คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จองล้างจองพลาญ
*ขออภัยนักอ่านทุกท่านที่อ่านไปแล้ว ขออภัยจริงๆเจ้าค่ะTwT*
crd : https://www.deviantart.com/jrcoffroniii/art/Dragon-295797171
'ช่วยข้าด้วย…ฮือๆๆ ช่วยข้าด้วย…ฮือๆๆๆ''
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นในห้วงอเวจีสีดำสนิท ที่นี้คือสถาณที่ต้องห้ามที่แม้แต่มารชั้นสูงยังไม่กล้าเข้าใกล้ ร่างของชายหนุ่มที่ถูกโซ่รัดพันธนาการอดแปลกใจไม่ได้กับเสียงร้องไห้แสนโหยหวนและทุกข์ทรมารในพื้นที่ที่เคยเงียบสงบแห่งนี้ เขาค่อยๆลืมตาขึ้น ร่างของสตรีที่มีสภาพน่าอนาถกำลังเดินร่ำไห้ตรงมาหาเขาด้วยใบหน้าโชกเลือด ดวงตากลวงโบทั้งยังมีเลือดไหลอาบตลอดเวลา
วิณญาณอาฆาตหลุดเข้ามาที่นี้ได้อย่างไรกัน?
"ผู้ใด?"
‘ช่วยข้าด้วย…ช่วยข้าด้วย!!’เสียงกรีดร้องดังลั่นก่อนจะพุ่งเข้ามาหามู่เทียนในระยะประชิด ภาพของใบหน้าขาวซีดและดวงตาอันมืดกลวงกับผิวกายที่แห้งติดกระดูกอยู่ตรงหน้าห่างเพียงหนึ่งชุน แต่กระนั้นชายหนุ่มกลับไม่ได้ตกใจเขาจ้องมองอีกฝ่ายกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เจ้าเป็นใคร? เข้ามาที่นี้ได้อย่างไร?”
‘ข้ามีนามว่า..เยว่ชื่อ…ฮือๆๆๆ ช่วยข้าด้วย แค้น..เครียดแค้นเหลือเกิน….’
“ข้าไปไหนไม่ได้และช่วยเจ้าไม่ได้เช่นกัน ออกไปเสีย”
‘ไม่!! ท่านช่วยข้าได้! ท่านช่วยข้าได้!!!!’
“เช่นนั้นรึ?”
‘ล้างแค้นให้ข้า….ฆ่าพวกมันซะ ฆ่า..เหมือนที่ท่านเคยทำ’
“…..”
‘ประมุขมังกรเอ๋ย….ท่านไม่คุ้นเคยกับเสียงของข้าเลยหรือ? ถ้าหากข้าทำให้ท่านได้เจอมารดากับไท่ฝู่เล่าท่านจะสนใจข้าบ้างหรือไม่?'
“ไท่ฝู่..? เมื่อกี้เจ้ากล่าวว่าไท่ฝู่!?”
‘ใช่….ใช่แล้ว หึๆๆ'
“…….”มู่เทียนเงียบ เขายังคงก่ำกึ่งกลางอยู่กับการตัดสินใจ ถ้าเขาช่วยอีกฝ่ายแล้วอีกฝ่ายโกหกเล่า? มนุษย์กลับกลอกไว้ใจไม่ได้
‘ประมุขมังกร….ท่านยังสงสัย เช่นนั้นดูนี้เถิด ดูชะตากรรมที่พวกมันทำกับเหล่าบุคคลที่ท่านรัก’วิณญาณสาวเอ่ยก่อนจะใช้มือที่แห้งเหี่ยวมีแต่หนังหุ้มกระดูกจับใบหน้าของอีกฝ่ายและโน้มตัวลงมาจนหน้าผากบรรจบกัน ความทรงจำบางอย่างไหลเข้าสู่หัวของมังกรดำอย่างรวดเร็ว
นี้มัน!!!!
“พวกมัน..พวกมันกล้าดียังไง!!!”เสมือนมีผู้ใดราดน้ำมันลงในกองไฟที่ยังคุกกรุ่น ไฟแค้นในใจของมังกรดำลุกโชนขึ้นมาแทบจะทันทีที่เห็นทุกอย่างจากดวงวิณญาณดวงหน้า สตรีอาฆาตจ้องมองท่าทีนั่นด้วยแววตาพอใจ
‘ชีวิตของข้าทุกข์ทรมารเพียงเพราะมีเศษเสี้ยวดวงวิณญาณของท่าน ซ้ำร้ายพวกมันยังลากบุคคลอันเป็นที่รักของท่านและข้าให้ทุกข์ทรมารแม้จะเกิดใหม่ ได้ยินเช่นนี้แล้วท่านยังจะไล่ข้าไปอีกหรือไม่?’
“ไอ้พวกสารเลวพวกนั้น…พวกมัน!! พวกมัน!!!!!”
คำพูดของดวงวิณญาณดวงนี้ไม่ได้โกหกกลางอกของนางมีเศษเสี้ยวของมู่เทียนอยู่จริงๆ ยิ่งมองเห็นคนที่รักของตนทุกข์ทรมาร มังกรทมิฬรู้สึกดั่งมีผู้ใดนำพิษมาราดบนอกที่กำลังมีแผลเหวอะจนเห็นกระดูก เกล็ดของมังกรงอกออกมาจากใบหน้างามด้วยความอาฆาตแค้นที่กลับมาช่วงชิงที่ว่างในดวงใจอีกครั้ง มู่เทียนคว้าเอาเศษเสี้วดวงวิณญาณแล้วกระชากออกจากร่างของดวงวิณญาณแปลกหน้าอย่างไมไยดี แทนทีมันควรจะเจ็บปวด ดวงวิณญาณที่บิดเบี้ยวกลับแสยะยิ้มและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแทน
‘ดี..ดีมาก!!! เฮยหลงมู่เทียน!!!…ถึงเวลาที่เจ้าต้องสะบัดโซ่อันไร้ค่าพวกนี้ออกไปให้หมดเสียที!!!! ฮ่าๆๆ!!!'
เคร้ง
เสียงโซ่ตรวนที่พังทลายลงอย่างเชื่องช้าสะท้อนอยู่ในหูของประมุขมาร ‘หนิงจิน’ ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง จากที่นั่งฟังรายงานจากข้ารับใช้คนสนิทก็เปลี่ยนเป็นหันมองไปยังนอกตำหนัก ถ้ำขนาดใหญ่ที่ๆซึ่งเขาได้เก็บงำชายผู้หนึ่งไว้ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจเอ่ยบอกผู้ใด ข้ารับใช้เห็นผู้เป็นนายจ้องมองบ้างสิอยู่ก็เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“มีอะไรหรือเปล่าขอรับท่านประมุข?”
“ไม่…ไม่มีอะไร”ประมุขมารหนิงจินเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะปิดตาลงและหันมาสนใจกับงานก่ายกองเบื้องหน้า ตนทำได้เพียงแค่หวัง…
มู่เทียน…ข้าอยากให้เจ้าปล่อยวางเสียที
จวนสกุลหยาง[เรือนชิงอี๋]
“พวกเจ้าต้องรักษาลูกข้าให้ได้!!! รักษานางให้ได้!! ได้ยินหรือไม่?!!”
เสียงของลี่ฮูยินเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกริ้วโกรธอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหล่าบ่าวที่พลัดเปลี่ยนช่วยงานของหมอมากฝีมือเกือบสามคนต้องวิ่งวุ่นเข้าออกเรือนชิงอี๋จนขาแทบพันกัน หมอทั้งสามต่างพากันปรุงยามากสูตรเพื่อกระชากวิณญาณของคุณหนูพิการแห่งสกุลหยางจากปากประตูวิณญาณด้วยความหวาดกลัวจนมือไม้สั่น ลี่ฮูยินนั้นเป็นสตรีเอกแห่งจวนของเอกอัครเสนาบดีหยาง นางมีอำนาจจากสามียังไม่พอ ไหนจะตำแหน่งเดิมของนางที่เป็นผู้น้องร่วมสายเลือดกับโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันอีก หากพวกเขาทำพลาด มีหัวเป็นสิบหัวก็ไม่รู้จะพ้นโทษประหารหรือไม่ หากร้ายแรงที่สุดก็อาจถูกประหารถึงเจ็ดชั่วโคตร
ความหวาดกลัวนี้ไม่ได้เกิดแค่กับเหล่าหมอทั้งสามเท่านั้น เหล่าบ่าวทั้งในเรือนชิงอี๋และเรือนขอลี่ฮูยินก็คิดไม่ต่างกัน ใครจะรู้เล่า มารดาผู้สูญเสียบุตรีอันเป็นที่รักจะคลุมคลั่งขนาดไหนหากเห็นยอดดวงใจตายไปต่อหน้า พวกตนไม่รู้เลยว่าอนาคตเลวร้ายอันใดจะรอคอยพวกตนอยู่ นั่นยิ่งทำให้พวกนางยิ่งหวาดวิตกกังวล ส่งผลให้ในเรือนชิงอี๋บัดนี้จึงมีแต่ความหวาดวิตกกังวลจนบรรยากาศรอบเรือนคล้ายกับมีหมอกมืดเลือนลางปกคลุมเอาไว้ ทุกคนเพียงเฝ้ารอให้เวลาล่วงผ่านไปจนกว่าคุณหนูรองแห่งสกุลหยางจะลืมตาตื่นเท่านั้น
เหล่าบ่าวมากมายต่างพากันสวดภาวนาต่อเทพเซียนให้คุณหนูของตนรอด..มิเช่นนั้นแล้ว ชีวิตทั้งหมดในเรือนคงหาไม่เป็นแน่!!
“หึ! โดนขนาดนั้นแล้วยังจะรอดอีกรึ?”น้ำเสียงหวานจากสตรีผู้หนึ่งที่จ้องมองจากที่ไกลๆทำให้บ่าวคนสนิทในเรือนรีบก้มหน้างุดพลางเสมองไปทางอื่นราวกับไม่รับรู้สิ่งที่นายของตนกล่าวเมื่อครู่
“ไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องตาย..ต่อให้มันฟื้นคืนมาได้ ข้าก็จะทำให้มันกลับไปตายอย่างเดิมอยู่ดี!”คำพูดโหดร้ายผิดกับใบหน้าหวานที่จะประดับความอ่อนโยนไว้อยู่เสมอนั้นไม่ได้น่าตกใจสำหรับพวกบ่าวในเรือนนัก
“คุณหนู หากมีผู้ใดมาได้ยินเข้ามันจะไม่ดีนะเจ้าคะ”เสียงหวานของสตรีผู้หนึ่งเอ่ยก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับพัดประจำกายของตน 'หยางเจียวจ้าน'รู้ได้ทันทีว่าผู้ใดเข้ามา
ผู้เดียวที่กล้าเอ่ยกับตนเช่นนี้มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
“ท่านแม่…”เจียวจ้านหันไปมองมารดาก่อนจะยิ้มแย้ม
“จ้านเอ๋อร์ เจ้าตื่นเต้นเกินไปแล้ว”หยางเจียวจิงพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมแล้วยกน้ำชาขึ้นจิบ แม้จะมิได้สนิทกับนางมากนักก็ยังมองออกว่านางอารมณ์ดีแค่ไหน
“แน่สิเจ้าค่ะ ก้างขว้างคอชิ้นโตของลูกในที่สุดก็ตายๆไปได้สักที เช่นนี้จะไม่ให้ยินดีได้อย่างไร”เจียวจ้านว่าพลางเรียกบ่าวมารินน้ำชาให้ตน
“นั่นสินะ…”เจียวจิงหรืออนุสี่เอ่ยก่อนจะยิ้มมุมปาก เพื่อป้องกันไม่ให้คุณหนูรองสกุลหยางรอด นางเองก็ได้แอบทำอะไรบางอย่างไว้แล้วเหมือนกัน
ดูสิว่าโดนพิษร้ายอย่าง ปราณมรณะ ไปมันจะยังรอดจากประตูผีได้อยู่หรือไม่
สามวันต่อมา
ในเรือนชิงอี๋ต่างเต็มไปด้วยกลิ่นของยาที่คละคลุ้งซะจนไม่น่าเข้าใกล้ บ่าวในเรือนต่างรู้สึกไม่ต่างกันเท่าใดนัก พวกนางไม่อาจก้าวขาออกจากเขตเรือนได้แม้แต่ชุนเดียว เมื่อเย็นวานหมอทั้งสามได้ลงความเห็นแล้วว่าคุณหนูปลอดภัยจากอาการบาดเจ็บแล้ว ทว่าลี่ฮูยินนั้นเป็นพวกขี้กังวลและระมัดระวังตัวมาก นางให้หมอทั้งสามอยู่อาศัยในจวนจนกว่าคุณนูรองจะฟื้น ซ้ำยังออกคำสั่งไม่ให้บ่าวในเรือนออกนอกเขตเรือนไม่ว่าจะเกิดเหตุอันใดขึ้นก็ตาม นางคงกังวลว่าหากลูกสาวเกิดมีอาการแทรกซ้อนจนร่างกายอ่อนแอลงอีกจะไม่สามารถช่วยได้ทันการ จึงทำเช่นนี้ แต่ลี่ฮูยินคงไม่รู้เลยว่าการทำเช่นนี้ยิ่งจะสร้างความกังวลให้เหล่าหมอและบ่าวไพร่ในเรือนเสียมากกว่า
“ซื่อเอ๋อร์ของแม่..รีบตื่นมานะลูก แม่อยู่นี้นะ แม่อยู่นี้”
ลี่ฮูยินยกมือของบุตรสาวตนมากุมไว้แน่น น้ำตาของคนเป็นมารดาไหลอาบออกมาไม่หยุดเมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวราวกับคนใกล้ตายเช่นนี้ของลูกสาว ‘หยางเยว่ชื่อ’ บุตรสาวคนรองของนางนับเป็นแก้วตาดวงใจของนางและสามี เด็กสาวมีร่างกายอ่อนแอซ้ำร้ายกำเนิดได้เพียงสิบหนาวก็มีเหตุให้ต้องสูญเสียดวงตาไป หญิงสาวที่เคยเพรียบพร้อมทุกอย่างกลายเป็นสตรีพิการที่เป็นที่นินทาไปทั่วไถ่หยาง นั่นยิ่งทำให้ลี่ฮูยินยิ่งรักย่งถนถนอมบุตรสาวมากกว่าสิ่งใด นางรู้ดีว่าในฐานะสตรี บุตรสาวของตนเจ็บปวดเพียงไหน
ทั้งๆที่ตนก็มั่นใจแล้วแท้ๆว่าตนทำทุกอย่างจนปลอดภัยมิมีสิ่งใดให้กังวล แล้วเหตุใด…แล้วเหตุใดเรื่องแบบนี้จึงต้องมาเกิดขึ้นกับลูกข้า!!!
“ฮูยินเจ้าคะ…ทานข้าวปลาหน่อยเถิดนะเจ้าคะ หากท่านล้มป่วยไปอีกคน ยามคุณหนูฟื้นใครจะดูแลคุณหนูเล่าเจ้าคะ” ‘ไป่ชิง’ บ่าวคนสนิทของลี่ฮูยินเอ่ย หวังให้นายของตนทานสำหรับสักน้อยก็ยังดี นายของตนไม่กินข้าวปลาอาหารเลยนับตั้งแต่คุณหนูล้มป่วย นั่นยิ่งทำให้ไป่ชิงกังวลยิ่งขึ้นไปอีก
“ไป่ชิง…ถ้าลูกข้าตายละ? ถ้าชื่อเอ๋อร์ไม่ฟื้นอีกแล้วละ? ข้า..ข้า.ควรทำเช่นไร? ไป่ชิง”ลี่ฮูยินหันมาเอ่ย นางกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่หวาดกลัวจะกลายเป็นจริง ยิ่งเห็นสภาพลูกสาวเป็นแบบนี้ยิ่งตอกย้ำความหวาดหวั่นในจิตใจ
“อย่าคิดเช่นนั้นสิเจ้าคะฮูยิน คุณหนูต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน ฮูยินอย่ากังวลเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยมั่นใจว่าท่านหมอทั้งสามต้องช่วยชีวิตคุณหนูได้แน่เจ้าคะ”ไป่ชิงเอ่ยพร้อมกับนั่งลงกุมมือของนายตนเอาไว้
“นั่นสินะ พวกเขาต้องช่วยลูกข้าได้แน่ๆ..พวกเขาต้องช่วยได้แน่ๆ”ลี่ฮูยินเอ่ย แม้จะเป็นเพียงคำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นจริงได้อย่างเลือนลางแต่อย่างน้อยจิตใจที่สั่นกลัวของนางก็สงบลงได้บ้างในตอนนี้
ใช่แล้ว…พวกเขา..ต้องช่วยลูกข้าได้แน่ๆ
ยามซื่อ[09.00-10.59]
“อืม….”
เสียงอันแหบพร่าหลุดออกมาจากร่างของคุณหนูที่ดูสภาพใกล้จะถึงฝั่งเต็มทน ไป่ชิงที่ตอนนี้คอยดูแลเยว่ชื่อแทนฮูยินที่กำลังหลับไหลด้วยความอ่อนเพลียรีบผุดลุกจากโต๊ะไม้ตรงดิ่งมาหาคุณหนูรองทันที สตรีสาวผู้อ่อนโรยขมวดคิ้วเป็นปมแน่นก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เพียงเท่านั้นไป่ชิงก็กรีดร้องลั่นไปทั้งเรือนถึงข่าวอันน่ายินดีนี้ บ่าวไพร่ที่กำลังทำงานยามได้ยินเสียงของไป่ชิงที่ร้องว่าคุณหนูรองฟื้นแล้วพวกตนก็แทบคุกเข่าครอบครัวเทพยดาเสียตรงนั้น ลี่ฮูยินที่กำลังพักผ่อนอยู่นั้นก็ถูกปลุกขึ้นมาเพื่อรับข่าวดีที่ทำให้นางทิ้งมารยาทเยี่ยงที่เคยดำวิ่งตรงไปยังเรือนบุตรสาวแทบจะทันที
“เยว่ซื่อ!!!!”ลี่ฮูยินเรียกชื่อบุตรสาวของตนลั่นก่อนจะกระแทกประตูเข้าไปในห้องนอนของอีกฝ่ายทันที
“ท่านแม่…?”
หนึ่งก้านธูปต่อมา
“เป็นเรื่องน่ายินดีมากเลยขอรับ อาการของคุณหนูดีขึ้นราวกับเรื่องอัศจรรย์ บาดแผลเองก็สมานกันดีแล้ว หากบำรุงเสียน้อยก็จะไม่เป็นรอยแผลเป็นแน่ขอรับ นอกจากนี้ก็มียาที่ต้องทาก่อนนอนเป็นเวลาเจ็ดคืนขอรับ ต้องระวังไม่ให้บาดแผลฉีกขาดหรือออกแรงมากก็ไม่ดีเช่นกัน แต่ก็ไม่ควรเก็บตัวในห้องนะขอรับ ต้องมั่นออกแรงสักวันละเค่อขอรับ”
หมอทั้งสามช่วยกันพูดด้วยรอยยิ้มปิติยินดี เพียงแค่คุณหนูรองฟื้นพวกตนก็แทบจะจุดพลุฉลองอยู่แล้วนี้อาการของอีกฝ่ายดีขึ้นจากหลังเท้าเป็นหน้ามือพวกเขาแทบจะลาบวชเพื่อขอบคุณเหล่าเทพเซียนที่ยังเมตตาให้ตนและครอบครัวได้ใช้ชีวิตต่อไป ลี่ฮูยินยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่คุณหนูล้มป่วยก่อนจะมอบถุงตำลึงทองถุงใหญ่ให้ท่านหมอถึงคนละสามถุง นอกจากนี้มอบถุงตำลึงทองถุงเล็กให้บ่าวในเรือนชิงอี๋ทุกคนอีกด้วย จากเรือนที่เต็มไปด้วยความมืดครึ้มและกังวลกลายเป้นเรือนที่เต็มไปด้วยความสุขและบรรยากาศที่น่ามองแทบจะทันตา
ไม่นานทุกคนก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ตามปรกติของตน หมอทั้งสามถูกส่งกลับบ้านและยังได้รับการคุ้มครองจากบ่าวชายในการดูแลของลี่ฮูยินอีก นับว่าคุ้มค่าและกับการที่ต้องอดหลับอดนอนนั่งทำงานที่เต็มไปด้วยกังวลอยู่เกือบสามวันเต็ม ลี่ฮูยินเข้ามาลูบหลังปลอบขวัญบุตรสาวที่เพิ่งฟื้นไข้ ใบหน้าของนางต่างเต้มไปด้วยความยินดีจนไม่อาจหาสิ่งใดมาบรรยาย เยว่ชื่อจ้องมองมารดาก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้อย่างนิ่มนวลนั่นยิ่งทำให้ลี่ฮูยินประหลาดใจเข้าไปอีก ยิ่งได้ยินคำพูดจากปากของบุตรสาวนางก็ตะลึงจนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่
“ท่านแม่…ท่าน…ร้องไห้ทำไม?”
“ชื่อเอ๋อร์…นี้.ลูก..มองเห็นงั้นรึ?”
คำถามจากคนเป็นมารดาทำให้เยวชื่อชะงัก เยว่ชื่องั้นรึ? มู่เทียนที่ได้ยินมารดาเอ่ยเรียกชื่อของตนเป้นชื่อเดียวกับดวงวิณญาณอาฆาตนั่นก็คาดเดาเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากการที่ตนได้เข้ามาอยู่ในร่างของมนุษย์…เผ่าพันธ์ุที่ตนเกลียดและชิงชังที่สุดไปเสียแล้ว มังกรหนุ่มในร่างหญิงสาวขมวดคิ้วแน่นแต่เมื่อได้จ้องมองใบหน้าของมารดา ใบหน้าที่ว่าจะกี่ชาติภพก็ยังเป็นพิมพ์เดียวกันไม่ผิดเพี้ยน จะสตรีผู้อ่อนโยนหรือจะเป็นสตรีผู้อ่อนแอก็ล้วนแต่ประสบพบเจอกับชะตากรรมที่เลวร้ายอย่างแสนสาหัส
มู่เทียนหลงลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายถามสิ่งใด ไม่รู้เลยว่าเหตุใดน้ำตาของตนจึงไหล ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตาของตนไหลออกมมายามใด ตนรู้แค่ว่าตนอยากกอดสตรีตรงหน้า ความรู้สึกมากมายอัดแน่นในอกและไม่อาจบรรยายหรือเอื้อนเอ่ยออกมาได้ทำได้เพียงยกมือขึ้นจับกายอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆสวมกอดอย่างเชื่องช้าราวกับภาพตรงหน้าเป็นเพียงภาพฝันที่พร้อมหายไปทุกเมื่อ ลี่ฮูยินไม่ได้สนใจในคำตอบของบุตรสาวอีกแล้ว นางไม่สนอีกแล้วว่าเยว่ชื่อจะตาบอดหรือหายตาบอด ขอเพียงแค่อีกฝ่ายยังหายใจและโอบกอดนางคืนได้นับว่าเป็นพอ
สำหรับนาง…เพียงแค่ชื่อเอ๋อร์ยังสามารถเอ่ยเรียกนางว่า ท่านแม่ ได้ เท่านั้น..ก็พอแล้ว…
เรือนซูปี้
เพล้ง!!
แก้วน้ำชาราคาแพงถูกเขวี้ลงพื้นด้วยแรงอารมณ์ของหยางเจียวจ้าน สตรีผู้ได้อีกนามว่า เซียนหนวี่ บัดนี้ใบหน้ากลับมืดครึ้มยิ่งกว่าอสูร นางอยากกรีดร้องให้เส้นเสียงขาดยิ่งยามได้ข่าวว่านังเยว่ชื่อนั้นรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์จากการโดนทำร้ายปางตายนั่น!! มันเป็นไปได้ยังไง?!! มันเป็นไปได้ยังไง?!!! ทั้งที่เสียเลอดมากขนาดนั้น..ทั้งยังโดนพิษปราณมรณะเข้าไปอีก!! บัดซบ! นี้สวรรค์เห็นมันเป็นลูกรักหรือนรกชิงชังจนไม่อยากแม้แต่จะให้ข้ามประตูอเวจีกันแน่!! เจียวจ้านอยากจะรู้จริงๆ! แล้วแบบนี้นางจะทำยังไง! แผนที่วางไว้ต้องล้มครืนไม่เป็นท่าเพียงเพราะชะตานังเยว่ชื่อไม่ถึงฆาตหรือ?!! บัดซบ! บัดซบ!! บัดซบ!!!
“นังสารเลว…ทำไมแกไม่ตายๆไปสักทีนะ!!!”น้ำเสียงของเจียวจ้านเต็มไปด้วยความเครียดแค้นและชิงชัง แต่เพียงวูบเดียวเท่านั้นที่ดวงตาของนางส่องประกายราวกับนึกอะไรได้บางอย่าง
“ช่างอัน ไปเอาหมึกกับกระดาษมาให้ข้า”เจียวจ้านสั่งบ่าวคนสนิทพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อยๆเผยออกมา หากมองอย่างไม่ลึกซึ้งอีกฝ่ายก็ดูราวกับหญิงสาวไร้เดียงสาธรรมดาๆคนหนึ่ง
“นี้เจ้าคะ คุณหนู” ‘ช่างอัน’ทำตามอย่างว่าง่ายทั้งยังใช้เวลาไม่นานของทั้งสองสิ่งก็วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของหญิงสาว
“เยว่ชื่อ…ข้าอุตส่าห์ใจดีไม่ให้เจ้าต้องมาทุกข์ทรมารทั้งเป็นแล้วแท้ๆ เจ้ากลับไสส่งความหวังดีข้าอย่างไม่แยแส ถ้าเช่นนั้น..ก็จงทุกข์ทรมารราวกับตายทั้งเป็นอยู่บนโลกมนุษย์นี้เถอะ!!”
เรือนชิงอี๋
“นี้นะจ้ะชื่อเอ๋อร์ อันนี้เป็นสมุนไพรโสมหิมะขาว พวกมันจะทำให้บาดแผลของไม่เป็นรอยแผลน่าเกลียด อาจจะขมหน่อยแต่ทนหน่อยนะเด็กดี"
ลี่เยว่เลี่ยงนั้นเป็นชื่อเต็มของลี่ฮูยิน มู่เทียนแอบยิ้มเล็กน้อย ตอนนี้อีกฝ่ายดูเสมือนกับดวงจันทร์ที่สว่างไสวสมชื่อจริงๆ ท่านแม่ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน น้ำเสียงที่บอกให้นางกินยาวราวกับเด็กน้อยทำให้มู่เทียนนึกถึงวันวานที่ในยามเด็ก มารดาในชาติที่แล้วที่ยังเป็นมังกรไป๋หลงก็เคยบอกให้ตนกินสมุนไพรดิบเช่นนี้เหมือนกัน พวกมันขมมากจนไม่อยากแม้แต่จะให้ลิ้นได้สัมผัส ตอนนั้นเขานึกโกรธมารดาที่บังคับให้เขากินของรสชาติแย่จนไม่อาจบรรยายเช่นนั้น แต่เมื่อมารดาจากไปเขากลับนึกอยากกินสมุนไพรดิบนั่นซะได้ มู่เทียนอ้าปากกัดโสมหิมะขาวตามที่มารดาบอก รสชาติของมันคุ้นลิ้น สงสัยสมุนไพนดิบที่มารดาเคยให้กินคงเป็นเจ้านี้กระมัง
ได้กลับมากินมันอีกครั้งโดยที่มีมารดาคอยป้อน…เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มีโอกาสเช่นนี้อีก จะกล่าวว่าอายก็ใช่แต่ก็มีความสุขเช่นกัน
“ชื่อเอ๋อร์ขมมากหรือไม่? แม่เอาชาผสมน้ำผึ้งมาด้วย มันจะช่วยแก้ขมให้ลูกนะ”เยว่เลี่ยงเอ่ยก่อนจะยกน้ำชายื่นให้บุตรี มู่เทียนรับมาจิบเล็กน้อยและก็เป็นจริงอย่างที่เยว่เลี่ยงว่า รสชาติขมฝาดลิ้นมหลายหายไปและถูกแทนที่ด้วยรสหวานละมุนของน้ำผึ้ง
“ลูกดูเงียบลงนะ…ลูกยังเจ็บตรงไหนอีกรึ? ชื่อเอ๋อร์"เยว่เลี่ยงเอ่ยถาม จากบุตรสาวที่ขี้โวยวายและเอาแต่ใจกลับดูเงียบสงบได้ถึงเพียงนี้ ในใจของนางรู้สึกวูบโหวงอย่างแปลกประหลาด
“ไม่..เจ้าคะ ลูกไม่เจ็บแล้ว”คงเพราะเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบบุรุษทำให้มู่เทียนเกือบลืมไปเลยว่าสตรีควรพูดจาเช่นไร แม้จะรู้ว่าชาติแรกที่ตนจำความได้ตนก็เป็นสตรี แต่ดูเหมือนว่ายุคของทั้งสองแตกต่างกันเกินไป
โชคดีที่วิณญาณอาฆาตนั่นมอบความทรงจำเอาไว้ในเศษเสี้ยวดวงวิณญาณของเขาด้วย นับว่าเป็นโชคดี…และโชคร้ายในคราเดียวกัน
“เจ็ดวันนับจากนี้แม่จะปิดเรือนเขตบริเวณในเรือนเจ้าไว้ ให้เจ้าได้พักผ่อนจนกว่าจะหายดี หากเจ้าต้องการอะไรก็ให้ไป่ชิงมาบอกแม่นะ แม่จะให้นางคอยอยู่ดูแลเจ้า”เยว่เลี่ยงยิ้ม นางดูอ่อนล้าหลังจากฝืนร่างกายตัวเองมานานถึงสามวันแต่ถึงกระนั้ยก็ยังเป็นห่วงเยว่ชื่อและไม่ยอมพักผ่อน มู่เทียนกุมมือมารดาเบาๆก่อนจะเอ่ยออกมา
“ลูกไม่เป็นไร…ท่านแม่พักผ่อนเถอะนะเจ้าคะ ลูกคงรู้สึกไม่ดีหากท่านแม่เป็นอะไรไป”มู่เทียนเอ่ยด้วยสีหน้ากังวล
เขามีดวงวิณญาณของตนครบแล้ว ดังนั้นต่อให้ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ก็ยังมีดวงวิณญาณของมังกร ลมปราณที่ฝังลึกไว้ในดวงจิตจะทำให้ร่างของเยว่ชื่อกลายสภาพเป็นครึ่งมังกร บาดแผลแค่นี้ไม่นานร่างกายก็จะรักษาหายภายในระยะเวลาเพียงสองวัน แต่เยว่เลี่ยงมิใช่ นางเป็นมนุษย์…ร่างกายของนางหากอ่อนแอก็จะถูกพรากจากเขาไปง่ายขึ้นเท่านั้น เขาไม่อยากจากอีกฝ่ายไปทั้งๆเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่ถึงวันหรอก เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์ สำหรับมังกรมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ มีอายุเพียงไม่กี่ปีก็สิ้นใจ เขาอยากอยู่กับมารดาจนกว่าจะสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะถูกผู้ใดฆ่าต่อหน้าหรือทำร้ายจนตาย
“อย่าขมวดคิ้วสิชื่อเอ๋อร์ แม่ไม่เป็นอะไรหรอกนะจ้ะ ลูกเองก็ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ แม่จะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ"เยว่เลี่ยงเอ่ยพร้อมกับจิ้มที่กลางหน้าผากบุตรี สีหน้าของตนคงย่ำแย่เสียจนชื่อเอ๋อร์กังวลสินะ
“เจ้าคะ ลูกจะดูแลตัวเองดีๆ ไป่ชิงเองก็อยู่”มู่เทียนเอ่ยก่อนไป่ชิงจะช่วยพูดเสริมอีกแรง
“ฮูยินได้โปรดสบายใจ ข้าน้อยสาบานว่าตราบใดที่ข้าน้อยอยู่ที่นี้คุณหนูจะได้พักผ่อนและรักษาตัวอย่างสงบแน่นอนเจ้าคะ”
“เช่นนั้นรึ…เช่นนั้นก็ฝากด้วยนะไป่ชิง”เยว่เลี่ยงเอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องของเยว่ชื่อไปโดยมีบ่าวคนสนิทอีกคนคอยตามรับใช้ไม่ห่าง
“นี้ข้า..สลบไปนานเท่าไหร่? ไป่ชิง”มู่เทียนเอ่ยถามก่อนจะลุกขึ้นจ้องมองบาดแผลของตนในกระจกที่กำลังสมานตัวกันอย่างช้าๆ ไป่ชิงก้มหน้าเอ่ยตอบคุณหนูรองทันที
“สามวันเจ้าค่ะคุณหนู”
“สามวัน…งั้นสินะ”
มู่เทียนพึมพำ ในความทรงจำดูเหมือนว่าเยว่ชื่อจะถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจากฝีมือขององค์รักษ์เงาที่ขึ้นตรงกับองค์ชายห้า นอกจะเจอชายฉกรรจ์สี่คนผู้มีฝีมือยุทธทั้งยังอาวุธครบมือ ตัวของเยว่ชื่อเองก็ตาบอดตั้งแต่เด็กด้วย เอาตามจริงเพียงคนเดียวนางก็คงจะสิ้นใจได้แล้ว แต่นี้มีถึงสี่คน องค์ชายห้าที่เยว่ชื่อเคยเคารพ…ช่างทำร้ายว่าที่พระชายาของตนได้อย่างเลือดเย็น นอกจากนี้เยว่ชื่อเองก็ได้รับความทรงจำจากอดีตอีกมากมายที่ตนและคนที่รักก็เคยโดนทำร้ายแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนก่อเกิดเป็นความพยาบาท นี้เป็นสิ่งที่เจ้าพวกบัดซบพวกนั้นบีบบังคับให้เศษเสี้ยวดวงวิณญาณของเขาเจอหรือ? พวกมันคงรู้ดีว่าเศษเสี้ยวดวงวิณญาณที่หาเจ้าของไม่เจอ เมื่อเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายจนก่อเกิดเป็นตะกอนความเกลียดชังในจิตใจ เศษเสี้ยววิณญาณเองก็จะถูกตะกอนเหล่านั้นกัดกินเสมือนเหล็กที่เกิดสนิม
หึ!!! น่าสมเพช…คงคิดว่าเขาหายไปแล้ว เลยจะระบายความแค้นใส่เศษเสี้ยวที่หลุดรอดมาอย่างใดก็ได้เช่นนั้นรึ?
คิดว่าจะทำร้ายมารดากับคนที่เขารักอย่างไรก็ได้งั้นเหรอ? คิดจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาอย่างไรก็ได้ใช่หรือไม่…เจ้าพวกเซียนลูกเต่า! ข้ากลับมาครานี้ต่อให้ตรงหน้าข้าเป็นเง็กเซียนหากมายุ่งกับคนของข้าก็อย่าหวังว่าชีวิตมันจะมีความสุขดีอีกเลยชั่วชีวิต!!! ข้าจะจองล้างจองพลาญพวกมันจนกว่าดวงวิณญาณจะถูกมอดไหม้ หรือต่อให้ถูกจองจำลงไปในนรกใหม่ ข้าก็จะทำทุกทางเพื่อกลับมาฆ่าล้างพวกมันให้หมด!!!
-Writer talk-
หลังจากหายหัว เอ้ย! หายตัวไปนาน..เป็นปี ไรท์ก็…กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ต้องขออภัยจริงๆที่หายไปนานขนาดนี้ ไม่มีคำแก้ตัวใดๆหรือคำขอโทษไหนจะมาแสดงความจริงใจได้มากกว่าการอัปนิยายต่อจนจบค่ะ ไรท์จะยอมรับการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบนี้ด้วยการตั้งใจอัปนิยายอย่างตั้งใจและมีคุณภาพมากกว่าเดิมค่ะ!! จากที่ผ่านมาไรท์ได้กลับมาอ่านเนื้อเรื่องเดิมมาแล้ว ตัวไรท์เองรู้สึกเหมือนมันขาดอะไรบางอย่างไปจึงลองปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องใหม่ดูคะ ซึ่งต่อจากนี้จะค่อนข้างสร้างความสับสนให้กับรีดเดอร์ที่เคยอ่านไปแล้ว ไรท์ซาบซึ้งจริงๆที่ยังมีรีดเดอร์ติดตามไรท์นิสัยเสียคนนี้มานานได้ขนาดนี้
ความจริงไรท์เองก็ค่อนข้างตันและขาดแรงบรรดาลใจในการแต่งต้าวมู่เทียนต่อด้วยล่ะคะ เพราะไรท์คิดพล็อตและเขียนออกมาแล้วแต่ทว่าการที่จะแต่งนิยายออกมาให้ดำเนอนตามพล็อตที่วางไว้เป็นอะไรที่…ยากมากค่ะ! TwT ขอบพระคุณรีดเดอร์ทุกคนที่ยังริดตามมาจนถึงตอนนี้ขอบพระคุณมากจริงๆค่ะ ตอนนี้จะยังไม่มีการระบุวันที่อัปอย่างแน่นอนเนื่องจากแต่ละตอนมีความยาวค่อนข้างมากและต้องบิวท์อารมณ์ค่อนข้างสูง แถมโน๊ตบุ๊คไรท์ก็ได้ลาจากไรท์ไปเสียแล้วละคะทำให้ต้องแต่งในมือถือยิ่งทำให้ล่าช้ากว่าเดิมมาก ดังนั้นจึงต้องอขออภัยรีดเดอร์มา ณ ที่นี้อย่างสูง จากนี้ก็ขอฝากนิยายจากไรท์นิสัยเสียคนนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจรีดเดอร์ที่หลงเข้ามาด้วยนะคะ
จาก เรียกข้าว่าแมวผี(´༎ຶ ͜ʖ ༎ຶ `)♡
ความคิดเห็น