ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Holy สงครามแห่งแผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #8 : CHAPTER 8 : กางเขญสีดำคำสาบแห่งความตาย

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 48


    CHAPTER 8 : กางเขญสีดำคำสาบแห่งความตาย



    “อืมมมมม  นิ่มจัง”มิทอสครางเบาๆ แต่เปลือกตาก็ยังคงปิดอยู่ เค้าพลิกตัวมาทางขวา และก็ต้องพบว่ามีมือใหญ่ของใครบางคนอยู่บนเตียงของเค้า มิทอสจึงค่อยๆลืมตาช้าๆ....ภาพที่เห็นดูพล่ามัวเพราะแสงจากไฟ แต่เมื่อภาพต่างๆชัดขึ้นก็ต้องพบกับสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจเป็นที่สุด



    ชายที่นอนอยู่ข้างเตียงเธอ สีหน้าของเค้าดูอ่อนเพลียอาจจะเป็นเพราะว่าคอยเฝ้าเธออยู่ตลอด..... ขนาดนอนหลับ มือยังคงจับอยู่ที่มือขวาของคนป่วย



    “อองรี”มิทอสพูดชื่อของชายที่นอนอยู่ข้างเตียงของเธอ แต่เสียงที่ออกมามันเบาจนแทบจะไม่มีเสียงใดๆออกมา



    คนนอนหลับได้ยินเสียงของคนอันเป็นที่รักเพียงน้อยนิด กลับสะดุ้งตื่นราวกับว่ารอที่จะได้ยินเสียงนี้ใจจะขาด



    “มิทอส”อองรียิ้มออกมาอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน รวมกับแววตาอ่อนโยนแสดงให้เห็นว่าเค้าดีใจมาแค่ไหน



    “ก็เออสิวะ แกคิดว่าไอ้ของแค่นั้นจะทำให้ฉันตายได้เหรอยังไง”มิทอสรีบพูดเพี่อแก้เขินทำเอาคนตรงหน้ากลับมาวางสายตาเย็นชาเหมือนเดิม



    “อ้าวๆๆ พวกแกน่ะอย่าพึ่งมาหวานกันตอนนี้”ดันเต้เดินเข้ามา พร้อมทั้งถือถาดอาหารที่มีอาหารอยู่เต็มถาด



    “ว้าว ดันเต้นี่แกสมกับเป็นเพื่อนรักฉันจริงๆเลยนะ”มิทอสพูด พร้อมทำท่าจะเดินไปที่อาหาร แต่อองรีห้ามไว้ก่อนคงกลัวจะสะเทือนกับแผล พร้อมทั้งกวักมือให้ดันเต้เอาของกินมาวางใกล้ๆ



    มิทอสเมื่ออาหารมาถึงมือปุ๊บก็รีบสวาปามอาหารเบื้องหน้าทันที.......... เมื่อกินเสร็จมันก็รีบจ้ำอ้าวโดยไม่สนใจว่าตนเองกำลังป่วยอยู่ออกจากห้องไป........



    “แกจะไปไหน”ดันเต้ถามเมื่อเห็นคนป่วยเดินออกไปแล้ว



    “ตามมาเหอะน่า”มิทอสพูดแต่ยังไม่หยุดเดิน ทำให้เพื่อนทั้งสองตามมันไปเนื่องจากกลัวว่ามันจะอาการทรุดลงไปอีก



    คนพึ่งหายป่วยเดินนำหน้าชับๆเข้าไปยังส่วนที่เป็นหอพักของรุ่นพี่ ปีสาม เดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเล็กน้อยก็มาถึงห้องของหัวหน้าทาวเวอร์ เค้าไม่รอช้ารับเปิดเข้าไปทันที



    “พี่นิโคไลท์อยู่มั้ยครับ”มิทอสที่เดินเข้ามาพร้อมตะโกนถาม  เพราะไม่ต้องการเสียเวลาในการหา



    “หือ อะไรเหรอ”พี่นิโคไลท์เดินเข้ามาจากอีกฝั่งของห้องที่เป็นหน้าชาญยื่นออกไป



    “มาทางนี้สิ มากินน้ำชา”รุ่นพี่นิโคไลท์กวักมือเรียกแขกที่เข้ามาโดยที่ไม่ได้รับเชิญ มิทอสเดินตามออกไปพร้อมเพื่อนทั้งสองที่เดินทำหน้า งงๆอยู่



    เมื่อออกมาก็ต้องพบว่าด้านหลังเป็นสวนที่ปลูกดอกกุหลาบมากมาย และมีทางเดินยื่นออกไปมีซุ้มสีขาวที่มีไม้เลื้อยพันอยู่รอบๆ ตรงกลางซุ้มมีโต๊ะและเก้าอี้สีขาวที่มีน้ำชาวางอยู่ มิทอสเดินตามรุ่นพี่ไปนั่งที่เก้าอี้ในซุ้มนั้น



    “ขอบคุณครับ”มิทอสพูดเมื่อพี่นิโคไลท์รินน้ำชาให้



    “อ่ะนี่”พี่นิโคไลท์ยื่นกิ๊บติดผมไปให้ แต่สภาพของมันแตกละเอียด มิทอสรับกิ๊บนั้นมาด้วยการประคองสองมือ ก้มลงมองมันนึกขอบคุณคนให้



    “พี่ครับ พี่ช่วยสอนวิธีเก็บดาบไว้ในมือให้หน่อยได้มั้ยครับ”มิทอสถามนิโคไลท์พร้อมทั้งเอาเศษกิ๊บมาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ



    “ฉันก็คิดอยู่แล้วว่านายต้องมา แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”รุ่นพี่นิโคไลท์พูดพร้อมทั้งยกชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย



    “ก็ได้ ฉันจะสอนให้”นิโคไลท์เข้าใจดีว่าเพราะอะไรพวกเค้าถึงได้ให้รุ่นพี่นิโคไลท์สอน ถ้าเค้ารอมิสเตอร์กอลิล่าสอนคงจะอีกนาน



    “ผมอยากให้พี่สอนแค่วิธีเก็บดาบและวิธีนำมาใช้ก็พอ  ส่วนที่เหลือพี่สอนแค่ดันเต้ก็พอครับ”มิทอสรับตัดบทสนทนาทันที



    “ได้ ฉันก็กะไว้อย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะดันเต้เค้าค่อนข้างมีพรสวรรค์” รุ่นพี่พูดพร้อมทั้งยกกาน้ำชาขึ้นมาเติมในแก้ว



    “เอาล่ะเริ่มกันเลยดีกว่า เพราะความจริงแล้วมันก็ไม่ยากนักหรอก”รุ่นพี่ดื่มชารวดเดียวหมด พร้อมทั้งดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ห้องนี้ก็เปลี่ยนเป็นสี่เหลี่ยมที่มีกำแพงสีเทารอบด้าน มิทอสกับดันเต้ทำตาโตเท่าไข่ห่าน แต่อองรีรู้อยู่แล้วจึงไม่รู้สึกแปลกใจ



    “พวกนายต้องรวบรวมจิตใจเชื่อใจในอาวุท รวมพลังทั้งหมดไปไว้ที่มือที่ต้องการและใส่มันลงไป”รุ่นพี่นิโคไลท์เมื่อพูดจบก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่พึ่งสร้างขึ้นมา



    เป็นอย่างที่รุ่นพี่พูดมันไม่ยากเลยเพราะพื้นฐานของพวกเค้าก็ดีอยู่แล้ว ดันเต้ทำได้แป็นคนแรก ตามด้วยอองรี และมิทอสถึงแม้จะทุลักทุเลอยู่มากแต่ก็รอดมาได้



    “เอาล่ะ พวกนายสองคนไปได้แล้ว ดันเต้นายอยู่ที่นี่ก่อนเพราะเรายังต้องมีเรื่องต้องคุยกัน”พี่นิโคไลท์ไล่ทั้งสองคนออกไป มิออสก็ลากอองรีออกจากห้องทันที



    “รู้ใช่มั้ยว่าฉันทำอย่างนี้เพื่ออะไร”มิทอสพูดกับอองรีทั้งๆที่เดินอยู่เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป



    “รู้ แต่ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร”อองรีตอบแต่ยังเดินตามมิทอสออกมา



    “ก็พวกแกถ้าไม่กระตุ้นก็ไม่ทำนี่นา”เมื่อพูดจบก็มาถึงห้องที่พวกเค้าต้องการพอดี ห้องทำงานของมิสเตอร์โดมินิก มิทอสไม่รีรอผลักประตูเข้าไปทันที



    “นั่นใครน่ะ”มิสเตอร์ที่วันนี้ก็เนี้ยบอีกเช่นเคยพูดขึ้นแต่ยังไม่เงยหน้ามามอง



    มิทอสหลับตา หายใจเข้าลึกๆ และพ่นลมหายใจออกมา........ เพื่อให้เค้าไม่ประหม่าก่อนจะเดินเข้าไปนั่งตรงกันข้ามโต๊ะทำงานของมิสเตอร์โดมินิก



    “ผมเองครับอาจาร์ย”มิทอสตอบแต่ตอนนี้ในมือเค้าเริ่มมีเหงื่อออกมาบางๆ



    “หือ มิทอส เซนนิย่า แห่งทาวเวอร์มาส์ที่หลับตลอดทุกชั่วโมงที่ฉันสอน ไม่เข้าใจบทเรียนไหนเหรอ”มิสเตอร์โดมินิกเงยหน้าขึ้นมาพูดประชด



    “เอ่อ มิสเตอร์ครับผมอยากทราบว่าไม้เท้าเนตรมังกร อยู่ที่ไหนเหรอครับ”มิทอสรวมรวมความกล้าทั้งหมดถามมิสเตอร์โดมินิก



    “คุณมิทอส ไม้เท้าเนตรมังกรไม่อยู่ในบทเรียนนะ”มิสเตอร์โดมินิกพูดพร้อมยิ้มให้อย่างเสแสร้ง



    “คือผมอยากทราบน่ะครับ เป็นการส่วนตัวครับ” มิทอสพูดขึ้นอีกครั้งซึ่งครั้งนี้เค้าพยายามยิ้ม  แต่มือของเค้าเริ่มสั้นแล้ว เพราะทุกครั้งที่เค้าถามมิสเตอร์โดมินิกจะปล่อยรังสีการฆ่าฟันออกมาทุกครั้ง แต่ดีที่ได้ไอ้คนที่มาเป็นเพื่อนจับมือเอาไว้



    “เอาล่ะในเมื่อ คุณมิทอสต้องการทราบ ผมจะบอกให้เป็นพิเศษก็ได้” มิสเตอร์พูดขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้กลับปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมารุนแรงกว่าเดิมมาก



    “ไม้เท้าเนตรสิเพลิง เป็นอาวุทที่ เทพไททาเนี่ยม สะกดเอามังกรสีเพลิงไปไว้ในไม้เท้าเพราะมันเป็นมังกรที่ดุร้าย เพื่อเป็นทาสรับใช้ให้กับมนุษย์ ถือได้ว่าเป็นไม้เท้าที่มีผู้อยากครอบครองมากที่สุด ถึงจะเป็นไม้เท้าที่มีผู้อยากได้มากที่สุด แต่ก็เป็นไม่เท้าอาถรรณ์ที่ใครก็ตามที่ครอบครองมัน อาจจะกลายเป็นถูกมันครอบครองซะเอง”มิสเตอร์โดมินิกพูดพร้อมทำท่าคิด



    “มันอยู่ที่ ภูเขาลาวาเดือด”เมื่อมิสเตอร์พูดจบมิทอสก็ขอตัวเดินออกมาทันที



    “นายรู้แล้วนะว่าฉันจะทำอะไร”มิทอสพูดพร้อมทั้งวิ่งไปที่ห้องของพวกเขา



    “รู้”อองรีเมื่อเดินถึงห้องก็นั่งลงบนเตียง และหยิบชุดคลุ่มสีดำที่มีฮูบขึ้นมาสวม มิทอสก็สวมชุดนั้นเช่นกัน



    “ถึงโรงเรียนนี้จะลอบเข้ามายาก แต่ลอบออกไปไม่ยากหรอกนะ”มิทอสพูดพร้อมทั้งเดินเข้าไปในคอกม้า ทั้งคู่เลือกม้าคนละตัว



    “พรุ่งนี้เป็นวันหยุดไม่น่าจะมีใครสงสัยเรา พวกนั้นก็คิดว่านายป่วยฉันเลยอยู่ดูแล”อองรีบอกมิทอสพร้อมทั้งกระโดดขึ้นบนหลังม้า



    พวกเค้าตรงออกไปจากโรงเรียนอย่างง่ายดาย เดินทางกันไม่พัก จึงทำให้มาถึงที่หมายในตอนเที่ยงคืนพอดี สถานที่แห่งนั้นเป็นภูเขา ตามพื้นโดยรอบ มีบ่อลาวาเป็นแอ่งๆ ทำให้ไม่สามารถนำม้าเข้าไปได้เนื่องจากความร้อน อองรีจึงตัดสินใจให้มิทอสนอนพักด้านนอกก่อนแล้วค่อยเข้าไปในตอนเช้า



    มิทอสกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง แต่เนื่องจากเป็นหน้าหนาวทำให้อากาศในป่าหนาวชื้นแต่ยังดีที่ไม่ถึงกับหิมะตก



    “อืมมม หนาวจัง”มิทอสครางออกมาเบาๆ พร้อมทั้งนอนตัวขดเนื่องจากความหนาว อองรีเมื่อได้ยินดังนั้นเค้าถอดเสื้อนอกไปคลุมตัวมิทอสเอาไว้  และอุ้มเข้ามาไว้ในอ้อมกอด โดยที่ตัวเค้านั่งพิงต้นไม้เอามิทอสนอนพิงไว้ที่อกอุ่น



    ……………………………………………



    “อือ”เสียงครางเบาๆของอองรีดังขึ้นเมื่อตื่นนอน แต่ก็ต้องตกใจเพราะตอนนี้ในอ้อมกอดของเค้าว่างเปล่า



    “อองรี นายชอกกินส้มรึเปล่า”มิทอสพูดพร้อมหยิบส้มที่อยู่เต็มมือยื่นไปให้ อองรีแค่ยิ้มเล็กน้อยและรับส้มมากิน



    “กินเยอะๆนะ เพราะนายต้องเข้าไปข้างในคนเดียว ฉันไม่อยากไปเป็นตัวถ่วงนาย”มิทอสพูดแต่สายตายังมองไปที่ภูเขาลาวาเดือด อองรีแค่พยักหน้าเล็กน้อยเพราะเค้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน



    “นายต้องกลับมานะ ฉันจะรอ”มิทอสหันมาพูดกับอองรีด้วยแววตาจริงจัง



    “ฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวัง”อองรีตอบรับมิทอส ทำให้คนฟังถึงกับอมยิ้ม



    “ฉันไปล่ะ”อองรีเดินเข้าไปทันทีที่พูดจบ ทิ้งให้มิทอสมองตามไปอย่างเชื่อมั่น........... จนอองรีเดินหายเข้าไปในภูเขาลาวาเดือด



    มิทอสเลื่อนสายตาจากภูเขาลงมามองที่ต้นแขนของตัวเอง ที่ตอนนี้มันมีกางเขนสีดำรางๆขึ้นมา กางเขนดำคำสาบแห่งความตาย



    ในตอนที่มันโดนพลังเวทย์ซัดครั้งนั้น ทำให้เค้าโดนคำสาบ



    อีกเพียง 4 เดือนตัวเค้าก็จะตาย ทางแก้มีแค่ทางเดียว คือต้องเดินทางไปดินแดนทะเลสายไปขอดอกไม้ราตรีจากหัวหน้าพวกนอกรีต



    แต่หนทางที่จะไปมันยากลำบากนัก ซึ่งตอนนี้พวกเค้ายังไม่พร้อม เธอจะต้องให้เพื่อนๆเก่งให้ได้มากที่สุดสำหรับการเดินทาง



    เพราะถ้าบอกอองรี กับดันเต้ไปตอนนี้พวกมันต้องดึงดันไปกันเดี๋ยวนี้แน่นอน แต่มิทอสไม่ยอมตาย และก็ไม่ยอมหรอกที่จะไม่ได้กลับมาเรียนอีก จึงต้องใช้วิธีนี้ เพราะเค้ายังมีเวลาอีกมากจนกว่าจะถึงปิดเทอม มิทอสต้องการให้เริ่มเดินทางตอนปิดเทอม

    ....................................................................................................................



    ทางด้านอองรี ก้าวแรกที่เค้าเดินเข้ามาในถ้ำมันหนาวยะเยือกผิดกับด้านนอก เค้าเดินตรงเข้าไปตามทาง แต่เดินเท่าไหร่ทางกลับยิ่ง ไกลห่างออกไป ไกลออกไป แต่อองรีไม่ท้อแท้ยังคงเดินต่อไปจนไปสุดที่คฤหาสหลังหนึ่ง มันเป็นคฤหาสสีขาวใหญ่โต การตกแต่งส่วนใหญ่จะเป็นรูปปั้นเหล่าเทพเจ้า หรือเทพี และประตูไม้ที่สูงตระหง่านทั้งที่ปกติมันเล็กกว่านี้มากแต่ทำไมประตูมันถึงใหญ่ขึ้น ไม่ใช่สิ เค้าก้มลงไปมองมือของตัวเองพบว่าตัวเค้าตางหากที่เด็กลง อองรีในร่างเด็กมองบ้านหลังนั้น



    เป็นคฤหาสที่เค้าจำได้ดี คฤหาสไว้ท์เคารท์...... ความทรงจำแย่ๆของเค้าหวนกลับมาอีกครั้ง.......... หลังจากยืนสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ก็เปิดประตูเข้าไปยังคฤหาสช้าๆ



    “แกจะทดสอบอะไรฉันอีกล่ะ”อองรีในร่างเด็กพูดขึ้น



    เค้าเดินไปที่บันได…. ขึ้นไปชั้นสอง........ เห็นแม่กำลังนั่งฮัมเพลงอยู้บนม้าโยก พ่อนั่งอยู่บนโซฟากำลังอ่านหนังสือ และตัวเค้าเองที่นั่งเล่นของเล่นอยู่บนพื้น



    ใช่แล้วล่ะ มันเป็นความทรงจำของตัวเค้าเอง แต่ไม่ทันไรภาพทั้งหมดก็เปลี่ยนไป บ้านกลายเป็นกองเพลิงสีแดงฉาน แม่ที่นั่งอยู่บนม้าโยกหายไป พ่อที่นั่งอ่านหนังสือบนโซฟาก็หายไป รวมทั้งตัวเค้าด้วย เหมือนความทรงจำยังเด่นชัดอยู่เค้ารีบวิ่งไปยังห้องโถงใหญ่ สองข้างทางเต็มไปด้วยเลือดและคนตาย คนเหล่านั้นแสดงสีหน้าทรมาสแทบขาดใจ แต่เค้าก็ยังวิ่ง ๆ ๆ



    แปะ



    อะไรบางอย่างหยดลงบนใบหน้าของเค้า เมื่อเค้ามองขึ้นไปก็ต้องตะโกนร้องอย่างเจ็บปวดเพราะแม่ของเค้าที่ใส่ชุดนอนสีขาวที่แดงไปด้วยเลือด ไส้ถูกควักออกมาจากท้อง พันไปทีคอ และเกี่ยวอยู่บนเพดาน



    อ๊าก



    เสียงของชายคนหนึ่งร้องขึ้น เป็นเสียงที่อองรีจำได้ดี เสียงของพ่อ เค้ารีบวิ่งไปตามต้นเสียงทันที เมื่อไปถึงก็พบพ่อนอนกองอยู่บนพื้น คลางด้วยความเจ็บปวด และชายคนผมสีดำตาสีดำใช้ขาข้างขวาเหยียบอยู่บนอกของพ่อ ในมือถือแขนของพ่อเอาไว้



    “ได้โปรด เดวิล อย่าทำร้ายอองรี”พ่อพยายามพูดแต่เลือดที่กระอักออกมาทางปากทำให้พ่อพูดเสียงอู้อี้ แทบจะจับใจความไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เค้าจำได้ดีคือ ชื่อของมันเดวิล



    มันหันมาแสยะยิ้มให้กับพ่อ พร้อมทั้งเอาขาซ้ายกดลงบนหัวพ่ออย่างช้าๆ เพราะมันต้องการเห็นพ่อทรมาน



    อ๊ากกกกกกกกกกกกก



    อองรีเมื่อเห็นดังนั้นนัยตาของเค้าก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง ปีกสีดำกางออกมาจากหลัง และตามร่างกายขึ้นเกล็ดสีดำ  อองรีกระโดดเข้าใส่เดวิล แต่ไม่มีอะไรเลยที่อองรีสัมผัสได้ ร่างของอองรีผ่านเดวิลไป



    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”เดวิลหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมเพิ่มแรงลงไปที่ผ่าเท้าอีก



    แผละ



    เสียงของหัวพ่อที่เละไต้ผ้าเท้าของเดวิล เลือดของพ่อไหลออกมาโดนขาของอองรี แต่เค้ากับไม่รู้สึกอะไร เค้าไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว เค้าได้ยินแต่เสียงหัวเราะของเดวิลดังก้องอยู่ในหัวทำให้อองรีต้องเอามือมาปิดหูเอาไว้พร้อมทั้งตะโกนอย่างบ้าคลั่ง และความมืดก็กลับมาอีกครั้ง ภาพทุกอย่างหายไป เหลือแต่เพียงความมืด………



    อองรีนอนหอบอยู่บนพื้นซึ่งตอนนี้ร่างกายของเค้ากลับมาเหมือนเดิมแล้ว แต่ดวงตาของเค้าไม่มีแววตาอีกแล้ว มีแต่เพียงน้ำตาสีแดงที่ไหลออกมาไม่หยุด



    “แกไม่สมควรรอด”เสียงของเดวิล ที่ดังก้องอยู่ในห้องของอองรี



    “เพราะแกพ่อของแกถึงได้ตาย”



    “แกเป็นคนฆ่าพวกเค้า”



    “แกมันเป็นปีศาจที่เค้าเก็บมาเลี้ยง ที่นำความหายนะไปทุกที่”



    “ทุกคนที่อยู่ไกล้แกจะต้องตาย”



    “.................................”



    “..............................ออง”



    “อองรี”เสียงของมิทอสดังขึ้นข้างหูของอองรี แต่เค้ากลับไม่รู้สึกอะไร



    “อองรี”



    “ไอ้บ้า”



    “ไอ้ขี้หึง”



    “ทำวางมาดอยู่ได้”



    “ตื่นได้แล้ว”



    “นี่ไม่ใช่เวลานอนนะ” อองรีขยับนิ้วเล็กน้อย เพราะเค้าจำได้ดีเสียงของคนที่เค้ารักมากที่สุด สิ่งสุดท้ายที่เค้ายังเหลือ และเค้าก็ไม่ยอมเสียมันไปเด็ดขาด



    “นายต้องกลับมานะ ฉันจะรอ”อองรีขยับมือยันตัวเองลุกขึ้นมาโอนไปเอนมา



    “ฉันจะไม่มีวันทำให้เธอผิดหวัง”อองรีตะโกนออกมา ทำให้ความมืดรอบตัวเค้าหายไป กลายเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว ที่มีพาร์มเลี้ยงวัวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา



    อองรีเห็นตัวเค้าเองตอนเด็กนอนอยู่ตรงพื้นโดยที่ร่างกายมีแผลเต็มตัวไปหมด นอนหายใจหอบอยู่ที่พื้น



    “ดันเต้มาดูนี่สิ ไปตามตาแก่มาเร็ว”เสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่วิ่งเข้ามาหาร่างของเค้าตอนเด็กที่นอนอยู่ เป็นเสียงที่อองรีจำได้ดีเสียงของมิทอสนั่นเอง



    “เฮ้ยแกเป็นอะไรรึเปล่า”มิทอสตอนเด็กนั่งลงข้างๆอองรีในร่างเด็ก



    “ไม่ต้องห่วงนะ ตาแก่น่ะเก่งมากต้องรักษานายได้แน่”มิทอสพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม พร้อมทั้งอุ้มมิทอสในร่างเด็กขึ้นบนหลัง และพาไปยังบ้าน



    ภาพเบื้องหน้าของอองรีเปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมที่เป็นไม้ทั้งห้อง ที่เตียงมีตัวเค้านั่งอยู่อย่างเหม่อลอย



    “ข้าวมาแล้ว”มิทอสวิ่งเข้ามาพร้อมถ้วยข้าวต้ม ส่วนดันเต้วัยเด็กก็วิ่งตามเข้ามาเหมือนกัน



    “อ่ะ ปู่บอกว่าให้ฉันป้อนนาย กินสิ”มิทอสยื่นช้อนที่ตักข้าวไปให้อองรี แค่อองรีกลับปัดข้าวในมือมิทอสจนชามหล่นมาแตก



    โป๊ก



    เสียงของกำปั้นของมิทอสที่เขกลงไปบนหัวของอองรี อองรีหันมาทำตาฆ้อนใส่และกระโดดเข้าชกมิทอส ดันเต้ที่ยืนอยู่พยายามเข้ามาห้ามแต่ก็โดนลูกหลงไปด้วยเลยร่วมตะลุมบอนไปกับพวกมิทอสด้วย



    หลังจากสงครามเล็กๆจบลงโดยกินเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม เด็กทั้งสามคนนอนแผ่อยู่บนพื้น นอนหอบด้วยความเหนื่อย อองรีเมื่อได้ออกแรงถึงกับร้องไห้โฮออกมา



    “เฮ้ยๆๆ อย่าร้องสิวะ เป็นลูกผู้ชายอย่างร้องไห้สิวะ”มิทอสหันมามองอองรีที่นอนอยู่บนพื้น



    “เออๆๆ เอาเป็นว่าฉันไม่เห็นก็แล้วกัน”มิทอสหันไปมองทางอื่นทันที



    “ฮะๆๆๆๆๆๆ”ดันเต้ที่นอนอยู่บนพื้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มิทอสมองเพื่อนทั้งสองของมันที่คนหนึ่งร้องไห้จะเป็นจะตาย แต่อีกคนหัวเราะอย่างกับคนบ้า



    “ฮะๆๆๆๆๆๆ”มิทอสทนไม่ไหวถึงกับหัวเราะออกมาบ้าง



    “ฮึๆ ฮะๆๆๆๆๆ”อองรีหยุดร้องแล้วหัวเราะออกมา ทั้งสามคนลุกขึ้นมานั่งและหัวเราะอย่างกับคนบ้า



    อองรีในร่างผู้ใหญ่ถึงกับหัวเราะออกมาเล็กน้อย



    “ดีล่ะ ตั้งแต่วันนี้นายเป็นเพื่อนฉัน”ดันเต้หันมามองอองรี



    “ฉันชื่อดันเต้ มอร์บาซาน”ดันเต้แนะนำตัว พร้อมยื่นมืออกไปข้างหน้า



    “ฉันชื่ออองรี ไว้เค้า”อองรีพูด พร้อมยื่นมืออกไปจับมือดันเต้



    “ฉันชื่อมิทอส เซนนิย่า”มิทอสพูด และยื่นมือออกไปจับมือเพื่อนทั้งสาม



    และฉับพรันภาพก็เปลี่ยนไป เป็นตอนที่เค้าเดินเข้าไปในห้องน้ำ เห็นมิทอสในร่างของคารินอาบน้ำอยู่



    “อ๊ากกกกกกกกกก”มิทอสกับคารินตะโกนร้องพร้อมกัน



    “เจ้าบ้า คนที่ต้องตกใจคือฉันตะหาก”มิทอสที่แต่งตัวเสร็จแล้วพูด พร้อมทั้งยกมือขึ้นมาจะเขกหัวอองรีอีกครั้ง



    ภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ตอนนี้ตัวเค้าคงอายุประมาณแปดขวบได้แล้วมั้ง อองรีกำลังฝึกวิชาอยู่หลังบ้านกับคุณปู่ ปู่เป็นผู้ชายที่มีหัวล้าน และหนวดสีขาวยาวถึงท้อง ปู่เป็นคนที่เก่งมากเรื่องคาถาและปู่ก็ยังสอนดันเต้เรื่องดาบอีกตะหาก



    อองรีเดินเข้าไปในบ้านพบว่า ตอนนี้เป็นเหตุการณ์ตอนที่เค้ากำลังจะเดินทางออกจากบ้านเพื่อเข้าโรงเรียน



    “อองรี ดันเต้ ปกป้องมิทอสด้วยนะ”เสียงของปู่พูดขึ้นกับอองรี และดันเต้ พวกเค้าแค่พยักหน้าหงึกๆอย่างหนักแน่น



    “ไปกันเถอะ ไปก่อนนะตาแก่”มิทอสที่พึ่งลงมาพูดกับคุณปู่



    โป๊ก



    “โอ๊ย”เสียงของมิทอสอุทาน เพราะไม้เท้าของลุงกระแทกบนหัวของมัน



    “บอกมากี่ปีแล้วเนี่ยว่าให้เรียกปู่ แต่เอาเถอะ มาให้ปู่กอดหน่อยเร็ว”ปู่พูด พร้อมเดินเข้าไปกอดทั้งสามคนพร้อมกัน



    “เอาน่าตาแก่ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”มิทอสพูดเมื่อหลุดออกมาจากอ้อมกอดของปู่แล้ว



    ฟุ่บ



    เสียงของไม้เท้าที่กะจะเขกกะโหลกคนปากดี แต่มันรู้ทันรับกระโดดหลบล็อกคอเพื่อนทั้งสองของมันเดินออกไป



    ทันไดนั้นภาพทั้งหมดก็หายไปกลับมาเป็นถ้ำเดิมที่อองรีเดินเข้ามา และไม้เท้าสีน้ำเงินที่มีลูกแก้วสีแดงประดับอยู่ด้านบน ซึ่งมันปักอยู่บนพื้น อองรีเดินเข้าไปดึงไม้เท้าออกมา พร้อมทั้งแสงสีขาวที่ประกายออกมา ปรากฎให้เห็นชายที่มีแสงออกมาจากตัว เทพไททาเนี่ยม



    “คนที่มีความมืดในจิตใจไม่สามารถครอบครองไม้เท้า red dargon : rd ได้ ถึงแม้ในตัวเจ้าจะยังมีความมืดอยู่ แต่เจ้าก็มีสิ่งอื่นเข้ามาทดแทนคือการต้องการปกป้องบุคคลอันเป็นที่รัก แต่เมื่อไดที่เจ้าสูญเสียมันไปเราจะนำไม่เท้ากลับคืน”เทพไททาเนี่ยมพูดด้วยรอยยิ้ม



    “เราไม่มีวันเสียมันไปหรอก”อองรีตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น



    เทพไททาเนี่ยมเมื่อได้ยินดังนั้น ท่านอมยิ้มเล็กน้อย และเลือนหายไปในที่สุด อองรีเมื่อได้ไม้เท้ามาแล้วจึงกลับออกมาจากภูเขาลาวาเดือด แต่ภายนอกภูเขาไม่มีลาวาอีกแล้ว



    “อองรี”มิทอสเมื่อเห็นอองรีกลับมา ก็รีบลุกขึ้นยิ้มให้



    “กลับกันเถอะ”อองรีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ที่ไม่บ่อยนักจะได้เห็น



    ……………………………………………

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×