ตอนที่ 27 : ตอนที่ 25 สมบัติวารี
การโจมตีของซ่งไป่หลางนั้นรุนแรงมาก อย่างไรก็ตามอสูรวารีมีความสามารถในการเคลื่อนที่ในน้ำได้อย่างรวดเร็ว แก่นวิญญาณของมันขยับวูบไหวภายใต้สายน้ำโดยไม่ปล่อยให้ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย หากซ่งไป่หลางต้องการจัดการกับมันจริงๆเกรงว่าเขาคงต้องใช้เวลาหลายวันในการจับมันให้สำเร็จ
ทว่าซ่งไป่หลางเองไม่ใช่คนโง่ เด็กหนุ่มตระหนักดีถึงจุดเด่นของฝ่ายตรงข้ามดังนั้นจึงไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถจับตัวมันได้โดยง่ายแต่แรก ในสมองของเด็กหนุ่มหวนคิดไปถึงเคล็ดวิชาสายอ่อนที่เคยเห็นอู่ลี่ลี่เรียกใช้ ลำพังเคล็ดฝ่ามือบัวสวรรค์ย่อมไม่อาจทำอันตรายต่ออสูรวารีที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้น้ำได้ ทว่าเมื่อผสานกับการใช้พลังแบบอ่อนหยุ่น เคล็ดฝ่ามือบัวสวรรค์จะสามารถเปลี่ยนแปลงและสร้างความแตกต่างให้กับการลงมือได้อย่างสิ้นเชิง
เคล็ดฝ่ามือบัวสวรรค์
ภาพของดอกบัวปรากฏขึ้นบนผืนน้ำอีกครั้ง ทว่าพลังทำลายล้างที่เคยผลักดันจนทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่บนผิวน้ำกลับแปรเปลี่ยนเป็นพลังดึงดูดอันทรงพลัง คลื่นน้ำหมุนวนเข้าหากันโดยมีภาพของดอกบัวเป็นจุดศูนย์กลาง แก่นวิญญาณของอสูรวารีรวมถึงร่างของซ่งไป่หลางก็ถูกดึงดูดไปด้วยพลังของฝ่ามือบัวสวรรค์เช่นกัน
อสูรวารีสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่ร้ายแรง มันไม่รอช้ารีบปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมดสร้างเป็นม่านน้ำซ้อนกันหลายาชั้นปกป้องแก่นวิญญาณของมันจากแรงดึงดูดของวิชาฝ่ามือบัวสวรรค์เอาไว้
ซ่งไป่หลางเผยรอยยิ้ม ต่อให้อสูรวารีพยายามต่อต้านแต่พลังของวิชาระดับสวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีพลังขั้นเหนือมนุษย์จะสามารถต้านทานโดยง่าย อีกทั้งด้วยพลังดึงดูดของวิชาฝ่ามือบัวสวรรค์ บัดนี้ซ่งไป่หลางอาศัยแรงดึงของมันเคลื่อนที่ใต้น้ำอย่างรวดเร็วยิ่ง พริบตาเดียวก็พุ่งไปถึงจุดที่ม่านพลังธาตุน้ำของอสูรวารีกางขวางอยู่ ร่างของเด็กหนุ่มเปล่งประกายสีขาวจากวิชากายาบัวพิสุทธิ์ ก่อนจะชกหมัดเข้าใส่ม่านวารีอย่างรุนแรงและรวดเร็วยิ่ง
ม่านวารีพังทลายในชั่วพริบตา อสูรวารีไร้ซึ่งหนทางต้านทานถูกพลังของฝ่ามือบัวสวรรค์ดึงกระชากเข้าหาจุดศูนย์กลาง แก่นวิญญาณของมันลอยคว้างด้วยความเร็วสูงยากจะหยุดยั้ง พริบตาเดียวก็ลอยมาจนถึงเบื้องหน้าของซ่งไป่หลาง
เด็กหนุ่มคว้าแก่นวิญญาณของมันเอาไว้ในมืออย่างรวดเร็ว ในวินาทีนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงจิตวิญญาณของซ่งไป่หลาง เป็นเสียงที่ฟังดูราวกับเสียงของเด็กชาย นี่คือการติดต่อสื่อสารของอสูรวารี เป็นครั้งแรกที่ซ่งไป่หลางสามารถสื่อสารกับสัตว์ปีศาจได้
“ท่านผู้สูงศักดิ์ อย่าทำร้ายข้า ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าไม่อยากตาย”
ได้ฟังเสียงขอร้องอ้อนวอนที่ราวกับเสียงของเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งซ่งไป่หลางขมวดคิ้วด้วยความยุ่งยากใจเล็กน้อย
“ท่านผู้สูงศักดิ์ ข้ารู้ว่าท่านมีความเชื่อมโยงกับวารีอันทรงพลังและยิ่งใหญ่ ท่านมีจิตวิญญาณที่สามารถเป็นนายเหนือของพวกเราวารีธาตุ หากท่านเมตตาปล่อยข้าไปข้าจะมอบสมบัติแห่งวารีที่ข้าเก็บรักษาแก่ท่าน”
สมบัติแห่งวารีเป็นเสมือนแหล่งกำเนิดพลังของมัน ทว่าแม้จะขาดสมบัติแห่งวารีไปอสูรวารีก็จะยังมีชีวิตอยู่ได้ เพียงแค่ความสามารถในการวิวัฒนาการของมันจะกลายเป็นเชื่องช้าลงหลายสิบหลายร้อยเท่า อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้มันย่อมยินยอมที่จะสูญเสียสมบัติวารีไป
ซ่งไป่หลางไม่รู้วิธีโต้ตอบ ทว่าเซี่ยหยางที่อาศัยอยู่ในร่างของซ่งไป่หลางนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
‘อสูรวารี ศิษย์ของข้าย่อมมีเมตตาไม่คิดสังหารเจ้าอย่างไร้เหตุผล อย่างไรก็ตามแก่นวิญญาณของเจ้าถือว่าเป็นสมบัติอีกชิ้นหนึ่งที่สามารถส่งผลต่อการฝึกตนของเขา ดังนั้นหากเจ้ายอมแบ่งชิ้นส่วนวิญญาณแก่ศิษย์ของข้ารวมถึงสมบัติแห่งวารี เจ้าก็จะรอดชีวิต’
เงื่อนไขของเซี่ยหยางค่อนข้างโหดร้าย ชิ้นส่วนวิญญาณของสัตว์ปีศาจอาจไม่ล้ำค่าเท่ากับแก่นวิญญาณแต่มันก็คือพลังชีวิตส่วนหนึ่งของสัตว์ปีศาจเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นหากอสูรวารีมีอายุขัยพันปี การแบ่งชิ้นส่วนวิญญาณของมันก็จะทำให้อายุขัยของมันลดลงหลายร้อยปี
ทว่าเมื่อเทียบกับการสูญเสียชีวิตทั้งหมด อสูรวารีย่อมรู้ดีว่ามันควรทำอย่างไร “ที่แท้ท่านผู้ยิ่งใหญ่แห่งวารีอาศัยในร่างของท่าน ข้ายินดีมอบชิ้นส่วนวิญญาณสองส่วนให้กับท่าน”
“สองส่วนก็เพียงพอ” เซี่ยหยางไม่ได้เรียกร้องมากนัก จริงอยู่ว่าชิ้นส่วนวิญญาณของสัตว์ปีศาจระดับสองขั้นสูงสุดค่อนข้างมีค่า แต่ในความเป็นจริงสำหรับซ่งไป่หลางที่มีวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์และฐานรากศักดิ์สิทธิ์อยู่ ลำพังชิ้นส่วนวิญญาณนี้ไม่อาจส่งผลต่อเด็กหนุ่มมากนัก สาเหตุที่เซี่ยหยางต้องการให้อสูรวารีมอบชิ้นส่วนวิญญาณให้ซ่งไป่หลางก็เพื่อใช้มันปิดบังความสนใจจากคนภายนอกมากกว่า
ด้วยความสามารถของเซี่ยหยางย่อมรับรู้ได้ว่าซ่งไป่หลางถูกจับตามองจากภายนอกมิติรวมนภาตลอดเวลา การพัฒนาพลังของซ่งไป่หลางนั้นยอดเยี่ยมเกินไป การได้รับทรัพยากรที่หายากอย่างชิ้นส่วนวิญญาณของอสูรวารีจะทำให้คนที่จับตาดูอยู่ไม่รู้สึกติดใจสงสัยมากเกินไป
ซ่งไป่หลางย่อมทำตามสิ่งที่เซี่ยหยางบอก เมื่อเด็กหนุ่มคลายมือปล่อยให้อสูรวารีเป็นอิสระ แก่นวิญญาณของอสูรวารีก็รีบเคลื่อนไหวถอยห่างออกไป จากนั้นมันก็เปล่งแสงออกมาจางๆ
“ท่านผู้สูงศักดิ์ นี่ก็คือชิ้นส่วนวิญญาณของข้า และสมบัติแห่งวารี”
แสงสีขาวนวลสองสายหลุดลอยออกจากแก่นวิญญาณของอสูรวารี พวกมันลอยเข้าหาแล้วหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของซ่งไป่หลาง
สายหนึ่งแปรสภาพเป็นชิ้นส่วนแก่นวิญญาณของอสูรวารีที่มีขนาดเล็กกว่า แม้แก่นวิญญาณนี้จะเกิดจากการแบ่งชิ้นส่วนวิญญาณและมีพลังไม่มากเท่ากับแก่นวิญญาณทั่วไปแต่ความบริสุทธิ์ของพลังธาตุวารีกลับยอดเยี่ยมอย่างมาก เป็นสมบัติที่มีค่าสำหรับผู้มีพลังธาตุวารี และแสงสีขาวอีกสายหนึ่งปรากฏเป็นไข่มุกสีขาวบริสุทธิ์ มันปลดปล่อยพลังธาตุวารีที่ทรงพลังออกมา ระดับพลังของมันไม่ต่ำกว่าขั้นเหนือมนุษย์อย่างแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นไข่มุกวารี” เซี่ยหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ
หลังจากส่งมอบสมบัติวารีและชิ้นส่วนวิญญาณแล้วอสูรวารีก็รีบใช้พลังของมันพาซ่งไป่หลางกลับขึ้นไปบนพื้น ขณะเดียวกันมันก็รีบหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว พลังของมันลดลงบางส่วนทำให้มันไม่ใช่สัตว์ปีศาจระดับสองขั้นสูงสุดอีกต่อไป แต่พลังของมันก็ยังค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสัตว์ปีศาจทั่วๆไปในพื้นที่แม่น้ำ
“อาจารย์ ไข่มุกวารีเป็นสมบัติประเภทใดกันแน่” ซ่งไป่หลางสอบถามน้ำเสียงตื่นเต้น
“สมบัติแห่งธาตุวารีนั้นมีอยู่หลายประเภท ไข่มุกวารีเป็นหนึ่งในสมบัติระดับพื้นฐาน นั่นหมายถึงมันเป็นสมบัติที่พบเจอได้ง่ายที่สุด อย่างไรก็ตามแม้มันจะพบเจอง่ายแต่มันก็ยังล้ำค่าอยู่ดี ไข่มุกวารีถือกำเนิดจากการควบรวมพลังของธาตุวารีตามธรรมชาติ ยิ่งกำเนิดในพื้นที่ที่มีพลังหนาแน่นก็ยิ่งแข็งแกร่ง อย่างเช่นไข่มุกวารีนี้น่าจะเกิดจากน้ำตกสวรรค์ ดังนั้นจึงมีพลังขั้นเหนือมนุษย์”
“วิธีการใช้ไข่มุกวารีนั้นค่อนข้างหลากหลาย แต่ที่เหมาะที่สุดสำหรับเจ้าก็คือการดึงพลังธาตุวารีของมันออกมาโดยตรง ใช้มันกระตุ้นพลังธาตุวารีในกายของเจ้า ด้วยวิธีนี้อาจทำให้เจ้าสามารถใช้พลังธาตุวารีได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระดับขั้นเที่ยงแท้”
ใจของซ่งไป่หลางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้โอกาสที่เขาจะชนะการประลองสิบนภานับว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย สาเหตุหนึ่งเพราะความเสียเปรียบในด้านพลังธาตุ หากใช้พลังธาตุได้จะทำให้ซ่งไป่หลางมีโอกาสเอาชนะในการประลองมากยิ่งขึ้น
‘ด้วยพลังของวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ข้าใช้พลังธาตุได้ ข้าอาจจะเอาชนะเยว่จิงได้อย่างไม่ยากเย็นเลย’
“ตอนนี้ดูดซับพลังของชิ้นส่วนวิญญาณอสูรวารีและไข่มุกวารีก่อน ด้วยสมบัติชิ้นนี้การเข้ามาในมิติรวมนภาก็นับว่าคุ้มเกินพอแล้ว คะแนนจากสัตว์ปีศาจเจ้าเองก็เก็บไว้มากพอ ไม่สู้เตรียมความพร้อมสำหรับรอบสุดท้ายจะดีเสียกว่า” เซี่ยหยางเอ่ยออกมา
“การดูดซับชิ้นส่วนวิญญาณอสูรวารีนั้นใช้หลักการเดียวกับการดูดซับแก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจทั่วไป เจ้าน่าจะไม่ต้องใช้เวลานานนัก” ตอนนี้ซ่งไป่หลางมีความคุ้นเคยกับการดูดซับแก่นวิญญาณมากกว่าคนรุ่นเดียวกันทั่วไปหลายเท่า เพราะนอกจากเขาจะสามารถรวบรวมแก่นวิญญาณมาได้จำนวนมากแล้ว ซ่งไป่หลางยังสามารถดูดซับพวกมันได้เร็วกว่าคนธรรมดา โดยที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า
ซ่งไป่หลางพยักหน้า กำลังจะเข้าไปใกล้น้ำตกสวรรค์เพื่อหาสถานที่ปลอดภัยสำหรับดูดซับพลัง แต่เมื่อมองเห็นสัญญาณที่ถูกส่งมาบนท้องฟ้า สีหน้าของเด็กหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไปทันที
“พลุบัวสวรรค์ คนของนิกายกำลังได้รับอันตราย” ซ่งไป่หลางตระหนักได้ทันที สำหรับคนอื่นๆเขาไม่มีความผูกพันและไม่ใส่ใจนัก แต่หากคนที่ส่งสัญญาณนี้คือฉินจี เขาย่อมไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้นางได้รับอันตราย
“อาจารย์ ข้ายังไม่อาจซึมซับพลังของของวิเศษนี้ได้ ขออภัยด้วย”
“ข้าเข้าใจ ไปเถอะ” เซี่ยหยางถอนหายใจก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือปนรอยยิ้ม แม้จุดหมายของเซี่ยหยางคือผลักดันให้ซ่งไป่หลางกลายเป็นสุดยอดฝีมือเพื่อช่วยล้างแค้นให้กับตนทว่าในฐานะอาจารย์คนหนึ่งเขาจะมองข้ามจิตใจของลูกศิษย์ไปได้อย่างไร การมีคุณธรรมต่อพวกพ้องและคนสำคัญรอบตัวย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดไปได้
ไกลออกไปหลายสิบลี้ กลุ่มของนิกายบัวสวรรค์กำลังเผชิญหน้ากับคนของนิกายขุนเขาอัคคี โชคร้ายที่พวกเขาเข้ามาในเส้นทางการล่าของจ้าวฮุย ด้วยความแค้นที่หยูเสี่ยจากนิกายหุบเขามืดมีต่อซ่งไป่หลาง นางจึงรีบร้องขอให้จ้าวฮุยลงมือกับคนของนิกายบัวสวรรค์ในทันที
จ้าวฮุยมีสีหน้าเย็นชาเย่อหยิ่ง มองไปยังคนทั้งสี่จากนิกายบัวสวรรค์ก่อนจะหยุดสายตาที่ฉินจี ประกายในดวงตาปรากฏแววแสดงความต้องการครอบครองอย่างไม่ปิดบัง
“ไม่นึกว่านิกายบัวสวรรค์จะมีของดีเก็บซ่อนไว้อยู่บ้าง ทว่าช่างโง่เขลานัก พวกเจ้าอยู่กันตรงนี้สี่คนกลับยังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือของนิกาย หรือคิดว่าจะมีคนของนิกายอื่นมาช่วยพวกเจ้า ต่อหน้านิกายขุนเขาอัคคีของข้าแม้แต่นิกายหมื่นดาราก็ยังไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยว”
สีหน้าของหยูเสี่ยจากนิกายหุบเขามืดแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่ง “หรือพวกเจ้าต้องการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือให้เจ้าเด็กสารเลวซ่งไป่หลางนั่น เฮอะ โชคร้ายที่มันตกตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องปลิดชีวิตมันให้ได้ด้วยตนเองแน่”
ได้ยินคำของหยูเสี่ยสีหน้าของคนจากนิกายบัวสวรรค์แปรเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง ฉินจีที่เป็นคนส่งสัญญาณมีสีหน้าซีดขาวรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง ซ่งไป่หลางตายแล้วอย่างนั้นหรือ เด็กหนุ่มอัจฉริยะผู้นั้นหากให้เวลาเขาสักปีหรือสองปีเขาย่อมทะยานไปได้ไกลยิ่งกว่าใคร แต่หากเขาตายที่นี่ทุกอย่างก็นับว่าล้วนไร้ความหมาย
“จ้าวฮุย ระหว่างนิกายบัวสวรรค์และนิกายขุนเขาอัคคีไม่มีความแค้นต่อกัน เจ้าจะลงมือกับพวกเราก็ลองคิดถึงผลได้เสียให้ดีเสียก่อน” อู๋หลิวแค่นเสียง
“สามหาวนัก กล้าทำเป็นเสมอกับศิษย์พี่จ้าว” คนของนิกายขุนเขาอัคคีคำรามด้วยความโกรธก่อนจะพุ่งเข้าใส่อู๋หลิว
“ไสหัวไปซะ” อู๋หลิวคำรามแล้วระเบิดพลังลมปราณออกมา ร่างของศิษย์นิกายขุนเขาอัคคีชะงักไปชั่วขณะและในจังหวะนั้นเองหมัดอันหนักหน่วงของอู๋หลิวก็กระแทกลงบนร่างของมัน
เปรี้ยง!! “อั่ก” ศิษย์นิกายขุนเขาอัคคีก้าวถอยหลังดวงตาเบิกกว้างอย่างเหลือเชื่อ ไม่นึกเลยว่าคนจากนิกายอันดับกลางๆจะมีความแข็งแกร่งระดับนี้
“ไม่เลว” จ้าวฮุยพยักหน้าเผยรอยยิ้มชื่นชม “เจ้าก็คืออู๋หลิวสินะ เคยได้ยินมาว่านิกายบัวสวรรค์ได้ฟูมฟักอัจฉริยะอย่างเจ้าขึ้นมา ทว่าน่าเสียดายนักขีดจำกัดของเจ้ายังห่างชั้นกับข้าเกินไป เจ้าเองย่อมรู้ตัวดี”
สีหน้าของอู๋หลิวมืดดำ เขาย่อมตระหนักได้ว่าจ้าวฮุยนั้นเป็นอัจฉริยะในระดับที่เหนือกว่าค่อนข้างสิ้นเชิง
“จริงที่เจ้าว่าพวกเราสองนิกายไม่มีความแค้นต่อกัน แต่สหายจากนิกายหุบเขามืดที่เป็นพันธมิตรของพวกเราขุนเขาอัคคีถูกคนของพวกเจ้าทำร้าย สี่คนถึงกับต้องถอนตัวไปอย่างไร้ประโยชน์ นิกายหุบเขามืดต้องการล้างแค้นจึงได้ไหว้วานข้า อย่างไรก็ตามเห็นแก่หน้าของนิกายพวกเจ้า ขอเพียงส่งตัวหญิงสาวผู้นั้นมาให้กับข้า ข้าสัญญาว่าจะปล่อยพวกเจ้าไป”
“เจ้า!!” ใบหน้าของคนทั้งสี่จากนิกายบัวสวรรค์บิดเบี้ยวทันที โดยเฉพาะฉินจีที่มีสีหน้าโกรธแค้นอย่างมาก
“จ้าวฮุย ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะจากที่ใด ก็อย่าได้คิดว่าจะดูถูกพวกเรานิกายบัวสวรรค์ได้” จูเหวินที่เป็นผู้นำของนิกายบัวสวรรค์ในขณะนี้คำรามออกมา
“น่าเสียดาย ขอเพียงพวกเจ้าพยักหน้าก็ไม่มีใครต้องเจ็บตัวแล้ว แต่ในเมื่อไม่ตอบรับ ข้าก็เพียงแค่ต้องเหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น”
จ้าวฮุยเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “พวกเจ้าไปจัดการกับคนอื่นที่เหลือ เจ้าสองคนนั้นข้าจัดการเอง” มันชี้มือไปที่อู๋หลิวและจูเหวิน ด้วยระดับของจ้าวฮุยย่อมตระหนักได้ว่าสองคนนี้แข็งแกร่งไม่ธรรมดา เกรงว่าลูกน้องของตนอย่างมากก็คงพัวพันเอาไว้แต่ไม่อาจคว้าชัย ดังนั้นจึงเลือกลงมือด้วยตนเอง
“ฉินจี เป้าหมายของจ้าวฮุยคือเจ้า การต่อสู้นี้พวกเราอาจยื้อไว้ได้แต่ไม่อาจเป็นฝ่ายชนะ จะถอยหนีออกจากพื้นที่มิติรวมนภาก็ทำได้ทว่าจะทำให้โอกาสเก็บสะสมคะแนนของเราหายไปหลายส่วน” จูเหวินถอนหายใจกระซิบบอกกับทุกคน
“ศิษย์พี่ หรือท่านคิดจะยอมส่งตัวนางให้กับจ้าวฮุย” สีหน้าของอู๋หลิวแปรเปลี่ยน แม้ว่าฉินจีจะสามารถหนีออกจากมิติรวมนภาหากจ้าวฮุยคิดจะทำอะไรไม่ซื่อกับนาง แต่การต้องส่งตัวนางให้กับนิกายขุนเขาอัคคีจะทำให้พวกเขาได้รับความอัปยศอย่างมาก
“ไม่มีทาง ศักดิ์ศรีและเกียรติของนิกายบัวสวรรค์สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ข้าเพียงต้องการบอกว่าศึกนี้พวกเราแพ้ได้แต่ไม่อาจเสียหายหนักเกินไป ฉินจีจังหวะที่พวกเราเข้าปะทะยืดเยื้อกับพวกมัน จงหนีไปด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี การหนีของเจ้าจะทำให้พวกมันเคลื่อนไหวลำบากมากขึ้น” จูเหวินส่ายหน้าอธิบายอย่างแผ่วเบา
จูเหวินกวาดสายตามองไปที่อู๋หลิว “ส่วนเจ้า ในจังหวะที่ฉินจีหนีไป ข้าจะทุ่มเทสุดความสามารถพัวพันจ้าวฮุยเอาไว้ ด้วยฝีมือของเจ้านอกจากจ้าวฮุยก็ไม่มีใครหยุดเจ้าได้ จงแยกหนีไปอีกเส้นทาง ถึงแม้สุดท้ายข้ากับคนอื่นๆจะถูกบีบให้ต้องจากพื้นที่มิติรวมนภาไป แต่เจ้ายังมีโอกาสเก็บคะแนนเพิ่มได้”
สายตาของฉินจีและอู๋หลิวแฝงด้วยความเคารพและซาบซึ้ง จูเหวินวางแผนสละตนเองเพื่อมอบโอกาสให้กับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของนิกาย นี่คือลักษณะนิสัยที่ทำให้ทุกคนยอมรับและยอมให้เขาเป็นผู้นำ
“พวกเจ้าคงคุยกันเสร็จแล้วกระมัง” จ้าวฮุยเผยรอยยิ้มเย็นชา ต่อให้อีกฝ่ายมีแผนการอะไรมันก็จะบดขยี้ด้วยพลังที่เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง
“เมื่อข้าให้สัญญาณ ไปซะ” จูเหวินพยักหน้าให้กับอีกสามคนที่เหลือ
“จัดการพวกมัน” จ้าวฮุยเอ่ยปาก
ร่างของศิษย์นิกายขุนเขาอัคคีทั้งสี่รวมทั้งหยูเสี่ยจากนิกายหุบเขามืดต่างพุ่งเข้าโจมตีพวกเขาทันที ฟ่งซุยที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่าทำให้เขาต้องรับมือกับคนของนิกายหุบเขาอัคคีถึงสองคน ลำพังแค่คนเดียวเขาก็ยากจะรับมือแล้ว
อู๋หลิวทะยานร่างเข้ามาขวางหน้าฉินจีเอาไว้ “อยากตายก็เข้ามา”
“ไปซะ” จูเหวินคำราม ร่างของฉินจีก็พุ่งตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
“ดูท่าจะมีปัญหาเสียแล้ว พวกเจ้านี่ไม่เลวเลยจริงๆ” จ้าวฮุยพยักหน้าชื่นชมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเลือกให้ฉินจีแยกหนีออกไป เป้าหมายหลักของมันก็คือฉินจีจริงๆ
“พัวพันพวกมันเอาไว้ ข้าจะเปลี่ยนแผนเสียหน่อย” จ้าวฮุยไม่สนใจคนอื่นๆที่เหลือแต่พุ่งตัวตามฉินจีไปอย่างรวดเร็ว จูเหวินและอู๋หลิวคำรามก่อนจะพุ่งเข้าขัดขวาง
“ไสหัวไปซะ ถ้านางกล้าหลบหนีออกจากมิติรวมนภา ข้าจะกลับมาสังหารพวกเจ้า” จ้าวฮุยแค่นเสียง
เคล็ดวิชาปีศาจอัคคี กรงเล็บมารอัคคี
เปรี้ยง!! จูเหวินถูกกรงเล็บเพลิงอันแข็งแกร่งฟาดฟันเข้าเต็มร่าง ทว่าด้วยวิชาป้องกันที่ร่ายออกมาทันท่วงทีทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บนัก อีกด้านหนึ่งอู๋หลิวสามารถหลบกรงเล็บเพลิงได้จึงเป็นฝ่ายเข้าถึงตัวจ้าวฮุยและซัดหมัดเข้าใส่อีกฝ่าย
เคล็ดวิชาปีศาจอัคคี ปีกเพลิงกลืนนภา
ครืน!! อู๋หลิวเบิกตากว้างมองดูคลื่นเพลิงที่ระเบิดใส่เบื้องหน้าของตนอย่างจนใจ จ้าวฮุยชำนาญพลังธาตุไฟมากเกินไปและควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ การโจมตีนี้ต่อให้อู๋หลิวป้องกันทันก็ต้องได้รับบาดเจ็บไม่น้อยอยู่ดี
เคล็ดดอกบัวทองคำ
พริบตานั้นจูเหวินถลันเข้ามาขัดขวางเบื้องหน้าของอู๋หลิวเอาไว้ ร่ายวิชาป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของตนปกป้องอู๋หลิวเอาไว้ได้ทันท่วงที “เจ้าเองก็ต้องไปแล้วเช่นกัน”
สิ้นคำเอ่ยร่างของอู๋หลิวก็ถูกพลังปริศนาผลักกระเด็นไปหลายร้อยจั้ง หายไปจากสายตาของผู้คน
“โฮ่ เชี่ยวชาญทั้งแข็งและอ่อน สมกับที่มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นๆในระดับเดียวกัน อย่างไรก็ตามเจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า ไสหัวไปซะ” จ้าวฮุยไม่สนใจจูเหวิน เขาเพียงต้องการไล่ตามฉินจีเท่านั้น
“จะทำร้ายศิษย์น้องข้าก็ข้ามศพข้าไปก่อน” จูเหวินแค่นเสียง
“เจ้าไม่เข้าใจสินะ เช่นนั้นข้าจะแสดงให้ดูเองว่าอัจฉริยะของจริงมันเป็นแบบไหน” จ้าวฮุยเริ่มหงุดหงิด ฉินจีหลบหนีไปได้พอสมควรแล้ว และหากไม่รีบไล่ตามไปนางอาจสามารถสลัดเขาพ้นได้จริงๆ
เคล็ดวิชาปีศาจอัคคี หอกเพลิงมัจจุราช
จูเหวินรีบใช้วิชาป้องกันของตนออกมาอีกครั้ง ทว่าวิชาของจ้าวฮุยนั้นพิสดารและรุนแรงเกินไป โล่ดอกบัวทองคำของจูเหวินพังทลายในทันที ร่างของจูเหวินถูกหอกเพลิงพุ่งทะลวงกระเด็นไปไกลหลายสิบจั้ง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ศิษย์พี่ รีบถอนตัวจากมิติรวมนภาเร็วเข้า” ฟ่งซุยที่ไม่สามารถรับมือคนของนิกายขุนเขาอัคคีได้อีกต่อไปตะโกนออกมาก่อนจะรีบใช้ยันต์ช่วยชีวิตเพื่อถอนตัวจากไป
จูเหวินฝืนลุกยืนด้วยร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ “ข้ามันช่างไร้ประโยชน์นัก ทำได้เพียงยื้อเวลาเล็กน้อยเท่านั้น”
“ถอนตัวไปซะ ไม่เช่นนั้นก็ตาย” คนของนิกายขุนเขาอัคคีหัวเราะก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาจูเหวิน
“พวกเจ้าต่างหากที่ต้องตาย” เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่ง คนของนิกายขุนเขาอัคคีสองคนที่พุ่งเข้าหาจูเหวินไม่ทันได้หันไปมองเจ้าของเสียงก็พบว่ามีเงาของดอกบัวขนาดยักษ์ประทับอยู่เหนือศรีษะของพวกมัน
กร๊อบ!! “อ๊ากกก”
ร่างของทั้งสองทรุดลงบนพื้น กระดูกแตกหักร่างกายบิดเบี้ยว รีบร้อนใช้ยันต์ช่วยชีวิตถอนตัวจากไปทันที
“เป็นเจ้าเด็กสารเลวนั่น มันยังไม่ตาย” สีหน้าของหยูเสี่ยแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง แม้นางจะโกรธแค้นซ่งไป่หลาง แต่นอกจากความโกรธแล้วยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางยังจำได้ว่าซ่งไป่หลางเล่นงานนางและพรรคพวกไว้อย่างไรบ้าง
“กล้าทำร้ายพวกเรานิกายบัวสวรรค์ ต่อให้เป็นเทพเซียนจากที่ใดก็ต้องได้รับผลของการกระทำ” ซ่งไป่หลางคำรามน้ำเสียงเย็นชาแฝงแววอำมหิต
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ใครอยากสนับสนุนหรืออ่านล่วงหน้าอ่านได้ที่นี่เลยน้าา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จัดไป แม่นางหยูเสีย นิกายมีดวอนซะเเล้ว ทำให้ศิษย์นิกายบัวสวรรค์ถอนตัวไป 1 เหลือ 4 คน อย่างนี้ต้องจัดหนัก พี่น้องร่วมนิกายข้าใครอย่าแต่ะ หุหุ ซ่งน้อยจัดไปอย่าให้เสีย