืด เพื่อแต่งองค์ทรงเครื่องเนื่องในวัน คล้ายวันเฉลิมพระชันษาครบสิบแปดปีของพระองค์ วันนี้พระองค์ตั้งใจจะขอให้พระมารดายกเลิกการหมั้นหมายกับลูกชายของท่านแม่ทัพหาน จะได้เปิดโอกาสให้คุณชายสามเข้ามาแทนที่คู่หมั้น แต่เมื่อนางกำนัลกลับไปแจ้งข่าวร้าย นางถึงกับทิ้งทุกอย่างแล้วยกขบวนมายังตำหนักเก่าแก่แห่งนี้
คุณชายสามถูกรั้งตัวไว้ที่ตำหนักขององค์หญิงเจ็ดแล้ว พระองค์จึงยกคนมากำราบหย่งชิ่งไม่ให้ทำตัวป่วนร้ายกาจใส่พระองค์ ขัดขวางความรักของพี่ชาย
"เพราะคุณชายสามเป็นของข้า แม้แต่เจ้าก็อย่าได้เผยอ"
เพียะ!
องค์หญิงเจ็ดประทานมาให้นางอีกหนึ่งฝ่ามือ เวลานี้สองข้างแก้มของเด็กน้อยบวมช้ำ หย่งชิ่งเม้มริมฝีปากแน่น กลิ่นคาวโลหิตกบอยู่ในปาก แต่นางไม่ยอมให้มันไหลออกมาจากปากแม้แต่หยดเดียว นัยน์ตาแข็งกร้าวหลุบมองต่ำ ได้แต่บอกตัวเองว่าต้องอดทน อดทน และอดทน
"เจ้าทำให้งานเฉลิมฉลองของข้า พังครืนไม่เป็นท่า ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างสาสม"
เมื่อเห็นฝ่ามือที่เงื้อขึ้นสูง หย่งชิ่งได้แต่หลับตา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นึกเสียดาย นางไม่ควรมีครอบครัวที่ต้องมาร่วมรับการลงทัณฑ์หากนางทำผิด ต่อองค์หญิงเจ็ดขึ้นมา
เพียะ!
ใบหน้าเล็กสะบัดหันไปอีกทาง
หย่งชิ่งรู้สึกถึงแรงลมที่เกิดขึ้นจากฝ่ามือกำลังประเคนมาบนหน้าอีกครั้ง ทันใดนั้น ตัวนางถูกโอบรัดด้วยความแข็งแกร่งดุจกำแพงหนาหลุดจากเงื้อมือองค์หญิงเจ็ดลอยขึ้นจากพื้น ทำให้นางต้องลืมตาขึ้นมองเหตุการณ์รอบกาย บุรุษผู้หนึ่งกำลังอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนใบหน้าซบกับบ่ากว้าง ฝ่ามือกดบนศีรษะอย่างอ่อนโยนไม่ยอมให้นางเงยหน้าขึ้นมา
"องค์หญิงเจ็ด ข้าเป็นถึงแม่ทัพไร้พ่ายยังไม่เก่งกล้าสามารถเหมือนกับเจ้า ที่กล้าแม้กระทั่งตบตีเด็กตัวเล็กๆ ไร้ทางสู้ เจ้าคิดว่าผู้ใดเป็นสาเหตุของเรื่องนี้ พระสนมเอกที่สั่งสอนเจ้าไม่ดีพอ หรือองค์จักรพรรดิที่ใจดีกับองค์หญิงมากเกินไป" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยคำเสียดสีตำหนิติเตียน
ไม่รู้เพราะอะไรอ๋องน้อยเหวินหรงจึงเดินหลงมาทางนี้ พบเห็นเหตุการเข้าพอดี เขาแทบจะบินมาถึงร่างน้อยที่กำลังถูกทารุณกรรมอย่างอยุติธรรม ในอกปวดร้าวเหมือนถูกปลิดดวงใจทิ้งแล้วเหยียบขยี้กับพื้นอย่างไม่ไยดี หย่งชิ่งตัวเล็กเพียงเท่านี้แต่กลับถูกทำร้ายด้วยน้ำมือขององค์หญิงสูงศักดิ์ที่ไร้ศักดิ์ศรี
อีกทั้งนางกำนัลและองครักษ์นับสิบไม่มีผู้ใดห้ามปรามกลับยืนดูเฉย ปล่อยให้องค์หญิงเจ็ดทำร้ายเด็ก ในวังหลวงแห่งนี้ล้วนมีแต่พวกตาบอดไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น
องค์หญิงเจ็ดเอาแต่ใจตัวเองนิสัยโหดร้ายจนขึ้นชื่อลือชา แม้แต่คู่หมั้นซึ่งเป็นลูกชายท่านแม่ทัพหานยังไม่กล้าเร่งรัดแต่งงาน ปล่อยให้นางอายุล่วงเลยมาถึงป่านนี้
"ท่านอ๋องน้อยนี่ไม่ใช่เรื่องของท่านกลับไปยังที่ของท่านเสียเถิด" องค์หญิงเจ็ดหาได้เกรงกลัวอันใด กลับตะคอกใส่ท่านอ๋องน้อยด้วยกิริยาไร้การอบรม
"จะไม่ใช่เรื่องของข้าได้อย่างไร อีกไม่นานข้าจะรับเชิญหย่งชิ่งเป็นน้องบุญธรรม เท่ากับว่าเขาเป็นคนของจวนผิงอ๋อง เจ้าทำร้ายหย่งชิ่งก็เท่ากับล่วงเกินข้าด้วย" เหวินหรงหรี่ตาแคบชักหมดความอดทนกับองค์หญิงเจ็ดมากขึ้นทุกที
"ท่าน... ท่าน..."
องค์หญิงเจ็ดเริ่มหน้าซีดปากคอสั่นไปหมดด้วยโทสะที่เพิ่มขึ้น ทำไมอ๋องน้อยต้องเข้าข้างเด็กชาวบ้านผู้นี้ด้วย การก่อเรื่องในครั้งนี้ หากหย่งชิ่งเป็นเพียงสามัญชนทุกอย่างก็ผ่านเลยไปดังสายลม มันเป็นแค่การทำโทษเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าหากเด็กนั่นกลายเป็นคนของจวนผิงอ๋องจริง
เรื่องนี้ต้องลุกลามไปใหญ่โตเป็นแน่
"หย่งชิ่งถูกทำร้ายในครั้งนี้ จะต้องมีคนรับผิดชอบ" เหวินหรงประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงที่สามารถทำให้องครักษ์ท่าทางแกร่งกล้าขององค์หญิงเจ็ดแทบเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น จิตสังหารเข้มข้นห่อหุ้มร่างสูงใหญ่จนผู้คนรอบข้างหวาดผวาถอยออกไปกันคนละก้าว
"ใช่... ต้องมีคนรับผิดชอบ" เสียงทุ้มน่าฟังเป็นจังหวะจะโคนดังมาจากเบื้องหลัง ทุกคนพุ่งสายตาไปยังผู้มาใหม่ที่มีองค์หญิงสิบสองอยู่บนท่อนแขนแข็งแรง และคุณชายสามเดินตามหลังมาติดๆ
"เสด็จพี่สาม" องค์หญิงเจ็ดยิ้มกว้าง นางได้ผู้หนุนหลังแล้ว
"ถวายพระพรองค์รัชทายาท"
"ลุกขึ้น"
องค์หญิงสิบสองดิ้นลงจากแขนองค์รัชทายาท วิ่งไปหาหย่งชิ่งที่ท่านอ๋องน้อยเป็นคนอุ้มไว้ อ้อมไปทางด้านหลังเขย่งขามองหน้าหย่งชิ่งด้วยความเป็นห่วง
"หย่งชิ่ง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?" องค์หญิงสิบสองถามชะเง้อชะแง้มองหน้าสหายใหม่
หย่งชิ่งยังคงกอดคอท่านอ๋องน้อยไม่ยอมปล่อย สำหรับนางแล้วเขาเป็นที่พึ่งคนเดียวที่สามารถช่วยชีวิตนางได้
องค์รัชทายาทเข้ามาอุ้มองค์หญิงสิบสองอีกครั้ง ให้ใบหน้าของพระองค์อยู่ระดับเดียวกับหย่งชิ่ง
แม่หนูน้อยตาเบิกโพลง ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ
"ต๊าย! หน้าบวมหมดหล่อเลย พี่หญิงเจ็ดท่านหนักมือไปแล้ว หย่งชิ่งเจ็บตัวขนาดนี้เขาจะเล่นกับข้าอย่างไร"
นางกำนัลขององค์หญิงสิบสองที่ถูกใช้มาตามหย่งชิ่งมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี จึงรีบวิ่งกระหืดกระหอบไปแจ้งที่ตำหนัก เวลานั้นองค์รัชทายาทอยู่กับองค์หญิงสิบสองด้วย องค์หญิงจึงขอแรงเสด็จพี่สามมาช่วยพระสหายคนโปรด
คุณชายสามที่ฝ่าด่านองครักษ์ขององค์หญิงเจ็ดออกมาได้ วิ่งไปยืนข้างท่านอ๋องน้อย พวกองครักษ์ไม่กล้าทำร้ายเขาถึงชีวิตเพราะเห็นแก่องค์หญิงเจ็ด เขาไม่ถึงกับเลือดตกยางออกแต่ก็บอบช้ำภายในอย่างหนัก
"ชิ่งเอ๋อร์... น่าตายนัก พี่คุ้มครองเจ้าไม่ได้" คุณชายสามในสภาพสะบักสะบอมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขายื่นมือที่เกือบหมดแรงออกไปหาน้องน้อย ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะทำให้นางเจ็บแม้แต่ปลายเส้นผม
แต่องค์หญิงเจ็ด ผู้หญิงคนนั้นสมควรตาย
"โฮ... พี่สาม..." โลหิตที่อยู่ในปากพ่นพรวดออกมารดบ่าของท่านอ๋องน้อย กลิ่นคาวคละคลุ้ง
เมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยหย่งชิ่งจึงรีบโผเข้าหาพี่ชายทันที แต่คนที่กำลังอุ้มนางไว้กลับอิดเอื้อนไม่อยากปล่อย แต่ก็ต้องจำใจปล่อยร่างน้อยจากอ้อมแขนไป
“ข้าเจ็บพี่สาม” หย่งชิ่งแทบไม่มีเสียงเปล่งออกมา มีแต่เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นลอดมาจากริมฝีปากบวมเจ่อเปรอะเปื้อนโลหิต แก้มทั้งสองข้างปวดบวมจนไม่กล้าแนบหน้ากับบ่าของพี่ชาย
คุณชายสามต้องหลั่งน้ำตาให้น้องน้อย เขากำหมัดแน่นอยากจะหักคอองค์หญิงเจ็ดให้ตายคามือแล้วโยนศพให้แร้งกากินเพื่ออุทิศตัวให้เป็นประโยชน์เพราะตอนมีชีวิตอยู่นางไม่เคยก่อประโยชน์อันใดเลย
เหวินหรงกลืนน้ำลายบาดคอลงไป รู้สึกอยากเจ็บแทนเด็กหญิงผู้น่าสงสาร เขาหันไปทางองค์รัชทายาท
“องค์ชายสามเรื่ององค์หญิงเจ็ดข้ารบกวนท่านช่วยจัดการให้ข้าด้วย หย่งชิ่งจะเป็นน้องบุญธรรมของข้าในไม่ช้า หากเขาเป็นอะไรไปข้าไม่ปล่อยองค์หญิงเจ็ดไว้แน่”
“ข้ารับปากเรื่องนี้” องค์รัชทายาทก้มหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงรับปาก
“คุณชายสามเชิญที่ตำหนักบุหลันเคลื่อนคล้อยของข้า พวกเจ้าสองพี่น้องจะกลายเป็นแขกพิเศษของข้า หากผู้ใดกล้าล่วงเกิน ข้าจะถือว่ามันผู้นั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”
นัยน์ตาเหยี่ยวคมดุตวัดไปที่องค์หญิงเจ็ด และกราดมองนางกำนัลเหล่าองครักษ์ของนางจดจำใบหน้าทุกคนไว้ จะไม่มีผู้ใดรอดโทษทัณฑ์ครั้งนี้ไปได้แม้แต่คนเดียว!
ท่านอ๋องน้อย คุณชายสามและหย่งชิ่งเดินจากไป
องค์หญิงเจ็ดเข้าไปกอดแขนองค์รัชทายาท
“เสด็จพี่สามท่านจะเข้าข้างเด็กชายไร้หัวนอนปลายเท้าผู้นั้นหรือ ข้าแค่สั่งสอนมันเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เห็นต้องเป็นเรื่องใหญ่อันใด”
องค์รัชทายาทยิ้มอ่อนโยน แตะบ่าองค์หญิงเจ็ด เอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตาเป็นจังหวะเนิบนาบฟังแล้วสบายใจอย่างยิ่ง
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ตั้งใจน้องหญิงเจ็ด เจ้าอย่างกังวลไปเลย”
องค์รัชทายาทอุ้มองค์หญิงสิบสองจากไป องค์หญิงตัวน้อยหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่องค์หญิงเจ็ดด้วยความโมโห
คอยดูสินางจะไม่เล่นกับพี่หญิงเจ็ดอีกแล้ว
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
“โอ๊ย! ท่านแม่ตบข้าทำไม” องค์หญิงเจ็ดกุมใบหน้าบูดบวมทั้งสองข้าง วิ่งไปหลบหลังเสาต้นใหญ่ นางกำนัลทุกคนถูกไล่ออกไปจากห้องบรรทมขององค์หญิงเจ็ด
พระสนมเอกบุกมาตำหนักเล็กของบุตรีด้วยสีหน้าอาการไม่สู้ดีนัก ข่าวคราวเมื่อสามวันก่อนส่งผลมาถึงวันนี้แล้ว
ข่าวองค์หญิงเจ็ดล่วงเกินอ๋องน้อยเหวินหรงโจษจันไปทั้งวังหลวง ทำให้ถูกสาวเรื่องราวลึกไปถึงตอนที่องค์หญิงเจ็ดพาองค์หญิงสิบสองไปตกน้ำแล้วคุณชายสามกับคุณชายห้าเป็นคนช่วยชีวิตทั้งสองไว้ แต่กลายเป็นว่าองค์หญิงเจ็ดทำร้ายคุณชายห้าบาดเจ็บ ส่วนคุณชายสามก็ถูกองครักษ์ทำร้ายอาการบอบช้ำสาหัส
หลังจากเกิดเรื่องเพียงวันเดียวผิงอ๋องบิดาของท่านอ๋องน้อยประกาศรับเฉินหย่งชิ่งเป็นบุตรบุญธรรม สร้างความแตกตื่นให้แก่วังหลวงเป็นอย่างมาก องครักษ์ที่อยู่ในวันเกิดเหตุถูกทำโทษโดยการตัดมือขวาทั้งสิ้นสิบห้านาย โทษฐานที่นิ่งดูดายมีวรยุทธเก่งกล้าสามารถ แต่กลับไม่ช่วยเหลือผู้อ่อนแอ และถูกขับออกจากวังหลวง นางกำนัลขององค์หญิงเจ็ดสี่คนถูกปลดจากวังหลวงไปใช้แรงงานทาสยังชายแดน
ส่วนองค์หญิงเจ็ดรอดพ้นจากโทษทัณฑ์เพราะองค์รัชทายาทออกหน้าไกล่เกลี่ย
องค์หญิงเจ็ดคิดว่าคลื่นลมได้สงบลงแล้ว เรื่องราวที่นางก่อไว้จะหายไปดุจคลื่นกระทบฝั่งในไม่ช้า เหตุไฉนมารดาจึงเข้ามาทำร้ายนางถึงในห้องบรรทม
“ตบเจ้าทำไมอย่างนั้นหรือ ตบทำไมอย่างนั้นหรือ! เจ้าลูกไม่รักดี สั่งสอนเท่าไรไม่รู้จักจำดีแต่ก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน มีปัญหากับใครไม่มี ไปมีปัญหากับรัชทายาท เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”
พระสนมเอกตบตีบุตรสาวคนเดียวอย่างไม่ออมแรง ปากก่นด่าดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำใสที่หยาดลงสองข้างแก้ม
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
“ท่านแม่ข้าเจ็บหยุดตีข้าสักที ข้าเจ็บไปหมดแล้ว” องค์หญิงเจ็ดถูกตบจนเลือดกบปาก นางถอยหนีจากมือของมารดาที่ฟาดลงมาไม่ยั้ง ตั้งแต่เล็กจนโตมารดาไม่เคยตีนางสักแปะ รักถนอมดุจหยกล้ำค่า แต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน
“ข้าตีเจ้ายังน้อยไป เวลานี้เสด็จพ่อยกเจ้าให้กับอ๋องเฒ่าเผ่าหูหลางแล้ว เจ้ามันกลายเป็นองค์หญิงไร้ค่าไปแล้ว หาประโยชน์อันใดมิได้!” พระสนมเอกพร่ำด่าทั้งน้ำตา มือฟาดไปบนตัวบุตรีด้วยความเสียใจระคนคับแค้นใจ
พระสนมเอกอุตส่าห์เฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักองค์หญิงเจ็ดอย่างดี ตามใจทุกอย่างไม่เคยให้ต้องตกระกำลำบาก เพราะรู้ว่าการถูกเลี้ยงดูเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการครอบครองอำนาจมันเจ็บช้ำเพียงไร เฉกเช่นที่ท่านพ่ออัครเสนาบดีโหยวปฏิบัติกับนางซึ่งเป็นบุตรสาว
แต่ซูซิงไม่เคยสำเหนียกถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะพูดเท่าไร สั่งสอนอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนนางได้
“เสด็จพ่อไม่มีทางทำกับข้าอย่างนั้นเด็ดขาด ข้าไม่เชื่อ! ท่านรักข้ามากที่สุดในบรรดาองค์หญิงทุกคน ท่านแม่ก็เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ ข้าไม่เชื่อ!” องค์หญิงเจ็ดกรีดร้องหมดแรงทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เพราะเหลียงหรงอย่างไรล่ะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เสด็จพี่สามปกป้องข้าจากโทษทัณฑ์จากท่านอ๋องน้อย” องค์หญิงเจ็ดส่ายหน้านางไม่อยากเชื่อ เสด็จพี่สามทั้งเมตตารักใคร่นางอย่างกับอะไรดี ไม่มีทางที่เขาจะทำร้ายนางได้
“คนอย่างเหลียงหรงนั่นรึ! ฝ่าบาทข้าว่าน่ากลัวแล้ว แต่คนที่ควรอยู่ห่างให้มากที่สุดคือเหลียงหรงต่างหาก เขามันจอมเสแสร้งร้ายกาจ ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ทำได้ทุกอย่างเพื่อตำแหน่งจักรพรรดิในวันข้างหน้า”
“ไม่จริง เสด็จพี่สามอาจจะใจร้ายกับผู้อื่นแต่ไม่ใช่กับข้า”
“ใจร้ายกับผู้อื่นแต่ไม่ใช่เจ้า... ฮ่าๆๆ เขาเสนอใช้เจ้าผูกมิตรกับเผ่าหูหลางเพื่อช่วยเป็นปราการสำคัญในการปกป้องชายแดนเหนือ ครานี้เผ่าหูหลางส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีหลังจากทราบข่าวที่แคว้นหูกำราบแคว้นซือจื่อได้สำเร็จ ฝ่าบาทรู้กิตติศัพท์เผ่าหูหลางเป็นอย่างดี อ๋องเฒ่าเผ่าหูหลางผู้นั้นอายุเกือบหกสิบมีกองทัพทหารม้าแกร่งกล้า กำลังสำคัญคืออ๋องน้อยผู้ปรีชาสามารถเก่งวางแผนการศึก อีกทั้งชายาเอกเพิ่งสิ้นลมเมื่อไม่กี่เดือนก่อน จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะยกเจ้าให้กับอ๋องเฒ่า กำหนดส่งตัวเจ้าสาวคืออีกสองเดือนข้างหน้า ครั้งนี้นับว่าฝ่าบาททรงให้เกียรติเผ่าหูหลางเป็นอันมากเพราะยกองค์หญิงที่ฝ่าบาทโปรดปรานมากที่สุดให้” พระสนมเอกนั่งลงตรงหน้าบุตรีเขย่าร่างที่กำลังร้องไห้ไปมา
องค์หญิงที่ฝ่าบาทโปรดปรานมากที่สุด... อย่างนั้นหรือ...
ที่นางมีจุดจบในวันนี้ก็ไม่ใช่เพราะฝ่าบาททรงโปรดปรานมากที่สุด... อย่างนั้นหรือ...
เสด็จพ่อทรงตามใจนางทุกอย่าง ไม่ว่าประสงค์สิ่งใด ทำตัวเกเรเหลวไหลมากเพียงไหน ก็ไม่เคยบ่นว่า นั่นเป็นเพราะเอาใจใส่ หรือไม่เคยใส่ใจกันแน่
อยู่กับคนที่ไม่รักต่างอะไรกับตายทั้งเป็น!
"ข้าจะฆ่าตัวตาย ถ้าข้าไม่ได้แต่งงานกับคุณชายสาม ข้าก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป"
เพียะ!
องค์หญิงเจ็ดลิ้มรสขมปร่าในปาก รสเลือดผสมกับความขมขื่นทั้งหมดนี้เกิดจากคุณชายห้าเฉินหย่งชิ่งเพียงคนเดียวเท่านั้น
เฉินหย่งชิ่ง เจ้าจะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม
"มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยอมฆ่าตัวตายเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง ไม่มีผู้ชายคนไหนควรค่าพอให้เจ้าสละชีวิต สำหรับบุรุษพวกนั้น อิสตรีอย่างเราเป็นเพียงแค่สิ่งของหากยามใดไร้ค่าก็ทิ้งขว้าง เช่นนั้นเจ้าต้องทำตัวให้มีคุณค่า ไม่ใช่ทิ้งชีวิตที่ข้ามอบให้เจ้าไปเพียงเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง"
"แต่ข้าต้องแต่งงานกับอ๋องเฒ่าอายุหกสิบ ข้าขอตายเสียดีกว่าที่ต้องร่วมเรียงเคียงหมอนกับชายชราผู้นั้น"
"แล้วเจ้าว่าตอนที่ข้าแต่งงานกับฝ่าบาท ข้าต้องฝืนใจเท่าไร? บุตรีที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ไม่มีสิทธิ์เลือกคู่ครอง เจ้าไม่จำเป็นต้องรัก แต่เจ้าต้องยืนหยัดเพื่อสกุลโหยวของเราให้ได้ วันใดที่สกุลอยู่ของเราขึ้นสู่บัลลังก์มังกร วันนั้นเจ้าจะไม่ต้องทำอันใดฝืนใจอีกต่อไป "
"ข้าสามารถสั่งให้คุณชายสามแต่งงานกับข้าก็ได้ใช่ไหม" ดวงตาแดงช้ำมีความหวังขึ้นมาเรืองรอง
พระสนมเอกส่ายหน้า... นางไม่เคยมีรักให้ผู้ใดนั่นเพราะไม่เชื่อในจิตใจบุรุษที่เห็นสตรีมีค่าเพียงสิ่งของ แต่ไม่คิดว่าบุตรีกลับกลายเป็นคนโง่งมกับความรักจนหน้ามืดตาบอด
"เมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่คุณชายสามก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าสำหรับเจ้า เชื่อแม่เจ้าต้องยืนหยัดเพื่อสกุลโหยว แล้วเจ้าจะไม่เสียใจ”
ยืนหยัดเพื่อสกุลโหยว แล้วนางต้องแต่งกับตาเฒ่าหนังเหี่ยวผู้หนึ่ง...
นี่หรือชีวิตขององค์หญิงเจ็ดซูซิงผู้สูงส่ง
“ข้าจะแต่งงานกับอ๋องเฒ่าแห่งเผ่าหูหลาง แต่ท่านแม่ต้องรับปาก สังหารเฉินหย่งชิ่งให้ข้า!”
องค์หญิงเจ็ดกล้ำกลืนน้ำตา ดวงหน้าแสดงความเกลียดชังจนบิดเบี้ยวน่าเกลียดเมื่อคิดถึงหน้าเด็กชายผู้ที่ทำให้ชีวิตของนางพังพินาศลงในพริบตา
ชาตินี้ข้าไม่มีวันให้อภัยมันเป็นอันขาด เฉินหย่งชิ่ง
ดึกแล้วในห้องทรงพระอักษรยังคงมีแสงลอดออกมา เกิดเงาร่างสองสายข้างในห้อง ผู้หนึ่งคือองค์จักรพรรดิที่กำลังนั่งอ่านฎีกาบ้านเมืองด้วยสีหน้าสงบนิ่ง อีกผู้หนึ่งคือองค์รัชทายาทผู้สง่างามนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับองค์จักรพรรดิ
บรรยากาศเงียบสงบมีเพียงเสียงฝนแท่งหมึกดังครืดคราด เปลวเทียนเต้นระริกบนโต๊ะทรงอักษร แสงสีส้มฉาบบนใบหน้าเคร่งขรึมแฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว ร่องรอยที่เกิดจากเคี่ยวกรำตนเองอย่างหนักสร้างความภูมิฐานให้แก่องค์จักรพรรดิที่ละม้ายกับอดีตจักรพรรดิองค์ก่อนอยู่หลายส่วน
“เสด็จพ่อส่งน้องหญิงเจ็ดไปเป็นชายาเอกอ๋องแห่งหูหลาง ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ” เหลียนหรงฝนแท่งหมึกแล้วจุ่มพู่กันขนจิ้งจอก ลงมือเขียนโคลงลงบนผ้าแพรทีละตัวอักษรด้วยเส้นสายหนักแน่นงดงาม
“ข้าเลี้ยงดูนางมาเพื่อสิ่งนี้ หากนางได้แต่งกับลูกชายแม่ทัพหาน สกุลโหยวจะสั่นคลอนบัลลังก์ของข้าครั้งใหญ่ ที่จริงก็เข้าทางเจ้าแล้วนี่ เจ้าจะได้ไม่ผิดใจกับอ๋องน้อยด้วย”
“เสด็จพ่อช่างรู้ใจลูก...” เหลียนหรงยิ้มบางเสริมให้ดวงหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนสว่างไสว เป็นรอยยิ้มที่ผู้อื่นหลงใหลและเห็นจนชินตา “ที่ท่านพ่อตามใจน้องหญิงเจ็ดก็เพื่อเหตุนี้เช่นกันมิใช่หรือ ให้นางเป็นที่โปรดปรานทั้งที่ไม่โปรดปราน เพื่อเพิ่มคุณค่าให้นางแต่ไม่ต้องลำบากใจยามยกนางให้ผู้ใด”
พิจารณาจากความ โปรดปราน ที่เสด็จพ่อแสดงออกแล้ว มันต่างจากความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมอบให้แก่รัชทายาทอย่างเขาอย่างสิ้นเชิง
เหลียนหรงสูญเสียเสด็จแม่ตั้งแต่พระชนมายุเพียงสามพรรษา นั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตในวัยเด็ก เขาต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน อันตราย การหักหลังทรยศ ความเจ็บปวด ความเดียวดายหล่อหลอมเขาเป็นองค์รัชทายาทเหลียนหรงในวันนี้
จักรพรรดิเฟิ่งเสี้ยวชะงักพระหัตถ์ที่กำลังเขียนอนุมัติฏีกา ทรงพระสรวลเบาๆ ในลำคอ เขาเลี้ยงดูเหลียนหรงมากับมือ นิสัยใจคอเช่นไร ความคิดอ่านเช่นไร ล้วนถอดแบบมาจากเขาทั้งสิ้น
เหลียนหรงเป็นบุตรชายที่เกิดจากผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด แต่กลับต้องจากไปก่อนวัยอันควร เพราะการแก่งแย่งชิงดีในวังหลัง เขารู้แต่ต้องทำหน้าชื่นอกตรม กำจัดผู้อยู่เบื้องหลังอย่างเงียบเชียบและโหดเหี้ยม ให้พวกมันไม่ตายดีตกไปตามกัน เหลือเพียงตัวการใหญ่ที่ไม่สามารถหาหลักฐานสาวไปถึงได้
“เพลานี้สกุลโหยวเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ข้าจึงเรียกเจ้ามาเพื่อการนี้ ว่าแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับอ๋องน้อยเป็นเช่นไร" น้ำเสียงเรียบเอื่อยคล้ายไม่ใส่ใจ แต่มิควรมองข้าม
"ไม่ดี และไม่เลวพะย่ะค่ะ" เหลียนหรงตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ หากตอบว่าดีหรือดีมากเหวินหรงจะตกที่นั่งลำบากทันที แต่ถ้าตอบว่าไม่ดีเหวินหรงจะตกที่นั่งลำบากมากขึ้น
ไว้ใจมากก็จะสูญเสีย ระแวงมากก็ถูกกำจัด
เขากลับเหวินหรงสนิทกันตั้งแต่เยาว์วัย นิสัยกันและกันเป็นเช่นไรต่างคนต่างรู้ดี เหวินหรงไม่ใช่พวกมักใหญ่ใฝ่สูง แต่เป็นพวกบ้างานไม่ชอบอยู่เฉย หากได้รับมอบหมายภารกิจอันใดก็จะทำอย่างตั้งใจ และไม่เกี่ยงวิธีที่จะทำให้ภารกิจนั้นประสบความสำเร็จ
"แล้วเด็กหมากล้อมผู้นั้นเป็นอย่างไร องค์หญิงสิบสองมารบเร้าขอให้เด็กชายผู้นั้นอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับนางที่วังหลวง"
เหลียนหรงไม่คิดว่าบิดาจะถามถึงหย่งชิ่ง เขายิ้มให้ผ้าแพรที่กำลังเขียนอยู่ ใบหน้าคล้ายเด็กชายปรากฏในความทรงจำ หากเด็กน้อยต้องอยู่ในวังในคราบเด็กชายตลอดไป จะเป็นอย่างไรนะ นางจะมีสีหน้าเช่นไรเมื่อรู้ข่าวดี เป็นเรื่องน่าสนุกมากทีเดียวเชียว
"เด็กผู้นั้นมากมายไหวพริบ สง่างาม เจรจาพาทีฉะฉาน อาจเป็นกุนซือมากสามารถในวันหน้า" ฉลาดแสนกลเสียจนเขายังเสียท่ามาแล้ว
"แม้แต่เจ้าก็เห็นด้วยรึ?" จักรพรรดินึกว่าตาฝาดเมื่อเห็นรอยยิ้มแปลกประหลาดบนริมฝีปากของโอรสคนโปรด
"คนดีเลี้ยงดูไว้ไม่เสียหาย อีกทั้งเวลานี้ เขาได้กลายเป็นบุตรบุญธรรมแห่งผิงอ๋องไปแล้ว เท่ากับว่าเป็นคนของวังหลวงไปด้วย” เหลียนหลงค่อยเติมเชื้อฟืนลงไป
องค์จักรพรรดิพยักหน้าน้อยๆ
"เด็กผู้นั้นแข่งขันหมากล้อมเป็นผู้ชนะคว้าอันดับหนึ่งมาได้ อย่างไม่น่าเชื่อ ข้าจึงสนใจเรียกเข้าวัง จนบัดนี้ ข้ายังไม่ได้พบหน้าเขาเลยสักครั้ง น่าเสียดายจริง เอาเป็นว่าข้าจะเรียกเด็กผู้นั้นมาเข้าเฝ้าเร็วขึ้น แล้วจึงค่อยตัดสินใจ"
"แล้วแต่เสด็จพ่อเถอะพะย่ะค่ะ แต่ลูกอยากจะขอถามเรื่องหนึ่ง"
"เรื่องที่ข้าจะประทานสิ่งใดก็ได้ให้แก่อ๋องน้อยสินะ" บิดาดักคออย่างรู้ทัน
"อ๋องน้อยบอกกับลูกว่าพระสนมเอกแนะนำให้ขอไปปกครองแคว้นเสอแทนลูก"
"อัครเสนาบดีโหยวประมาทไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนเขาจะคิดการรอบคอบ ระวังหน้าระวังหลัง แต่ลืมระวังคนใกล้ตัว" พระสนมเอกกระตือรือร้นมากจนเกินไป ความอยากรู้อยากเห็นทำลายแผนการของอัครเสนาบดีหมดสิ้น เขาไหวตัวทันตั้งแต่นางพยายามสอบถามเรื่องของอ๋องน้อย
นางไม่อาจปิดบังความสนใจที่มีต่ออ๋องน้อยจนเกินงาม เรื่องนี้ไม่ส่งผลดีต่อพระสนมเอก แต่เป็นผลดีต่อเขาที่จะกำจัดนางออกไปเสียที
การเสแสร้งทำเป็นรักใคร่บุตรสาวของอัครเสนาบดีผู้คิดคด เป็นเรื่องน่าสะอิดสะเอียนเกินไป เขาแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อให้สองพ่อลูกติดกับดักที่วางไว้ เขารู้ถึงแผนการชั่วนี้ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิองค์ก่อนแล้ว จึงหาวิธีขัดขวางอย่างแยบยลจนอัครเสนาบดีโหยวคิดไม่ถึงเชียวล่ะ
"เสด็จพ่อเห็นควรว่าอย่างไร"
"ข้าอยากให้เจ้ามาอยู่ใกล้ตัวแล้วเช่นกัน เล่นไปตามแผนของอัครเสนาบดีโหยว เมื่อเขาลงมือ เราก็จัดการทันที จะได้ไม่เกิดข้อครหาว่าข้าเป็นจักรพรรดิผู้เหี้ยมโหดไร้คุณธรรม"
"ไม่เป็นการอันตรายไปหรือเสด็จพ่อ เราควรตัดไฟตั้งแต่ต้นลม หากขืนปล่อยไว้นานอำนาจของอัครเสนาบดีโหยวจะไม่อาจต้านทานได้ เสด็จพ่อจะเกิดอันตราย"
"หากคิดจะตัดรากถอนโคนสกุลโหยวอย่างสะอาดหมดจด มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ข้าไม่อาจกุเรื่องใส่ร้ายซึ่งมันอาจทำให้ข้าราชบริพารทั้งหมดคลางแคลงสงสัยในตัวข้า ขาดความภักดี แทนที่จะเป็นการกำจัดเสี้ยนหนามจะกลายเป็นการเติมเชื้อไฟลงในกองฟืนให้ลุกโหมจนยากจะดับลงได้"
"ลูกเข้าใจแล้ว ลูกอ่อนด้อยยิ่งนักยังต้องเรียนรู้จากเสด็จพ่ออีกมาก"
จักรพรรดิทรงแย้มพระสรวลอย่างพอพระทัย ทรงวางมือจากฎีกามากมายบนโต๊ะแล้วหันมาสนทนาอย่างจริงจังกับโอรส จนเวลาเกือบรุ่งสางของวันใหม่ สองพ่อลูกจึงแยกย้ายกันกลับห้องบรรทม
แวะมาเติมให้ครบร้อยค่ะ
อัปตอนต่อไปวันพุธเลยแล้วกันนะคะ (นักเขียนเลื่อนนิดหนึ่งประเดี๋ยวจะได้อ่านกันแค่นิดเดียวถ้าต้องอัปพรุ่งนี้)
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ
亮林 เลี่ยงหลิน
29/05/2558
เหมือนจะยืดยาวออกไปเรื่อยๆ ฮือๆๆๆ นักเขียนกลุ้มใจ แต่มันจำเป็นต้องเพิ่มเข้ามาหลายอย่าง จุดเปลี่ยนจุดแรกจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า... โอย... ทรมานใจจริงแท้
แล้วมีเรื่องจะประกาศนะคะ
#ดวงใจไร้กาล ต่อไปคงอัปเดตวันอังคาร กับ วันศุกร์
เพื่อนักเขียนจะได้มีเวลาเขียนงานมากขึ้น มีเวลาอ่านทบทวนงานมากขึ้น เพื่อผลงานที่ดีขึ้น
นักอ่านจะได้มีเข้ามาอ่านแบบไม่ต้องเดาว่าอัปเดตหรือยัง
ดีเนอะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม
亮林 เลี่ยงหลิน
เห็นภาพนี้แล้วคิดถึงหย่งชิ่งเลยแวะมาแปะให้ค่ะ
นักเขียนแวะมาห้ามทัพเล็กน้อย
อย่าเพิ่งแค้นองค์หญิงเจ็ดกันมากค่ะ
เพราะมิเช่นนั้นแล้วตอนหน้านักเขียนอาจโดนลอบสังหารด้วยเปลือกทุเรียน
亮林 เลี่ยงหลิน
30/05/2558
ตอนนี้หย่งชิ่งรับบทหนักจริงๆ ช่วงนี้ปิดบ้านเงียบทำงานเลยค่ะ
โหวต เมนต์ แชร์ ตามสะดวกเลยจ้ะ
ขอบคุณทุกกำลังใจจริงๆ นะคะ ทำงานได้ก็เพราะนักอ่านนี่แหละค่ะ
亮林 เลี่ยงหลิน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สงสัยว่าจะยังไม่ได้กลับบ้านอีกนานแน่ๆๆ
แล้วรักแม่นางเอกบ้างไหม สำหรับพ่อคนหนึ่ง หรือนี้ก็อยู่ในแผนการ ฮ่องเต้คนนี้ดูเบาไม่ได้จริงๆ
ไม่เล่นหมากล้อมด้วยหน่อยเดียว
กักตัวไว้ที่วังเลยหราาาาาาา