ตอนที่ 22 : ตอนที่ 21 มิติรวมนภา
“ไปกันเถอะ การประลองกำลังจะเริ่มต้นแล้ว” ผู้อาวุโสจางเอ่ยออกมา หลังจากเด็กรับใช้ของตระกูลหลิวมาแจ้งต่อพวกเขา คนของนิกายบัวสวรรค์ต่างมุ่งหน้าไปยังลานประลองด้วยสภาวะอารมณ์ที่เงียบขรึม
โดยเฉพาะเหล่าตัวแทนศิษย์สายใน พวกเขาต่างรู้สึกตึงเครียดกับการประลองที่ใกล้เข้ามา เดิมทีศิษย์สายในของนิกายบัวสวรรค์ในปีก่อนหน้าล้วนไม่สามารถไปได้ถึงแม้แต่สามสิบอันดับแรก และระดับของศิษย์สายในในปีนี้แม้จะมีระดับสูงกว่าปีที่แล้วแต่ก็ยังไม่อาจยืนยันว่าจะสามารถก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่าสำเร็จ
โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวลือว่าศิษย์สายในอันดับแปดเมื่อปีก่อนบัดนี้ยังคงเข้าร่วมการประลองในฐานะศิษย์สายในด้วยระดับพลังขั้นสองเที่ยงแท้ ยังมีอัจฉริยะอีกมากมายที่มีระดับถึงขั้นเที่ยงแท้แล้ว นี่ทำให้นอกจากซ่งเจียหลานและศิษย์ขั้นเที่ยงแท้อีกหนึ่งคนแล้วคนอื่นแทบไม่มีความหวังในการได้อันดับดีๆ
เรื่องนี้พวกผู้อาวุโสก็ได้แต่ทำใจ เดิมทีพวกเขาคาดหวังในตัวซ่งไป่หลางอย่างมาก ทว่าไม่คิดฝันเลยว่าเด็กหนุ่มจะทะเยอทะยานถึงขั้นสามารถเข้าประลองแทนในฐานะศิษย์หลักสำเร็จ
“รองเจ้านิกายบัวสวรรค์ ที่แท้ท่านเป็นผู้ดูแลศิษย์ของนิกายในการประลองนี้” เสียงหนึ่งเอ่ยทักทายขึ้นเรียกสายตาของทุกคน เมื่อมาถึงด้านหน้าลานประลองพวกเขาก็พบกับคนอีกสองกลุ่มที่กำลังรอคอยอยู่เช่นกัน
“รองเจ้านิกายหอกระบี่ เป็นเกียรติที่ได้พบ” รองเจ้านิกายบัวสวรรค์เอ่ยทักทายฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าตึงเครียด รองเจ้านิกายหอกระบี่นั้นมีพลังสูงกว่าเขาเล็กน้อย เกือบจะถึงขั้นครึ่งก้าวก่อนกลายเป็นขั้นเหนือมนุษย์แล้ว
ซ่งไป่หลางกวาดตามองคนของนิกายหอกระบี่อย่างเงียบงัน ก่อนที่จะสะดุดตาอยู่ที่ร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง พลังของนางอยู่ที่ระดับสามเที่ยงแท้เท่ากันกับฉินจี ทว่าบรรยากาศของนางกลับเต็มไปด้วยความแหลมคมประหนึ่งกระบี่ที่หลุดออกจากฝัก เตรียมพร้อมฟาดฟันใส่ผู้คนตลอดเวลา
‘นั่นก็คือยอดฝีมือของนิกายหอกระบี่ เซียนกระบี่น้อยเยว่จิง’ ซ่งไป่หลางได้รับข้อมูลศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายต่างๆจากรองเจ้านิกายมาแล้ว ดังนั้นจึงคาดเดาตัวตนของนางได้
ราวกับรับรู้ได้ถึงการจ้องมอง เยว่จิงตวัดดวงตาคมกริบดุจกระบี่มองกลับมายังนิกายบัวสวรรค์ ศิษย์สายในทั้งหมดสั่นสะท้านอย่างไม่อาจหักห้าม แม้แต่ฟงซุ่ยที่เป็นศิษย์หลักอันดับสี่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันจนเหงื่อตก ฉินจีมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยส่วนอู๋หลิวและจูเหวินนั้นทำราวกับไม่ใส่ใจ
ดวงตาของเยว่จิงปรากฏความประหลาดใจขึ้น อู๋หลิวและจูเหวินนั้นมีพลังระดับสี่เที่ยงแท้ ดังนั้นอาจไม่ได้รับผลจากรังสีกดดันของนางนัก ทว่าฉินจีที่มีพลังเท่ากันกลับมีท่าทีค่อนข้างปลอดโปร่งเพียงแค่เพิ่มความระมัดระวังเล็กน้อย แต่ที่น่าตกใจมากสุดกลับเป็นเด็กชายที่มีพลังขั้นสิบก่อกำเนิดคนหนึ่ง นอกจากจะไม่ได้รับผลจากการกดดันของนางอีกฝ่ายยังมองกลับมาอย่างเฉยเมยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
‘น่าสนใจ’ มุมปากของเยว่จิงปรากฏรอยยิ้ม
ครืน!! ซ่งไป่หลางเลิกคิ้วเล็กน้อย รับรู้ได้ว่าแรงกดดันของเยว่จิงเฉียบแหลมมากขึ้น ทั้งยังพุ่งเป้ามาทางตนเองอย่างชัดเจน ความรู้สึกของเขาตอนนี้ราวกับถูกกระบี่นับพันจ่ออยู่ตรงหน้า ทว่าซ่งไป่หลางเพียงเผยยิ้มก่อนจะควบคุมพลังของตน
‘อันใดกัน’ เยว่จิงแทบจะอุทานด้วยความตกตะลึง เจตกระบี่ของนางพัฒนาถึงขั้นสามารถกดดันศัตรูด้วยความคิด ทว่าเด็กหนุ่มในขั้นสิบก่อกำเนิดกลับสามารถต่อต้านนางได้อย่างง่ายดาย
ไม่ทันที่จะได้คลายความสงสัย คนอีกจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นตามนิกายบัวสวรรค์มาติดๆ เพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปแปดในสิบนิกายก็เดินทางมาถึงลานประลองแล้ว
‘อีกไม่ถึงสิบลมหายใจก็จะถึงเวลาเริ่มแล้ว’ ซ่งไป่หลางสงสัยว่าสองนิกายที่เหลือเหตุใดจึงยังไม่ปรากฏตัว
จนกระทั่งเวลามาถึง แรงกดดันจากของวิเศษถาโถมลงมาบนลานประลอง หนึ่งเป็นพลังที่สงบสุขุมแต่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ อีกหนึ่งร้อนแรงกดดันดั่งลาวา เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าปรากฏหนึ่งเรือวิเศษหนึ่งดาบยักษ์สีแดงลอยตระหง่านอยู่เหนือลานประลอง
ร่างยี่สิบสี่ร่างทะยานลงมาจากด้านบน แต่ละฝั่งประกอบด้วยคนสิบสองคน เมื่อใกล้ถึงพื้นทั้งสองฝ่ายต่างเคลื่อนไหวแตกต่างกันไป
ฝ่ายแรกผู้อาวุโสท่านหนึ่งสะบัดมือแผ่วเบาปรากฏระลอกคลื่นอ่อนโยนห่อหุ้มคนทั้งสิบสอง ฝีเท้าสัมผัสบนพื้นอย่างแผ่วเบานุ่มนวล
ผู้อาวุโสของอีกฝ่ายคำรามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เพลิงอัคคีรุนแรงโถมปะทะบนพื้นที่คราหนึ่งก่อเกิดการระเบิดที่ไม่เบาไม่แรงแต่กลับทำให้การร่วงหล่นของคนทั้งสิบสองชะงักค้างจากแรงต้านทานเพียงเล็กน้อยก่อนที่ทั้งสิบสองจะลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
“เทคนิคการใช้พลังธาตุลมของผู้อาวุโสลู่ยังยอดเยี่ยมเช่นเคย”
“ควบคุมพลังธาตุเพลิงได้ละเอียดแม่นยำและสมบูรณ์แบบยิ่ง สมแล้วที่เป็นรองเจ้านิกายหุบเขาอัคคี” ผู้คนต่างเอ่ยชมเชยอย่างอดไม่ได้
“มาได้พอเหมาะพอเจาะเช่นเคย” ผู้อาวุโสจางถอนหายใจ
“แข็งแกร่งนัก” ดวงตาของซ่งไป่หลางและอู๋หลิวทอประกายเมื่อมองเห็นคนของทั้งสองนิกายที่เพิ่งมาถึง
โดยเฉพาะเมื่อมองไปยังหลินหลันเทียน ราวกับว่าอีกฝ่ายอยู่กันคนละมิติ ไม่เพียงมีพลังเหนือชั้นยังมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกดดัน ราวกับว่าต่อให้เป็นผู้มีพลังระดับห้าเที่ยงแท้ด้วยกันก็ไม่อาจเอาชนะได้
เมื่อทุกคนมาถึง เจ้าตระกูลหลิว หลิวจื่อฮวนพลันก้าวเดินมาที่ใจกลางลานประลอง ดวงตากวาดมองผ่านบรรดาอัจฉริยะทั้งหมดอย่างชื่นชม แล้วหยุดสายตาที่บุตรสาวของตนชั่วขณะก่อนจะเผยยิ้มจากนั้นจึงกวาดมองต่อไป “ยินดีต้อนรับตัวแทนจากนิกายใหญ่ทั้งสิบแห่งแคว้นสิบนภา ข้าหลิวจื่อฮวนผู้ปกครองแคว้นสิบนภายินดีอย่างยิ่งที่พวกเจ้าต่างมารวมตัวกันที่นี่ จากนี้ไปข้าจะเริ่มต้นการประลองสิบนภาแล้ว”
“ผู้อาวุโสสองมา” เขาคำรามออกมาหนึ่งคำร่างของผู้อาวุโสอีกคนก็ทะยานมายืนอยู่เคียงข้าง เป็นผู้มีพลังขั้นเหนือมนุษย์อีกคนหนึ่ง
“ข้าผู้อาวุโสสองแห่งตระกูลหลิวได้รับหน้าที่กรรมการหลักของการประลองสิบนภา จะขออธิบายกฏการประลองให้ทุกท่านได้ทราบรวมถึงของรางวัลที่จะมอบให้แก่ผู้เข้าร่วมประลองทั้งหมด”
“สำหรับศิษย์หลัก การประลองจะแบ่งออกเป็นทั้งหมดสามรอบ รอบแรกคือการแข่งขันฆ่าสัตว์ปีศาจและเอาชีวิตรอด พวกเจ้าจะถูกส่งไปยังมิติรวมนภา เผชิญหน้ากับสัตว์ปีศาจในสถานที่แห่งนั้น คะแนนขึ้นอยู่กับแก่นวิญญาณปีศาจที่ได้รับมา แก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งได้รับหนึ่งคะแนน แก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับสองขั้นต้นสิบคะแนน ขั้นกลางห้าสิบคะแนน ขั้นสูงหนึ่งร้อยคะแนน และแก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับสามเท่ากับห้าร้อยคะแนน” เมื่อเอ่ยถึงจุดนี้ดวงตาของเขามองไปที่หลินหลันเทียน ในบรรดาคนทั้งหมดมีแค่หลินหลันเทียนที่น่าจะมีคุณสมบัติพอจัดการกับสัตว์ปีศาจระดับสามได้
“ในมิติรวมนภานั้นเต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นพวกเจ้าจะได้รับยันต์ช่วยชีวิตติดตัวเอาไว้ เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต จงกระตุ้นอักขระการทำงานของยันต์ มันจะส่งพวกเจ้ากลับมาที่นี่ ส่วนคะแนนก็ขึ้นอยู่กับแก่นวิญญาณที่พวกเจ้าได้รับก่อนที่จะกลับออกมา”
“เวลาของการประลองรอบนี้จำกัดอยู่ที่เจ็ดวัน ผู้ที่อยู่ครบเจ็ดวันจะได้คะแนนพิเศษเพิ่มอีกห้าร้อยคะแนน” ใบหน้าของผู้อาวุโสสองปรากฏรอยยิ้ม นอกจากผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแล้วไม่มีใครสามารถอยู่ได้ถึงเจ็ดวัน ในบรรดาคนทั้งหมดนอกจากหลินหลันเทียนแล้วก็คงมีอีกไม่ถึงสามคนที่ทำได้สำเร็จ
“การประลองรอบที่สองไม่มีให้คะแนนเพิ่มทว่าเป็นด่านที่เต็มไปด้วยสมบัติ พวกเจ้าจะต้องเข้าไปในค่ายกลเฝ้าสมบัติและหากมีความสามารถมากพอ พวกเจ้าสามารถแก้ไขค่ายกลก็จะได้รับสมบัติไปมากมาย แต่ผู้ที่ไม่สามารถแก้ได้ พวกเจ้าสามารถใช้คะแนนที่ได้รับแลกกับการเปิดประตูค่ายกลเข้าไปหยิบสมบัติ” นี่คือด่านพิเศษที่จะช่วยสนับสนุนความก้าวหน้าของอัจฉริยะทั้งหลาย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสามารถหรือคะแนนที่พวกเขามี
โดยปกติแล้วนอกจากอัจฉริยะสิบอันดับแรกคนที่มีระดับต่ำลงไปแทบจะไม่ได้รับรางวัลจากการประลองเลย เพื่อช่วยเหลือคนที่อ่อนด้อยกว่าตระกูลหลินจึงสร้างด่านพิเศษนี้ขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาเก็บเกี่ยวบางอย่างกลับไปได้
สำหรับพวกระดับสามเที่ยงแท้ลงไปแค่ได้ของวิเศษกลับไปสักชิ้นสองชิ้นก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
“การประลองรอบสุดท้ายแน่นอนว่าต้องเป็นการต่อสู้ชิงคะแนน ผู้ที่มีคะแนนต่ำกว่าจะได้รับสิทธิ์ให้ท้าสู้พร้อมกับเดิมพันคะแนนกับผู้ที่มีคะแนนสูงกว่า ผู้ที่มีคะแนนสูงหากปฏิเสธจะต้องเสียคะแนนหนึ่งร้อยคะแนนให้ผู้ท้า การประลองจะจบลงเมื่อวนรอบการท้าประลองครบสามรอบ และผู้ที่เหลือคะแนนมากที่สุดสิบอันดับแรกจะได้รับรางวัล”
“อันดับที่สิบถึงห้าจะได้รับแก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับสองขั้นกลางคนละชิ้น ได้รับคัมภีร์วิชาระดับสูงคนละสามวิชา และได้รับอาวุธระดับสูงคนละหนึ่งชิ้น”
“อันดับห้าถึงอันดับสามได้รับแก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับสองขั้นกลางคนละสามชิ้น ได้รับคัมภีร์วิชาระดับสูงสิบวิชา และอาวุธระดับสูงหนึ่งชิ้น”
“อันดับสองได้รับแก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับสองขั้นสูงหนึ่งชิ้น ผลวิญญาณสีเหลืองหนึ่งลูก และได้รับคัมภีร์วิชาระดับลึกลับ รวมถึงอาวุธระดับลึกลับเช่นกัน”
“อันดับหนึ่งได้รับแก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับสาม ผลวิญญาณสีเหลืองสามลูก และวิชาระดับลึกลับสามวิชา รวมถึงอาวุธระดับลึกลับอีกหนึ่งชิ้น”
ของรางวัลอันดับสองนั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่าปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะหลิวจื่อฮวนเล็งเห็นว่าอันดับหนึ่งได้ถูกกำหนดตายตัวมาแล้วให้เป็นหลินหลันเทียน เขาจึงต้องการช่วยให้อันดับสองได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น้
“วิชาระดับลึกลับ” บรรดาผู้แข็งแกร่งต่างมีประกายกระหายในดวงตา อันดับหนึ่งอาจจะเป็นไปไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหลันเทียน แต่อันดับสองนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สำหรับคนอื่นวิชาระดับลึกลับนั้นดึงดูดใจอย่างมาก ทว่าสำหรับซ่งไป่หลางเขาให้ความสนใจที่แก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจมากกว่า
“แก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับสามและระดับสองขั้นสูง” ดวงตาของเด็กหนุ่มฉายแววครุ่นคิด
‘ไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก หากมีคนสามารถโค่นสัตว์ปีศาจระดับสามได้จริงก็จะได้รับแก่นวิญญาณตั้งแต่รอบแรก จะนำไปแลกคะแนนมาเพื่อสิ่งใดกัน’
“หึหึ คิดน้อยไปแล้วเจ้าหนู ข้อแรกรางวัลของอันดับหนึ่งไม่ใช่แค่แก่นวิญญาณ ยังมีผลวิญญาณ อาวุธและวิชาระดับลึกลับ สำหรับเจ้าแล้วของสิ่งอื่นไม่สำคัญนัก แต่สำหรับคนอื่นๆนับว่าล้ำค่าอย่างยิ่ง” เซี่ยหยางหัวเราะ
“อาจารย์ ด้วยพลังของข้าตอนนี้พอจะรับมือสัตว์ปีศาจระดับสองขั้นสูงได้ แต่ไม่อาจถึงขั้นเอาชนะ ส่วนสัตว์ปีศาจระดับสองขั้นกลางจัดการง่ายดายยิ่ง ท่านคิดว่าข้าควรนำมาแลกคะแนนหรือเก็บเอาไว้ดี” ซ่งไป่หลางถาม
“แลกไปเถอะ ลำพังแค่แก่นวิญญาณสัตว์ปีศาจระดับสองขั้นกลาง ในอนาคตอยากได้เพิ่มแค่ไหนก็ล่าเอาได้โดยง่าย แต่ข้าเชื่อว่าหากเจ้าสามารถชิงอันดับสูงๆของการประลองสำเร็จ นั่นย่อมส่งผลดีต่ออนาคตของเจ้าเอง ไม่แน่อาจได้รับรางวัลเพิ่มเติมจากตระกูลหลิวอีก” เซี่ยหยางตอบอย่างไม่คิดมาก
“ข้าเข้าใจแล้ว” ซ่งไป่หลางพยักหน้าและไม่สอบถามอีก
หลังจากจบกติกาของการประลองศิษย์หลัก ผู้อาวุโสสองยังอธิบายการประลองของศิษย์สายในต่อทว่าซ่งไป่หลางไม่ได้ใส่ใจฟังเท่าใดนัก
เขากวาดตามองบรรดายอดฝีมือทั้งหมดในลานประลอง โดยเฉพาะคนของนิกายหมื่นดาราและนิกายขุนเขาอัคคี
‘เต็มไปด้วยยอดฝีมือจริงๆ เกรงว่าหากไม่สามารถไปถึงระดับเที่ยงแท้ได้ข้าก็จะเป็นเพียงระดับกลางๆของการประลองเท่านั้น’ ซ่งไป่หลางสูดหายใจ
“ก่อนที่การประลองจะเริ่มต้น ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าเตรียมตัวสิบก้านธูป จากนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าเข้าไปยังมิติรวมนภา” ผู้อาวุโสสองประกาศต่อศิษย์หลักทั้งห้าสิบคน
“อันใดกัน คนของนิกายบัวสวรรค์ขาดแคลนหรือ ถึงได้ส่งขยะระดับก่อกำเนิดมาร่วมประลองศิษย์หลัก” เสียงเย้ยหยันดังขึ้นจากกลุ่มคนของนิกายหนึ่ง ซ่งไป่หลางกวาดตามองพบว่าเป็นกลุ่มนิกายหุบเขามืด นิกายนี้อยู่อันดับต่ำกว่านิกายบัวสวรรค์หนึ่งระดับมาตลอด ทว่าเมื่อเห็นสมาชิกของนิกายบัวสวรรค์รอบนี้พวกเขาจึงคิดว่าโอกาสที่จะทะยานมาแย่งชิงอันดับได้มาถึงแล้ว
“หุบปากของพวกเจ้าเสีย” ฟงสุ่ยแค่นเสียงออกมา
“ฮ่าๆ ฟงสุ่ยเจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า นอกจากอู๋หลิวกับจูเหวิน คิดหรือว่าข้าจะกลัวพวกเจ้า” คนของนิกายหุบเขามืดพูดต่อก่อนจะเดินมาประชิดตัวซ่งไป่หลาง
ชายร่างยักษ์วางมือบนบ่าของซ่งไป่หลางก่อนจะเผยเสียงหัวเราะ “เจ้าหนูไม่ต้องห่วง ข้าจะละเว้นไม่จัดการกับเจ้า ฮ่าๆ ถือว่าข้ามีเมตตา”
ดวงตาของซ่งไป่หลางทอประกาย “เมตตาข้า? พวกเจ้าต่างหากที่ต้องขอความเมตตาจากข้า”
“หา เจ้ากล้าหรือ” คนของนิกายหุบเขามืดแค่นเสียงคำรามออกมา
“หากมีปัญญาก็มาเจอกันในการประลอง” ซ่งไป่หลางหัวเราะไม่ใส่ใจ
“พอเถอะ ไปกัน” หญิงสาวที่เป็นผู้นำนิกายหุบเขามืดเดินมาหยุดพรรคพวกของตน ทว่าเมื่อมองมายังซ่งไป่หลางดวงตาของนางทอประกายเย็นเยียบเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ไป่หลาง การประลองรอบแรกนี้พวกเราทั้งห้าควรอยู่ด้วยกัน” เมื่อกลับมารวมกลุ่มจูเหวินได้เอ่ยต่อซ่งไป่หลางอย่างสุขุม “ข้ารู้ว่าเจ้าแข็งแกร่ง แต่หากจะจัดการกับสัตว์ปีศาจจำนวนมาก รวมตัวกันอาจทำให้มีประสิทธิภาพในการล่ามากกว่า ช่วยกันจัดการแล้วแบ่งส่วนการล่ากันทีหลัง เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
ซ่งไป่หลางประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อมองไปทางอู๋หลิว เขาไม่คิดว่าชายที่ดูเย่อหยิ่งคนนี้จะยอมรับแผนการแบ่งปันผลประโยชน์ ทว่าอู๋หลิวนั้นดูมีท่าทีเคารพต่อจูเหวินอยู่มาก
“มองอะไรของเจ้า” อู๋หลิวถาม
“ไม่” ซ่งไป่หลางส่ายหน้า “ศิษย์พี่จูเหวิน ข้าเข้าใจว่าท่านมีแผนการ ทั้งยังเป็นแผนการที่ดีมาก ข้าเชื่อว่าท่านเป็นผู้นำของพวกเราตอนนี้ ทว่าข้ามีเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถรวมกลุ่มได้ อย่างไรก็ตามหากเกิดปัญหาต่อพวกท่าน ขอแค่ส่งสัญญาณมาให้ข้าตามที่เคยตกลงกันไว้ ข้าจะไปหาพวกท่านทันที”
อู๋หลิวมีสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าหนู หรือว่าเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของศิษย์พี่”
“อู๋หลิว ไม่เป็นไร” จูเหวินถอนหายใจ “ไป่หลาง ข้าเข้าใจเจ้า เอาเถอะถึงอย่างไรเราก็เป็นพวกเดียวกัน ถ้าเจ้ามีปัญหาก็สามารถส่งสัญญาณมาหาพวกเราได้เช่นกัน”
ฉินจีเห็นซ่งไป่หลางต้องการแยกตัวไปจึงรีบเอ่ยว่า “ไป่หลาง ถ้าเจ้าไม่รวมกลุ่มข้าจะไปกับเจ้า”
ซ่งไป่หลางรีบส่ายหน้า “ศิษย์พี่ฉิน ท่านควรอยู่กับกลุ่ม ความสามารถของข้าท่านย่อมรู้ดี โดยเฉพาะในด้านหลบหนีและซ่อนตัว ท่านไม่ต้องห่วงข้า”
ฉินจีพลันนึกไปถึงวิชาพรางกายที่ซ่งไป่หลางเคยใช้ตอนพบกันครั้งแรกรวมถึงเรื่องที่เขาเอาชีวิตรอดจากหุบเขาต้องห้ามได้ นางจึงพยักหน้ายอมรับ
“ไม่ต้องห่วงเขาหรอกศิษย์น้องฉิน” จูเหวินกล่าว
พวกเขาสนทนากันอีกเล็กน้อย ระหว่างนั้นผู้คุมการประลองบางส่วนได้เข้ามาพร้อมกับตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้เข้าร่วมทุกคนไม่มีแก่นวิญญาณติดตัวมาก่อน
รอจนเวลาหมดลง ผู้อาวุโสสองได้ประกาศออกมาอีกครั้ง “ศิษย์หลักทุกคน ก้าวเข้าไปในประตูมิตินี้” เขาสะบัดมือหนึ่งครั้งใช้พลังระดับเหนือมนุษย์ดึงกระชากห้วงมิติให้เปิดออก อันที่จริงด้วยพลังระดับเหนือมนุษย์เขาไม่มีความสามารถึงขั้นเปิดประตูมิติ แต่สถานที่นี้มีมิติรวมนภาทับซ้อนอยู่แต่แรกแล้ว ที่เขาทำเป็นเพียงการกระตุ้นประตูให้เปิดออกเท่านั้น นับว่าทำได้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง
ไม่รอผู้ใด คนของนิกายหุบเขาอัคคีทะยานเข้าไปเป็นกลุ่มแรก เมื่อเข้าไปหมดแล้วผู้อาวุโสสองขยับร่างกายเล็กน้อยแปรเปลี่ยนทิศทางของประตูมิติ เพื่อไม่ให้กลุ่มต่อไปปรากฏตัวขึ้นที่เดียวกัน
คนของนิกายหมื่นดาราตามเข้าไปเป็นอันดับสอง
จากนั้นจึงเป็นนิกายอื่นๆที่ตามเข้าไปทีละนิกาย จนในที่สุดทั้งหมดก็เข้าไปในมิติรวมนภาจนครบ
หลิวจื่อฮวนหยิบของวิเศษชิ้นหนึ่งขึ้นมา มันคือหยกฉายภาพที่สามารถแสดงภาพที่เกิดขึ้นในมิติรวมนภาได้ เมื่อเขากระตุ้นอักขระให้มันทำงาน หยกฉายภาพลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วฉายภาพขึ้นมาทั้งหมดห้าสิบภาพ ทั้งหมดล้วนฉายไปยังศิษย์หลักทั้งห้าสิบคนของสิบนิกาย
“ศิษย์นิกายหมื่นดาราและขุนเขาอัคคีแยกกันอย่างที่คาด ยังมีนิกายหอกระบี่ที่เซียนกระบี่น้อยแยกตัวออกจากกลุ่ม เอ๊ะ นิกายบัวสวรรค์เองก็มีคนแยกจากกลุ่มเช่นกัน” คนของตระกูลหลิวที่เป็นผู้ช่วยควบคุมการประลองพูดคุยกัน
“น่าสงสารนัก เจ้าหนูนั่นคือคนที่มีพลังขั้นสิบก่อกำเนิด คนอื่นๆคงเห็นว่าเขาไร้ประโยชน์จึงทิ้งเขาไว้แล้วไปด้วยกันแค่สี่คน อีกไม่นานเขาคงต้องใช้ยันต์ป้องกันตัวเพื่อออกมาจากมิติรวมนภาแล้ว”
“หืม พวกเจ้าดูสิ คนของนิกายหุบเขามืดเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง ราวกับว่าพวกเขามีเป้าหมายอยู่ในใจแล้ว จากที่ข้าสังเกตราวกับว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางเจ้าหนูขั้นสิบก่อกำเนิดคนนั้น”
“หรือพวกเขาตั้งใจจะกำจัดนิกายบัวสวรรค์” ผู้คุมการประลองอุทาน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำไมเรื่องนี้พระเอกเห็นแก่ตัวจังแทนที่ตัวเองจะใช้ความเข้าใจเคล็ดวิชาของสำนักที่ได้มาจากซากสำนักร้างมาช่วยปรับปรุงวรยุทธ์ของเพื่อนร่วมสำนักเพื่อที่1เป็นการผูกมิตร 2.ทุกคนจะได้เห็นความสามารถ 3.ทีมขิงตีวเองจะได้แข็วแกร่งขึ้นแต่ก็ไม่ทำ
กำลังสนุกเลย ของรางวับน่าสนใจมาก ซ่งน้อยเก็บกวาดให้เรียบเลยงานนี้ ฉกของวิเศฯและสมบัติมาให้เกลี้ยง ดูท่านิกายหุบเขามืดจะหาเรื่องใส่ตัวแล้วคิดกำจัดซ่งน้อย เดี๋ยวสิหนาว หุหุ