คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เพื่อนใหม่
“พี่เคย์ หนูรอนานแล้วนะคะเมื่อไหร่จะเสร็จสักที”
“อย่าเร่งสิ ฉันกำลังทำอยู่”
“แต่หนูรอพี่เเก้เลขข้อนี่ข้อเดียวจะเป็นชั่วโมงแล้วนะคะ”
ฉันขมวดคิ้วมองพี่ชายของตัวเองที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาขีดเขียนอะไรสักอย่างบนกระดาษมาเป็นชั่วโมงแล้วด้วยความหงุดหงิด พวกคุณกำลังสงสัยกันสินะคะว่าทำไมพวกเราถึงได้มานั่งแมะสอนหนังสืออยู่ตรงนี่ได้ ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อวันก่อนที่อาจารประกาศผลคะแนนของแต่ละคนออกมา คะแนนของฉันก็เป็นที่น่าพอใจอยู่หรอก แต่ของพี่เคย์นี่สิ! ตอนที่ฉันมองใบคะแนนสอบของเขาครั้งแรกนี่แทบจะล้มทั้งยืนเลย! ยิ่งตอนที่ฉันบอก(บีบบังคับ)ให้เขาเอาคะแนนสอบของปีก่อนๆมาให้ดูนี่ฉันนี่แทบจะกุมขมับเลย
นี่พี่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไงเนี่ย!?
ก็รู้อยู่หรอกนะว่าตอนที่บาจิซังกับจิฟุยุเริ่มพูดคุยกันครั้งแรกนั่นก็เป็นเพราะว่าเขานะเขียนตัวอักษรที่เป็นคำว่า'โทระ'ผิด แต่ฉันก็ไม่ได้คิดมันจะเลวร้ายจนถึงขั้นนี้ไง!
แหละนั่นก็คือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ฉันต้องได้กลายมาเป็นครูจำเป็นให้กับพี่ชายตรงหน้านี้
“อ่ะๆ เสร็จแล้ว” ฉันถอนหายใจเมื่อในที่สุดเวลาอันแสนยาวนานก็ได้หยุดลง ยื่นมือออกไปรับกระดาษที่พี่ชายตัวดีส่งให้ก่อนจะหัวคิ้วจะกระตุกยิกๆเมื่อคำตอบที่ได้ไม่เป็นเหมือนที่ฉันสอนไปเลยสักนิด
“พี่เคย์ นี่พี่ไม่ตั้งใจฟังหนูอธิบายเลยเหรอคะ!?”
“ก็ฟังไง แต่ไม่เข้าใจอ่ะ”
“หนูอธิบายไปตั้งสามรอบเลยนะ!”
“ก็ฉันไม่เข้าใจนิ เลขอะไรก็ไม่รู้ ใครเป็นคนทำออกมาให้นักเรียนเรียนเนี่ย ยากซะมัด”
“แล้วทำไมตอนเรียนไม่ฟังที่ครูเขาอธิบายล่ะค่ะ ถ้าตั้งใจฟังสักหน่อยเราก็ไม่ต้องมานั่งติวกันอยู่ตรงนี้หรอกค่ะ ไม่รู้ละถ้าเดือนนี้ผลสอบยังแย่อยู่เหมือนเดิม หนูฟ้องแม่แน่”
“โอ๊ยๆ รู้แล้วๆ จะตั้งใจฟังแล้ว หยุดบ่นเหมือนหมีกินผึ้งสักที”
“ก็แค่เนี่ย”
เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์จึงทำให้เราสามารถนั่งติวหนังสือกันได้ตั้งแต่เช้าจนไปถึงยามบ่าย กระดาษที่เคยกองรวมกันอยู่แค่สองสามชิ้นเริ่มเพิ่มพูนขึ้นไปตามการเวลา ภายในห้องขนาดเล็กมีเพียงแค่เสียงพูดคุยที่ดังก้องไปพร้อมกับเสียงของเข็มนาฬิกาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีปีกกาจะนอนเลื้อยไปกับโต๊ะอย่างอ่อนแรงเมื่อน้องสาวของตนกล่าวว่า'จบการสอนเพียงเท่านี้'
"ถ้าจะนอนก็กลับไปนอนที่ห้องสิค่ะพี่เคย์ หนูจะเก็บห้องนะ" ฉันดุเบาๆเมื่อเห็นพี่ชายนอนหมอบที่โต๊ะนิ่งไม่ไปไหน จนฉันที่กำลังจะทำการเก็บหนังสือและกระดาษหลายๆแผ่นกระจายอยู่เต็มพื้นห้องให้เข้าที่อดจะรู้สึกขัดใจไม่ได้
พี่จะมานอนขวางทางทำไมเนี่ย!?
"ขออีก5นาที"
เสียงพึมพรำของคนหมดแรงกับการเรียนดังเข้าโซนประสาทของฉัน ถึงจะหงุดหงิดกับคำตอบนิดหน่อยแต่ก็เห็นใจที่พี่ชายอุตส่าห์นั่งตั้งใจเรียนมาจนถึงตอนนี้ได้
"เคย์สึเกะ! ยูมิ! ไมค์กี้คุงมาหานะลูก!" ในขณะฉันกำลังเก็บของให้เข้าที่เข้าทาง เสียงของแม่ที่ดังมาจากชั้นล่างของบ้านก็ดึงความสนใจของพวกเรา
"เดี๋ยวพวกเราลงไปค่ะ!" ฉันตอบกลับก่อนจะหันไปตั้งคำถามกับพี่ชาย
"พี่ได้นัดอะไรไว้กับไมค์กี้คุงหรือเปล่า?"
"ก็ไม่นะ"
"หรือจะมีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่าคะ? ปกติไมค์กี้คุงก็แทบจะมาบ้านเรานับครั้งได้" ฉันกล่าวออกมาด้วยความสงสัยเพราะส่วนมากจะเป็นฝ่ายพวกเราที่มักจะไปบ้านของไมค์กี้เสียมากกว่า
"งั้นก็ลงไปถามเจ้าตัวเลยดีกว่า"
เด็กชายเคย์สึเกะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้านพร้อมกับเดินออกจากห้องไปยังชั้นล่างของบ้านที่มีเพื่อนสนิทรออยู่โดยมีเด็กหญิงตัวเล็กเดินตามอยู่ข้างหลัง
พวกเราเดินมาถึงสนามหลังบ้านตามที่แม่ได้กล่าวเอาไว้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดของชิงช้าดังขึ้นเรื่อยๆตามการก้าวเดินของพวกเรา ภาพตรงหน้าปรากฎเด็กชายเจ้าของนาม'ไมค์กี้'กำลังแกว่งตัวไปมาสลับหน้าหลังอย่างสนุกสนาน
"ว่าไง ไมค์กี้ แกมีธุระอะไรถึงมาหาฉันที่บ้าน?"
"โอ๊ะ ต้องมีธุระก่อนถึงจะมาได้เหรอ? เคย์สึเกะใจร้ายจังเลยน่า~" ไมค์กี้หันกลับมาตอบแบบหยอกล้อพลางหยุดชิงช้าให้ตัวเองกลับมานั่งนิ่งๆ
"มีอะไรก็รีบพูดมา ถ้าไม่มีฉันจะได้กลับไปนอน รู้ไหมว่าแกขัดเวลาพักผ่อนของฉันหลังจากที่ฉันต้องมานั่งติวตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายเนี่ย"
"นั่งติวเหรอ? น่าสนุกจังเลยนะ"
"สนใจมาร่วมด้วยกันไหมละ?"
"ไม่ดีกว่า แค่ยูมิต้องมานั่งสอนพี่ชายที่เข้าใจยากแบบนายคนเดียวก็เหนื่อยแย่แล้ว ใช่ไหมยูมิจัง?"
"แหะๆ"
"ไมค์กี้!"
ฉันดึงแขนพี่ชายตัวเองที่ทำท่าจะไปต่อยกับไมค์กี้ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางเอาชนะ แถมยังจะเจ็บตัวฟรีอีกต่างหาก ในขณะที่ห้ามพี่ชายในหัวกลับเอาแต่คิดหาเหตุผลว่าทำไมผู้ชายในเรื่องนี้มันห้าวตั้งแต่เด็กจังwa
"ว่าแต่ไมค์กี้คุงมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ? มาหาถึงนี้เชียว"
"พอดีฉันมีคนที่อยากจะแนะนำให้พวกเธอได้รู้จักนะ ฉันมั่นใจว่าพวกเธอจะต้องตกตะลึงเหมือนกับฉันแน่นอน!"
"ใครเหรอคะ?"
"บอกตอนนี้ก็ไม่สนุกนะสิ ไปที่บ้านฉันกันเถอะ!"
"ตอนนี้?"
"ใช่!"
ฉันกับพี่เคย์มองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย แต่พวกเราต่างก็คิดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาหรือเธอคนนั้นเป็นใคร? ถึงแม้ในใจจะอยากรู้มากแค่ไหน เจ้าตัวก็คงไม่บอกนอกจากจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง
พวกเราสามคนปั่นจักรยานที่มีจุดหมายเป็นบ้านของไมค์กี้คุง โดยที่ฉันก็ซ้อนจักรยานของพี่เคย์ส่วนไมค์กี้ก็ปั่นจักรยานของตัวเองเหมือนตอนขามา ใช้เวลาไม่นานมากพวกเราสามคนก็มาถึงที่หมาย
อย่างที่บอกไปว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้บ้านที่มักจะมีเสียงต่อยตีกันอยู่เสมอกลับเงียบสงบลงอย่างหน้าประหลาด ทำให้มีเพียงแค่เสียงสายลมที่พัดผ่านเย็นสบายกับเสียงก้าวเท้าของเราทั้งสามคนเท่านั้น
เนื่องจากบ้านของไมค์กี้จะเป็นสไตล์แบบย้อนยุคและมีตัวเรือนเล็กกระจัดกระจายกันประกอบกับลานบ้านที่กว้างอย่างกับสนามบอล ทำให้ในแต่ละครั้งที่มาแทบจะเสียเวลาไปกับการเดินไปยังเรือนหลักที่เป็นจุดรวมของตระกูลซาโนะ ฉันยังจำได้ดีว่าตอนที่ฉันมาที่นี่ครั้งแรกฉันเกือบจะคลาดกับพี่เคย์เพราะมัวแต่ตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของบ้านตระกูลนี้
พวกเราเดินเข้าไปในตัวเรือนหลักโดยที่มีไมค์กี้เป็นผู้นำทาง เลี้ยวซ้ายทีขวาทีนิดหน่อยพวกเราก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูบานหนึ่ง
ก๊อก ก๊อก
“เอมะ เธออยู่ในนั้นหรือเปล่า? ฉันมีคนที่อยากจะแนะนำให้เธอรู้จักนะ”
เอมะ?
คนที่ไมค์กี้พูดถึงก็คือเอมะงั้นเหรอ!?
แอ๊ด
เส้นผมสีบลอนด์ทองโผล่พ้นออกมาจากบานประตูก่อนที่ดวงตากลมโตสีน้ำผึ้งจะจับจ้องมองมาที่พวกเราด้วยความไม่มั่นใจ ฉันมองใบหน้าที่โผล่พ้นออกมาให้เห็นเพียงครึ่งเดียวอย่างตกใจ การปรากฎตัวของตัวละครเอมะที่มีผลต่อการเข้าด้านมืดของไมค์กี้ทำให้ฉันเริ่มจะรู้สึกตัวแล้วว่าเนื้อเรื่องมันใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้วล่ะ
“เอมะ พวกฉันขอเข้าไปในห้องของเธอได้ไหม?”
หลังจากได้ฟังคำถามที่เหมือนกับคำขอร้องไปในที่ของคนตรงหน้าที่(เพิ่ง)มีสถานะเป็นพี่ชายของเธอ เด็กหญิงก็มีท่าที่ลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบาๆพร้อมกับเปิดประตูให้พี่ชาย(?)และเด็กแปลกหน้าสำหรับเธออีกสองคน
เมื่อพวกเขาทั้งสี่เข้ามานั่งล้อมโต๊ะขนาดเล็กเสร็จเรียบร้อย ไมค์กี้เด็กชายผู้ที่เป็นคนต้นคิดของเรื่องนี้ก็เริ่มแนะนำเพื่อนของตัวเองให้กับเด็กหญิงเจ้าของนาม'เอมะ'ฟัง ก่อนในวินาทีต่อมาจะแนะนำเด็กหญิงให้กับเพื่อนๆของเขา
“เอมะ นี่คือเพื่อนของฉันเองชื่อ บาจิ เคย์สึเกะ พี่ชายของ บาจิ ยูมิ ส่วนนี่คือ ซาโนะ เอมะ เป็นน้องสาวของฉันเอง”
“น้องสาว!?” เคย์สึเกะร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเพื่อนสนิทของตนเพิ่งจะบอกว่าเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเป็นน้องสาวของตน
“อือ น้องสาว”
"อ่า พอดูไปดูมาหน้าก็ดูเหมือนชาวต่างชาติเลยนะ" เคย์สึเคะพูดในขณะที่มือก็เท้าคางไปด้วยพลางสายตาก็สำรวจใบหน้าของเด็กหญิงไปด้วย
"งั้นเรามาตั้งชื่อแบบชาวต่างชาติกันไหม เคย์สึเกะคุง"
"ดูน่าสนใจดีนี่ไมค์กี้"
"ต่อไปนี้ให้เรียกฉันว่าไมเคิล"
"ส่วนฉันชื่อว่าเอ็ดเวิร์ด"
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเอ็ดเวิร์ด”
“เช่นกันนะคุณไมเคิล”
"55555"
"นี่พวกพี่จะตั้งชื่อกันทำไมเนี่ย?" ฉันมองไปที่ไมค์กี้และพี่เคย์ที่กำลังหัวเราะกับชื่อที่ตัวเองเพิ่งตั้งขึ้นมาอย่างงุนงง
"ก็จะได้ไม่ดูแปลกแยกกับเอมะยังไงล่ะ" ไมค์กี้ตอบพร้อมกับยิ้มจนตายี่
"แปลกแยก?" ฉันเลิกคิ้วสงสัยในขณะที่สมองก็นึกถึงเหตุการณ์ฉากหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในเรื่องนี้ ในตอนนั้นเป็นการปรากฏตัวของตัวละครเอมะในถานะน้องสาวต่างแม่ของไมค์กี้เป็นครั้งแรก แล้วก็เป็นตอนที่ไมค์กี้กับบาจิซังร่วมกันตั้งชื่อให้เหมือนกับชาวต่างชาติอย่างเอ็ดเวิร์ดและไมเคิลเพื่อไม่ให้เอมะรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกไปจากคนอื่น
อ่า อย่างนี้นี่เอง
แต่...
"มันก็ไม่เห็นเกี่ยวกันตรงไหนนิ" เสียงใสของเด็กผู้หญิงดังขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่สายตาต่างสีทั้งสองดวงจะสบเข้าหากัน
"แล้วแบบไหนที่เรียกว่าเกี่ยวละ?" ไมค์กี้ตั้งคำถามอย่างสงสัย ใบหน้าเล็กแสดงถึงความตั้งใจและรอคอยในคำตอบ
"ไม่เข้าใจเด็กผู้หญิงกันเอาซะเลย" เสียงเล็กๆของเด็กหญิงทั้งสองดังขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง สายตากลมโตสบเข้าหากันก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อต่างคนต่างก็รู้สึกว่าพวกเรามีความคิดเห็นตรงกัน
"...?"
"อะแฮ่ม ก็อย่างเช่น... ฉันชื่อบาจิ ยูมินะ เรียกฉันว่ายูมิจังก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะ"
"ฉันชื่อซาโนะ เอมะ เรียกฉันว่าเอมะจังก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งเช่นกันนะ"
"ปกติฉันกับพี่ชายจะมาเล่นที่นี่ทุกวัน เอาไว้ถ้ามีเวลาว่างก็มาเล่นด้วยนะ"
"อื้ม!"
"เห็นไหม? ไม่เห็นจะต้องทำให้มันยุ่งยากตรงไหนเลย แค่เข้าไปทำความรู้จัก แสดงความจริงใจต่อกันก็พอแล้ว"
"งั้นเหรอ? นึกว่าจะมีการชวนกันไปต่อยตีเพื่อกระชับมิตรซะอีก" เคย์สึเกะออกความเห็นเมื่อสิ่งที่น้องสาวทำต่างจากสิ่งที่ตัวเองจินตนาการเอาไว้
"นี่พี่จะบ้าหรือไง!? ใครเค้าชวนกันไปต่อยตีเพราะอยากทำความรู้จักกัน ห๊ะ!?"
"ไม่ได้เหรอ? แต่ฉันก็เป็นเพื่อนกับเจ้านี่ได้เพราะสิ่งนี้นะ" เคย์สึเกะพูดพลางชี้ไปยังไมค์กี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ
"มันไม่เหมือนกันนี่ค่ะ ยิ่งกับเอมะยิ่งแล้วใหญ่!"
"ทำไมเหรอ?"
"ก็เพราะเด็กผู้หญิงส่วนมากจะไม่ชอบเรื่องชกต่อยเรื่องที่ใช้ความรุนแรงยังไงล่ะค่ะ"
"แต่เธอก็ทำนิ"
"ก็หนูมีเหตุผลของหนูนี่!"
"แต่ฉันก็ทำนะ"
"เอ๊ะ!? เอมะก็ฝึกต่อสู้เหรอ!?"
"อื้อ ก็คุณปู่บอกว่าถึงจะเป็นผู้หญิงก็อยากให้ต่อสู้เป็น อย่างน้อยก็พอจะป้องกันตัวเองได้บ้าง แต่ก็อย่างที่ยูมิจังบอกนั่นแหละ ฉันก็ไม่ได้ชอบเรื่องการต่อสู้ใช้ความรุนแรงหรอก ตอนแรกๆที่ฝึกก็ออกจะขัดใจด้วยซ้ำ แต่..."
"...?"
"แต่...พอเห็นตอนที่ มะ ไมค์กี้ล้มคู่ต่อสู้ได้..." สองมือเล็กกำเข้าที่บานกระโปรงแน่นด้วยความประหม่า ก่อนใบหน้าเล็กจ้อยที่กำลังก้มงุดอยู่นั้นจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่แสดงถึงความจริงใจจะปรากฎมาให้เห็น
"ตอนนั้นไมค์กี้คุงนะเท่สุดๆไปเลยล่ะ"
"...!"
"ก็เลย...อยากจะฝึกให้ได้เหมือนไมค์กี้คุง...สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี"
“คิๆ”
“ยูมิจังหัวเราะอะไรเหรอ?”
“ก็เเค่รู้สึกว่าเหมือนเห็นตัวเองเลยล่ะ”
“เอ๊ะ?”
“ก็ที่ฉันพยายามฝึกซ้อมต่อสู้บ่อยๆทั้งที่เป็นก็คนเป็นคนไม่ชอบใช้ความรุนแรงแทบจะเป็นคนรักสงบคนหนึ่งด้วยซ้ำ แต่พอมีเหตุการณ์หนึ่งที่คนพยายามจะเข้ามารังแกฉัน ฉันก็มักจะเห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยที่มักจะตั้งขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยแบบไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใดของพี่ชายซื่อบื้อของฉันเสมอ ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าฉันก็อยากจะเป็นคนนั้นๆที่สามาถรปกป้องคนที่รักได้เหมือนกัน ดังนั้นฉันจึงพยายามฝึกซ้อมอยู่เรื่อยๆมา ถึงแม้จะไม่ได้ขั้นเก่งกาจเหมือนไมค์กี้คุงและมีความไม่ยอมแพ้เหมือนพี่เคย์ แต่ฉันก็อยากจะยืนเคียงข้างโดยที่ไม่ต้องเป็นฝ่ายค่อยหลบอยู่ข้างหลังสักครั้งก็ยังดี” ฉันพูดความรู้สึกในใจที่มีออกมาก่อนจะชะงักเพราะเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองได้พูดสิ่งที่น่าอายไปมากแค่ไหน
“รู้ไหม? ตอนที่ยูมิจังพูด ยูมิจังดูเท่สุดๆไปเลยนะ”
“แหะๆ ไม่ขนาดนั้นหรอก เอมะเองก็สู้ๆนะ”
“อื้ม!”
“แล้วนี่พวกพี่เป็นอะไรกันอีกล่ะเนี่ย หลบหน้ากันทำไม” ฉันหันกลับมาให้ความสนใจไมค์กี้คุงและพี่เคย์ที่กำลังหันหน้าหนีไปคนละทาง มือทั้งสองข้างยกมาปกปิดบังใบหน้าเหมือนพยายามจะหลบซ่อนอะไรสักอย่างจากฉันและเอมะ ในหัวพลันคิดว่านี่ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?
“นี่ไมค์กี้ หันหน้าไปได้แล้ว แกจะปิดหน้าไว้ทำไม?”
“ยุ่งน่าเคย์สึเกะ บอกคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองก็ทำเหมือนกันแท้ๆ!”
"..."
“นี่พวกพี่กำลังเขินเรื่องที่พวกฉันชมอย่างนั้นเหรอ?”
“…”
มีเพียงแค่ความเงียบที่ตอบกลับมา เมื่อเห็นแบบนั้นดวงตากลมโตของเด็กผู้หญิงทั้งสองคนก็ส่งสัญญาณให้กันอย่างมีความนัยที่ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องอธิบาย ความรู้สึกแปลกๆร้องเตือนให้เด็กชายทั้งสองคนรีบวิ่งหนีถ้าหากไม่อยากเปิดเผยสิ่งที่หลบซ่อนไว้ให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนจะช้าไปหน่อยเพราะแมวตัวน้อยสองตัวจะไม่ปล่อยเหยื่อของพวกมันไปเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว
“ไหนๆ มาให้พวกเราดูหน่อยสิว่าหน้าพวกพี่ตอนเขินมันเป็นยังไง!”
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยย!”
เสียงพูดเชิงกลั่นแกล้งของเด็กหญิงผสานกับเสียงห้ามปรามของเด็กชายดังสนั่นไปทั่วห้องไปจนถึงบริเวณอันใกล้เคียงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างสดใส ดูเหมือนว่าการปรากฎตัวของสมาชิกใหม่อีกคนในตระกูลซาโนะจะสร้างความทรงจำในวัยเด็กที่ดีให้กับพวกเขาทั้งหมดแบบไม่รู้ตัว สายสัมพันณ์ที่แรกๆดูเหมือนห่างเหินค่อยๆเชื่อมต่อเข้ากันอย่างช้าๆแทรกซึมหัวใจของแต่ละคนให้ได้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
ก็ได้แต่หวังว่าในอนาคตฟ้าจะเข้าข้างเธอให้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่ใกล้จะคืบคลานเข้ามาได้สำเร็จนะ
talk with ไรท์: (หรือก็คือบ่นนั่นแหละ)
ใกล้จะถึงวันสอบแล้วคงไม่มีเวลาว่างมาเขียนสักเท่าไหร่แถมยังมีเรื่องอื่นที่ต้องรีบไปปั่นต่ออีก ในหัวนี้แทบคิดจนไปถึงตอนจบล่ะแต่เนื้อเรื่องนี้เพิ่งจะเริ่มต้น เฮ้อ การลงมือเขียนสิ่งที่จินตนาการไว้นี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ในใจนี้อยากจะปั่นต่อให้จบเรื่องไปเลย แต่ลืมไปว่าการเขียนบรรยายสิ่งที่คิด(สำหรับนักเขียนมือใหม่)ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแถมถ้ามู้ดไม่มานี้คือเขียนอะไรไม่ออกเลย ถึงจะบ่นไปยังไงก็จะต้องพยายามเขียนเรื่องนี้ไปจนกว่าจะจบให้ได้!
ถ้าชอบก็อย่าลืมกดใจ คอมเมนท์เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ ถึงตอนนี้ออกจะหน้าเบื่อไปหน่อยแต่ตอนต่อๆไปมีความสนุกรออยู่อย่างแน่นอนค่ะ!
ลืมบอกไปว่าเรื่องนี้อาจมีการสปอยมังงะหน่อยๆและข้อมูลอาจจะไม่ตรงเป๊ะแบบในอนิเมะหรือมังงะ จะมีการใส่จินตนาการของไรท์ลงไปด้วย ต้องกราบขอโทษรี๊ดทุกคนที่ลืมบอกตอนต้นๆเรื่อง เป็นความสะเพร่าของไรท์ที่อยากจะลงงานเขียนเร็วๆ แหะๆ
เจอกันใหม่ในตอนหน้า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามเรื่องนี้กันนะคะ บายๆ!
รักรี๊ดทุกคนค่ะ❤❤
ความคิดเห็น