ตอนที่ 71 : ตอนที่ 67 สัมผัสขั้นเหนือมนุษย์
ภายในพื้นที่ค่ายกลธรรมชาติ ซ่งไป่หลางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะลืมตาขึ้น ดวงตาคมจ้องมองไปยังพื้นที่ค่ายกลธรรมชาติด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า
พลังระดับสูงสุดขั้นเที่ยงแท้พลันระเบิดพวยพุ่งออกมาจากร่างของเด็กหนุ่ม ฝ่ามือข้างขวาถูกหลอมรวมเข้ากับพลังลมปราณก่อนจะซัดเข้าใส่พื้นที่ค่ายกลธรรมชาติอย่างรุนแรง
“ย้ากกก”
ซ่งไป่หลางกัดฟันแน่น หลังจากฝ่ามือของเด็กหนุ่มสัมผัสกับพื้นที่ของค่ายกลธรรมชาติแรงต้านทานอันรุนแรงก็ได้บีบเข้าหาร่างของซ่งไป่หลางอย่างรุนแรง
ฝ่ามือบัวสวรรค์สองชั้นฟ้า
ตูม!! ฝ่ามือของซ่งไป่หลางจมลึกเข้าไปในเขตพื้นที่ด้านในของค่ายกลธรรมชาติอีกเล็กน้อย
เคล็ดกายาบัวพิสุทธิ์!!
วู้ม! สัญลักษณ์ดอกบัวปรากฏขึ้นบนหน้าผากของซ่งไป่หลาง พร้อมกันนั้นมันยกระดับพลังของซ่งไป่หลางให้กลายเป็นสองเท่าตัวในพริบตา
“ฮ่า” ซ่งไป่หลางพ่นลมหายใจระเบิดพลังออกอีกหนึ่งระลอกผลักฝ่ามือเข้าไปในส่วนของค่ายกลธรรมชาติให้ลึกยิ่งขึ้น
ยิ่งฝ่าเข้าไปได้ลึกมาเท่าใดพลังสะท้อนจากค่ายกลธรรมชาติก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ซ่งไป่หลางไม่รอช้าดูดซับพลังงานที่รั่วไหลของค่ายกลธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายอย่างบ้าคลั่ง พลังที่เพิ่งเลื่อนถึงระดับขั้นห้าเที่ยงแท้บัดนี้ได้เริ่มไต่ทะยานขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วราวกับน้ำทะลักสู่เขื่อน
สีหน้าของซ่งไป่หลางยิ่งนานยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว พลังกดทับของค่ายกลธรรมชาติที่รั่วไหวออกมานั้นรุนแรงเกินไป ต่อให้ซ่งไป่หลางจะมีโลหิตศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งก็ยังไม่อาจต้านทานได้โดยง่าย
ทว่าเมื่อนึกถึงน้องสาวของตนที่อยู่ในระดับห่างไกลออกไปทำให้แววตาของซ่งไป่หลางไม่มีแม้แต่ความสั่นไหวหรือความขลาดกลัว มีเพียงความมุ่งมั่นถึงขีดสุดเท่านั้น
“ข้ายังต้องแข็งแกร่งขึ้นอีก” ซ่งไป่หลางคำรามกร้าว
แม้เดิมทีเงื่อนไขของเซี่ยหยางจะตั้งเอาไว้ว่าให้ฝึกถึงเพียงขั้นห้าเที่ยงแท้จึงจะออกไปได้ทว่าความเร็วที่ได้รับจากการฝึกฝนในค่ายกลธรรมชาตินั้นนับว่าน่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริง เพียงสิบวันแรกซ่งไป่หลางถึงกับสามารถทะยานขึ้นสู่ระดับสี่เที่ยงแท้และใช้เวลาอีกยี่สิบวันในการเข้าถึงจุดสูงสุดของขั้นเที่ยงแท้
รวมแล้วซ่งไป่หลางใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนในการพัฒนาไปถึงสองระดับขั้น ความเร็วอันน่าตกตะลึงนี้ทำให้ซ่งไป่หลางถึงกับตั้งความหวังว่ามันอาจจะสามารถทะยานไปถึงขั้นเหนือมนุษย์ได้ภายในระยะเวลาสามเดือน
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือนความเร็วที่เคยพุ่งทะยานราวกับติดปีกกลับไม่เพียงพอที่จะใช้ทะลวงฝ่ากำแพงของขั้นเหนือมนุษย์ไปได้ ดังนั้นซ่งไป่หลางจึงเหลือหนทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการฝ่าเข้าไปยังอาณาเขตด้านในของค่ายกลธรรมชาติและดูดซับพลังที่หนาแน่นยิ่งกว่าให้ได้
พลังของค่ายกลธรรมชาตินั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ยิ่งซ่งไป่หลางดูดซับมันมากขึ้นก็ราวกับว่าพลังของมันได้พุ่งทะยานจนแทบจะไร้ขีดจำกัด
“ข้าต้องการพลังมากกว่านี้อีก” ซ่งไป่หลางขมวดคิ้วเล็กน้อย มันรับรู้ได้ว่าขีดจำกัดของตนยังสามารถทนรับพลังได้อีกบางส่วนดังนั้นจึงฝืนทุ่มเทพลังเพื่อฝ่าเข้าไปในพื้นที่ของค่ายกลธรรมชาติให้ลึกยิ่งขึ้น
“เปล่าประโยชน์ ด้วยศักยภาพของเจ้าในเวลานี้สามารถฝ่าเข้าไปได้หนึ่งช่วงแขนก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว” เซี่ยหยางถอนหายใจเบาๆ
“เช่นนั้นข้าก็จะก้าวข้ามตนเอง” ซ่งไป่หลางไม่ยอมแพ้
ดวงตาของเด็กหนุ่มทอประกายวาวโรจน์พลังลมปราณระเบิดออกอีกครั้ง
เคล็ดฝ่ามือบัวสวรรค์สามชั้นฟ้า!!
เปรี้ยง!! แขนของซ่งไป่หลางจมลึกเข้าไปด้านในของพื้นที่ค่ายกลธรรมชาติจนแทบจะถึงส่วนหัวไหล่ เด็กหนุ่มกระอักโลหิตออกมาด้วยความเจ็บปวด พลังกดทับของค่ายกลธรรมชาติที่เคยกดทับบัดนี้แทบจะกลายเป็นคลื่นคมมีดฟาดฟันไปทั่วร่าง
“อันใดกัน” ภายในห้วงจิตวิญญาณ เซี่ยหยางจ้องมองภาพของเด็กหนุ่มด้วยความตกตะลึง “ถึงกับสามารถฝืนใช้วิชาระดับสวรรค์ขั้นสองออกมาได้ ภายใต้สถานการณ์เยี่ยงนี้กลับฝึกฝนวิชาระดับสวรรค์ขั้นสองสำเร็จจริงๆงั้นหรือ อัศจรรย์เกินไปแล้ว”
พลังลมปราณไหลเวียนไปทั่วร่างของซ่งไป่หลาง เมื่อผสานรวมเข้ากับพลังธรรมชาติอันบริสุทธิ์และหนาแน่นพวกมันได้ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วยิ่ง
ในที่สุดจุดตันเถียนของซ่งไป่หลางมิอาจรองรับพลังธรรมชาติได้อีก ดังนั้นพลังทั้งหมดจึงเริ่มเปลี่ยนทิศทางและไหลเวียนไปยังอวัยวะต่างๆภายในร่างกายของเด็กหนุ่มแทน
“แย่แล้ว” เซี่ยหยางอุทานออกมา “เจ้าหนู จงควบคุมพลังลมปราณที่กำลังเข้าสู่ร่างของเจ้าให้ดี บังคับพวกมันให้ไปหลอมรวมที่หัวใจของเจ้าซะ”
ขั้นตอนการฝึกพลังขั้นเหนือมนุษย์คือการใช้ลมปราณผสานรวมกับอวัยวะสองแขนสองขาหนึ่งลำตัว หนึ่งศีรษะ และหนึ่งหัวใจ โดยทั่วไปบุคคลผู้หนึ่งจะต้องฝึกฝนพัฒนาไปทีละส่วนและทุกขั้นที่อวัยวะส่วนหนึ่งพัฒนาขึ้นจึงจะถูกกล่าวว่าเป็นการพัฒนาหนึ่งระดับขั้นเหนือมนุษย์
สาเหตุที่ต้องมีการแบ่งการฝึกฝนเช่นนี้ก็เพราะร่างกายของมนุษย์มิอาจเก็บรวบรวมพลังลมปราณได้ในปริมาณที่มากพอสำหรับฝึกฝนอวัยวะทั้งเจ็ดส่วนพร้อมกันได้ หากฝืนฝึกฝนทุกส่วนพร้อมกันไม่เพียงจะทำให้ฝึกฝนได้ลำบากยากเย็นยิ่ง ยังอาจทำให้คนผู้หนึ่งไม่อาจก้าวหน้าในระดับขั้นเหนือมนุษย์ได้เลยตลอดชีวิต
สีหน้าของเซี่ยหยางเคร่งเครียดจริงจัง ‘ไป่หลางในเวลานี้แทบจะไม่อาจประคองสติได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมลมปราณและฝึกเฉพาะส่วนได้ หากปล่อยไว้เช่นนี้การจะทะลวงขั้นเหนือมนุษย์ไปได้ย่อมยากเย็นยิ่งแล้ว’
ทว่าเมื่อวิเคราะห์สถานการณ์โดยละเอียดเซี่ยหยางก็ได้ตกลงสู่ห้วงแห่งความเงียบงันอีกครั้ง ‘หรือว่านี่จะเป็นลิขิตของสวรรค์ ในทางทฤษฎีแล้วการฝึกอวัยวะทั้งเจ็ดส่วนพร้อมกันไม่อาจกระทำได้ ทว่าไป่หลางได้พบเจอกับค่ายกลธรรมชาติที่แข็งแกร่ง นี่เป็นหนึ่งในปาฏิหาริย์ไม่กี่ประเภทที่อาจจะช่วยทำลายความเป็นไปไม่ได้นั้นสำเร็จ’
‘และหากสามารถพัฒนาอวัยวะทั้งเจ็ดไปได้พร้อมกัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงจะทำให้คนผู้หนึ่งสามารถทะยานไปสู่จุดสูงสุดของขั้นเหนือมนุษย์ในพริบตา ยังจะทำให้ร่างกายของคนผู้นั้นแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือทั่วไป นั่นเพราะการพัฒนาอย่างพร้อมเพรียงของอวัยวะทั้งหมดในร่างกายย่อมทำให้เกิดความสมดุลที่เหนือล้ำยิ่งกว่า’
ดวงตาของเซี่ยหยางพลันทอประกายคาดหวังขึ้นมา ‘เรื่องนี้คุ้มที่จะเสี่ยง หากไม่สำเร็จขึ้นมาข้าเชื่อว่าด้วยภูมิปัญญาของข้าผู้นี้ยังสามารถหาหนทางอื่นช่วยพัฒนาระดับพลังของเจ้าหนูได้ในภายหลัง เอาเถิดปล่อยให้เป็นไปตามนี้’ มันถอนหายใจก่อนจะเฝ้ามองดูซ่งไป่หลางบ่มเพาะพลังต่อไปอย่างเงียบงัน ปล่อยให้เวลาเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติของมัน
ท่ามกลางคลื่นพลังที่ปกคลุมไปทั่วร่าง ซ่งไป่หลางลืมตาขึ้นมาในที่สุดก่อนจะทดลองขยับร่างกายของตนอย่างเชื่องช้า
“นี่ก็คือขอบเขตของขั้นเหนือมนุษย์?” ซ่งไป่หลางอุทานเบาๆด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ มันรับรู้ได้ว่าร่างกายของตนแตกต่างไปจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้
“ยินดีด้วย แม้จะยังไม่สมบูรณ์นักแต่ก็นับได้ว่าเจ้าได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเบื้องต้นของขั้นเหนือมนุษย์แล้ว” เสียงของเซี่ยหยางดังขึ้น
“อาจารย์ นับตั้งแต่ที่ข้าเริ่มฝืนดึงพลังของค่ายกลธรรมชาติ ข้าใช้เวลาไปนานเพียงใด” ซ่งไป่หลางถามออกมา แม้ในสภาวะบ่มเพาะพลังสติของมันจะไม่อาจรับรู้ถึงวันเวลาทว่าสัญชาตญาณของเด็กหนุ่มได้กระตุ้นเตือนให้มันทราบว่าตนเองใช้เวลาไปไม่น้อยในการฝึกฝนครั้งนี้
“เจ้าใช้เวลาไปทั้งหมดยี่สิบเก้าวัน และวันพรุ่งนี้จะครบกำหนดการสามเดือนพอดี” คำตอบของเซี่ยหยางทำให้เด็กหนุ่มตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“แย่แล้ว ข้าต้องรีบออกไป”
“อืม ไปเถอะ หลังจากจัดการธุระเสร็จสิ้นเจ้าค่อยกลับมาฝึกฝนที่นี่ต่อก็ยังไม่สาย” เซี่ยหยางตอบกลับเสียงเรียบ
ซ่งไป่หลางดึงแขนของตนที่ฝ่าทะลวงเข้าสู่พื้นที่ค่ายกลธรรมชาติออกมา ก่อนจะพบว่าร่างกายของตนเบาสบายราวกับถือกำเนิดใหม่ พลังลมปราณก็แปรเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์หนาแน่นเป็นอย่างยิ่ง
“อาจารย์ช่วยบอกเส้นทางออกจากสถานที่แห่งนี้ให้กับข้าที”
ภายนอกค่ายกลธรรมชาติ อู๋ตงไห่มีสีหน้าดำทะมึนขณะมองไปยังร่างที่ไร้วิญญาณของยอดฝีมือจากวังจักรพรรดิห้าสมุทรทั้งหกคน “บัดซบนัก ซานตง โหวปิงหยุน ข้าจะไม่ละเว้นนิกายของพวกเจ้าทั้งสองเป็นแน่”
“ท่านอู๋ตงไห่ โปรดอย่าหาว่าข้าเสียมารยาทเลยนะ ทว่าซานตงและโหวปิงหยุนบัดนี้มีพลังที่ราวกับปีศาจ พวกเราไม่อาจตอแยกับพวกมันได้แม้แต่น้อย ในวันพรุ่งนี้หากพวกมันปรากฏตัวที่ประตูเชื่อมดินแดน พวกเรามีเพียงต้องรีบหลบหนีแล้วปิดประตูให้เร็วที่สุดเท่านั้น” อู๋จื่อลู่นายน้อยแห่งวังจักรพรรดิห้าสมุทรเอ่ยอย่างขลาดกลัว
“พฤติกรรมของพวกมันทั้งสองแปลกประหลาดนัก ที่พวกมันลงมือสังหารคนของเราก็เพียงเพราะคนเหล่านี้เผลอไปรบกวนพวกมันเข้าเท่านั้น ดูเหมือนว่าพวกมันทั้งสองจะให้ความสนใจไปที่ชนเผ่าพื้นเมืองของดินแดนแห่งนี้ที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ ดังนั้นข้าคิดว่าพวกมันอาจจะไม่ปรากฏตัวที่ประตูเชื่อมดินแดน” อู๋ตงไห่ส่ายหน้าช้าๆ
“จะว่าไปก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าและอีกสองคนที่ตายไปพบเจอกับโหวปิงหยุน นางได้เอ่ยถามถึงซ่งไป่หลาง ทันทีที่ข้าตอบนางว่าซ่งไป่หลางถูกท่านฆ่าตายไปแล้ว นางก็ระเบิดโทสะออกมาและสังหารผู้ติดตามทั้งสองของข้าในพริบตา ยังดีที่ข้ามีสมบัติวิเศษระดับมหัศจรรย์ติดตัวจึงได้เอาชีวิตรอดมาได้” อู๋จื่อลู่เนื้อตัวสั่นเทาเมื่อนึกถึงภาพการสังหารอันเด็ดขาดของโหวปิงหยุน
“อีกทั้งนางยังแสดงอารมณ์แตกต่างจากปกติเป็นอย่างมาก ข้ารู้สึกว่านางราวกับเป็นใครบางคนที่ข้าไม่เคยรู้จักมาก่อน”
สีหน้าของอู๋ตงไห่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “นางเอ่ยถามถึงซ่งไป่หลางรึ เพราะเหตุใดกัน อีกทั้งยังการที่นางแสดงโทสะออกมาเมื่อทราบว่ามันตายอีก เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย”
“นั่นก็เพราะว่าเจ้าได้ทำลายแผนสำรองของข้าทิ้งไปอย่างไรเล่า” เสียงอันน่าสยดสยองดังขึ้นจากด้านหลังของพวกมัน
สีหน้าของอู๋ตงไห่ซีดขาวลงในทันที “เจ้า.. ซานตง!!?”
“โง่เขลานัก ข้าอุตส่าได้รับความทรงจำบางส่วนจากวิญญาณของเจ้าเด็กนี่ ดังนั้นจึงได้รู้ว่าในหมู่คนของพวกเจ้ามีใครบางคนที่น่าสนใจอยู่ด้วย ระดับขั้นเที่ยงแท้ที่สามารถเอาชนะขั้นเหนือมนุษย์ได้ เฮอะ ร่างกายของมันย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มีคุณค่ายิ่งกว่าภาชนะอันไร้ค่าทั้งสองนี้มากนัก ข้าอุตส่าห์ตั้งใจไว้ว่าหากไม่สามารถปลดผนึกได้ด้วยภาชนะทั้งสองจะเลือกมันให้กลายเป็นภาชนะใหม่ในอนาคต ทว่ามันกลับถูกสังหารโดยสวะเช่นพวกเจ้า”
“ซานตง เจ้าพูดเรื่องอันใด” อู๋ตงไห่มีสีหน้างุนงงอย่างยิ่ง
“สวะเช่นเจ้ารู้ไปก็เปล่าประโยชน์ หากมิใช่เพราะเห็นว่าพวกเจ้ายังอาจจะมีประโยชน์เล็กน้อยข้าคงสังหารทิ้งจนหมดสิ้นไปแล้ว ทว่าข้าในตอนนี้ไม่อาจทำลายผนึกสูญสลายได้ ดังนั้นจึงยังคงต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์เช่นพวกเจ้า”
“ผนึกสูญสลาย” อู๋ตงไห่ทบทวนคำพูดของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เฮอะๆ ข้าประมาทผนึกสูญสลายไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามีเพียงชนเผ่าผู้ผนึกที่สามารถทำลายมันได้โดยสมบูรณ์ ส่วนมนุษย์ทั่วไปนั้นทำได้อย่างมากเพียงลดพลังของมันลงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามลดพลังลงเล็กน้อยก็นับว่ายังดีกว่าไม่มีอันใดเลย หากข้าสามารถลดทอนพลังของผนึกสูญสลายได้มากพอ ย่อมสามารถคิดวิธีการทำลายชนเผ่าผู้ผนึกได้มากยิ่งขึ้น”
“ซานตง ไม่สิ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้ารู้ดีว่าซานตงและโหวปิงหยุนเป็นเพียงภาชนะของท่านเท่านั้น ท่านต้องการให้พวกเราช่วยเหลือในการทำลายผนึกที่กักขังท่านเช่นนั้นหรือ” อู๋จื่อลู่เข้าใจเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว
“โอ้ เจ้าฉลาดดีนี่ เจ้าเอ่ยได้ถูกต้องแล้ว ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยข้าลดทอนพลังของผนึกสูญสลายลงจริงๆ” ซานตงหัวเราะช้าๆ
“เช่นนั้นท่านผู้ยิ่งใหญ่โปรดวางใจ ข้ายินดีช่วยเหลือท่านเต็มที่” อู๋จื่อลู่รีบตอบกลับด้วยความนอบน้อม
“อืม ข้าต้องการมนุษย์จำนวนมากที่สุดเท่าที่จะหาได้ ดังนั้นเอาเป็นเช่นนี้ก็แล้วกัน” มันเผยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปยังร่างของอู๋ตงไห่ “เจ้า เนื่องจากเจ้ามีพลังสูงที่สุดในกลุ่มผู้ที่มายังดินแดนแห่งนี้ จงไปรวบรวมและนำตัวผู้คนทั้งหมดมาให้กับข้า ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ทว่าจงอย่าได้สังหารพวกมัน เพียงนำพวกมันมายังสถานที่แห่งนี้แล้วข้าจะมารับตัวพวกมันไปเอง”
“ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน หากพบว่าเจ้าเป็นขยะที่พอใช้การได้ ข้าจะยังคงไว้ชีวิตของเจ้า ไปซะ” สิ้นคำมันใช้ฝ่ามือผลักร่างของอู๋ตงไห่เพียงเบาๆคราหนึ่ง
ฟุ่บ! อู๋ตงไห่เบิกตากว้าง มันพบว่าตนถูกพลังอันมหาศาลกระทบใส่จนร่างปลิวกระเด็นไปไกลอย่างรวดเร็ว มองเห็นร่างของอู๋ตงไห่ถูกผลักกระเด็นจนลับสายตาด้วยการผลักเบาๆครั้งเดียว คนอื่นๆที่เหลือของวังจักรพรรดิห้าสมุทรต่างสีหน้าซีดเซียวและไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะขัดขืนแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าตามข้ามา” ซานตงเอ่ยก่อนจะหมุนกายและมุ่งหน้าไปยังทิศทางของซากโบราณ
ใบหน้าของอู๋ตงไห่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อร่างของมันหยุดลงก็พบว่าตนเองได้มาปรากฏตัวอยู่ใกล้กับพื้นที่ประตูเชื่อมดินแดนแล้ว
“พลังของมันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” อู๋ตงไห่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ‘ข้าควรที่จะทำตามที่มันสั่งหรือหนีกลับไปยังวังจักรพรรดิห้าสมุทรกัน’
ภายในวังจักรพรรดิห้าสมุทรมีทูตทมิฬของสำนักห้วงทมิฬอาศัยอยู่ มันไม่เชื่อว่าซานตงหรือโหวปิงหยุนจะสามารถเอาชนะทูตทมิฬได้ ทว่ามันไม่อาจรู้ได้เลยว่าพลังของทูตทมิฬที่อยู่ในขั้นรวมวิญญาณนั้นยังไม่อาจเทียบได้กับซานตงและโหวปิงหยุนที่มีพลังขั้นราชันยุทธ์แม้แต่น้อย
แกร่ก เสียงพุ่มไม้เคลื่อนไหวกระตุ้นให้อู๋ตงไห่ขยับกายในทันที มันพุ่งร่างไปยังจุดที่มีการเคลื่อนไหวก่อนจะซัดฝ่ามือไปยังพื้นที่บริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
เคล็ดรวมดารา ม่านโคลนคุ้มกาย
เงาร่างหนึ่งทะยานหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว อู๋ตงไห่เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา “หลินหลันเทียน ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
หลินหลันเทียนจ้องมองอู๋ตงไห่ด้วยสีหน้าตึงเครียด “อาวุโสอู๋ เหตุใดจึงต้องลงมืออย่างรุนแรงด้วยเล่า”
อู๋ตงไห่แสร้งยิ้ม “หลินหลันเทียน เจ้าเองย่อมรู้ดีว่าสถานการณ์ในดินแดนแห่งนี้นับว่าอันตรายยิ่งนัก ข้าเองอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติมาเป็นเวลานานดังนั้นจึงมีความตื่นตัวมากกว่าปกติ หากว่าเจ้าปรากฏตัวออกมาอย่างเปิดเผยข้าคงไม่ลงมือเช่นนั้น”
“เช่นนั้นข้าคงต้องขออภัย นั่นเพราะข้าเองก็ได้เจอกับอันตรายมาไม่น้อยจึงไม่อาจไม่ระมัดระวังตัวได้” หลินหลันเทียนตอบกลับ
“เอาเถิด ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นความผิดพลาดของข้า ดังนั้นข้าจะชดเชยให้กับเจ้าเอง ประตูเชื่อมดินแดนจะเปิดออกในวันพรุ่งนี้ ข้าจะช่วยรับรองความปลอดภัยให้กับเจ้า” อู๋ตงไห่เอ่ยออกมา
หลินหลันเทียนขมวดคิ้ว “อาวุโสอู๋ อย่าหาว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะ ข้าสงสัยนักว่าเหตุใดท่านจึงมาปรากฏตัวที่นี่คนเดียว คนอื่นๆจากวังจักรพรรดิห้าสมุทรหายไปไหนกันหมดเล่า”
“หืม” อู๋ตงไห่ชะงักไปเล็กน้อย “แน่นอนว่าคนอื่นๆของวังจักรพรรดิห้าสมุทรกำลังเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ ข้าเพียงล่วงหน้ามาเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของพื้นที่แถบนี้เท่านั้น”
“เช่นนี้เอง” หลินหลันเทียนแสร้งพยักหน้ารับ
“อีกไม่นานคนของขั้วอำนาจอื่นก็คงมาถึงแล้ว” อู๋ตงไห่เอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก สถานการณ์ของดินแดนประตูสมุทรลี้ลับเวลานี้นับว่าซับซ้อนยิ่งกว่าที่เคยพบเจอในอดีตหลายเท่า
“อู๋ตงไห่ออกมารับความตายซะ!” เสียงคำรามดังสะท้านไปทั่วบริเวณประตูเชื่อมดินแดน
สีหน้าของอู๋ตงไห่แปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด “เสียงนั้น”
“ซ่งไป่หลาง” หลินหลันเทียนพึมพำออกมาเบาๆ มันจดจำเจ้าของเสียงนี้ได้ในทันที
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอบคุณมาก