ตอนที่ 33 : ตอนที่ 31 สมบัติระดับลึกลับ
“ระดับพลังที่ของวิเศษชิ้นนั้นปลดปล่อยออกมาย่อมต้องเป็นของวิเศษระดับลึกลับแน่นอน การที่มันต้องใช้คะแนนในการเปิดประตูค่ายกลสูงถึงเพียงนั้น ย่อมหมายถึงระดับความยากในการแก้ไขค่ายกลเช่นกัน” เซี่ยหยางตรวจสอบค่ายกลก่อนจะส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ “แปลกนัก อักขระค่ายกลเหล่านี้นับว่าน่าคุ้นเคยไม่น้อย”
“ข้าเองก็รู้สึกเช่นกัน อาจารย์ ค่ายกลเหล่านี้แม้จะไม่ใช่ค่ายกลกับดักแต่เป็นค่ายกลปิดผนึกธรรมดาทว่ารูปแบบของมันคล้ายคลึงกับค่ายกลที่ซากปรักวิหารบัวสวรรค์อย่างมาก มันก็คือค่ายกลประตูบัวดารา”
“เช่นนั้นเจ้าสามารถคลี่คลายค่ายกลได้หรือไม่” เซี่ยหยางเอ่ยถาม
“ข้าอาจต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์เสียก่อน ทว่าด้วยรูปแบบพื้นฐานเช่นนี้นับว่าข้ารู้จักมันดีระดับหนึ่ง ไม่แน่เพียงไม่กี่ชั่วยามข้าก็น่าจะสามารถคิดหาวิธีคลี่คลายมันได้” ซ่งไป่หลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น เทียบกันแล้วค่ายกลนี้ยังไม่ยากเท่ากับค่ายกลที่อยู่ในซากปรักวิหารบัวสวรรค์
“เช่นนั้นก็นับว่ายอดเยี่ยมยิ่ง ในเมื่อภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้ ดังนั้นในสายตาของคนอื่นจะคิดว่าเจ้าต้องการเก็บคะแนนไว้เพื่อใช้ในการแข่งรอบถัดไปและเลือกที่จะละทิ้งสมบัติวิเศษ เช่นนั้นถึงแม้เจ้าจะเก็บเกี่ยวไปมากเพียงใดก็ไม่มีผู้ใดรู้ ไม่สิ ข้าคิดว่าเจ้าควรใช้คะแนนออกไปส่วนหนึ่งเพื่อตบตาผู้คนบ้างและมอบของวิเศษบางอย่างให้กับนิกายบัวสวรรค์ เช่นนั้นย่อมแนบเนียนยิ่งกว่ามาก”
ซ่งไป่หลางพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเริ่มทำการวิเคราะห์รูปแบบของอักขระค่ายกลประตูบัวดาราอย่างขะมักเขม้น
ค่ายกลนี้มีความซับซ้อนน้อยกว่ากับดักค่ายกลในซากปรักวิหารบัวสวรรค์อย่างแท้จริง ทว่าขณะเดียวกันมันไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการคล้ายคลึงกัน นั่นแพราะวัตถุประสงค์ของค่ายกลแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในซากปรักวิหารบัวสวรรค์ ค่ายกลต่างๆล้วนเป็นกับดักที่มุ่งเป้าไปในด้านการโจมตีและทำลายสิ่งที่เข้ามาในเขตของค่ายกล ทว่าค่ายกลประตูบัวดารานั้นเป็นเพียงค่ายกลที่มีไว้เพื่อเป็นประตูเท่านั้น ดังนั้นการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขของมันจึงเป็นเรื่องที่ยากจนแทบเป็นไปไม่ได้
ทว่าด้วยพรสวรรค์ของซ่งไป่หลาง เด็กหนุ่มใช้เวลาเพียงสองชั่วยามในการตีความตัวอักขระทั้งหมดที่เป็นส่วนประกอบของค่ายกล ในเวลาอันสั้นนั้นยังสามารถถอดลักษณะของอักขระสำคัญที่เป็นแก่นหลักของค่ายกลประตูบัวดาราได้อย่างรวดเร็ว
“ข้าค้นพบวิธีแก้ไขมันแล้ว” ซ่งไป่หลางระบายลมหายใจออกมาด้วยความยินดี
“โอ้ เช่นนั้นทดลองจัดการดูก่อน” เซี่ยหยางเองก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน วิธีการในการจัดการกับค่ายกลของซ่งไป่หลางมักจะสร้างความประหลาดใจให้กับมันอยู่เสมอ
“สลาย” ซ่งไป่หลางกระตุ้นพลังของอักขระสำคัญของค่ายกลประตูบัวดารา ทว่ามันไม่ได้ง่ายดายดั่งการจัดการกับอักขระหลอมปีศาจเมื่อครั้งสอบเลื่อนระดับศิษย์สายใน ค่ายกลประตูบัวดารานับว่ามีระดับสูงส่งกว่าหลายขั้น อักขระสำคัญของมันมีจำนวนถึงสิบสี่ตำแหน่ง ซ่งไป่หลางอาศัยการควบคุมพลังอันละเอียดแม่นยำของตนถึงกับสามารถใช้พลังควบคุมอักขระทั้งสิบสี่ตำแหน่งพร้อมกัน กระตุ้นให้มันทำงานผิดพลาดจนสลายตัวพร้อมกันในพริบตาเดียว
การกะจังหวะนั้นผิดพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นแทนที่จะสามารถทำลายค่ายกลได้กลับจะกลายเป็นกระตุ้นให้พลังที่ใช้คงสภาพค่ายกลระเบิดออกมาแทน เมื่อถึงเวลานั้นค่ายกลจะทำลายตัวเองและส่งพลังงานมหาศาลออกมาโดยรอบ พิจารณาแล้วหากมีพลังต่ำกว่าขั้นเหนือมนุษย์ย่อมไม่มีทางรอดชีวิต
ครืน!! ค่ายกลประตูบัวดาราสั่นไหวเล็กน้อย มันแปรสภาพเป็นเลือนรางก่อนจะแตกสลายไปในชั่วอึดใจเดียว เซี่ยหยางอุทานด้วยน้ำเสียงชื่นชม วิธีการของซ่งไป่หลางยังนับว่าผิดธรรมชาติเช่นเคย ทว่ากลับได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยมยิ่ง ค่ายกลประเภทนี้หากแก้ไขตามขั้นตอนปกติต่อให้เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญระดับหนึ่งยังต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม ทว่าซ่งไป่หลางวิเคราะห์เพียงสองชั่วยาม และใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจในการสลายมันทิ้งไป
ในแง่ของการต่อสู้ซ่งไป่หลางอาจจะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์มากที่สุด ทว่าในแง่ของอักขระค่ายกลเซี่ยหยางกล้าเอ่ยว่ามันไม่เคยพบเจอคนที่มีพรสวรรค์มากไปกว่าซ่งไป่หลาง
“สมบัติวิเศษระดับลึกลับ ที่แท้กลับได้มาง่ายดายเพียงนี้” ซ่งไป่หลางพึมพำด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย สมบัติวิเศษระดับที่ในแคว้นสามารถพบเจอได้เพียงสองชิ้น ในยามนี้กลับตกมาอยู่ในมือของตนอย่างง่ายดายภายในเวลาสองชั่วยามเท่านั้น
“เหอะ นี่ก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น จากการรับรู้ของข้าที่นี่ยังมีสมบัติระดับลึกลับอีกจำนวนมาก ทว่าสำหรับคนทั่วไปแล้วเพียงแค่สมบัติระดับลึกลับชิ้นเดียวก็ยังไม่มีปัญญาคว้ามาครองได้ แต่กับเจ้านั้นแตกต่างออกไป ต้องการมากเท่าไหร่เจ้าก็หยิบไปได้มากเท่านั้น” เซี่ยหยางหัวเราะ
“อันที่จริงสมบัติระดับลึกลับนั้นนับเป็นเพียงของที่พอใช้ได้เท่านั้น ของที่มีคุณค่าจริงๆคือสมบัติวิเศษระดับปฐพีขึ้นไปต่างหาก และของที่หายากก็คือสมบัติระดับสวรรค์ขึ้นไป สมบัติระดับลึกลับยังไม่มากพอให้ข้ารู้สึกสนใจสักเท่าใดนัก”
ซ่งไป่หลางได้แต่ยิ้มอย่างจืดเจื่อน ในสายตาของมันสมบัติระดับลึกลับเหล่านี้นับว่ามีค่าจนแทบไม่อาจคิดฝันได้แล้ว มิต้องเอ่ยถึงของที่ระดับสูงกว่านี้
“สมบัติระดับลึกลับชิ้นนี้ที่แท้กลับเป็นกระบี่ น่าเสียดายนักแต่มันไม่มีประโยชน์กับข้าเท่าใด” ซ่งไป่หลางถอนหายใจออกมา กระบี่ระดับลึกลับหากตกอยู่ในมือของนิกายหอกระบี่ย่อมต้องกลายเป็นสมบัติประจำนิกายที่สำคัญที่สุด ทว่าซ่งไป่หลางไม่สามารถปล่อยให้ใครรับรู้ได้ว่าตนได้รับสมบัติระดับลึกลับจากสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นแม้อยากนำไปมอบให้กับฉินจีก็ไม่สามารถกระทำได้
“เก็บมาไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ในอนาคตเจ้าอาจสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนกับของที่ใช้ประโยชน์ได้บางอย่าง” เซี่ยหยางไม่คิดมากนัก
หลังจากเข้ามาในห้องที่เก็บกระบี่ระดับลึกลับ ซ่งไป่หลางกวาดตามองไปยังประตูอีกสามทางที่ยังไม่ถูกเปิดออกภายในห้องแห่งนี้ สีหน้าของซ่งไป่หลางพลันแปรเปลี่ยนไปเมื่อมองเห็นอักขระข้อความบนประตูบานหนึ่ง
“ถึงกับต้องใช้แปดพันคะแนนในการเปิดประตู”
คะแนนนี้นับว่าสูงเกินจินตนาการของผู้คน แปดพันคะแนนมีความหมายว่าอย่างไร นั่นเท่ากับว่าต้องสังหารสัตว์ปีศาจระดับสามขั้นต้นจำนวนสิบหกตัวเชียวนะ
“คะแนนมากขึ้นย่อมหมายถึงความยากของค่ายกลที่มากขึ้นเช่นกัน ทว่าในเมื่อค่ายกลนี้ยังคงเป็นประตูบัวดารา เช่นนั้นเจ้าก็ย่อมสามารถผ่านไปได้โดยไร้อุปสรรคเช่นกัน” เซี่ยหยางแค่นเสียงไม่ใส่ใจ
“ท่านพูดถูก แม้ว่าอักขระจะทวีความซับซ้อนขึ้นทว่าก็เพียงแค่เพิ่มจำนวนอักขระสำคัญจากสิบสี่เป็นสิบแปดเท่านั้น ยังอยู่ในขอบเขตที่ข้าสามารถแก้ไขได้” ซ่งไป่หลางพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเริ่มลงมือแก้ไขค่ายกล
ครืน!! ประตูค่ายกลแตกสลายไป ซ่งไป่หลางพลันเหนื่อยหอบเล็กน้อยเพราะการทำลายค่ายกลนั้นต้องสูญเสียทั้งพลังลมปราณและกำลังสมาธิในระดับที่ค่อนข้างสูง ทว่าผลลัพธ์ของมันก็นับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง
“ที่แท้นอกจากสมบัติวิเศษจำพวกอาวุธแล้วมันยังมีของอย่างอื่นอยู่ด้วย” เซี่ยหยางประหลาดใจเล็กน้อย
“นี่คือแหวนอันใดกัน ทว่ากลิ่นอายที่มันปลดปล่อยออกมาแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นสมบัติวิเศษระดับลึกลับ” ซ่งไป่หลางไม่เคยเห็นแหวนลักษณะประหลาดที่อยู่ตรงหน้ามาก่อน
“สำหรับดินแดนของเจ้าสิ่งนี้คงประหลาดอยู่ไม่น้อย นี่ก็คือแหวนมิติ แม้จะเป็นแหวนมิติระดับทั่วไปทว่าพลังของมันก็ยังคงเป็นสมบัติระดับลึกลับ หากเป็นดินแดนที่สูงส่งกว่านี้ขอเพียงเป็นคนมีฐานะสักเล็กน้อยย่อมสามารถหามาครอบครองได้ คุณสมบัติของมันก็คล้ายกับโลกส่วนตัวของวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ สามารถบรรจุของเข้าไปที่มิติภายในได้ ทว่าแหวนวงนี้มีขนาดบรรจุไม่ใหญ่นัก น่าจะสักประมาณห้าสิบจั้งได้”
“ห้าสิบจั้ง!!” ซ่งไป่หลางอุทานด้วยความตกตะลึง ห้าสิบจั้งนับเป็นพื้นที่เท่าใด การสามารถใช้แหวนวงเล็กๆบรรจุของด้วยพื้นที่ขนาดมากกว่าห้าสิบจั้งนับว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว ทว่าในสายตาของเซี่ยหยางนี่เป็นเพียงแหวนมิติระดับต่ำสุดเท่านั้น
“ในดินแดนนี้เจ้าสามารถใช้งานแหวนมิติได้ เพียงแค่ระวังอย่าเก็บของหรือหยิบของออกมาต่อหน้าผู้อื่นก็พอ ทว่าในดินแดนที่ระดับสูงกว่านี้เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี แหวนมิตินั้นมีคุณค่าราคาระดับหนึ่ง เจ้าอาจถูกปล้นชิงจากผู้อื่นได้” เซี่ยหยางเอ่ยเตือน
“สำหรับตอนนี้เจ้าควรพักผ่อนเสียก่อน ยังคงมีเวลาอีกนับวันในสถานที่แห่งนี้ เจ้ายังสามารถเก็บเกี่ยวได้อีกมากแน่ ทว่าหากฝืนใช้พลังสมาธิไปกับเรื่องนี้จนหมดอาจส่งผลกระทบต่อการประลองในรอบสุดท้ายของเจ้าได้” ซ่งไป่หลางพยักหน้ารับฟัง ในตอนนี้นับว่าตนสูญเสียพลังและสมาธิไปมากมายจริงๆ
“ข้าจะใช้พลังของละอองวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ช่วยชำระจิตฟื้นฟูพลังให้กับเจ้า จงหลับตาและเริ่มควบคุมพลังเสียหนึ่งชั่วยามต่อไปความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเจ้าน่าจะสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว”
พลังเยียวยาของวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์นั้นยอดเยี่ยมและโดดเด่นอย่างแท้จริง เพียงหนึ่งชั่วยามถัดมาเมื่อซ่งไป่หลางลืมตาขึ้นอีกครั้งอาการเหน็ดเหนื่อยทั้งพลังลมปราณและพลังสมาธิทุกอย่างล้วนมลายหายไปสิ้น หลงเหลือเพียงความรู้สึกสดชื่นกระปี้กระเปร่า ซ่งไป่หลางระงับอาการตื่นเต้นก่อนจะรีบสำรวจพื้นที่โดยรอบของห้องนี้อีกครั้ง เมื่อมองดูผนังด้านหนึ่งกลับพบว่าต้องใช้คะแนนถึงหนึ่งหมื่นคะแนนในการเปิดประตูออก ดังนั้นซ่งไป่หลางจึงไม่ลังเลที่จะเลือกทำการปลดผนึกค่ายกลทางทิศนั้นออกเป็นทางต่อไป
เวลาหนึ่งวันแรกผ่านไปซ่งไป่หลางถึงกับเก็บเกี่ยวสมบัติระดับลึกลับได้จำนวนแปดชิ้น ประกอบไปด้วยกระบี่ แหวนมิติ หอกสองเล่ม และหยกวิเศษอีกสามชิ้น ชิ้นสุดท้ายที่ได้รับมายิ่งนับว่าน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ของสิ่งนี้กลับเป็นโอสถที่มีพลังระดับเดียวกับสมบัติระดับลึกลับ เซี่ยหยางเรียกมันว่าโอสถวิญญาณหมื่นลี้ สามารถใช้ตามรอยของสิ่งมีชีวิตในระยะหมื่นลี้ได้โดยไม่ผิดพลาด ของสิ่งนี้นับว่ามีค่าเป็นอย่างมากและขั้วอำนาจใหญ่ๆในดินแดนสูงส่งมักจะมีไว้ครอบครอง เพื่อใช้ติดตามบุคคลสำคัญของขั้วอำนาจนั้นหรือใช้ไล่สะกดรอยศัตรูคนสำคัญนั่นเอง
อย่างไรก็ตามโอสถนี้นับว่าไม่เหมาะกับซ่งไป่หลางสักเท่าใดนักในเวลานี้
“น่าเสียดายที่สมบัติระดับลึกลับเหล่านี้ได้ครอบครองแต่กลับไม่อาจสร้างประโยชน์มากเท่าใดนัก” ซ่งไป่หลางถอนหายใจ
“หึหึ ตอนนี้ยังไม่ได้ใช้มิได้แปลว่าวันหน้าจะไร้ประโยชน์ ในดินแดนระดับสูงยิ่งขึ้นเจ้าสามารถนำมันไปใช้แลกกับวัตถุดิบมีค่าหรือโอสถระดับสูงได้อีกมาก อืม ส่วนหยกวิเศษทั้งสามนั้นแม้จะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพวกมันโดยตรงทว่ากลิ่นอายพลังที่พวกมันปลดปล่อยออกมาตลอดเวลาสามารถนำมาใช้ช่วยในการฝึกฝนได้ ยังนับว่าส่งผลดีกว่าแก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับสองเสียอีก”
ซ่งไป่หลางได้ยินดังนั้นจึงรีบนำหยกวิเศษทั้งสามออกมาวางเอาไว้ที่ด้านหน้า ก่อนจะรับเอากลิ่นอายพลังของพวกมันเข้ามาในร่างกายและเริ่มทำการฝึกฝน แม้ใจหนึ่งจะอยากเดินหน้าปลดผนึกค่ายกลต่อทว่าพลังสมาธิในเวลานี้นับว่าถูกเผาผลาญไปจนหมดสิ้นแล้ว ต่อให้ใช้วิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ช่วยฟื้นฟูทว่าก็นับว่ามีขีดจำกัดอยู่บ้าง เซี่ยหยางเองก็เตือนว่ามนุษย์มีขีดจำกัดบางอย่างอยู่ หากฝืนทำลายขีดจำกัดนั้นมากเกินไปจะทำให้ส่งผลร้ายต่อจิตวิญญาณในระยะยาว ดังนั้นจึงไม่ควรอาศัยพลังฟื้นฟูของวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา การพักผ่อนก็นับเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
ในตอนนี้อุปสรรคของซ่งไป่หลางก็คือระดับพลัง พลังขั้นสิบก่อกำเนิดทำให้ขีดจำกัดพลังลมปราณและพลังสมาธิมีน้อยกว่าผู้มีพลังขั้นเที่ยงแท้ไปหลายขั้น ขอเพียงสามารถทำลายด่านและฝ่าทะลุขีดจำกัดไปได้การพัฒนาย่อมต้องก้าวกระโดดราวกับมัจฉาทะยานผ่านประตูมังกร
“อาจารย์ ตอนนี้พลังของข้าติดค้างอยู่ที่ระดับสิบก่อกำเนิดขั้นสูงสุดมานานพอสมควรแล้ว ทว่ายังไม่อาจฝ่าทะลุขั้นไปได้เสียที” ซ่งไป่หลางได้แต่ถอนหายใจออกมา หลังจากพยายามซึมซับพลังของหยกวิเศษระยะหนึ่งกลับพบว่าพลังของตนไม่อาจพัฒนาไปได้มากกว่านี้ ราวกับว่ามันถูกบางสิ่งสะกดเอาไว้จนยากจะเติบโต
“นี่ก็คือขอบเขตของด่านปิดกั้นช่วงชั้น เมื่อคนผู้หนึ่งต้องการทะยานจากระดับก่อกำเนิดเข้าสู่เที่ยงแท้ หรือแม้แต่จากขั้นเที่ยงแท้ไปยังขั้นเหนือมนุษย์ ทุกระดับชั้นย่อมมีด่านปิดกั้นอันยากจะฝ่าทะลุ มิเช่นนั้นดินแดนแห่งนี้คงเต็มไปด้วยผู้มีพลังระดับเหนือมนุษย์ไปนานแล้ว” เซี่ยหยางอธิบาย
“แล้วมีวิธีใดที่จะช่วยให้ข้าฝ่าทะลุไปยังระดับขั้นเที่ยงแท้ได้บ้าง” ซ่งไป่หลางถามอย่างมีความหวัง
“วิธีนั้นย่อมมี นั่นก็คือการเสริมสร้างพลังให้ถึงจุดที่ร่างกายของเจ้าในตอนนี้ไม่สามารถรองรับได้ไหว เมื่อถึงตอนนั้น ร่างกายของเจ้าจะกระตุ้นให้เกิดการวิวัฒนาการ ทะยานเข้าสู่ระดับเที่ยงแท้ พลังลมปราณจะกลั่นหลอมจนบริสุทธิ์ และในตอนนั้นการใช้พลังลมปราณเพื่อรองรับพลังธาตุก็จะกลายเป็นเรื่องที่ทำได้โดยง่าย”
“นั่นหมายความว่าข้าต้องเพิ่มพลังให้มากกว่านี้อีกงั้นหรือ” ซ่งไป่หลางขมวดคิ้ว ปัญหาก็คือตนไม่รู้สึกว่าจะสามารถเพิ่มพลังได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“หากสามารถทำได้ง่ายๆเช่นนั้นการเลื่อนระดับแต่ละช่วงชั้นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์อีกแล้ว เจ้าหนู การฝึกฝนนั้นแท้จริงไร้ซึ่งหนทางลัดผ่าน อันที่จริงสาเหตุหนึ่งที่การฝ่าทะลุช่วงชั้นเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าก็เพราะแนวทางการฝึกของเจ้านั้นแตกต่างออกไป ทุกระดับชั้นลมปราณของเจ้าจะมีความหนาแน่นและบริสุทธิ์มากกว่าผู้อื่นหลายเท่าตัว ดังนั้นในการฝ่าทะลุช่วงชั้น ความยากของเจ้าก็นับว่ายากกว่าผู้อื่นหลายเท่าตัวเช่นกัน”
“ทว่าเรื่องนี้ก็แลกมาด้วยผลลัพธ์ที่เจ้าเองก็ได้เห็นแล้ว พลังเพียงขั้นสิบก่อกำเนิดของเจ้ากลับสามารถเอาชนะขั้นสี่เที่ยงแท้ได้ นี่ก็คือผลลัพธ์ของความยากลำบากนั้น ในความคิดของข้าหากเจ้าสามารถทะลวงไปยังขั้นเที่ยงแท้ได้ เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้เป็นหลินหลันเทียนที่มีพลังขั้นห้าเที่ยงแท้ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
“ถึงกับแข็งแกร่งเพียงนั้น” ซ่งไป่หลางอุทาน
‘หึหึ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่กรณีที่หลินหลันเทียนสามารถทะลุไปยังขั้นหนึ่งของระดับแหนือมนุษย์เช่นกัน’ เซี่ยหยางคิดทว่ามิได้พูดออกไป จากการรับรู้ของเซี่ยหยาง ไม่แน่ว่าหลินหลันเทียนผู้นั้นอาจกำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับซ่งไป่หลาง นั่นคือติดอยู่ที่จุดคอขวดของการฝ่าทะลุระดับชั้นเช่นกัน
‘จะว่าไปแล้วอัจฉริยะที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์ได้ก่อนอายุสามสิบปีทั้งที่อยู่ในดินแดนระดับต่ำเช่นนี้ แม้แต่ข้าเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมมันเล็กน้อย’
เวลาวันที่สองภายในมิติลี้ลับยังคงผ่านพ้นไปเฉกเช่นเดิม ซ่งไป่หลางสามารถกวาดสมบัติระดับลึกลับมาได้อีกหกชิ้น ทว่าทั้งหกชิ้นนับว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าแปดชิ้นในวันแรกมากนัก คะแนนสูงสุดที่ใช้ในการเปิดประตูนั้นสูงถึงสองหมื่นคะแนนทีเดียว
“ตอนนี้เจ้าควรย้อนกลับไปแล้วใช้คะแนนของเจ้าแลกกับสมบัติมาสักเล็กน้อย” เซี่ยหยางแนะนำ
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านอาจารย์” ซ่งไป่หลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ภายนอกมิติลี้ลับ แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นความเป็นไปของภายในมิติลี้ลับได้ทว่าตารางคะแนนได้บ่งบอกถึงการกระทำของบรรดาผู้เข้าประลอง ทุกครั้งที่มีคะแนนบางส่วนถูกตัดออกไปผู้คนทั้งหมดต่างเริ่มคาดเดาว่าคนผู้นั้นใช้คะแนนของตนแลกสิ่งใดออกไป
“ไป่หลางกลับไม่ยอมใช้คะแนนของตนเลยแม้แต่น้อย นี่ก็นับว่าเข้าสู่วันที่สามแล้ว หากพ้นวันนี้เขายังไม่ยอมใช้คะแนนก็เท่ากับเสียโอกาสไปเปล่าๆแล้ว” รองเจ้านิกายบัวสวรรค์ถอนหายใจออกมา
“ข้าคิดว่าไป่หลางคงกำลังพยายามแก้ไขค่ายกลอักขระด้วยตนเอง ทว่านี่นับเป็นเรื่องยากนัก วันนี้เป็นวันสุดท้ายหากไป่หลางรู้ตัวว่าไม่สามารถทำได้สำเร็จคงต้องยอมตัดใจและใช้คะแนนแลกเอาสมบัติออกมาบ้างแล้ว” ผู้อาวุโสจางส่ายหน้าด้วยความรู้สึกกังวล
“อู๋หลิวและฉินจีเองก็ใช้คะแนนไปไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะฉินจี นางถึงกับใช้คะแนนหนึ่งพันแปดร้อยคะแนนในคราเดียว เกรงว่าคงพบกับสมบัติระดับสูงที่โดดเด่นสักชิ้นหนึ่งเข้ากระมัง” เมื่อมองไปยังรายชื่อของทั้งสองคน ผู้อาวุโสจางจึงเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความยินดี
“คะแนนใช้ไปมากขนาดนั้นในคราเดียว ข้ายังอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจจะกลายเป็นสมบัติวิเศษระดับลึกลับเลยก็เป็นได้ แม้ว่าจากที่เคยได้ยินมานิกายหมื่นดาราจะต้องใช้คะแนนถึงสองพันห้าร้อยคะแนนในการแลกสมบัติระดับลึกลับ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดยืนยันว่านั่นคือคะแนนขั้นต่ำสุดที่สมบัติระดับลึกลับต้องการ” รองเจ้านิกายเอ่ยอย่างมีความหวัง
“โอ ดูนั่นคะแนนของไป่หลางลดลงแล้ว ดูเหมือนเขาจะถอดใจในการแก้ไขค่ายกลแล้ว” ผู้อาวุโสจางอุทานออกมา คะแนนของซ่งไป่หลางลดลงคราเดียวถึงสองพันคะแนน ดวงตาของรองเจ้านิกายบัวสวรรค์พลันเปล่งประกายทันที
“ไม่แน่ ไป่หลางอาจได้รับสมบัติระดับลึกลับ”
“ต่อให้เป็นสมบัติระดับสูงก็ต้องเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดในบรรดาสมบัติระดับสูงด้วยกัน ถึงกับใช้สองพันคะแนนแลกมาเช่นนั้นเกรงว่าจะต้องมีค่าไม่น้อยกว่าสมบัติวิเศษของท่านเจ้านิกายเลยทีเดียว”
ภายในมิติลี้ลับ ซ่งไป่หลางมองดูแส้ที่อยู่ในมือของตนก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่เป็นแส้ระดับลึกลับที่ต้องใช้คะแนนถึงสองพันคะแนนแลกมา จากที่เคยได้ยินมาเจ้านิกายบัวสวรรค์ หยุนลั่วเฉินเป็นนักสู้ที่เชี่ยวชาญทั้งวิชาสายอ่อนและแข็งผสมผสานกัน อาวุธที่ถนัดคือประเภทแส้ ดังนั้นจึงเลือกของชิ้นนี้เพื่อนำกลับไปมอบให้กับนิกาย การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นการตอบแทนนิกายที่ทำให้ตนได้มีโอกาสมาร่วมประลองและได้รับทรัพย์สมบัติมากมายเช่นนี้
“หืม ในที่สุดเจ้าบ้านก็ปรากฏตัวจนได้” เซี่ยหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ซ่งไป่หลางพลันรู้สึกตื่นตัวขึ้น เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏร่างเลือนรางคล้ายมีคล้ายไม่มี เมื่อมองไปยังโครงร่างพบว่ามีลักษณะคล้ายชายชราผู้หนึ่ง รูปร่างไม่สูงใหญ่ทว่ากลับดูภูมิฐานและมีสง่าราศี อีกทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นมิตรราวกับกำลังมองเห็นญาติสนิทของตน
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นใครกัน” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
“ข้าเฝ้าดูเจ้ามาสองวันแล้ว ดังนั้นข้าจึงมีความมั่นใจแปดส่วน เจ้าก็คือผู้ที่ได้รับการยอมรับจากนิกายบัวสวรรค์ในยุคปัจจุบันสินะ” ร่างชราเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงลึกลับทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกยินดีที่ยากจะเก็บซ่อน
--------------------------------------------------------------
ใครอยากสนับสนุนหรืออ่านล่วงหน้าอ่านได้ที่นี่เลยน้าา ปัจจุบันอัพถึงตอน 41
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ในที่สุดก็มีแหวนมิติใส่แล้ว ใส่เข้าไปเลยสมบัติวิเศษ กระบี่ โอสถหยกวิเศษ ช่วยฝึกในการฝึกฝน ฯลฯ คุ้มแล้วซ่งน้อย หุหุ ยังมีสมบัติวิเศษอีกเพียบให้ซ่งน้อบเก็บเกี่ยว อิอิ