ตอนที่ 89 : ตอนที่ 84 สำนักพงไพร
เช้าวันถัดมาชายชราและรั่วอวี่ได้รอซ่งไป่หลางอยู่ก่อนแล้ว เป็นเพราะการฝึกฝนอย่างหนักจึงทำให้ซ่งไป่หลางตื่นสายกว่าคนอื่นๆเล็กน้อย
ซ่งไป่หลางได้มอบสมุนไพรหยกขาวที่กลายเป็นสมุนไพรอายุครบสามร้อยปีให้กับชายชราก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทางไปยังสำนักพงไพร
ชายชรามองดูสมุนไพรหยกขาวในมือด้วยความรู้สึกทึ่งเล็กน้อย ‘แม้จะบอกว่าเป็นเพราะความช่วยเหลือจากวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องชื่นชมความสามารถในการเรียนรู้ของมันจริงๆ’
แม้จะเอ่ยว่าสำนักพงไพรตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของป่าห้าฤดูกาลและบ้านของรั่วอวี่ก็อยู่ที่ชายขอบของผืนป่าเท่านั้น ทว่าการเดินทางไปสู่สำนักนั้นยากเย็นกว่าที่ซ่งไป่หลางคิดหลายเท่า
ป่าห้าฤดูกาลหมายความว่าภายในป่าแห่งนี้จะแบ่งออกเป็นห้าส่วนที่แตกต่างกัน นั่นคือส่วนฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวและฤดูมรสุม โดยพื้นที่ใจกลางของป่าจะเป็นพื้นที่ที่มีการผันเปลี่ยนของฤดูตลอดเวลาจึงทำให้เป็นพื้นที่ที่มีสมุนไพรหลากหลายประเภทเติบโตขึ้นมากที่สุด
ในขณะเดียวกันพื้นที่รอบนอกได้แบ่งออกเป็นห้าส่วนตามประเภทของฤดูต่างๆ บ้านของรั่วอวี่ตั้งอยู่ที่พื้นที่ฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นจึงมิต้องเผชิญหน้ากับลมมรสุมรุนแรงหรือหิมะอันหนาวเหน็บทว่าก็ต้องพบกับพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้จนแทบจะไม่อาจหาที่หยั่งเท้าได้
วิธีเดินทางในพื้นที่นี้ก็คือการเหยียบไปตามกิ่งไม้ของต้นไม้สูง รั่วอวี่สามารถทะยานไปมาได้อย่างอิสระเพราะความคุ้นเคยทว่าซ่งไป่หลางกลับเหยียบพลาดหลายต่อหลายหน มิใช่เพราะไม่เชี่ยวชาญวิชาตัวเบาแต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่รู้จักประเภทของต้นไม้ดีพอ
ต้นไม้แต่ละต้นจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ซ่งไป่หลางเพิ่งได้รู้ว่าต้นไม้บางต้นต่อให้ใช้วิชาตัวเบาสัมผัสอย่างแผ่วเบาเพียงใดก็ยังสามารถทำให้มันแตกหักได้ ขณะที่บางต้นกลับมีความเหนียวจนไม่อาจยกเท้าหลุดออกมาโดยง่าย บางต้นเมื่อเหยียบลงไปกลับอ่อนหยุ่นและเกิดแรงดีดสะท้อนอย่างมากมายจนเสียการทรงตัวในพริบตา
ในที่สุดรั่วอวี่ต้องกำชับให้ซ่งไป่หลางก้าวเท้าตามนางเพียงอย่างเดียวเพื่อที่จะไม่เสียเวลาในการเดินทางมากไปกว่านี้
แม้จะทุลักทุเลไปสักเล็กน้อยในช่วงแรกแต่ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงชายขอบของสำนักพงไพรในที่สุด
พื้นที่ตั้งสำนักพงไพรแบ่งออกเป็นสามชั้น ได้แก่ชั้นชายขอบซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกสมุนไพรระดับทั่วไป แม้จะเอ่ยว่าเป็นสมุนไพรทั่วไปแต่ในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์สมุนไพรเหล่านี้ล้วนสามารถแปรเปลี่ยนเป็นโอสถชั้นเลิศที่จะผลักดันการพัฒนาของพวกมันได้อย่างก้าวกระโดดทั้งสิ้น
มีคนมากมายที่ต้องการขโมยสมุนไพรเหล่านี้ทว่าภายใต้การดูแลของสำนักพงไพร หากผู้ใจกล้ามีระดับพลังต่ำเกินไปย่อมต้องถูกจับกุมและได้รับโทษทัณฑ์อย่างร้ายแรง ส่วนผู้ที่มีฝีมือระดับหนึ่งย่อมไม่ลดตนเองเป็นเพียงหัวขโมยเพียงเพื่อสมุนไพรทั่วไปเหล่านี้เช่นกัน
พื้นที่ส่วนชายขอบจะถูกดูแลโดยศิษย์ที่มีระดับพลังขั้นเหนือมนุษย์และรวมวิญญาณ ในจำนวนนี้ส่วนมากจะเป็นนักปรุงโอสถระดับทองแดงขั้นหนึ่งจนถึงขั้นห้า
ส่วนพื้นที่ถัดมาคือพื้นที่สำนักส่วนใน เป็นพื้นที่พักผ่อนสำหรับลูกศิษย์และอาจารย์ของสำนัก ด้านในมีพื้นที่กว้างใหญ่ประกอบไปด้วยทิศตะวันออกคือเรือนพักศิษย์ ทิศเหนือคือเรือนพักอาจารย์ ทิศใต้คือตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าและทิศตะวันตกคือหอตำรา
ในบรรดาพื้นที่ทั้งหมดมีเพียงทิศตะวันออกและทิศใต้เท่านั้นที่บุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงได้
ประตูสำนักทิศใต้ถูกเฝ้าไว้ด้วยยอดฝีมือระดับรวมวิญญาณขั้นห้าถึงสองคน นั่นเพราะเขตตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นจุดที่มีบุคคลภายนอกเข้าออกมากที่สุด ทั้งส่วนมากยังเป็นยอดฝีมือที่เดินทางมาเพื่อทำการค้ากับสำนักพงไพร จึงจำเป็นต้องดูแลโดยยอดฝีมืออยู่ตลอดเวลา
เมื่อมาถึงประตู ยามทั้งสองคนต่างมองรั่วอวี่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่หนึ่งในสองคนนั้นจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ศิษย์น้องรั่ว เห็นว่าเจ้าเพิ่งจะกลับไปเยี่ยมบ้านได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น เหตุใดจึงกลับมาเร็วนักเล่า”
รั่วอวี่ยิ้มแย้มตอบกลับ “ครั้งนี้ข้าเพียงกลับไปนำของบางสิ่งมายังสำนักเท่านั้น ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นาน”
“แล้วคนผู้นี้คือ?” ชายอีกคนถามด้วยความสงสัย พิจารณาดูแล้วซ่งไป่หลางเป็นเพียงผู้มีพลังฝีมือระดับเหนือมนุษย์ขั้นแรกเท่านั้น นับว่าอ่อนแออย่างมากสำหรับคนในดินแดนเทพพฤกษา หากมิใช่ว่ามันเดินทางมากับรั่วอวี่พวกมันคงไม่ต้อนรับเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นแน่
“คนผู้นี้มากับข้าเอง เขาจะกลายมาเป็นศิษย์น้องของพวกเราในอนาคต แม้ระดับพลังของเขาจะไม่ได้ดีนักแต่พรสวรรค์ทางด้านการปรุงโอสถของเขาไม่เลวเลยทีเดียว พวกท่านเชื่อหรือไม่เขาเพียงเพิ่งเริ่มต้นฝึกพลังธาตุพฤกษาได้ไม่กี่วันก็สามารถปลูกสมุนไพรหยกขาวให้กลายเป็นสมุนไพรอายุสามร้อยปีได้ภายในหนึ่งวันแล้ว”
ยามทั้งสองตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนที่หนึ่งในสองจะตอบกลับมา “ศิษย์น้องรั่วเจ้าล้อพวกเราเล่นแล้ว ขนาดเจ้าที่มีพรสวรรค์มากมายก็ยังต้องใช้เวลาฝึกฝนกว่าจะสามารถปลูกต้นสมุนไพรหยกขาวให้กลายเป็นสมุนไพรสามร้อยปีได้ภายในหนึ่งวัน”
“ถูกต้อง ศิษย์น้องรั่วเจ้านี่มีอารมณ์ขันจริงๆ” อีกคนพยักหน้าเสริม
“ฮี่ๆ จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกท่านเถอะ ข้าจะพามันเข้าไปยังสำนัก แม้ว่าส่วนทิศใต้จะมิได้มีฝ่ายทะเบียนคอยควบคุมดูแลแต่เดี๋ยวข้าฝากให้ศิษย์พี่เหยาจัดการเรื่องนี้ให้ก็ได้”
‘อืม เจ้าหนูนี่นับว่าโชคดีจริงๆ ปกติแล้วต่อให้มีพรสวรรค์ธาตุพฤกษาก็ใช่ว่าจะเข้าสำนักพงไพรได้ง่ายๆ แต่ถ้ามากับศิษย์น้องรั่วต่อให้กระจอกแค่ไหนก็ย่อมมีโอกาสได้รับการทดสอบเข้าร่วมสำนักอยู่แล้ว’ ยามทั้งสองต่างคิดตรงกัน ตัวตนของรั่วอวี่ในสำนักพงไพรแม้จะไม่อาจเทียบเท่ากับอาจารย์สอนปรุงโอสถที่มีระดับเงินแต่ก็นับว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าใด เพราะนางคืออัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดที่เป็นผู้ปรุงโอสถระดับทองแดงขั้นสิบ อีกเพียงไม่นานก็จะกลายเป็นอาจารย์คนหนึ่งของสำนักแล้ว
บุคลากรระดับนี้ย่อมได้รับการดูแลจากสำนักเป็นอย่างดี สำนักพงไพรแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือส่วนชายขอบ ส่วนที่สองคือส่วนพักอาศัย และส่วนสุดท้ายก็คือพื้นที่ส่วนชั้นใน
พื้นที่ส่วนชั้นในคือสิ่งใด ต้องบอกว่าเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญที่สุดของสำนักพงไพร เป็นดั่งแกนกลางและรากฐานที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ เรือนพักของเจ้าสำนัก มิติสวนสมุนไพรวิเศษ หอสมุดลับ คลังเมล็ดพันธุ์และคลังสมบัติวิเศษ ทั้งหมดนี้ล้วนตั้งอยู่ที่พื้นที่ส่วนชั้นในทั้งสิ้น
และในบรรดารากฐานทั้งหมดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนชั้นใน หนึ่งในสิ่งสำคัญของสำนักพงไพรก็คือหอเทพพฤกษา สถานที่ฝึกฝนที่มีไว้ให้สำหรับอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดเพียงไม่กี่คนของสำนักพงไพรเท่านั้น
แม้แต่อาจารย์หลายๆคนก็ยังไม่มีสิทธ์เข้าใช้หอเทพพฤกษา แต่รั่วอวี่กลับเป็นคนที่ได้รับสิทธิ์นั้น มิต้องบอกก็รู้ว่าฐานะของนางในสำนักพงไพรยิ่งใหญ่และสำคัญเพียงใด
ด้วยฐานะของนางต่อให้ซ่งไป่หลางมีระดับพลังเพียงขั้นก่อกำเนิดสำนักก็ต้องรับฟังคำขอของรั่วอวี่และให้โอกาสซ่งไป่หลางสำหรับทดสอบเข้าร่วมสำนัก
อย่างไรก็ตามการให้เข้าร่วมทดสอบมิได้หมายความว่าจะมีโอกาสเข้าร่วมอย่างแน่นอน หากสำนักพบว่าขาดแคลนคุณสมบัติอย่างร้ายแรงก็มีสิทธิ์ที่จะไม่รับไว้เช่นกัน
ด้านในส่วนตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าจะแบ่งออกเป็นส่วนตลาดและหอการค้า พื้นที่ตลาดจะเป็นพื้นที่โล่งที่เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเทพพฤกษาสามารถนำสมุนไพรที่ตนเองเก็บเกี่ยวหรือเพาะปลูกด้วยตนเองมาขายแลกกับสมบัติวิเศษหรือหยกศิลาลมปราณได้ ส่วนพื้นที่หอการค้าจะอยู่ภายใต้การดูแลโดยตรงของสำนัก มีหน้าที่ขายและรับซื้อสมุนไพรรวมถึงสมบัติวิเศษล้ำค่า นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่จัดประมูลให้กับสำนักพงไพรอีกด้วย
รั่วอวี่พาซ่งไป่หลางมายังด้านหน้าหอการค้าก่อนจะเอ่ยกับเด็กหนุ่ม “เจ้ารอข้าที่นี่ หรือจะออกไปเดินดูที่ตลาดรอบๆก็ได้ ทว่าอย่าได้ไปไกลจนเกินไป” นางส่งกำไลข้อมือที่ทำจากกิ่งไม้ให้กับซ่งไป่หลาง “นี่คือกำไลพฤกษาสื่อวิญญาณ เป็นสมบัติวิเศษระดับมหัศจรรย์ที่สามารถช่วยให้ข้ารับรู้ตำแหน่งของเจ้าในระยะหนึ่งหมื่นลี้ เจ้าใส่เอาไว้ข้าจะได้หาเจ้าเจอ”
“ข้าจะเข้าไปหาคนที่จะช่วยจัดการเรื่องการทดสอบเข้าสำนักของเจ้า คงจะใช้เวลาสักเล็กน้อยเท่านั้น” สิ้นคำนางก็ก้าวเข้าไปในหอการค้าทันที
ซ่งไป่หลางสวมกำไลพฤกษาสื่อวิญญาณเอาไว้ก่อนจะเริ่มมองไปยังพื้นที่ตลาดด้วยความสนใจ ‘สมแล้วที่เป็นสำนักพงไพร มีสมุนไพรวิเศษขายมากมายถึงเพียงนี้’
“ที่ตลาดภายนอกนางบอกว่าเป็นส่วนที่พวกลูกศิษย์นำสมุนไพรมาขายสินะ แม้จะมีสมุนไพรอยู่ค่อนข้างมากทว่าข้าไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถใช้ประโยชน์ได้มากนักในเวลานี้ สมุนไพรที่จะใช้สำหรับปรุงโอสถสำหรับช่วยในการฝึกฝนพลังของเจ้าจะต้องใช้สมุนไพรที่หาได้ยากและล้ำค่าอยู่มาก ข้าอยากให้เจ้าทดลองไปหาในหอการค้ามากกว่า” เซี่ยหยางเอ่ยออกมา
“ทว่าตอนนี้ข้าไม่มีหยกศิลาลมปราณเลยแม้แต่น้อย จากที่แม่นางรั่วอวี่บอกไว้ดูเหมือนว่าในสำนักพงไพรจะใช้หยกศิลาลมปราณในการแลกเปลี่ยนเป็นหลัก ดูเหมือนข้าจะต้องหาวิธีแลกเปลี่ยนแก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจและสมบัติวิเศษให้กลายเป็นหยกศิลาลมปราณเป็นอันดับแรก” ซ่งไป่หลางถอนหายใจออกมาเมื่อคิดว่าตนช่างยากจนเสียจริง
“เรื่องนี้ข้าคิดว่าหอการค้าน่าจะช่วยเจ้าได้มากกว่า สำหรับคนทั่วไปสมบัติวิเศษจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อต้องใช้มันเท่านั้น เจ้านำสมบัติวิเศษที่มีอยู่ไปหาคนแลกเปลี่ยนเกรงว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งวันก็ยังไม่อาจหาคนที่ต้องการแลกเปลี่ยนพบ แต่หอการค้านั้นยินดีแลกเปลี่ยนสมบัติวิเศษตลอดเวลา แม้จะได้ราคาไม่มากเท่าที่ควรแต่ก็นับว่าเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นแล้ว”
“อีกประการหนึ่งข้าไม่ได้คาดหวังให้เจ้าสามารถสรรหาหยกศิลาลมปราณได้มากพอสำหรับแลกเปลี่ยนสมุนไพรในเวลานี้ สมุนไพรที่ข้าคิดว่าเจ้าต้องใช้นับว่าล้ำค่าอย่างมาก เกรงว่าต่อให้นำสมบัติที่เจ้ามีทั้งหมดมาแลกก็อาจจะยังไม่เพียงพอ ข้าเพียงแค่อยากยืนยันว่าเจ้าสามารถหาสมุนไพรอะไรจากหอการค้าได้บ้างก็เท่านั้น”
“ส่วนเรื่องหยกศิลาลมปราณ ขอเพียงเจ้ามีความสามารถในการเพาะปลูกมากพอในอนาคตเจ้าอยากจะหามากเท่าใดก็หาได้โดยง่าย อย่างไรการค้าขายสมุนไพรก็เป็นตลาดหลักของสำนักพงไพรอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นสมุนไพรที่ท่านอาจารย์ต้องการมีอะไรบ้าง” ซ่งไป่หลางถามต่อ
“เรื่องรายละเอียดข้าก็ไม่มั่นใจนัก ทว่ารายชื่อของโอสถที่ข้าคิดเอาไว้มีอยู่สองชนิด หนึ่งคือโอสถชำระกายพิสุทธิ์ มีคุณสมบัติส่งเสริมพลังของร่างกายถึงขีดสุด เหมาะสมสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์เป็นอย่างมาก ว่ากันว่าหากได้รับโอสถชำระกายพิสุทธิ์จะทำให้ผู้มีพลังขั้นเหนือมนุษย์เลื่อนระดับขึ้นสามขั้นอย่างง่ายดาย”
“อย่างที่สองก็คือโอสถซึมซับฟ้าดิน จะช่วยให้ร่างกายของเจ้าสามารถดูดซับพลังภายนอกได้อย่างรวดเร็ว หากใช้โอสถนี้ฝึกฝนเจ้าย่อมมีโอกาสพัฒนาอวัยวะให้กลายเป็นระดับขั้นเหนือมนุษย์ได้สำเร็จในเวลาสั้นลงหลายเท่า”
“ข้าไม่รู้ว่าโอสถสองประเภทนี้ต้องใช้วัตถุดิบใดบ้างแต่พอจะคาดเดาได้บางส่วน โอสถชำระกายพิสุทธิ์ต้องใช้โอสถที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรที่มีฤทธิ์ชำระล้าง ส่วนโอสถซึมซับฟ้าดินต้องการสมุนไพรที่มีฤทธิ์ฟื้นฟูร่างกาย สมุนไพรสองประเภทนี้เก็บสะสมเอาไว้ก่อนย่อมสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้” เซี่ยหยางตอบกลับ
“อย่างไรก็ตามรอให้เจ้าได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักพงไพรอย่างแท้จริงเจ้าสามารถไปหาคนที่ผู้อาวุโสรั่วแนะนำให้กับเจ้า ข้าคิดว่าพวกมันน่าจะบอกเจ้าได้ว่าโอสถทั้งสองนี้มีส่วนประกอบใด และบางทีพวกมันอาจกระทั่งสามารถแนะนำโอสถที่ส่งผลดีต่อเจ้ามากกว่าได้”
เซี่ยหยางได้แต่ยอมรับว่าในแง่ของโอสถมันมีความรู้น้อยมากและไม่อาจแนะนำอันใดแก่ซ่งไป่หลางได้มากนัก สำนักพงไพรที่มีนักปรุงโอสถเก่งๆจำนวนมากจึงนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี หากมีอาจารย์ช่วยสอนศาสตร์แห่งการปรุงโอสถให้แก่ซ่งไป่หลางจะช่วยเติมเต็มสิ่งที่มันขาดหายไปได้
ซ่งไป่หลางเดินเข้าไปยังหอการค้าตามคำแนะนำของเซี่ยหยาง ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปด้านในของหอการค้า ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นขวางด้านหน้าของเด็กหนุ่มก่อนจะใช้สายตากวาดมองร่างของซ่งไป่หลางด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม
“เจ้าหนู เจ้าคิดจะทำอันใด”
ซ่งไป่หลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “อย่างที่ท่านเห็น ข้าต้องการเยี่ยมชมหอการค้าของสำนักพงไพร”
ชายวัยกลางคนพยายามปิดซ่อนรอยยิ้มเหยียดหยาม “เจ้าหนู หรือว่ามีผู้อาวุโสบางคนส่งเจ้ามาที่นี่?”
“ไม่ เข้าเพียงต้องการเยี่ยมชมด้วยตนเอง” ซ่งไป่หลางตอบกลับ
“เฮอะ เจ้าคิดว่าหอการค้าของสำนักพงไพรเป็นสถานที่เช่นใด อาศัยเจ้าที่มีพลังเพียงขั้นเหนือมนุษย์ทั้งยังดูขัดสนเงินทองอย่างยิ่ง คิดหรือว่าเจ้าจะมีปัญญาหยิบซื้อสินค้าใดของหอการค้าได้”
“หรือว่าหอการค้าแห่งนี้มิต้อนรับลูกค้า?” ซ่งไป่หลางถามกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
ชายวัยกลางคนแค่นเสียง “พวกเราย่อมต้อนรับลูกค้า ทว่าเจ้ามิใช่ลูกค้าของพวกเรา หากว่าเจ้ามีปัญญาหาหยกศิลาลมปราณให้ได้สักหนึ่งร้อยก้อน ข้าจึงจะยอมรับว่าเจ้าเป็นลูกค้าของหอการค้าแห่งนี้”
ผู้คนจำนวนมากที่โถงทางเข้าของหอการค้าต่างมองมาที่ซ่งไป่หลาง หลายคนมองด้วยสายตาเหยียดหยาม บางคนมองด้วยความรู้สึกเห็นใจ
“ข้าไม่มีหยกศิลาลมปราณ” ซ่งไป่หลางตอบกลับทำให้ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงดังก่อนจะเตรียมขับไล่ซ่งไป่หลางออกไปอีกครั้ง “ทว่าข้ามีสมบัติระดับลึกลับและมหัศจรรย์นำมาขายให้กับหอการค้าแห่งนี้ หากหอการค้าไม่ต้องการนับข้าเป็นลูกค้าเช่นนั้นก็ช่างมันเถิด”
กล่าวจบซ่งไป่หลางก็หันหลังเดินกลับออกจากหอการค้า
ด้วยพลังระดับราชันยุทธ์ของอีกฝ่าย ซ่งไป่หลางย่อมไม่มีทางเอาชนะได้แม้จะสามารถอาศัยเซี่ยหยางช่วยเหลือสังหารมันได้อย่างง่ายดาย ทว่าหากมิจำเป็นซ่งไป่หลางก็ไม่ต้องการให้อาจารย์ออกหน้าช่วยเหลือมากจนเกินไป
อีกทั้งต่อให้สังหารราชันยุทธ์ผู้นี้ได้แต่ก็เท่ากับเป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักพงไพร นี่ย่อมมิใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาด
แม้จะโกรธเกรี้ยวเพียงใดซ่งไป่หลางก็ต้องเลือกทางถอย อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มมิคิดจะถอยหนีอย่างคนขี้ขลาด ยังคงวางลูกเล่นบางอย่างที่จะใช้หักหน้าอีกฝ่ายในอนาคตอย่างร้ายกาจ
“เฮอะ ฝีมือระดับเจ้ากล้าอวดอ้างว่ามีสมบัติระดับมหัศจรรย์เชียวรึ หากเจ้ามีปัญญาหยิบสมบัติระดับมหัศจรรย์ออกมาจริง ข้าจะยอมก้มหัวคำนับเจ้า” ชายกลางคนหัวเราะด้วยความขบขัน สมบัติระดับมหัศจรรย์คือสิ่งใด แม้แต่ราชันยุทธ์อย่างมันยังมีสมบัติระดับนี้ครอบครองเพียงสองชิ้นเท่านั้น มันย่อมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าซ่งไป่หลางจะมีสมบัติระดับมหัศจรรย์ในครอบครอง
ร่างของซ่งไป่หลางพลันหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมาหาชายวัยกลางคน มุมปากเผยรอยยิ้มเยือกเย็น “ท่านพูดว่าอันใดนะ?”
“ข้าพูดว่า หากเจ้ามีปัญญาหยิบสมบัติระดับมหัศจรรย์ออกมาจริง ข้าจะยอมก้มหัวคำนับเจ้า” ชายวัยกลางคนทวนคำ
ซ่งไป่หลางพลันตอบกลับทันที “ยอดฝีมือระดับท่านคงมีเกียรติและรักษาคำพูดกระมัง อีกทั้งพื้นที่นี้ก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย หวังว่าท่านจะไม่กลับคำภายหลัง”
สีหน้าของชายกลางคนพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่ามันยังคงไม่เชื่อว่าซ่งไป่หลางมีสมบัติระดับมหัศจรรย์อยู่จริง เป็นไปได้ว่าซ่งไป่หลางเพียงแค่ต้องการขู่ให้มันรู้สึกกลัวเท่านั้น
“เช่นนั้นท่านก็ก้มหัวคำนับข้าเสียเถอะ” ซ่งไป่หลางพลันหยิบกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ กระบี่ระดับมหัศจรรย์ที่ได้รับมาจากลูกศิษย์ของนิกายบัวสวรรค์ ผู้มีพลังขั้นจักรพรรดิมนุษย์
เมื่อกระบี่เล่มนี้ถูกหยิบออกมา เสียงอุทานพลันดังขึ้นจากทั่วบริเวณ แม้สมบัติระดับมหัศจรรย์จะมิถึงกับเป็นสุดยอดสมบัติที่หายากทว่ามันยังคงเป็นสมบัติระดับสูงสำหรับหลายๆคน มิใช่สิ่งที่ผู้มีพลังขั้นเหนือมนุษย์จะครอบครองได้โดยง่าย
หากซ่งไป่หลางมีเบื้องหลังเป็นตระกูลใหญ่ของดินแดนเทพพฤกษาเรื่องนี้ย่อมไม่ประหลาด แต่ซ่งไป่หลางเป็นเพียงเด็กหนุ่มไม่มีหัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่ง เหตุใดจึงถือครองสมบัติระดับนี้ได้
“ว่าอย่างไร ท่านจะคำนับข้าหรือไม่” ซ่งไป่หลางถามย้ำด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
