ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TVXQ] FICTION 传说 นิทาน [YUNJAE]

    ลำดับตอนที่ #2 : เพียงพบนวลหน้าตรึงตราในห้วงจิต

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 53





    传说  นิทาน
    เพียงพบนวลหน้าตรึงตราในห้วงจิต
     
     
     











     
     
    ชินลาซึ่งห่างไกลเป็นหนึ่งในเมืองน้อยใหญ่ซึ่งจำต้องขึ้นกับจูชินแคว้นใหญ่ซึ่งปกครองเมืองน้อยใหญ่เหล่านี้มานานเนิ่น เครื่องราชบรรณาการซึ่งทูตจากเมืองเหล่านี้ส่งมายังจูชินในทุกปีมิเคยขาด ทำให้ทุกสิ่งอย่างนั้นราบรื่นไร้ซึ่งสงครามแต่อย่างใด

     
    ประจวบเหมาะเช่นดั่งทุกปีซึ่งชินลาเมืองซึ่งอยู่ห่างไกลที่สุดในบรรดาเมืองน้อยใหญ่ทั้งหลายได้ทูลเชิญองค์ราชาแห่งแคว้นใหญ่เสด็จมาร่วมพิธีสานสัมพันธ์ เก่าแก่ซึ่งมีมาแต่นานเนิ่น หากแต่องค์ราชาแห่งจูชินนั้นประสงค์จักมอบหมายให้องค์ชายผู้ครองเป็นอุปราชนั้นเสด็จมาแทน เพื่อในกาลหน้าซึ่งองค์ชายจักได้ขึ้นครองแคว้นจักได้พบปะเหล่าบรรดาแคว้นน้อยใหญ่อีกทั้งหัวเมืองในอาณาแลวางองค์ได้เหมาะสม

     
    เส้นทางจากจูชินมายังชินลานั้นมิใช่เส้นทางอันใกล้ แต่หากใช้เพลาผ่านป่าเขาลำเนาไพรบนรถม้าจวบเป็นเพลานับรวมเกือบหนึ่งสัปดาห์ เส้นทางห่างไกลขุนเขาน้อยใหญ่มิได้ช่วยผ่อนคลายองค์ชายผู้หทัยร้อนแต่เพียงนิด หากแต่ยิ่งทรงมิพอพระทัยในทุกคราที่ทรงพิศมองนอกบานหน้าต่างแลเห็นแต่เพียงป่าเขา ในทุกคราที่ทรงตรัสถามเหล่าทหารนั้นก็ยิ่งแต่จะขัดพระทัยมากยิ่งขึ้น เมื่อทหารนั้นทูลตอบว่าเส้นทางนั้นยังคงอีกยาวไกลยิ่งนัก







     
     
     
    วังหลวงแห่งชินลามิได้กว้างใหญ่เฉกเช่นจูชินซึ่งหากใช้เท้าเดินนั้นจวบจนดวงตะวันขึ้นถึงเพลาบ่ายคล้อยถึงย่ำเท้าได้ครบทุกตำหนัก แลยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับชินลาด้วยแล้วช่างต่างกันยิ่งนัก เพราะเพียงบาทแห่งองค์ชายผู้ทรงสง่างดงามแห่งจูชินประทับลงแลพิศมองไปยังท้องพระโรงอีกทั้งทั่วไปในอาณาโดยรอบ องค์ชายเป็นต้องกระหยิ่มแลทะนงในจูชินยิ่งนัก ที่แม้นแต่วังหลวงแห่งผู้ต้อนรับนั้น ท้องพระโรงซึ่งเป็นที่เหล่าบรรดาขุนนางเข้าเฝ้าองค์ราชา ยังมิอาจเทียบตำหนักอุปราชแห่งจูชินได้แต่เพียงนิดเลย

     
     
    “องค์ชายแหก่งจูชินดำเนินทางอ้างแรมไกลคงเหนื่อยพระวรกายอยู่มิน้อย เชิญเสด็จพักผ่อนกายาเถิด เพลาค่ำจักมีมหรสพยิ่งใหญ่แห่งชินลาให้ได้ทอดพระเนตร”
    องค์ราชาคิมจองฮุนเป็นผู้เสด็จมาต้อนรับโดยองค์เอง และมิทรงตรัสอันใดมากนัก เพราะเพียงแต่ได้ทรงพิศพระพักตร์องค์ชาย  พระองค์พอจะทราบดีแล้วว่าคงจะมิต้องพระทัยเท่าใดนัก

     
     
    “เช่นนั้นช่วยหานางกำนัลบีบนวด อีกทั้งนางดนตรีให้หม่อมฉันด้วย ชินลาอยู่ห่างไกลจากเมืองน้อยใหญ่อื่น ลำบากยิ่งนัก”
    ทรงตรัสโดยที่มิได้ใส่พระทัยในคำเอื้อนเอ่ยขององค์เองแม้นแต่น้อย แม้นองค์ชายจะเพียงเสด็จมาในฐานะราชทูตองค์สำคัญ แต่เหนือสิ่งอื่นใดทรงเป็นองค์อุปราชแห่งองค์ราชาผู้เป็นใหญ่แห่งจูชินแลแคว้นน้อยใหญ่ จึงมิแปลกอันใดที่พึงทะนงองค์เช่นนี้

     
     
    องค์ราชาจึงทรงตรัสให้หานางกำนัลบีบนวด นางดนตรี และอีกหลากหลายเพื่อบำบัดความเหนื่อยล้าแลอีกหลากหลายประการแล้วแต่องค์ชายผู้ทะนงองค์จักพึงหมาย 

     
    องค์ราชาผายพระหัตถ์ให้องค์ชายดำเนินตามนางกำนัลเหล่านั้นไปยังตำหนักรับรองพร้อมทั้งทหารอารักขาอีกสองนาย องค์ชายมิได้ขอบพระทัยแต่อย่างใดเพราะทรงคิดเพียงแต่ว่าเป็นหน้าที่ของเป็นเจ้าเมืองอยู่แล้ว อีกทั้งมิทรงพึงอยากขอบพระทัยเท่าใดนัก จึงดำเนินตามนางกำนัลผู้ยิ้มละมุนละไม ทรงยกยิ้มมุมโอษฐ์ให้เหล่านางกำนัลได้ขวยเขินก่อนจะดำเนินตามนางเหล่านั้นไปยังตำหนักรับรอง



     
     
     
    “เชิญเสด็จด้านในเพคะองค์ชาย”
    นางดนตรีที่รออยู่หน้าห้องบรรทมรับรองถวายบังคมลงต่ำแล้วเปิดบานประตู พลางผายมือเรียวทูลเชิญองค์ชายแห่งจูชินให้ดำเนินเข้าไปด้านใน

     
     
    “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าอยากอยู่กับพวกนางตามลำพัง”
    ทรงตรัสกับองครักษ์ติดตามทั้งสองนายให้แยกย้ายไปพักผ่อนยังห้องซึ่งได้จัดไว้ให้รับรอง ทหารทั้งสองนายถวายบังคมลาแล้วเดินไปยังห้องหนึ่งโดยมีนางกำนัลเดินนำและเปิดประตูให้ 

     
    องค์ชายดำเนินเข้ามาในห้องบรรทมรับรอง พร้อมทั้งประทับลงที่รองประทับผืนนิ่ม น้ำชารสเลิศรินให้องค์ชายอีกทั้งฮันบกชุดงามผืนนอกก็มีนางกำนัลนั้นช่วยถอดให้อย่างแผ่วเบา

     
    ทรงสัมผัสมือเรียวงามนางกำนัลนางหนึ่ง พลางทรงลูบไล้ใต้เนื้อผ้าขึ้นไปสูงถึงลำแขนของนาง ฝ่ายผู้ถูกยลนั้นทำเป็นจริตเขินอายแต่พองามแล้วจับพระหัตถ์นั้นละออก แต่หากเป็นต้องถูกกอบกุมแล้วแนบลงปลายนาสิกโด่ง

     
     
    “ผิวกายของเจ้านิ่มนวลยิ่งนัก”
    ทรงละจากมือเรียวงามแล้วทรงน้ำชาเพราะนางดนตรีได้เริ่มบรรเลงเพลงหวานเพราะเสนาะหู เพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลของพระองค์ นางรำซึ่งปกปิดกายด้วยผืนผ้าน้อยชิ้นได้เริ่มบรรเลงโยกย้ายกายอรชรไปตามเสียงเพลง อีกทั้งนางกำนัลที่นั่งอยู่แนบข้างทั้งสองนางก็เริ่มบีบนวดเพื่อคลายให้องค์ชายได้เกษมสำราญ



     
     
    “เจ้าก็ถอดฮันบกผืนอกออกบ้าง มิร้อนหรืออย่างไร”







     
     
     
     
     
    -------- 传说 นิทาน --------



     
     
     
    เพลาค่ำดวงตะวันชิงพลบไปอีกฟากฝั่งหนึ่งของโลกากว้าง เป็นอีกช่วงเพลาหนึ่งแห่งความรื่นเริงซึ่งชินลาได้จัดถวายองค์ราชทูตแห่งจูชิน และทูตจากหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งหลายมีทั้งนางรำ นางดนตรี ศิลปะรำดาบ   หรือแม้นกระทั่งการต่อสู้ รวมทั้งสำรับอาหารรสเลิศนานาซึ่งทางชินลาผู้เป็นเจ้าบ้านจัดถวายองค์ราชทูตและเหล่าทูตอย่างเต็มที่
     
     
     
    “ทูลเชิญเสด็จเพคะองค์ชาย บัดนี้ได้เพลาทอดพระเนตรมหรสพแล้วเพคะ”
    นางกำนัลจากตำหนักใหญ่ทูลบอกหน้าห้องบรรทมรับรอง ซึ่งบทเพลงบรรเลงที่เหล่านางดนตรีได้บรรเลงขับกล่อมนั้นเงียบลงไปนานตั้งแต่เพลาบ่ายแล้ว เหลือเพียงแต่นางกำนัลสองนางและองค์ชายเพียงเท่านั้น ผืนผ้าซึ่งห่อหุ้มกายของนางกำนัลทั้งสองนั้นหลุดลุ่ยจนแทบจะมิเหลือพันกาย นวลเนื้อนั้นมีรอยประทับแห่งองค์ชายอยู่ประปรายไปตามกายในที่ซึ่งมิได้มีผืนผ้าบดบัง อีกทั้งองค์ชายเองก็มิได้ต่างจากนางทั้งสองเท่าใดนัก เพราะฮันบกผืนงามนั้นก็หลุดลุ่ยลงเผยให้เห็นอุระแกร่งเปลือยเปล่า ก่อนที่จะทรงให้นางทั้งสองนั้นสวมให้ดั่งเช่นเดิม แลปล่อยให้นางทั้งสองนั้นได้แต่งกายให้เรียบร้อยพร้อมกับเดินนำองค์ชายให้ดำเนินไปยังลานหน้าท้องพระโรง  เพื่อทอดพระเนตรมหรสพในราตรีกาลนี้
     
     
     
    “เชิญประทับแลทอดพระเนตรชมระบำสาวงามแห่งชินลาให้สำราญหทัยองค์ ชายชองยุนโฮ”
    องค์ราชาคิมจองฮุนทรงผายพระหัตถ์ยังเก้าอี้ซึ่งอยู่สูงเหนือทูตจากต่างเมืองซึ่งอยู่ทางฝั่งขวาแห่งองค์ราชา แลฝั่งซ้ายคือพระนางคิมแทยอนมเหสีเพียงพระองค์เดียวแห่งชินลาผู้งดงามแลนวลพักตร์นั้นอ่อนเยาว์ดุจสตรีแรกแย้ม ทรงเผยรอยยิ้มมอบให้องค์ชายราชทูตแต่กลับได้มาเพียงดวงเนตรซึ่งเพิกเฉยจนพระนางแทยอนนั้นทรงเกร็งแลวางสีหน้ามิถูก จนต้องหันพระพักตร์งดงามที่แลดูจะขุ่นพระทัยพิศมองยังลานหน้าท้องพระโรงเบื้องหน้า ซึ่งมีเหล่าบรรดาราชทูตแลขุนนางน้อยใหญ่ทั้งสองฝั่งซึ่งต่างกำลังเปรมจิตกับสำรับรสเลิศ แลเหล่านางรำซึ่งแสนงดงามกำลังตั้งท่ากรีดกรายพัดอยู่ในวงล้อมกับอยู่สิบกว่านางอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝั่งของผู้รับชม แลเครื่องดนตรีมากหลายซึ่งมีทั้งเครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี แลเครื่องเป่า ซึ่งมีนางดนตรีนั้นรอกำกับบรรเลงจังหวะเมื่อองค์ราชาทรงตรัสเสร็จสิ้น
     
     
    “ค่ำคืนนี้เป็นอีกหนึ่งเพลาแล้วที่ชิลาได้ต้อนรับท่านทูตจากต่างเมืองต่างแคว้นทั้งหลาย รวมทั้งองค์ชายแห่งจูชินผู้ทรงเสด็จมาเป็นองค์ราชทูตในปีนี้ แลเพื่อมิให้ยืดเยื้อแต่อย่างใดในราตรีกาลนี้ ชินลาจึงขอให้ทุกท่านอิ่มเอมใจในรสอาหารแลรสดนตรีทั้งคืน เชิญท่านสดับแลรับชมเหล่านางรำได้ ณ บัดนี้”
    บทเพลงทำนองไพเราะบรรเลงขึ้นเมื่อองค์ราชนั้นตรัสเสร็จสิ้นแล้วทรงยกถ้วยชาขึ้น แลพร้อมทั้งเหล่าทูตรวมทั้งเหล่าขุนนางทั้งหลายต่างพากันชนถ้วยชาอย่างพร้อมเพรียง แลเมื่อพระองค์ทรงประทับลงเหล่านางรำผู้งดงามซึ่งรวมตัวกันเป็นวงกลมโดยมีพัดนั้นปกปิดสิ่งหนึ่งอยู่ในวงล้อม  เหล่านางทั้งหลายขยับกายเป็นวงกลมตามเสียงเพลงซึ่งร่ายบรรเลงช้าๆ แต่เมื่อเสียงกลองนั้นดังขึ้นนางรำซึ่งกรีดกรายพัดเป็นวงก็กรีดกรายพัดออกมาเผยให้เห็นนางรำอีกนางหนึ่งซึ่งอยู่ข้างในโดยมีพัดปกปิดนวลหน้าไว้ เสียงกลองดังขึ้นอีกครั้งพัดทางขวาของนางผู้อยู่ตรงกลางก็หุบลง แลเสียงกลองตีบอกทำนองดังขึ้นอีกพัดทางซ้ายก็หุบลงเป็นอันที่สอง แต่ยังมิได้เห็นนวลหน้าของนางได้ จนกระทั่งเสียงกลองนั้นดังขึ้นอีกหนึ่งครั้งแลเครื่องดนตรีประโคมพร้อมกันพัดทั้งสองมือของนางก็กรีดกรายออกบดบังนวลหน้า และเพลาถัดมาพัดทั้งสองก็กรายออกทั้งสองจนสุดลำแขน ฮันบกงดงามซึ่งแปลกไปจากนางรำนางอื่นนั้นที่แลดูจะสง่างามที่สุด รวมทั้งนวลหน้างดงามซึ่งผัดด้วยเครื่องประทินผิว ปากอิ่มสีชาดยกยิ้มแต่พองาม ดวงตากลมโตประดุจดั่งดวงจันทราสุกสว่างสะกดเหล่าบรรดาทูตจากต่างเมือง แลองค์ชายผู้ทรงพิศนางตั้งแต่คราแรกที่กรีดกรายพัดใบกว้างนั้น

     
     
    นางลุกขึ้นร่ายระบำอยู่กลางวงของเหล่นางรำทั้งหลาย นางนั้นงดงามเหนือนางใดด้วยเรือนกายบอบบางอรชร เมื่อยามกรายไหวพัดไปทางทิศใดองค์เอวนั้นไซร้อ่อนช้อยตามไปด้วย รอยยิ้มฉาบฉายบนใบหน้างดงามประดุจดั่งนางสวรรค์ชั้นฟ้า สะกดองค์ชายให้ทรงพิศเพียงนาง รอยยิ้มงดงามวาดฉายให้ผู้คนทั้งหลายรวมทั้งองค์ชายอีกพระองค์ผู้ยังคงจับจ้องนางอย่างมิวางตา แต่ดวงหน้างดงามเป็นต้องหลบดวงเนตรเฉี่ยวคมเสไปทางอื่นด้วยจริตเขินอาย ก่อนจะเอนกายลงคล้ายกับพัดซึ่งโบกสะบัดตามเสียงทำนองเพลงบรรเลง เมื่อยามหมุนกายกรีดกรายตนฮันบกละล่องตามเป็นวงงดงามดุจดอกบัวงาม ใบหน้าหวานซุกซ่อนหลังผัดใบใหญ่ก่อนจะเผยเป็นจังหวะคล้ายเล่นซ่อนหา ก่อนที่นางรำทั้งหลายจะบดบังนางให้อยู่ในวงกลมอีกคราและเผยนวลหน้าของนางซึ่งยืนอยู่ตรงกลางโดยที่นางรำทั้งหลายจะกรีดกรายพัดอ่อนช้อยด้วยท่านั่ง หากนางผุ้อยู่ตรงกลางนั้นระบำรอบนางรำทั้งหลายแลกลับอยู่ตรงกลางดั่งเช่นเดิม และพร้อมเพรียงด้วยท่วงท่างดงามซึ่งเหล่านางรำพร้อมใจกันระบำ ก่อนจะจบลงด้วยท่วงท่าซึ่งอ่อนช้อยโดยมีนางผู้อยู่ตรงกลางนั้นกรายพัดจนสุดแขนอย่างงดงามให้ทูทั้งหลายได้ชมในท่วงท่าจบของระบำนี้ 

     
    นางผู้อยู่ตรงกลางยื่นพัดให้นางรำนางอื่นผู้เดินอ่อนช้อยออกไปเหลือแต่เพียงนางและซอเครื่องงามซึ่งนางดนตรีเป็นผู้ยื่นให้ นางนั่งลงตรงหน้านางดนตรีทั้งหลายโดยที่มือเรียวงามข้างขวาจับคันชัก และทางซ้ายนั้นเรียวนิ้วงามอยู่ที่เส้นสายของซอรอท่าบรรเลงเพลงให้ได้สดับกัน

     
     
    “เชิญท่านทูตทั้งหลายสดับเสียงซอของบุตรสาวของข้า นางพร้อมจักบรรเลงเพลงให้ท่านได้สดับแล้ว”
    นางผู้เป็นนางรำเมื่อครู่คือองค์หญิงผู้งดงาม แลเพลานี้นางก็เป็นองค์หญิงผู้ทรงดนตรีอยู่เบื้องหน้านางดนตรีทั้งหลาย ดวงเนตรกลมโตหลุบลงพิศสายซอก่อนที่พระหัตถ์ทางขวาจะชักคันชักบรรเลงเพลงแผ่วพลิ้วเสมือนสายลมซึ่งล่องลอยแผ่วเบาในสำเนียงหวาน แลดวงเนตรงดงามก็พิศมองเหล่าบรรดาทูตทั้งหลายในเบื้องหน้าแลมิลืมที่จะทรงยกยิ้มแสนงดงามนั้นให้ทุกผุ้ทุกคนด้วยความอ่อนโยนงดงามเป็นที่สุด อีกทั้งยังติดตรึงถึงองค์ชายผู้ประทับอยู่เบื้องขวาองค์ราชาซึ่งทรงยกยิ้มให้นางด้วยพระโอษฐ์ที่แสนจะสง่างาม 

     
     
    “องค์หญิงแห่งชินลาที่เล่าลือกันว่ากิริยางดงาม อีกทั้งยังมิได้อภิเษกกับองค์ชายเมืองใดช่างงดงามอย่างที่เล่าขานกันจริง”
    ทูตจากเมืองหนึ่งเสวนากับท่านทูตซึ่งนั่งอยู่ถัดจากองค์ชายผู้ประทับอยู่สูงสุด แต่หากทรงได้ยินที่ทั้งสองนั้นเสวนากัน พระองค์จึงทรงสดับทั้งเสียงซอหวานและเสียงคุยกันของทูตทั้งสอง

     
     
    “องค์หญิงคิมแจจุงมีสิ่งหนึ่งที่องค์ราชาแห่งชินลาเห็นว่ามิบังควรให้นางอภิเษกกับองค์ชายเมืองใด”
    ทูตอีกเมืองหนึ่งพูดขึ้นมานั่นทำให้องค์ชายปรายดวงเนตรมองทูตทั้งสองชั่วครู่ด้วยความกังขาเช่นที่ทูตจากเมืองหนึ่งได้พูดขึ้น แต่ก็ต้องหันไปพิศดวงพักตร์งดงามบรรเลงเพลงหวานต่อ

     
     
    “เหตุใดเล่า”

     
     
    “ข้าเองก็มิอาจรู้ได้ รู้แต่เพียงว่าองค์ราชานั้นมิค่อยให้นางได้พบผู้ใดมากนัก น้อยคนนักจักได้พบนางเฉกเช่นนี้”

     
     
    จริงอย่างนั้นหรือที่นางนั้นมิค่อยพบผู้ใด 

     
    องค์ชายทรงกระหยิ่มอยู่ในหทัยที่นางผู้ยิ้มแย้มอยู่เบื้องหน้านั้นสงวนตน แลเป็นที่หวงแหนแห่งผู้เป็นบิดามารดา อาจเป็นเพียงเพราะนางนั้นงดงามจนเป็นสิ่งยากยิ่งจักให้นางต้องเป็นมเหสีเมืองอื่น

     
     
    บทเพลงแผ่วเบาเสนาะหูบรรเลงเพลงแล้วเพลงเล่าด้วยองค์หญิงแลนางดนตรีทั้งหลาย พระมเหสีผู้ทรงพิศองค์หญิงแลองค์ชายราชทูตที่มิยอมวางตาดูท่าจะมิค่อยพอพระทัยยิ่งนัก ทรงหวงแหนองค์หญิงเหลือเกินที่องค์ชายผู้ทะนงองค์นั้นสนพระทัยนางจนมิยอมพิศมองสิ่งใด แต่ทำอันใดมิได้จึงได้แต่พิศองค์หญิงผู้ยกยิ้มงามมาให้ท่านแม่ท่านพ่อและองค์ชาย 

     
    ราตรีกาลซึ่งภิรมณ์รื่นแช่มชื่นด้วยรสดนตรี และรสสำรับโอชาผ่านไปรวดเร็วจนเป็นที่เสียดายของผู้ใดมากมาย รวมทั้งองค์ชายผู้พิศมองนางผู้ยื่นซอให้นางดนตรีนางหนึ่ง แล้วคำนับองค์ราชาแลพระมเหสีก่อนจะดำเนินมาประทับอยู่ทางฝั่งซ้ายซึ่งอยู่ตำแหน่งประจวบตรงกันกับองค์ชายผู้อยู่ฝั่งขวา องค์หญิงทรงก้มดวงพักตร์ลงมิได้สบดวงเนตรเฉี่ยวคมดั่งเช่นเมื่อครั้งบรรเลงเพลงไม่ ดวงเนตรงดงามิได้สบดวงาผู้ใดคล้ายกับเป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งคล้ายกับว่านวลหน้านั้นมิเคยยิ้มมาก่อน แต่กลับแลดูเลื่อนลอยแลคล้ายเฉกเช่นผู้ทุกข์ใจอยู่ตลอดเพลา อีกทั้งยังคล้ายกับผู้ซึ่งถ่อมตนมิกล้าสบดวงหน้าผู้เป็นเพราะมิบังควร 

     
    หากแต่องค์ชายนั้นทรงนึกคิดไปว่านางนั้นจริตตนทำเป็นมิกล้า ทำตนให้แลดูเดียงสาเพื่อให้เป็นที่น่าเอ็นดูแก่บุรุษ

     
     
    แล้วนางผู้งดงามซึ่งองค์ชายลุ่มหลงเมื่อครู่นั้นอยู่ที่ใด 

     
    เหตุใดเพลานี้ถึงได้ทรงนึกว่านางนั้นจริตตน

     
     
    องค์หญิงประทับดูนางดนตรีมินานก็ถวายบังคมไปบรรทมก่อน ซึ่งองค์ราชาก็ทรงประทานอนุญาตและพระมเหสีก็แลดูจะยินดียิ่งที่มิต้องให้องค์หญิงนั้นเป็นผู้ถูกจับจ้องอีก 

     
    องค์หญิงมิได้พิศมาที่องค์ชายแต่หากดำเนินผ่านไปพร้อมกับนางกำนัลสองนาง องค์ชายทรงทอดพระเนตรยังแผ่นหลังบอบบางซึ่งค่อยๆดำเนินไปยังตำหนักช้าๆ ในดวงหทัยทรงคิดอยู่สิ่งหนึ่งอยู่ภายในแล้วทรงยกยิ้มเลศนัย เป็นจังหวะที่พระมเหสีนั้นทรงพิศมาพอดีหากแต่องค์ชายก็มิได้สนพระทัยแต่อย่างใด

     
     
    “เจ้าหยิ่งยโสกับข้า เช่นนั้นข้าจักทำให้เจ้าได้ยโสอยู่ใกล้ข้าอีกเนิ่นนาน”
     
     







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×