ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Holy สงครามแห่งแผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER 7 : เทศกาลสีหวานกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 48


    CHAPTER 7 : เทศกาลสีหวานกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ



    “ห้องนี้อยู่กันครบนะ”เสียงของมิสเตอร์กอลิล่าตะโกนถามผ่านอีกฝั่งของประตู



    “ครับ”อองรีเป็นคนตอบ แม้จะเป็นเรื่องโกหกแต่เค้าก็ยังสามารถรักษามาดนิ่งๆไว้ได้ เมื่อมิสเตอร์กอลิล่าเดินออกไปแล้วคารินถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดีที่มิสเตอร์ไม่เข้ามาตรวจในห้อง



    “ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ”อองรีหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที ส่วนคารินกำลังง่วนอยู่กับการเอาชุดนักเรียนออกจากกระเป๋า  



    หลังจากอองรีเข้าไปอาบน้ำได้ซักพักคารินก็นั่งนึกถึงเรื่องลูโด้ รวมทั้งเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทั้งหมด จนทำให้คารินไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูของห้องน้ำที่คนอาบน้ำก่อน อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว อองรีเดินมานั่งที่เตียงฝั่งตรงข้ามกับคาริน



    “อ้าวนายอาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”คารินตื่นจากความคิด และสังเกตุเห็นว่าตอนนี้อองรีใส่แค่ผ้าคลุมอาบน้ำตัวเดียวเนื่องจากการมาครั้งนี้พวกเค้าไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าเพื่อมาค้างคืนเลย ชายหนุ่มกำลังง่วนอยู่กับการเอาผ้าขนหนูเช็ดผมให้แห้ง  คารินเห็นดังนั้นก็ใจเต้นไม่เป็นระส่ำจึงทำให้นึกขึ้นได้ว่าคืนนี้มันต้องอยู่กับอองรี สองต่อสองทั้งคืนในร่างผู้หญิง!!!!



    “อะ เอ่อ เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อนนะ”ยังไม่ทันที่อองรีจะตอบอะไร คารินก็รีบเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที



    “คาริน”เสียงของอองรีที่เรียกคารินที่อยู่ในห้องน้ำ



    “อะไร” คารินพยายามตอบเสียงนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำใด้ แต่ตอนนี้หัวใจมันเต้นเสียงดังจนแทบระเบิด



    “คิดอะไรอยู่เหรอ”อองรีถามเสียงเย็น



    “อะ เอ่อ ก็ไม่ได้คิดอะไรนี่นา”คารินรีบตอบเพราะนึกว่าอองรีรู้แล้วเรื่องที่เค้ากำลังคิด



    “ตอนที่ฉันออกจากห้องน้ำนายทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่”อองรียังคงพูดเสียงเย็นพร้อมทั้งเอนตัวลงบนเตียง



    “อ๋อ เฮ้ออออ”คารินถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะนึกว่าไอ้คุณชายจะรู้เรื่องที่มันกำลังคิด พลางเดินออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งหล่อนเองก็อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำเหมือนอองรี แถมยังนึกบ่นในใจที่ลืมซื้อชุดนอนมาด้วย



    “คิดเรื่องลูโด้น่ะ ฉันมีความรู้สึกแปลกๆกับเค้า”คารินตอบพร้อมทั้งนั่งลงบนปลายเตียง



    “แปลกๆ??”อองรีถามแต่ตอนนี้เค้าลุกขึ้นมาจากเตียง และมองด้านหลังของสาวน้อยตรงหน้าอย่างเย็นชา



    “ก็หลายเรื่องนะ ทั้งเรื่องที่ทำไมเค้าต้องหนีด้วย เรื่องที่เค้าเป็นแค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆแต่กลับได้รับหน้าที่ๆยิ่งใหญ่”คารินพูดพร้อมทั้งดึงผ้าเช็ดหัวของอองรี มาเช็ดหัวตัวเองบ้าง โดยไม่รู้ถึงภัยที่กำลังคลืบคลานมาทางด้านหลัง



    “นายอยู่กับฉันแต่คิดเรื่องชายอื่นเหรอ”อองรีพูดเสียงเรียบๆ แต่ก็ทำให้คารินสะดุ้งสุดตัวเพราะรู้ดีว่าอองรีมันขี้หึงแค่ไหน แล้วในสถานะการอย่างนี้เธอเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด



    “ที่ฉันทำในคืนนี้รู้สึกจะน้อยเกินไปนะ ถึงทำให้นายมีเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระได้”คราวนี้อองรีไม่พูดเปล่า แต่เดินมาที่เตียงของคาริน



    “เฮ้ยๆๆๆๆ อย่านะอย่าเข้ามา ไม่อย่างนั้นฉันร้องจริงๆนะ”คารินพูดพร้อมทั้งเดินไปอีกด้านนึงของเตียง



    “อืมมมมม น่าสนใจ จะร้องก็ได้ฉัน แต่ว่าจะมีคนได้ยินหรือเปล่านี่ก็อีกเรื่องนึงนะ” อองรีพูดจนร่างบางรู้แล้วว่าอองรีลงคาถาไว้กับห้องนี้



    “แต่ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก เพราะยังไม่ถึงเวลา”อองรีเดินกลับไปนอนที่เตียงของตัวเอง คารินเห็นดังนั้นแต่ก็ยังไม่แน่ใจเลยเดินไปดูชายหนุ่ม แต่เมื่อได้ยินเสียงหายใจนิ่งๆของอองรีที่แสดงว่าเค้าหลับไปแล้วจริง....... แหมจะไม่ให้เหนื่อยได้ไงก็วันนี้ต้องทำหลายอย่าง ทั้งขับเกวียน พาสาวน้อยไปเดินเที่ยวอีก แล้วยังไม่นับโดดขึ้นไปเต้นบนเวที คารินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะเดินไปนอนเตียงของตัวเอง



        ..........................................................................................................



    ปัง ปัง ปัง ปัง



    เสียงเคาะประตูห้องที่ดังลั่น แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของเพื่อนรักที่เป็นต้นเหตุทำให้มิทอสต้องเจอเรื่องลุ้นละทึกตลอดคืนวานนี้



    “เฮ้ยๆๆๆ พวกแกตื่น  หกโมงเช้าแล้วรีบเตรียมตัวกันได้แล้ว”ดันเต้หันมาพูดกับมิทอสที่ตอนนี้กลายเป็นชายแล้ว........ ถึงยังสลึมสลืออยู่ แต่ก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนอองรีเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ที่ดันเต้เดินเข้ามาแล้ว จึงเสร็จก่อน อองรีรีบเดินออกไปก่อนเพื่อเตรียมรถม้า



    “มิทอสเป็นอะไรไปวะ ท่าทางเหมือนคนอดนอน”ดันเต้เอ่ยปากถาม เพราะตอนนี้มิทอสใส่เสื้อผิดด้าน และเริ่มถอดออกเพื่อใส่ใหม่อีกครั้ง มิทอสเมื่อได้ยินคำถามถึงกับมองหน้าดันเต้ด้วยแววตาอาฆาต



    “ก็เพราะแกน่ะแหละ ฉันเลยนอนไม่พอเลย”มิทอสตะโกนด่าดันเต้ เนื่องจากมิทอสมัวแต่ระแวงอองรีเลยแทบไม่ได้นอนทั้งคืน และดันเต้ก็เป็นอีกหนึ่งในต้นเหตุ



    “เฮ้ย อะไรกันวะ แกเป็นอะไรไป ฉันพึ่งจะกลับมาแล้วจะไปทำให้นายนอนไม่พอได้ยังไง”ดันเต้พูดพร้อมทั้งเกาหัวนิดๆเป็นเชิงคิด มิทอสที่อยากจะด่าดันเต้แต่ก็ไม่กล้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ก็เลยกระโดดเข้าทำสงครามกับดันเต้ ซึ่งกินเวลาไม่มากนักเพราะต้องรีบลงไปเตรียมขึ้นเกวียนกลับโรงเรียน



    “นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย”เป็นเสียงของรุ่นพี่นิโคไลท์ที่ถามขึ้นเมื่อเห็นดันเต้และมิทอสในสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมกระเซิงเดินกอดคอกันลงมา ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มแหะๆ และเดินขึ้นเกวียนไป  ส่วนอองรีคิดอยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นจึงไม่ได้พูดอะไร



    “เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวก่อนครับ”เสียงของผู้ชายคนหนึ่งเรียกมิทอสไว้ก่อนจะขึ้นเกวียน ชายคนนั้นสวมชุดขาวทั้งชุด เค้ายื่นจดหมายพร้อมถุงผ้าให้มิทอส ผงกหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอลา และเดินจากไป



    “หือ อะไรเนี่ย”มิทอสถือห่อผ้าและจดหมายของชายคนนั้นเข้ามาในเกวียน เปิดจดหมายอ่าน เพียงแค่ท่อนแรกก็ถึงกับทำให้มิทอสทำตาโตเท่าไข่ห่าน



                              ถึงคุณคาริน



                              ผมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สามารถมาลาคุณได้ ผมจึงส่งจดหมายนี้มาเพื่อบอกลาคุณพร้อมทั้งของขวัญเล็กๆน้อยๆ ผมคิดว่าของขวัญชิ้นนี้ต้องเข้ากับคุณ และผมคิดว่าจะต้องได้มีโอกาศได้พบกับคารินอีกอย่างแน่นอน



                             ลูโด้ รัช



    เมื่อมิทอสแกะห่อผ้าออกก็ต้องพบว่ามันเป็นกิ๊บติดผมที่เข้าชุดกับชุดที่อองรีซื้อให้ เพราะเป็นสีฟ้าและเป็นลายดอกไม้เหมือนกับที่ปักอยู่บนเสื้อ



    “มิทอส ใครส่งให้แกวะเนี่ย”ดันเต้หันมถามมิทอส เมื่อมิทอสได้ยินคำถามจึงเริ่มเล่าเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นให้ดันเต้ฟัง และก็เป็นอีกครั้งที่เรียกเสียงกลืนน้ำลายของดันเต้ได้



    “แล้วเค้ารู้ได้ไงว่าแกเป็นผู้หญิง”ดันเต้ที่ทำตาโตไม่แพ้มิทอสถามขึ้น



    “นั่นแหละที่ฉันกำลังสงสัย”มิทอสตอบ พร้อมทั้งหันไปมองอองรี “แล้วแกคิดว่าไง”



    “มองเห็นอนาคต ความสามารถเฉพาะตัว”อองรีตอบด้วยแววตาที่เย็นชา



    “หืออออ มิน่าล่ะ”มิทอสตอบพร้อมมองไปที่จดหมายอีกครั้งก่อนที่จะเก็บจดหมายและกิ๊บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ



    “เฮ้ย อองรี แล้วแกไม่หึงเหรอ”ดันเต้หันมาถามอองรีอย่างสงสัย แต่ก็พยายามพูดให้เบาที่สุดเพราะกลัวมิทอสได้ยิน อองรีเมื่อได้ยินคำถามถึงกับส่งสายตาดุๆมาให้



    “หมอนั่นเป็นพระ”อองรีตอบเสียงเย็นๆ



    “หา!! แต่ไม่ใช่พระจะรักไม่เป็นนะเว้ย”คราวนี้ดันเต้ทำตาโตยิ่งกว่าตอนอ่านจดหมายอีก อองรีไม่พูดอะไรเพียงส่งสายตาเย็นชามาให้ดันเต้



    เมื่อขับเกวียนมาได้ซักพักมิทอสก็ฟุ้บลงหลับทันที เพราะความเนื่อยอ่อนที่ไม่ได้นอนมาแทบทั้งคืน รุ่นพี่นิโคไลท์เห็นดังนั้นจึงอาสาออกไปขับเกวียนแทนมิทอสเอง ส่วนดันเต้ไม้ต้องพูดถึงเลยมันก็นอนหลับไปเหมือนกัน มันคงไม่ได้นอนทั้งคืนเนื่องจากบนตัวมันมีแต่กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิง มันคงรีบมาที่โรงแรมที่พวกมิทอสอยู่จนลืมอาบน้ำ ส่วนแจ๊กก็หลับไปเช่นกับเนื่องจากเมื่อคืนไปนั่งดื่มกับพวกคริสแทบทั้งคืน ถึงตอนนี้มันยังไม่สร่างเมาเลย ส่วนคนที่นอนหลับอย่างเป็นสุขทีสุด ในค่ำคืนที่ผ่านมาดูเหมือนจะมีอองรีแค่คนเดียว

                      ..............................................................................................



    ขับเกวียนมาได้ครึ่งทางแจ๊กก็เปลี่ยนกับรุ่นพี่นิโคไลท์ออกไปขับแทนบ้าง ตอนแรกอองรีจะไปเป็นคนขับเอง แต่แจ๊กกลัวว่าไอ้คนที่นอนหลับอยู่บนตักของอองรีจะตื่นเลยอาสาออกไปขับแทนก่อน



    “แปลก หมอกลงเหรอ แจ๊กระวังทางด้วยนะพยายามอย่าให้คลาดจากเกวียนข้างหน้า”รุ่นพี่นิโคไลท์เปิดผ้าออกไปเพื่อจะไปช่วยแจ๊กขับเกวียน แต่เมื่อขับเกวียนมาได้ซักพักอยู่ๆเกวียนด้านขวาก็เริ่มยุบลงไปทำให้คนนอนหลับบนตักคนอื่นสะดุ้งตื่น เพราะแรงสั่นสะเทือน



    “เกิดอะไรขึ้นน่ะ”อองรีเปิดผ้าออกมาถาม



    “ไม่มีอะไรหรอก แค่ล้อตกหลุมน่ะ”รุ่นพี่นิโคไลท์ตอบ พร้อมทั้งกระโดดลงไปดูล้อ และสำรวจความเสียหาย



    “อองรี รู้สึกแล้วใช่มั้ย”รุ่นพี่นิโคไลท์ถามอองรีที่เดินตามลงมาจากเกวียนเหมือนกัน เค้าไม่ได้ตอบเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงยืนยัน



    “แต่เราเสียเปรียบนะ”แจ๊กพูดขึ้น พร้อมทั้งแกล้งก้มลงไปดูล้อเกวียน



    “มันเห็นเราแต่เราไม่เห็นมัน”ดันเต้พูดเมื่อเดินมาถึง



    “เอ๋ อะไรเหรอ”มิทอสที่เดินตามลงมาหันมาถาม ถึงกับทำให้ทุกคนมองมิทอสประมาณว่ากลิ่นไอฆ่าฟันแรงขนาดนี้ยังไม่รู้อีกเหรอ อองรีจึงเล่าสถานะ การคล่าวๆให้ฟัง



    “คิดว่าไงมิทอส”ดันเต้เดินมาถาม ส่วนรุ่นพี่นิโคไลท์ยังคง งงๆกับท่าที่ของพวกอองรีว่าทำไมต้องไปถามมิทอสด้วย



    “อือ ดูจากพื้นดินนะ ที่นี่เป็นพื้นที่เปียกชื้น ซึ่งต้องมีต้นไม้สูงๆอยู่เยอะแน่ๆ พวกมันต้องบุกมาทางด้านบนชัวร์ โดยการกระโดดลงมาโจมตีจากต้นไม้ และลักษณะการลอบโจมตีอย่างนี้มีอยู่แค่พวกเดียวต้องเป็นพวกโจรแน่ๆ แต่พวกมันคงไม่ได้เจาะจงเป็นพวกเราหรอก เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าจะต้องมีฝีมือไม่เท่าไหร่ และถึงจะมีนักเวทย์อยู่ด้วย แต่ก็แค่คนเดียวเท่านั้น”มิทอสอธิบายสถานะการอย่างละเอียดทั้งๆที่มองไม่เห็น



    “แล้วทำไม่มันถึงยังไม่โจมตีล่ะ”คราวนี้แจ๊กเป็นฝ่ายถาม แต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อมิทอสซักเท่าไหร่



    “มันดูท่าทีไงล่ะ ผมบอกแล้วว่าพวกมันไม่ได้เจาะจงมาที่พวกเรามันก็คงจะไม่มีข้อมูลของเราเลย แต่เพื่อความรอบคอบมันจึงดูท่าทีไปก่อน ไม่ต้องห่วง พวกโจรน่ะ เลือดร้อนทุกคน พอมันเห็นว่าเป็นเด็กนักเรียนมันจะไม่รีรอที่จะลงมือทันที”มิทอสพูดพร้อมชักดาบออกมา



    อองรีที่หยิบไม้เท้ามาและเริ่มร่ายคาถาบางอย่างออกมาแล้ว



    แจ๊กก็เริ่มใส่สนับมือ



    ส่วนรุ่นพี่แค่พูดสองสามคำและดึงดาบออกมาจากมือซ้าย



    “เฮ้ยๆ พี่ทำได้ยังไงอ่ะ”แจ๊กหันมาถามพี่นิโคไลท์ พร้อมทั้งทำตาโตเท่าไข่ห่าน



    “เดี๋ยวก็ได้เรียนเองแหละ”พี่นิโคไลท์ไม่พูดมากทำท่าเตรียมรับมือ



    ยังไม่ทันไรพวกมันก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ตามที่มิทอสบอกจริงๆ แต่อองรีเตรียม พร้อมอยู่แล้วเค้าร่ายเวทย์สร้างกระแสลมหมุนรอบพวกเค้าทำให้พวกมันกระเด็นออกไปทันทีที่โดนตะข่ายเวทย์ และหมอกก็โดนลมซัดหายไปหมด เผยให้เห็นถึงภูมิประเทศที่เป็นไปตามที่มิทอสบอก คือตลอดสองข้างทางที่รถม้าเกวียนผ่านมีต้นไม้สูงอยู่มาก



    พวกมิทอสเห็นดังนั้นจึงกระหน่ำเข้าโจมตีพวกโจรทันที พวกมันมีความเร็วที่ด้อยกว่าพวกมิทอสมาก แต่พวกมิทอสเมื่อฟันเท่าไหร่ก็โดนดีดออก เมื่อนั้นทำให้รู้ว่าพวกนี้มีตาข่ายป้องกันอยู่จึงไม่สามารถทำร้ายพวกมันได้ ทำได้เพียงแต่ตั้งรับ



    “เอาไงดีพี่”แจ๊กที่เริ่มเหนื่อยหอบกับการหลบการโจมตีหันมาถามรุ่นพี่ เค้าส่ายหน้าเล็กน้อยเพราะตัวเค้าเองก็ไม้ได้เอาไม้เท้าตึดมือมา และอองรีก็ดันไปสู้กับนักเวทย์อยู่ ดันเต้ใช้เวลาคิดเล็กน้อง พร้อมทั้งเรียกเพื่อนๆมาคุยสองสามคำ ซึ่งเพื่อนๆก็แค่พยักหน้าเป็นเชิงตกลง



    เมื่อพร้อมดันเต้ก็ลุยไปเป็นคนแรกพวกโจรไม่หลบเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางฟันโดนแน่นอน



    ฉับ



    เสียงของบางสิ่งบางอย่างขาดแต่ไม่ใช่ร่างกายของมนุษย์ ตาข่ายเวทย์หายไป ดาบของดันเต้ฟันตาข่ายเวทย์ได้



    “พี่ เอาเลย”ดันเต้หันมาตะโกนให้รุ่นพี่นิโคไลท์ที่กำลังจะกระโดดเข้ามาฟันแล้ว เหตุการนี้เกิดขึ้นเร็วมากและทุกอย่างก็สงบลงอย่างรวเดร็ว ส่วนอองรีก็สามารถจัดการกับผู้ใช้เวทย์ได้แล้ว เหมือนเหตุการณ์จะกลับสู่ความปกติ



    เปรี้ยง



    เสียงของเวทย์กระแทกเข้าสูร่างของมิทอส ทำให้ร่างของเขากระเด็นออกไปแต่อองรีเข้ามาพยุ่งไว้ได้ทันก่อนที่มิทอสจะกระเด็นไปโดนเกวียน เลือดอุ่นๆไหลทะลักออกจากปากมิทอสทำให้รู้ได้ทันทีว่าเค้าบอบช้ำภายใน อองรีรีบร่ายเวทย์รักษามิทอสทันทีแต่ดูเหมือนอาการจะยังน่าเป็นห่วงอยู่เพราะเจ้าตัวดีถึงกลับสลบไปเลย แต่มันก็ยังหายใจอยู่



    “จับไม่ได้ สงสัยจะหนีไปแล้ว”ดันเต้เดินมาดูอาการของเพื่อนรัก ที่อองรีกำลังอุ้มเข้าไปในเกวียนอยู่ ดันเต้เมื่อมันเดินมาเห็นอองรีก็ถึงกับผงะออก เพราะตอนนี้แววตาของอองรีเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธแต่ก็ต้องพยายามสงบสติเอาไว้



    “ไม่เป็นไรมากหรอก ไม่ได้โดนจังๆ ดีนะเนี่ยที่กิ๊บนี้ช่วยกันเอาไว้”รุ่นพี่นิโคไลท์พันแผลให้มิทอส พร้อมทั้งหยิบเอากิ๊บสีฟ้าที่ลูโด้เป็นคนมอบให้ซึ่งมันแตกละเดียดไปเรียบร้อยแล้ว



    อองรีถึงจะไม่ค่อยชอบใจนักแต่ก็นึกขอบใจลูโด้อยู่ไม่น้อย



    “หนอยไอ้นี่ ดวงแข็งนักนะ”รุ่นพี่นิโคไลท์พูดเมื่อพันผ้าพันแผลเสร็จแล้ว และลูบไปที่หัวมิทอสเบาๆอย่างเอ็นดู



    “แจ๊กออกไปขับเกวียนให้ทีนะ”รุ่นพี่หันมาบอกแจ๊ก แจ๊กไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่เดินออกไปขับเกวียน เนื่องจากว่าพวกเค้าอยู่รั้งท้ายจึงไม่มีใครสังเกตุว่าพวกเค้าหายไปและพึ่งกลับมา



    “ดันเต้ทำไมนายฟันตายข่ายเวทย์ได้ล่ะ”รุ่นพี่นิโคไลท์หันมาถามดันเต้ ซึ่งอองรีก็ดูสนใจอยู่ไม่น้อย



    “ดาบผ่ามิติไงล่ะ ดาบที่ผ่าทุกอย่างได้ถ้าไม่ใช้สิ่งมีชีวิต”ดันเต้อธิบายพร้อมทั้งหยิบดาบที่เค้าพึ่งซื้อมาจากหอคอยเทพ เป็นดาบสีขาวใสที่ดู บอบบาง เรียว และเล็ก “ฉันชอบสะสมดาบน่ะ”



    การเดินทางต่อจากนี้ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นนอกจากมีฝนตกลงมาเล็กน้อย ทุกคนเลยมาถึงทาวเวอร์ตามกำหนดการ



    เมื่อมาถึงอองรีให้ดันเต้จัดการเรื่องเอาเกวียนไปเก็บ ส่วนตัวเค้าจะพามิทอสไปพักที่ห้องก่อนที่จะมีใครสังเกตุเห็น เพราะพวกเค้าขี้เกรียจมานั่งอธิบายเรื่องทั้งหมด



        …………………………………………..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×