ตอนที่ 94 : ตอนที่ 89 เริ่มต้นความวุ่นวาย
จ้าวหงกำลังยืนอยู่บนลานประลองส่วนตัว บนลานประลองยังมีคนอีกสามคนยืมล้อมมันเอาไว้ ทั้งสามล้วนเป็นผู้มีพลังระดับรวมวิญญาณขั้นหนึ่งทั้งสิ้น ระดับของจ้าวหงอยู่ที่ขั้นสองรวมวิญญาณ แม้จะสูงส่งกว่าเพียงขั้นเดียวทว่าการจะรับมือกับคนทั้งสามนั้นยังเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับมันอย่างยิ่ง
เมื่อจ้าวหงใช้พลังธาตุพฤกษากระตุ้นให้เมล็ดพันธุ์เติบโตกลายเป็นรากไม้และบังคับพวกมันเข้ารัดพันคนทั้งสาม อีกฝ่ายทำได้เพียงพยายามหลบหลีกและต่อต้านอย่างไร้ความหมาย ทักษะการบังคับควบคุมพฤกษาของจ้าวหงนั้นสูงส่งมากเกินไป
หนึ่งในคนทั้งสามใช้พลังธาตุอัคคีปกคลุมดาบในมือแล้วฟันตัดรากไม้ที่เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ ทว่ารากไม้กลับเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตหลบดาบของมันและรัดพันแขนของมันเอาไว้อย่างแน่นหนา
อีกสองคนที่เหลือล้วนพยายามดิ้นรนไม่ต่างกัน ทว่ามิมีใครเลยที่จะสามารถต้านทานการพันธนาการของรากไม้ได้
จ้าวหงยิ้มอย่างพึงพอใจ พลังธาตุอัคคีระเบิดออกทำให้รากไม้ลุกท่วมด้วยเปลวเพลิงและกลืนร่างของคนทั้งสามเข้าไป อักขระค่ายกลช่วยชีวิตพลันเปล่งแสงสว่างขึ้นทำให้เปลวไฟดับลงและร่างของคนทั้งสามได้หายไปจากจุดเดิมปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ภายนอกลานประลอง
“คุณชายจ้าวแข็งแกร่งจริงๆ” ลูกน้องของจ้าวหงต่างเอ่ยด้วยความหวาดหวั่น ความเชี่ยวชาญในการควบคุมพฤกษาระดับนี้มีเพียงศิษย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ อีกทั้งเมื่อผสานรวมกับทักษะพลังธาตุอัคคีที่จ้าวหงชำนาญตั้งแต่ก่อนเข้าร่วมสำนักพงไพร สองสิ่งนี้ผลักดันให้จ้าวหงกลายเป็นสุดยอดนักปรุงโอสถที่อยู่ระดับทองแดงขั้นแปดตั้งแต่อายุยี่สิบปี
ไม่ว่าใครต่างก็คาดเดาได้ว่าอีกไม่นานจ้าวหงจะต้องกลายเป็นหนึ่งในศิษย์ยอดพฤกษาอย่างแน่นอน
ศิษย์ยอดพฤกษาเป็นเสมือนฉายาอันทรงเกียรติสำหรับศิษย์ของสำนักพงไพร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีคนที่เคยได้รับตำแหน่งศิษย์ยอดพฤกษาไม่ถึงสองร้อยคนเท่านั้น และแต่ละช่วงเวลาก็จะมีศิษย์ยอดพฤกษาได้มากที่สุดเพียงสิบคน
สำหรับตอนนี้มีศิษย์ยอดพฤกษาหลงเหลืออยู่เจ็ดคน รั่วอวี่คือศิษย์ยอดพฤกษาคนล่าสุดและยังมีที่ว่างอีกถึงสามตำแหน่ง ทว่ากลับไม่มีศิษย์คนใดได้รับตำแหน่งนี้ เห็นได้ชัดว่าการได้รับตำแหน่งศิษย์ยอดพฤกษามีเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ยุ่งยากซับซ้อนเป็นอย่างมาก
จ้าวหงมีความเชื่อมั่นและทะเยอทะยานสูงเป็นอย่างมาก ในมุมมองของมันแม้รั่วอวี่จะมีอายุน้อยกว่ามันถึงสองปี ทว่าพรสวรรค์ของมันยังไม่แตกต่างจากนางมากนัก เนื่องจากมันเพิ่งเริ่มฝึกฝนศาสตร์ธาตุพฤกษามาเป็นเวลาไม่ถึงสามปีเท่านั้น ขอให้มันมีเวลามากกว่านี้มันย่อมก้าวข้ามนางได้ เพราะมันคืออัจฉริยะที่แท้จริง
สำหรับเวลานี้ มันกำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างอำนาจอิทธิพลให้กับตนเอง มีศิษย์มากกว่าสามร้อยคนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมัน และคนที่ไม่ได้เข้าร่วมก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ไปขัดขวางความต้องการของมัน นอกจากศิษย์ยอดพฤกษาแล้วก็มีอีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความสามารถพอจะท้าทายมันได้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้สีหน้าของจ้าวหงก็มืดมนลงเล็กน้อย มันได้รวบรวมผู้มีฝีมือเอาไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านพลังธาตุพฤกษาเพื่อที่จะเก็บเกี่ยวความรู้และเคล็ดลับจากคนเหล่านี้ ทว่ากลับมีใครบางคนที่มันไม่สามารถดึงตัวมาได้ ทั้งยังถูกต่อต้านอย่างซึ่งหน้า เรื่องนี้ทำให้มันรู้สึกเสียอารมณ์เป็นอย่างมาก
“เรื่องเจ้าเด็กใหม่ที่ข้าให้พวกเจ้าไปสืบ ได้ความว่าอย่างไรบ้าง” จ้าวหงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เรียนคุณชายจ้าว คนผู้นี้มีประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด รู้เพียงแค่นามของมันคือซ่งไป่หลาง ทว่าการทดสอบเข้าร่วมสำนักของมันกลับไม่มีผู้ใดทราบ ข้ายังได้รู้มาว่ามันได้มายังเขตตะวันออกพร้อมกับคนอีกสองคน แม้จะปกปิดตัวตนแต่คาดเดาจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นสตรีทั้งคู่ ทว่าหลังจากวันนั้นก็มิมีผู้ใดพบเห็นคนทั้งสองอีก” ลูกสมุนของจ้าวหงตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“สตรีสองคนงั้นรึ” จ้าวหงเลิกคิ้ว “คงจะเป็นว่านไฉ่เอ๋อกับว่านหลิง นึกไม่ถึงว่าพวกนางจะมีอิทธิพลถึงขนาดขอให้สำนักรับตัวเศษสวะที่มีพลังขั้นหนึ่งเหนือมนุษย์เข้ามาร่วมได้”
“ที่น่าสนใจก็คือความสามารถของเจ้าเศษสวะนั่น หากว่านหลิงพามันเข้ามานางย่อมต้องคาดหวังบางอย่างจากตัวมันแน่นอน ในเมื่อไม่สามารถสืบหาเบาะแสเบื้องหลังของมันได้มากไปกว่านี้เช่นนั้นก็ลองเปลี่ยนวิธี ข้าอยากจะรู้นักว่าว่านหลิงจะทำหน้าเช่นใดหากพบว่าสหายของนางถูกทรมานจนปางตาย” จ้าวหงแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา
“ได้ขอรับนายน้อย พวกเราจะไปจัดการกับมันทันที” ลูกสมุนของจ้าวหงรีบตอบรับ การลงมือกับผู้มีพลังเพียงขั้นหนึ่งเหนือมนุษย์นับว่าง่ายดายสำหรับพวกมันมาก
อีกด้านหนึ่ง ซ่งไป่หลางได้เป็นฝ่ายชวนว่านหลิงสนทนาบ้าง หญิงสาวมีสีหน้าตกตะลึงเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย
“หมายความว่าอันใด กฏที่เกี่ยวกับการต่อสู้ในสำนัก?”
ซ่งไป่หลางยุ่งยากใจเล็กน้อย “ก็อย่างเช่น หากข้าไม่ชอบหน้าคนผู้หนึ่งที่เป็นศิษย์ของสำนักพงไพร แล้วทำร้ายมันจนบาดเจ็บหรือกระทั่งสังหารมัน สำนักจะลงโทษข้าเช่นใด”
ว่านหลิงคาดเดาออกเล็กน้อย “เจ้าคงกังวลว่าจะถูกเล่นงานโดยคนของจ้าวหงสินะ หากพวกมันทำร้ายเจ้าต่อให้มีกฏของสำนักคอยปกป้องก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะปลอดภัย”
นางถอนหายใจเบาๆ “กฏของสำนักระบุไว้ชัดเจนว่าศิษย์ของสำนักห้ามทะเลาะเบาะแว้งทำให้เกิดการบาดเจ็บเสียหาย หากทำผิดจะถูกลงโทษคุมขังในคุกพฤกษาผนึกวิญญาณ ยิ่งทำผิดร้ายแรงเพียงใดก็ยิ่งถูกคุมขังนานขึ้นเท่านั้น ทว่ากฏนี้ไม่ถูกนำมาใช้บ่อยนัก เนื่องจากผู้ทีมีสิทธิ์บังคับใช้กฏเช่นนี้มีอยู่ไม่มาก”
“สำหรับคนของจ้าวหง เนื่องจากมันมีความสัมพันธ์อันดีบางอย่างกับผู้ปรุงโอสถระดับเงินผู้หนึ่งที่เป็นผู้คุมกฏ ดังนั้นจ้าวหงจึงสามารถปกป้องคนของมันได้อย่างง่ายดาย เว้นเสียแต่ว่าการกระทำของมันอุกอาจเปิดเผยจนเกินไป หรือลงมือกับคนที่มีระดับความสำคัญของสำนักมากจนเกินไป เช่นนั้นต่อให้ผู้คุมกฏก็ปกป้องมันมิได้”
“หมายความว่าหากพวกมันต้องการทำร้ายข้าที่เป็นเพียงบุคคลตัวเล็กๆในสำนัก พวกมันก็จะสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างง่ายดายสินะ” ซ่งไป่หลางครุ่นคิดเล็กน้อย “เช่นนั้นหรือว่าแม้แต่โทษสังหารพวกมันก็หลีกเลี่ยงได้งั้นรึ”
ว่านหลิงส่ายหน้า “โทษของการสังหารมิใช่เรื่องเล็กน้อย หากพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดต่อให้ผู้คุมกฏหน้าไหนก็มิมีทางยินยอมช่วยเหลือเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะมีอำนาจอิทธิพลมากระดับเดียวกับผู้อาวุโสของสำนัก ต่อให้เป็นจ้าวหงก็ไม่กล้าที่จะท้าทายกฏนี้อย่างเด็ดขาด”
ซ่งไป่หลางจดจำเอาไว้ในใจ ดูเหมือนว่าการจัดการกับปัญหาเรื่องพวกจ้าวหงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
ทว่าเด็กหนุ่มกลับเผยรอยยิ้มขึ้นเมื่อคิดอะไรบางอย่างออก บางทีตนอาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากอักขระเทวะต้นกำเนิดในการจัดการปัญหาเช่นนี้
“ซ่งไป่หลาง แม้ว่าพวกเราจะมิได้มีอันใดเกี่ยวข้องกันทว่าหากเจ้าต้องพบเจอเรื่องเดือดร้อนเพราะพวกจ้าวหง จงอย่าได้ลังเลที่จะบอกพวกเรา แม้กำลังของข้าจะอ่อนแอนักเมื่อเทียบกับอิทธิพลของพวกมันทั้งหมด ทว่าหากข้าออกหน้าด้วยตนเอง จ้าวหงก็มิสะดวกจะลงมือหนักจนเกินไปนัก” ว่านหลิงเอ่ยอย่างจริงจัง
“ข้าเข้าใจเจตนาของพวกเจ้า” ซ่งไป่หลางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากการแสดงออกของว่านหลิงทำให้ซ่งไป่หลางมีความประทับใจที่ดีต่ออีกฝ่ายไม่น้อย
“นับพวกเราไปด้วย หากจ้าวหงกล้าลงมือกับเจ้า ข้าจะไปอัดพวกมันให้เละเอง” หยุนป้อคำรามขึ้นมาทำให้ว่านไฉ่เอ๋อสะดุ้งด้วยความตกใจเล็กน้อย
“เจ้าทึ่มหยุนป้อ เจ้าทำให้ไฉ่เอ๋อตกใจแล้ว” ชายอีกสามคนหัวเราะหยอกล้อ
‘คนกลุ่มนี้นับว่าไม่เลวทีเดียว’ ซ่งไป่หลางยิ้มจางๆพลันอดคิดถึงสหายเก่าที่นิกายบัวสวรรค์มิได้ ศิษย์พี่ฉินผู้นั้นก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับคนเหล่านี้ ยินดีช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไม่หวังผลตอบแทนอันใด ยังมีเยว่จิงที่แม้จะอยู่คนละนิกายแต่กลับมีนิสัยถูกคอกันไม่น้อย
“เจ้าคงวางแผนบางอย่างไว้ในใจอยู่แล้ว” เซี่ยหยางพลันเอ่ยขึ้นหลังจากซ่งไป่หลางแยกตัวออกมาภายนอกเรือนพัก
เด็กหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่แล้วอาจารย์ จากประสาทสัมผัสของข้ามีคนมากกว่าสิบคนที่สังเกตเรือนพักเอาไว้ตลอดเวลา และทันทีที่ข้าจากมาพวกมันก็ติดตามมาด้วย ข้าจะเริ่มที่คนเหล่านี้เป็นอันดับแรก”
“แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมันก็เป็นเพียงแค่ขั้นหนึ่งระดับรวมวิญญาณ มิมีอันใดยากลำบากสำหรับเจ้า ทว่าเจ้ามั่นใจหรือว่าจะใช้อักขระนั้นได้สำเร็จ” เซี่ยหยางสอบถาม
“ข้าไม่มั่นใจนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะทดลองใช้อักขระประเภทนี้ แต่หากใช้สำเร็จนี่จะเป็นทั้งเกราะป้องกันชั้นดีให้กับข้า ขณะเดียวกันก็จะใช้จัดการกับพวกจ้าวหงได้อย่างเจ็บแสบด้วย” ซ่งไป่หลางตอบกลับ
ซ่งไป่หลางมิได้เดินทางไปยังหอตำราเบื้องต้นตามปกติ ทว่ากลับทะยานร่างไปทางประตูสำนักโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย คนจำนวนนับสิบคนที่ลอบติดตามเด็กหนุ่มถึงกับลอบเผยรอยยิ้มยินดี การจะจัดการกับซ่งไป่หลางในสำนักย่อมมีความเสี่ยงมากกว่าภายนอกสำนักมาก หากเป็นพื้นที่ภายนอกต่อให้พวกมันสังหารซ่งไป่หลางทิ้งก็ยังยากที่จะถูกรับรู้โดยผู้อื่น
ยังดีที่จ้าวหงสั่งให้ไว้ชีวิตของซ่งไป่หลางเอาไว้ เพียงต้องการทำให้บาดเจ็บสาหัสเพื่อขู่ขวัญกลุ่มของว่านหลิงเท่านั้น
เมื่อไปถึงประตูสำนัก ซ่งไป่หลางชูป้ายสัญลักษณ์ของลูกศิษย์ให้กับผู้เฝ้ายามทั้งสองคน พวกมันมิได้เอ่ยวาจาอันใดเพียงแต่ปล่อยให้เด็กหนุ่มจากไปเท่านั้น
“ประหลาดจริง ข้ามิเคยพบเจอคนผู้นี้มาก่อนเลย ทั้งมันยังมีพลังเพียงแค่ขั้นหนึ่งเหนือมนุษย์เท่านั้น” หนึ่งในสองผู้เฝ้ายามเอ่ยออกมาหลังจากซ่งไป่หลางจากไป
“ข้าก็แปลกใจ ทว่าในเมื่อมันมีตราสัญลักษณ์แปลว่าทุกสิ่งย่อมเป็นไปอย่างถูกต้อง หืม” อีกคนหนึ่งตอบกลับก่อนที่จะเผยสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นคนจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางประตูสำนัก
“ฟางจ้ง พวกเจ้ากำลังจะไปล่าสัตว์ปีศาจกันรึ เหตุใดจึงออกไปกันมากมายขนาดนี้” หนึ่งในผู้เฝ้ายามอดสอบถามไม่ได้
“พวกเราเพียงจะออกไปทำธุระภายนอกให้กับคุณชายจ้าวเท่านั้น” ฟานจ้งผู้มีพลังขั้นหนึ่งรวมวิญญาณตอบกลับ “ธุระของพวกเราค่อนข้างเร่งด่วน ขอตัวก่อนละ” มิได้เอ่ยอันใดอีก มันพาผู้ติดตามมุ่งหน้าออกไปยังด้านนอกสำนักติดตามซ่งไป่หลางไปทันที
ผู้เฝ้ายามทั้งสองยังคงมีสีหน้างุนงง ทว่าหลังจากที่กลุ่มคนนับสิบจากไปไม่นานร่างของคนสองคนก็ปรากฏตัวขึ้น “พวกเจ้าก็จะออกไปหรือ” ผู้เฝ้ายามมีสีหน้ายากลำบากทันทีเมื่อเห็นคนทั้งสอง
“ว่านหลิง ถือว่าเห็นแก่มิตรภาพเก่าๆ เจ้าอย่าเพิ่งออกไปเลย กลุ่มของฟางจ้งนับสิบคนเพิ่งออกไปก่อนหน้านี้ หากพวกเจ้าไปพบเจอกันข้างนอกอาจจะเกิดการปะทะขึ้น”
ที่แท้คนทั้งสองก็คือว่านหลิงและหยุนป้อ ทั้งสองคล้ายกับรู้ว่าจะเกิดอันใดขึ้นจึงลอบติดตามกลุ่มของฟางจ้งมาอีกทอดหนึ่ง หากพวกมันลงมือต่อซ่งไป่หลางนางและหยุนป้อจะเข้าจัดการกับพวกฟานจ้งทันที
“ข้าเข้าใจความหวังดีของพวกเจ้า แต่ข้าจำเป็นต้องออกไป ขอตัวก่อน” ว่านหลิงตอบกลับก่อนจะเร่งจากไป ข้างๆนางคือหยุนป้อที่มีสีหน้ามืดทะมึนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“นี่มันวันอะไรกัน หวังว่าพวกนั้นจะไม่ปะทะกันรุนแรงจนเลยเถิดหรอกนะ ครั้งที่แล้วหยุนป้อผู้นั้นทำร้ายคนของจ้าวหงจนบาดเจ็บสาหัส โดนลงโทษคุมขังในคุกพฤกษาผนึกวิญญาณหนึ่งวัน หากมันยังสร้างปัญหาอีกอาจจะถูกกักขังนานยิ่งขึ้นก็เป็นได้” ผู้เฝ้ายามมีสีหน้าขมขื่น
“พวกเราควรแจ้งเรื่องนี้กับอาจารย์หรือผู้อาวุโสหรือไม่” อีกคนหนึ่งอดถามไม่ได้
“มิจำเป็น เรื่องของคนพวกนั้นข้าจะดูแลเอง” เสียงอ่อนหวานดังขึ้นดึงความสนใจของคนทั้งสอง เมื่อพวกมันมองไปยังเจ้าของเสียงสติและจิตวิญญาณของพวกมันก็ราวกับถูกกระชากออกจากร่าง
“ศิษย์พี่เหยา” ผู้เฝ้ายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน มันไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจอกับคนผู้นี้ตรงๆในระยะใกล้ถึงเพียงนี้ ซ้ำยังมีสิทธิ์เอ่ยปากต่อหน้านาง
เหยาเสี่ยวฉานเผยรอยยิ้มงดงามนุ่มนวล “เรื่องที่พวกเจ้าพบเจอกับข้าที่นี่ โปรดอย่าได้บอกต่อผู้ใด และอย่าได้แจ้งเรื่องของกลุ่มคนก่อนหน้าให้กับผู้อื่น ข้าจะดูแลความเรียบร้อยเอง รับรองว่าจะมิมีผู้ใดบาดเจ็บสาหัสหรือล้มตายเป็นอันขาด”
“ข... เข้าใจแล้ว ศิษย์พี่เหยา” ผู้เฝ้ายามทั้งสองทำได้เพียงตอบรับอย่างไร้สติ
ดวงตาของเหยาเสี่ยวฉานสาดประกายแหลมคม ‘ซ่งไป่หลาง แม้ว่าคนเหล่านี้จะยังไม่อาจบีบให้เจ้าต้องแสดงความสามารถอันใดออกมาได้ ทว่าข้าก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับตัวเจ้าอยู่มาก ขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้าจะทำเช่นใดกับสถานการณ์นี้’
เหยาเสี่ยวฉานมุ่งหน้าติดตามไปยังทิศทางที่ซ่งไป่หลางจากไป ผู้เฝ้ายามทั้งสองยังคงไม่สามารถดึงสติของตนกลับมาได้จึงมิได้สังเกตเลยว่ามีร่างหนึ่งลอบมุ่งหน้าติดตามเหยาเสี่ยวฉานไปอย่างเงียบงัน
แม้แต่ซ่งไป่หลางก็ยังคาดไม่ถึงว่าการตัดสินใจกระทำเรื่องราวเล็กๆของตนจะดึงดูดเอาคนจำนวนมากและเรื่องราววุ่นวายตามติดมาด้วย กระทั่งดึงดูดความสนใจจากศิษย์ยอดพฤกษาถึงสองคน
การเดินทางบริเวณป่าห้าฤดูกาลยังคงยากลำบากเช่นเคย แม้ซ่งไป่หลางจะลอบจดจำลักษณะของต้นไม้ที่สามารถเหยียบได้จากตอนที่ติดตามรั่วอวี่ทว่าการแยกแยะด้วยตนเองยังนับว่ายากยิ่งกว่าหลายเท่า ทำให้ซ่งไป่หลางใช้เวลายาวนานมากกว่าจะออกจากพื้นที่สำนักพงไพรได้มากกว่าสองร้อยลี้
ระยะนี้นับว่าเพียงพอแล้ว ซ่งไป่หลางมองหาพื้นที่ที่มีช่องว่างพอให้เคลื่อนไหวบนพื้นดินจากนั้นจึงทิ้งตัวลงแล้วหยุดยืนอยู่บนพื้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง
กลุ่มของฟางจ้งที่ลอบติดตามซ่งไป่หลางแต่ละคนล้วนมีสีหน้าหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง พวกมันต้องลดความเร็วและทิ้งระยะห่างจากซ่งไป่หลางเพื่อป้องกันมิให้อีกฝ่ายรู้ตัว ทว่าการเคลื่อนไหวอันเงอะงะเชื่องช้าของซ่งไป่หลางได้ทำให้พวกมันรู้สึกรำคาญใจถึงที่สุด อย่างไรก็ตามหลังจากซ่งไป่หลางทิ้งตัวลงบนพื้นพวกมันก็ตระหนักได้ทันทีว่าได้เวลาที่พวกมันจะลงมือแล้ว
“หืม เหตุใดมันจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่” ฟางจ้งรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“บางทีมันอาจรู้ตัวแล้วว่าพวกเรากำลังตามมา ทว่าด้วยความสามารถของมันย่อมไม่อาจหลบหนีไปได้ ข้าคิดว่ามันอาจจะต้องการร้องขอความเมตตาจากพวกเรา” ผู้ติดตามของฟางจ้งหัวเราะ
“เฮอะ ต่อให้มันกรีดร้องอ้อนวอนวันนี้มันก็ต้องกลับไปด้วยสภาพปางตาย” ฟางจ้งแค่นเสียง แม้ว่าซ่งไป่หลางจะมิได้เป็นบุคคลสำคัญอันใดทว่าเนื่องจากจ้าวหงต้องการให้มันปางตาย เช่นนั้นก็ต้องเป็นไปตามนั้น
“พวกเจ้าช่างชักช้าเสียจริง ทำให้ข้าต้องเสียเวลาตั้งหลายลมหายใจ” เสียงเบื่อหน่ายของซ่งไป่หลางดังขึ้นทันทีที่พวกฟางจ้งทิ้งตัวลงบนพื้น
สีหน้าของฟางจ้งแปรเปลี่ยนเป็นดำมืดทันที มันไม่นึกเลยว่าซ่งไป่หลางจะเริ่มต้นด้วยประโยคเช่นนี้ หากมิใช่เพราะซ่งไป่หลางชักช้าพวกมันมีหรือจะต้องเสียเวลายาวนานกว่าที่ควรในการไล่ตาม
ซ่งไป่หลางมิได้สนใจปฏิกิริยาตอบสนองของพวกฟางจ้ง ทว่าเด็กหนุ่มกลับต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยหยางบอกกับตน
“นอกจากพวกนี้แล้วยังมีคนอื่นที่ติดตามเจ้ามา สองคนคือผู้ที่อยู่ร่วมเรือนพักกับเจ้า ยังมีอีกสองคนคือเหยาเสี่ยวฉานและรั่วอวี่”
ซ่งไป่หลางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เดิมทีเด็กหนุ่มไม่อยากลงมือต่อหน้าพวกว่านหลิง ยิ่งเมื่อรู้ว่ามีเหยาเสี่ยวฉานตามติดมายิ่งทำให้ซ่งไป่หลางต้องคิดใหม่อย่างรวดเร็ว
“ซ่งไป่หลาง เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าพวกเราติดตามเจ้ามา” ฟางจ้งเป็นฝ่ายเอ่ยปาก มันเมินเฉยคำพูดของซ่งไป่หลางไป “แม้ว่าพวกเราจะมิเคยมีความแค้นต่อกันมาก่อน แต่เนื่องจากเจ้าได้แส่หาเรื่องเข้าร่วมกลุ่มของว่านไฉ่เอ๋อที่ต่อต้านคุณชายจ้าว เช่นนั้นก็อย่าได้โทษว่าพวกเราโหดร้ายจนเกินไป”
“ฟางจ้ง พวกเจ้าอาศัยคนนับสิบรังแกคนเพียงคนเดียว นับว่าขี้ขลาดยิ่งนัก” เสียงคำรามดังขึ้นก่อนที่ร่างอันสูงใหญ่ของหยุนป้อจะทะยานมาหยุดยืนขวางพวกฟางจ้งเอาไว้ ขณะเดียวกันว่านหลิงทิ้งตัวลงอย่างงดงามบนกิ่งไม้ที่อยู่เหนือซ่งไป่หลางไปเล็กน้อย สีหน้าของนางยังคงเย็นชาทว่าจิตสังหารอันเย็ยเยียบได้แผ่ขยายออกมาจากร่างของนาง
สีหน้าของฟางจ้งแปรเปลี่ยนไปทันที ระดับพลังของหยุนป้อคือขั้นหนึ่งรวมวิญญาณเช่นเดียวกับมัน หากอาศัยคนจำนวนมากรุมจัดการยังนับว่ามีความเป็นไปได้ ทว่าว่านหลิงนั้นต่างออกไป นางมีพลังขั้นสองรวมวิญญาณทั้งยังแข็งแกร่งอย่างมาก
เกรงว่าจะมีเพียงจ้าวหงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับนางได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว หากพวกมันทั้งสิบต้องการเอาชนะหยุนป้อและว่านหลิงพร้อมกันในเวลานี้มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“อืม หากสองคนนี้ยื่นมือช่วยเหลือมันคงจะจบลงง่ายเกินไปสำหรับซ่งไป่หลาง” เหยาเสี่ยวฉานพึมพำกับตัวเองเบาๆ แววตาของนางปรากฏแววเจ้าเล่ห์
ว่านหลิงอุทานขึ้นมาเบาๆเมื่อพบว่ามีบางสิ่งลอยมาทางร่างของนาง เมื่อนางสะบัดมือออกส่งพลังธาตุวายุเข้าปะทะเข้ากับวัตถุนั้น มันกลับแตกออกและกลายเป็นผงบางอย่างปกคลุมใส่ร่างของนาง
“แย่แล้ว ผงดึงดูดสัตว์ปีศาจ” สีหน้าของหยุนป้อแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว ผงดึงดูดสัตว์ปีศาจนับว่าอันตรายอย่างมากเมื่อถูกใช้ออกในสถานที่ที่มีสัตว์ปีศาจชุกชุม แม้ป่าห้าฤดูกาลจะมิได้มีสัตว์ปีศาจอาศัยอยู่มากนักทว่าก็ยังมีอยู่ตัวหนึ่งที่มีประสาทสัมผัสเฉียบคมและจะมุ่งหน้ามาทันทีที่มันได้กลิ่นอายของผงดึงดูดนี้
“ต่ำช้ายิ่งนัก” แววตาของว่านหลิงแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ นางตระหนักได้ทันทีว่านี่เป็นแผนกันนางออกไป หากหลงเหลือเพียงหยุนป้อก็ยากที่จะปกป้องซ่งไป่หลางเอาไว้ได้
“หยุนป้อ เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะล่อสัตว์ปีศาจกลับไปยังสำนัก” นางไม่มีทางเลือกอื่นอีก หากนางยังคงฝืนรั้งอยู่ที่นี่โดยมีกลิ่นอายของผงดึงดูด นางย่อมชักนำอันตรายที่ร้ายแรงยิ่งกว่ามายังซ่งไป่หลาง
สีหน้าของฟางจ้งกลายเป็นชั่วร้าย มันไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของผงดึงดูดสัตว์ปีศาจนี้ แต่คิดว่าอาจจะเป็นคนของจ้าวหงที่ลอบติดตามพวกว่านหลิงมาอีกทีหนึ่ง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ทำให้มันมีโอกาสในการจัดการกับซ่งไป่หลาง
“ต่อให้เหลือข้าเพียงคนเดียวพวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้ทำตามใจชอบ” หยุนป้อคำรามโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

386 ความคิดเห็น
-
#145 AsdinWesblue (จากตอนที่ 94)วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 / 01:51บ้าหรือเปล่าครับทำไมต้องให้ปลดล็อคอ่านด้วยครับทำไมไม่ให้อ่านดีดีล่ะครับอยากขายก็ใส่ package สิครับทำไมต้องให้ปลดล็อคด้วยวายเปล่าเปล่าอยากอ่านอีกตั้งหกวันน่ารำคาญชะมัด#1458
-
#145-7 Lanar(จากตอนที่ 94)1 กุมภาพันธ์ 2563 / 03:10พอถึงวันอ่านก็จะได้อ่านวันละตอนไงครับ#145-7
-
#145-8 pth222(จากตอนที่ 94)5 กุมภาพันธ์ 2563 / 08:01จิง เท่ากันวัน -ขายทุกตอน เลยป่ะ#145-8