ตอนที่ 72 : ตอนที่ 68 เรื่องเล่าดินแดนตราสูญ
ซ่งไป่หลางทะยานร่างเข้าหาอู๋ตงไห่ด้วยความเร็วสูง ดวงตาทอประกายอำมหิตอย่างยิ่ง
“เจ้า... เจ้ากลับยังไม่ตาย” อู๋ตงไห่อุทานด้วยความตกตะลึง
ต่อให้ซ่งไป่หลางไม่ตายด้วยการโจมตีของมันทว่าภายในพื้นที่ที่แม้แต่มันยังไม่อาจใช้ประสาทสัมผัสได้อย่างเต็มกำลัง เป็นไปได้หรือว่าซ่งไป่หลางจะสามารถหาทางหลบหนีออกมาได้
อีกทั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงระดับพลังของซ่งไป่หลางร่างกายของมันก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างหยุดไม่ได้ “เจ้า... เวลาเพียงสามเดือนกลับพัฒนาขึ้นมาจนถึงขั้นเหนือมนุษย์แล้ว”
“ถูกต้อง อู๋ตงไห่ วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า” ซ่งไป่หลางหัวเราะน้ำเสียงเย็นชา
“หรือว่าเจ้าเป็นเหมือนกับโหวปิงหยุนและซานตง ไม่สิ พลังของเจ้ายังไม่อาจทัดเทียมกับพวกมัน อีกทั้งเจ้ายังคงดูมีสติสัมปชัญญะเป็นของตนเอง” อู๋ตงไห่พึมพำเสียงเบา
‘หืม’ ซ่งไป่หลางประหลาดใจเล็กน้อย ‘อาจารย์ ดูเหมือนว่าช่วงระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมาจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น’
“อืม อันที่จริงข้าสัมผัสได้ถึงร่องรอยเลือนรางของพลังระดับขั้นราชันยุทธ์ ไม่แน่ว่าอาจมียอดฝีมือลึกลับปรากฏตัวออกมา อย่างไรก็ตามตราบใดที่มันไม่ได้อยู่ใกล้เกินไป พวกเรายังไม่ต้องกังวลมากนัก” เซี่ยหยางตอบกลับ
“ซ่งไป่หลาง เจ้าต้องการที่จะสังหารข้ารึ?” อู๋ตงไห่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“อู๋ตงไห่ เมื่อสามเดือนที่แล้วเจ้าได้ไล่ล่าสังหารและบีบคั้นข้าอย่างหนัก วันนี้ข้ากลับมาอยู่ตรงหน้าเจ้าพร้อมกับพลังที่แข็งแกร่งพอที่จะสังหารเจ้าได้ มีหรือที่ข้าจะปล่อยโอกาสเช่นนี้หลุดลอยไป” ซ่งไป่หลางยิ้มเหี้ยม “จงรับโทสะของข้าไปซะ”
“หากเจ้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ข้าจะสังหารหลินหลันเทียนเสีย” อู๋ตงไห่ฉวยโอกาสคว้าร่างของหลินหลันเทียนเข้าใกล้ตัวจากนั้นใช้มืออีกข้างหนึ่งจ่อกระบี่ไว้ที่ลำคอของชายหนุ่ม
หลินหลันเทียนเผยรอยยิ้มลี้ลับ ราวกับว่ามันคาดเดาเอาไว้ก่อนแล้วดังนั้นพริบตาที่อู๋ตงไห่เคลื่อนไหวร่างของมันพลันถูกปกคลุมไปด้วยม่านโคลนและหายไปจากจุดเดิมอย่างรวดเร็ว
“บัดซบ” อู๋ตงไห่ไม่คิดเลยว่าหลินหลันเทียนจะสามารถหลุดรอดจากการจับกุมของตนได้ ทว่ามันไม่อาจตามไปจับหลินหลันเทียนได้อีกเนื่องจากซ่งไป่หลางได้ทะยานร่างเข้าหามันด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
ฝ่ามือบัวสวรรค์สามชั้นฟ้า
ภาพของดอกบัวทั้งสามปรากฏขึ้นซ้อนทับกันและประทับลงบนร่างของอู๋ตงไห่ สีหน้าของอู๋ตงไห่แปรเปลี่ยนในทันที มันตระหนักได้ถึงพลังทำลายล้างที่สามารถคุกคามชีวิตของมันได้อย่างรุนแรง
“ซ่งไป่หลาง เจ้าอย่าได้เกินเลยไปนัก”
เคล็ดกระบี่วายุคลั่งคลุมสมุทร ตัดมหาสมุทร
กระบี่ของอู๋ตงไห่วาดออกหนึ่งเส้นประดุจเข็มเล่มเล็กที่พุ่งตัดผ่านเส้นขอบฟ้า พลังทำลายล้างและฉีกกระชากที่แฝงอยู่ภายในกระบี่นี้ทรงพลังจนแม้แต่หลินหลันเทียนยังหายใจติดขัดไปหนึ่งจังหวะ ทว่าทันทีที่เส้นกระบี่นี้ปะทะเข้ากับภาพดอกบัวทั้งสามมันกลับแตกสลายไปอย่างเปราะบาง โดยที่ภาพของดอกบัวไม่มีแม้แต่ความเสียหายสักเศษเสี้ยว
อู๋ตงไห่สีหน้าซีดขาวประดุจซากศพ มันไม่คิดเลยว่าฝ่ามือบัวสวรรค์ของซ่งไป่หลางที่มันเคยทำลายทิ้งได้โดยง่ายบัดนี้กลับบดขยี้พลังกระบี่ของมันได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก
“อู๋ตงไห่ ข้าเคยสาบานเอาไว้ว่าจะกลับมาชำระแค้นหลังจากที่ข้ารอดไปได้ นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ” ซ่งไป่หลางแค่นเสียงพร้อมกับผลักดันให้ฝ่ามือบัวสวรรค์บดขยี้ร่างของอู๋ตงไห่
กร๊อบ “อ้ากก” อู๋ตงไห่กรีดร้องออกมา มันรู้สึกได้ถึงแรงปะทะอันเกรี้ยวกราดที่บดขยี้ร่างกายและกระดูกของมันอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าร่างกายอันแข็งแกร่งของมันเป็นเพียงกิ่งไม้แสนเปราะบางชิ้นหนึ่งเท่านั้น
“ซ่งไป่หลาง หากเจ้าสังหารข้าเจ้าจะต้องถูกผู้ที่อยู่เบื้องหลังโหวปิงหยุนและซานตงสังหารเป็นแน่” อู๋ตงไห่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดพลางข่มขู่ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
ซ่งไป่หลางเลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้าเอ่ยเรื่องอันใดกัน”
“ซ่งไป่หลาง แค่ก เจ้าจงหยุดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นเจ้าจะต้องเผชิญกับหายนะที่ไร้จุดจบ” อู๋ตงไห่เอ่ยต่ออย่างยากลำบาก
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เข้าใจสถานการณ์ของตนเองสักเท่าใดนัก อู๋ตงไห่ ข้าในเวลานี้สนใจเพียงความแค้นที่เจ้าเคยก่อขึ้น มิได้ใส่ใจเรื่องอื่นใดอีก” ซ่งไป่หลางยิ้มอย่างเย้ยหยันและเร่งพลังของฝ่ามือบัวสวรรค์ไปอีกขั้นหนึ่ง
“อ... ซ่งไป่หลาง จงปล่อยข้าเสียเถอะ ข้าขอร้องเจ้า ข้ามิได้ต้องการตบตาหรือข่มขู่เจ้าแม้แต่น้อย”
“ย่อมได้ ข้าจะยังไม่สังหารเจ้า ทว่าหากสิ่งที่เจ้าพูดต่อจากนี้ไม่มีประโยชน์อันใดต่อข้า ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้เจ้ามีลมหายใจอยู่ต่อเช่นกัน” ซ่งไป่หลางสลายพลังของฝ่ามือบัวสวรรค์ทิ้งก่อนจะจ้องมองร่างอันไร้เรี่ยวแรงของอู๋ตงไห่ร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างเย็นชา
อู๋ตงไห่กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ดวงตาของมันสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว ไม่คิดเลยว่าตัวตนของมันที่นับได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในทวีปห้าสมุทรจะถูกบดขยี้ลงอย่างง่ายดายโดยฝีมือของเด็กหนุ่มที่เพิ่งพัฒนาขึ้นเป็นขั้นเหนือมนุษย์ได้ไม่นาน
“จงเล่าสิ่งที่จำเป็นมาซะ” ซ่งไป่หลางเอ่ยย้ำ
“อ... ซ่งไป่หลาง ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารอดมาจากพื้นที่แปลกประหลาดนั้นได้เช่นใด ทว่าบางทีเจ้าคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาสามเดือนตั้งแต่ที่เจ้าหายไป” อู๋ตงไห่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมด
หลินหลันเทียนส่ายหน้าช้าๆ “อาวุโสอู๋ ข้าเองแม้จะแยกตัวกับผู้คนทันทีที่เข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ทว่าก่อนหน้านี้เนื่องจากได้พบปะกับคนของแคว้นขุนเขาโลหิตจึงทราบว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับซานตง คล้ายกับว่ามันได้รับสมบัติวิเศษอันน่าเหลือเชื่อบางอย่างจากดินแดนแห่งนี้ พลังของมันทะยานไปจนถึงระดับที่ไม่อาจประเมินได้ ทว่าบุคลิกนิสัยของมันกลับผิดแปลกไปทั้งยังไม่สนใจสิ่งใดนอกจากการพยายามทำลายม่านพลังของพวกชนเผ่าพื้นเมืองให้จงได้”
อู๋ตงไห่หัวเราะอย่างเจ็บปวด “เจ้าเอ่ยถูกแล้ว ซานตง ไม่สิ ไม่เพียงแค่ซานตง ยังมีโหวปิงหยุนอีกผู้หนึ่ง พวกมันทั้งสองคนได้รับพลังอันน่าตกตะลึงที่พวกเราไม่อาจหยั่งวัด ทว่าพลังนั้นมิใช่สมบัติวิเศษหรือพรอันใด เป็นเพียงคำสาปอันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น พวกมันทั้งสองในเวลานี้กลายเป็นเพียงหุ่นเชิดของเจ้าของพลังนั้น และถูกใช้เพื่อจัดการกับชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นผู้สร้างผนึกนั้นขึ้นมา”
“ชนเผ่านพื้นเมือง?” ซ่งไป่หลางทวนคำดวงตาฉายแววประหลาดใจ
“ข้าไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด ทว่าก่อนหน้านี้ข้าได้พบกับซานตง มันได้สั่งให้คนของวังจักรพรรดิห้าสมุทรติดตามมันไปยังสถานที่ที่มีผนึกสูญสลายเพื่อลดทอนพลังของผนึกลง ขณะเดียวกันมันได้สั่งให้ข้ารวบรวมคนของดินแดนเราให้แก่มันเพื่อช่วยลดทอนพลังของผนึกส่วนที่เหลือ”
“ทว่าการลดทอนผนึกเป็นเพียงผลลัพธ์เล็กๆน้อยๆเท่านั้น เป้าหมายหลักของพวกมันก็คือการทำลายม่านพลังของชนพื้นเมือง เพื่อทำลายตราผนึกอย่างสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันผู้ที่ยึดครองร่างของมันยังเอ่ยอีกว่ามันเคยได้สร้างแผนสำรองนั่นก็คือการใช้เจ้าเป็นภาชนะเช่นเดียวกับที่มันใช้ซานตงและโหวปิงหยุน” อู๋ตงไห่มองไปยังร่างของซ่งไป่หลางด้วยความรู้สึกซับซ้อน
ซ่งไป่หลางตกตะลึงไปเล็กน้อย ขณะเดียวกันเสียงของเซี่ยหยางได้ดังขึ้น “นี่ไม่น่าแปลกใจนัก หากมันสามารถยึดครองร่างของซานตงหรือโหวปิงหยุนได้โดยสมบูรณ์มันย่อมได้รับความทรงจำของพวกมันไปด้วย ศักยภาพของเจ้านับว่ามากพอที่จะดึงดูดความสนใจของตัวตนเช่นนั้น ดูจากการที่มันสามารถเปลี่ยนคนสองคนให้กลายเป็นหุ่นเชิดที่มีพลังเหนือกว่าขั้นราชันยุทธ์ได้ มันน่าจะเป็นต้วตนระดับจักรพรรดิปฐพีเป็นอย่างน้อย”
สีหน้าของซ่งไป่หลางซีดเผือดลงในทันที ตัวตนระดับจักรพรรดิปฐพี นี่มันเกินขอบเขตที่จะรับมือได้มากเกินไปแล้ว
“ดินแดนแห่งนี้มีทั้งโอกาสอันยอดเยี่ยมและอันตรายอันน่าตื่นตะลึงอย่างแท้จริง ทว่าที่ข้าสนใจยิ่งกว่ากลับเป็นตราผนึกที่สามารถผนึกตัวตนขั้นจักรพรรดิปฐพีได้สำเร็จ ตราผนึกสูญสลาย เป็นชื่อที่คุ้นหูยิ่งนัก” เซี่ยหยางครุ่นคิดเล็กน้อย
“อู๋ตงไห่ เจ้าเอ่ยว่ามันต้องการให้เจ้ารวบรวมคนของดินแดนเราเพื่อนำไปใช้ในการลดทอนพลังของผนึก เจ้าคิดจะทำตามความต้องการของมัน?” ซ่งไป่หลางเอ่ยถาม
อู๋ตงไห่สีหน้าไม่สู้ดีนัก “แน่นอนว่าไม่ แม้ว่าอู๋จื่อลู่และคนอื่นๆของวังจักรพรรดิห้าสมุทรจะตกอยู่ในกำมือของพวกมันทว่าการยอมทำตามสิ่งที่มันต้องการไม่ใช่เป้าหมายของข้า ข้าต้องการกลับไปยังวังจักรพรรดิห้าสมุทรเพื่อหารือกับท่านจักรพรรดิในการจัดการกับปัญหานี้”
“อ้อ” ซ่งไป่หลางพยักหน้าช้าๆ “เช่นนั้นภายในวันพรุ่งนี้หลังจากประตูเชื่อมดินแดนเปิดออก เจ้าจงนำคนทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่กลับไปยังวังจักรพรรดิห้าสมุทร จากนั้นทำลายประตูเชื่อมดินแดนเสีย อย่าได้ปล่อยให้ซานตงและโหวปิงหยุนสามารถเดินทางกลับไปยังดินแดนของพวกเราได้”
อู๋ตงไห่ประหลาดใจเล็กน้อย “ซ่งไป่หลาง ฟังจากคำพูดของเจ้า หรือว่าเจ้าไม่คิดจะกลับไปยังวังจักรพรรดิห้าสมุทรพร้อมกับคนอื่นๆ”
ซ่งไป่หลางถอนหายใจ “อู๋ตงไห่ เจ้าคงคิดว่าจะพึ่งพาอำนาจของสำนักห้วงทมิฬเพื่อจัดการกับซานตงและโหวปิงหยุนสินะ ทว่านั่นเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ หั่วเฟยมิมีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับพวกมันได้ หากเป็นระดับราชันยุทธ์ของสำนักห้วงทมิฬออกหน้าเองก็อาจจะยังพอรับมือได้บ้าง ทว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังซานตงและโหวปิงหยุนนั้นยังเหนือล้ำยิ่งกว่าขั้นราชันยุทธ์ไปอีก เจ้าคิดจริงๆหรือว่าสำนักห้วงทมิฬจะยินยอมจัดการกับปัญหาที่อันตรายถึงเพียงนี้ อย่างมากที่สุดพวกมันก็เพียงตัดขาดจากดินแดนของเราเท่านั้น พวกมันยังมีหนทางในการเก็บเกี่ยวทรัพยากรอีกมากมาย ส่วนดินแดนของเราก็จะถูกทอดทิ้งและต้องพบเจอกับหายนะโดยลำพัง”
“หากซานตงหรือโหวปิงหยุนกลับไปยังดินแดนของพวกเรา หรือกระทั่งสิ่งที่อยู่เบื้องหลังนั้นหลุดไปยังดินแดนของเรา ถึงเวลานั้นมีเพียงความดับสูญเท่านั้นที่รอพวกเราทั้งหมดอยู่ จงอย่าได้ลังเลที่จะทำลายประตูเชื่อมดินแดน และพยายามผนึกการเชื่อมต่อเอาไว้ให้แน่นหนาที่สุด” ซ่งไป่หลางเอ่ยอย่างเด็ดขาด
“ในส่วนของข้า เนื่องจากข้ามีแผนการที่จะเดินทางไปยังดินแดนต่างๆอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงมิจำเป็นต้องกลับไปยังวังจักรพรรดิห้าสมุทรอีก อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังมีผลประโยชน์ให้ข้าเก็บเกี่ยวอีกไม่น้อย ซานตงและโหวปิงหยุนรวมทั้งสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพวกมันเองยังมีปัญหาของตัวเองให้ต้องสะสาง ย่อมไม่ใส่ใจคนที่พวกมันคิดว่าตายไปแล้วเช่นข้า” ซ่งไป่หลางยิ้มอย่างเยือกเย็น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่าเอื้อประโยชน์ให้กับมันไม่น้อย
“ถือว่าเจ้าตัดสินใจได้ค่อนข้างดี ทว่าน่าเสียดายที่ปัญหาในครั้งนี้เจ้าดูคล้ายจะต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว” เซี่ยหยางถอนหายใจออกมา
ซ่งไป่หลางเลิกคิ้วก่อนจะสนทนาทางจิตวิญญาณกับเซี่ยหยาง “อาจารย์ท่านหมายความว่า?”
“ทันทีที่เจ้าลงมือกับอู๋ตงไห่ ใครบางคนได้ค้นพบตัวตนของเจ้าและกำลังมายังสถานที่แห่งนี้”
“หรือจะเป็นซานตงและโหวปิงหยุน” ซ่งไป่หลางขมวดคิ้วทันที มันไม่ต้องการกลายเป็นจุดสนใจของสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคนทั้งสองที่น่าจะมีพลังระดับขั้นจักรพรรดิ
“มิใช่ ข้ารับรู้ได้โดยคร่าวๆว่ามันมีพลังขั้นราชันยุทธ์ ทว่าได้รับบาดเจ็บเนื่องจากเหตุผลบางอย่าง ทว่ามันได้ใช้วิธีการพิเศษในการตรวจสอบพื้นที่บริเวณประตูเชื่อมดินแดนตลอดเวลาดังนั้นจึงสามารถรับรู้ถึงตัวตนของเจ้าได้ในทันที” เซี่ยหยางตอบกลับ
“พิจารณาจากความเร็วของมัน มันใกล้จะมาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว”
ซ่งไป่หลางถอนหายใจ “หลินหลันเทียน จงนำจดหมายฉบับนี้กลับไปยังแคว้นสิบนภาและมอบให้กับเจ้านิกายบัวสวรรค์แทนข้า ข้าขอฝากฝังเจ้าในเรื่องนี้”
ดวงตาของเด็กหนุ่มกวาดมองร่างของอู๋ตงไห่อย่างเย็นชา “อู๋ตงไห่ ข้ามิสังหารเจ้านับว่าเป็นความเมตตาครั้งหนึ่ง แม้ข้าจะไม่ได้มีความตั้งใจที่จะกลับไปในเร็วๆนี้ทว่าสักวันข้าย่อมกลับไปเยือนนิกายบัวสวรรค์ หากข้ารู้ว่าเจ้าแตะต้องหลินหลันเทียนหรือกระทั่งแคว้นสิบนภา ทันทีที่ข้ากลับไปข้าจะทำลายวังจักรพรรดิห้าสมุทรของพวกเจ้าจนพังพินาศ แม้แต่ชีวิตของไก่และสุนัขสักตัวก็จะไม่หลงเหลือเอาไว้โดยเด็ดขาด”
อู๋ตงไห่สั่นสะท้านเล็กน้อย “ซ่งไป่หลาง เดิมทีปัญหาของพวกเราก็คือความหวาดกลัวต่อศักยภาพของเจ้า ทว่าหากเจ้ายืนยันว่าจะไม่กลับไปยังดินแดนของพวกเรา เช่นนั้นพวกเรายังมีเหตุผลใดที่จะต้องสร้างความบาดหมางอีก ข้าขอใช้เกียรติของข้าเป็นหลักประกัน หลังจากกลับไปยังวังจักรพรรดิห้าสมุทร ไม่เพียงข้าจะไม่แตะต้องแคว้นสิบนภา ข้ายังจะบอกให้องค์จักรพรรดิมอบของขวัญล้ำค่าให้กับแคว้นของเจ้า ยกระดับแคว้นสิบนภาขึ้นมาแทนที่แคว้นรวมธาราและแคว้นเหมันต์วารีอีกด้วย”
“เฮอะ คำพูดของเจ้าข้ามิใคร่จะเชื่อนัก อย่างไรก็ตามหากเจ้ากล้าแตะต้องแคว้นสิบนภาจงเตรียมใจที่จะถูกทำลายทั้งโคตรได้เลย” ซ่งไป่หลางแค่นเสียงก่อนจะทะยานร่างจากไป
“หืม” ห่างออกไปประมาณสามสิบลี้ ชายชราผู้หนึ่งชะงักร่างของตนก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “นับว่าเป็นเจ้าหนูที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ถึงกับรับรู้การเคลื่อนไหวของข้าจากระยะทางเช่นนั้น”
ชายชราผู้นี้ก็คือผู้เฒ่าของเผ่าผู้ผนึกที่เคยส่งโหวปิงหยุนเข้าสู่ซากโบราณ แม้ว่าอาการบาดเจ็บภายในของมันจะได้รับการรักษาฟื้นฟูทว่าก็ไม่อาจฟื้นพลังกลับคืนสู่ระดับดังเดิมของมมันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นมันจึงไม่อาจรับมือกับโหวปิงหยุนและซานตงได้
สิ่งเดียวที่มันทำได้คือการเปิดใช้ตราประทับผนึกเพื่อคุ้มครองพื้นที่ของชนเผ่าผู้ผนึกเอาไว้ชั่วคราว ทำให้ซานตงและโหวปิงหยุนมิอาจยุ่งเกี่ยวกับชนเผ่าผู้ผนึกได้ ทว่านี่เป็นเพียงการถ่วงเวลาอันไร้ค่าเท่านั้น
ตลอดเวลาสามเดือนที่ผ่านมามันทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการออกตามหาคนที่มาจากต่างแดนเพื่อค้นหาว่ามีใครที่น่าจะพอมีคุณสมบัติในการทำตามแผนการของมัน แม้จะเจอเพียงผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังทว่ามันก็ได้รับรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับคนผู้หนึ่งที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มที่สามารถเอาชนะผู้คนที่มีระดับพลังเหนือกว่าหลายขั้น อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมราวกับปีศาจ แม้ว่าจะไม่อาจพบเจอทว่าชายชรากลับรู้สึกคาดหวังในตัวตนของซ่งไป่หลางเป็นอย่างมาก
มันได้รู้เกี่ยวกับสถานที่และเวลาที่คนจากต่างแดนนัดหมายกันในการเดินทางกลับผ่านประตูเชื่อมดินแดน ดังนั้นมันจึงได้วางผนึกตรวจสอบเอาไว้ ทันทีที่ซ่งไป่หลางเริ่มต่อสู้กับอู๋ตงไห่ มันก็รับรู้ได้ถึงตัวตนของซ่งไป่หลางแล้ว
นึกไม่ถึงขณะที่มันกำลังเร่งเดินทางมาหาซ่งไป่หลาง กลับพบว่าอีกฝ่ายรับรู้ได้ทั้งยังเคลื่อนที่มาหามันเช่นกัน
“ประหลาดนัก พลังขั้นหนึ่งเหนือมนุษย์ ไม่สิ ยังไม่ใช่ขั้นเหนือมนุษย์ที่แท้จริง” ชายชราประเมินพลังในร่างของซ่งไป่หลางในพริบตา “จากข่าวที่ข้าได้รับมา เมื่อสามเดือนที่แล้วมันเป็นเพียงขั้นสามเที่ยงแท้เท่านั้น เวลาสามเดือนกลับพัฒนาได้รวดเร็วเพียงนี้ เป็นไปได้ด้วยงั้นหรือ”
“ผู้อาวุโส ท่านคงเป็นชนพื้นเมืองของดินแดนแห่งนี้” ซ่งไป่หลางกวาดตามมองร่างของชายชราด้วยความรู้สึกตื่นตัว คนผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งถึงขั้นราชันยุทธ์ นับว่าทรงพลังเกินกว่าที่มันจะรับมือไหวอย่างแท้จริง
“เจ้าก็คือซ่งไป่หลาง ข้าได้ยินนามของเจ้ามาก่อนแล้ว” ชายชราเอ่ยพลางมองสำรวจร่างของเด็กหนุ่ม
“ท่านรีบร้อนมาหาข้า นั่นย่อมหมายความว่าท่านต้องการอะไรบางอย่างจากข้า” ซ่งไป่หลางถามหยั่งเชิง “หากข้าสามารถช่วยเหลือท่านได้ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ ทว่าหากมันเป็นสิ่งที่อันตรายเกินไปหรือข้าไม่อาจกระทำ ข้าย่อมไม่อาจตอบรับเช่นกัน”
ชายชราคลี่ยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนเล็กน้อย “เจ้าหนู สถานการณ์ของข้าทำให้ข้าไม่มีทางเลือก แม้ว่าระดับพลังของเจ้าจะนับได้ว่าค่อนข้างต่ำ ทว่าพลังต่อสู้ของเจ้ายังนับว่าค่อนข้างดี บางทีอาจสามารถช่วยเหลือชีวิตของชนเผ่าผู้ผนึกทั้งหมดได้สำเร็จ”
“ชนเผ่าผู้ผนึก?”
“เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจในฐานะผู้มาขอร้อง ข้าจะขอเล่าเรื่องราวของดินแดนตราสูญแห่งนี้รวมทั้งเรื่องของชนเผ่าผู้ผนึกและศัตรูของพวกเราให้แก่เจ้า” ชายชราถอนหายใจก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวของมัน
สามร้อยปีก่อน ดินแดนตราสูญเป็นดินแดนที่สงบสุขและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังธรรมชาติที่บริสุทธิ์หนาแน่น อย่างไรก็ตามดินแดนแห่งนี้แทบไม่เคยมีการเชื่อมต่อกับภายนอกมาก่อน ผู้คนที่เกิดภายในดินแดนนี้รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆล้วนมีพลังแข็งแกร่งและร่างกายที่สมบูรณ์เนื่องจากความบริสุทธิ์ของพลังธรรมชาติ ทว่าในแง่ของวิชาต่อสู้ของมนุษย์กลับอ่อนแอเสียจนน่าสมเพชอย่างยิ่ง
ดังนั้นมนุษย์จึงต้องอาศัยอยู่อย่างยากลำบาก ไม่อาจต้านทานพลังของสัตว์ปีศาจที่อาศัยเพียงร่างกายในการต่อสู้ได้ ในที่สุดจำนวนของมนุษย์ได้ลดน้อยลงจนน่าใจหาย
ขณะที่จำนวนมนุษย์และพื้นที่ที่มนุษย์ครอบครองอยู่ลดน้อยถอยลง บุรุษผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาบนดินแดนแห่งนี้ราวกับเป็นปาฏิหาริย์จากสวรรค์ และบุรุษผู้นี้ได้สรรค์สร้างวิชาที่ถูกเรียกขานว่าตราผนึกเทวะขึ้นมา
ตราผนึกเทวะคือจุดเริ่มต้นของชนเผ่าผู้ผนึก และเป็นการพลิกกลับของสถานการณ์ บุรุษผู้นั้นสร้างพื้นที่ให้กับมนุษย์และทำให้ชนเผ่าผู้ผนึกเข้าสู่ยุครุ่งเรืองที่มิต้องหวาดกลัวต่อสัตว์ปีศาจตนใดอีก
ทว่าความรุ่งเรืองนั้นคงอยู่ได้เพียงสามสิบกว่าปี ก่อนที่ฝันร้ายที่มีนามว่าจักรพรรดิอสรพิษมารจะปรากฏตัวขึ้นจากประตูเชื่อมดินแดนที่ถูกเปิดขึ้นเป็นครั้งแรกบนดินแดนตราสูญแห่งนี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอบคุณมาก