ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Holy สงครามแห่งแผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #6 : CHAPTER 6 : หอคอยเทพกับเทศกาลของวันหวาน

    • อัปเดตล่าสุด 26 ต.ค. 48


    CVHAPTER 6 : หอคอยเทพกับเทศกาลของวันหวาน



    “อ้าวแล้วอองรีล่ะ”มิทอสถามขึ้นเนื่องทุกคนขึ้นมาครบแล้วแต่ยังขาดอองรี ยังไม่ทันที่เพื่อนจะตอบอะไร อองรีก็เดินขึ้นมาบนเกวียน



    “แกไปไหนมาวะ”มิทอสถามอองรี



    “ไปเอาไอ้นี่มา”อองรีแบมือที่ถือห่อผ้าออกซึ่งข้างในเป็นเมล็ดทานตะวัน “เอาไปซิ”อองรียื่นห่อผ้าให้กับมิทอส



    “ว้าวขอบใจมากเพื่อนรัก”มิทอสรับห่อผ้ามาจากอองรี และก็เริ่มกินเมล็ดทานตะวันที่เค้าเอามาให้



    การเดินทางไปยังจุดหมายที่สองครั้งนี้ ดูจะเฮฮากว่าครึ่งแรกเพราะ พวกมิทอสเริ่มจะสนิทกับรุ่นพี่นิโคไลท์มากขึ้น และแจ๊กก็พกไพ่มาด้วยทำให้หลายๆคนหายเหงา  ส่วนงวดนี้อองรีเป็นคนออกไปขับเกวียนบ้าง



    “พี่นิโคไลท์ครับที่หมายที่สองคือที่ไหนเหรอครับ”มิทอสถามพร้อมทั้งหันไปคุยกัยนิโคไลท์



    “อืม~~ เป็นสถานที่ของพวกเมอคิวลี่เค้าน่ะ มันไม่เหมาะกับพวกเราหรอก god tower หอคอยเทพ  สถานที่ ที่เป็นศูนย์กลางของ เหล่าพ่อมดแม่มดเนื่องจากตำนานหรือเรื่องต่างๆเกี่ยวกับเทพเจ้ามักจะมีจารึกไว้ที่นั่น และยังเป็นสถานที่ๆเต็มไปด้วยเหล่านักบวญชั้นสูง แต่พวกเรานะ.....ฉันคิดว่าร้านเหล้าด้านนอกดูจะเหมาะกับพวกเราซะมากกว่า อ้อ...แล้วอีกอย่างนึงที่นั่นมีดาบชั้นดีขายด้วยนะแต่เหล้าไม่ค่อยอร่อยนัก”พี่นิโคไลท์พูดพร้อมทั้งยักไหล่เล็กน้อย



    “อือ ก็ดี ฉันว่าจะไปหาหนังสืออ่าน”อองรีพูดดักไว้ก่อนที่มิทอสจะชวนเค้าไปร้านเหล้า



    “เฮ้ย แกไม่ต้องมามองฉัน ฉันจะไปดูดาบ”ดันเต้พูดพร้อมชี้หน้ามิทอส ที่มันกำลังจะเอ่ยปากชวน



    “เฮ้ย พวกแกนี่ไม่มีอารมณ์สุนทรีเลยนะ เฮ้อ~~~”มิทอสพูดพร้อมแบมือออกไปด้านข้างและส่ายหน้าเล็กน้อย



    เมื่อมาถึงพวกเค้าก็ต้องตะลึง เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสีขาว ถนนสีขาวที่ทอดยาวออกไปแม้แต่ผู้คุ้มกันทางเข้ายังแต่งด้วยเกราะสีขาว เมื่อรถม้าขับตรงไปจอดด้านใน มิทอสก็เป็นคนแรกอีกเช่นเคยที่โดดออกมาจากเกวียน เค้ามองเส้นทางสีขาวที่ทอดยาวออกไป ไปสู่หอคอยสีขาวที่มีผลึกแห่งชีวิตสีขาวเด่นตระหง่านอยู่บนยอด หอคอยนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างเมืองพอดีและมีทางเข้ามากมายให้เดินเข้าไปแต่เส้นทางทุกเส้นทางล้วนเป็นสีขาว ข้างทางเต็มไปด้วยรูปปั้นเทพีมากมาย เทพ นักรบและนักบวชเรียงรายเต็มสองข้างทาง พวกเมอคิวรี่และพวกอื่นๆรีบเดินเข้าไปในวิหารทันทีที่มาถึง ผิดกับพวกมาส์ที่เดินเลือกซื้อของทันทีที่มาถึง..... อ้าวก็โบสน์กับพระเนี่ยมันเป็นของร้อนสำหรับพวกเค้านี่นา



    มิทอสเดินเข้ามาในร้านเหล้านอกเมือง หลังจากที่นัดแนะกับเพื่อนของมันว่าจะรออยู่ที่ร้านเหล้านี้ เมื่อเดินเข้ามาถึงก็พบว่าส่วนใหญ่ในร้านนี้จะมีก็แต่เพียงพวกนักเรียนตึกมาส์ทั้งนั้น มิทอสที่ต้องการหาที่เงียบๆนั่งคนเดียวจึงแยกออกไปนั่งที่มุมของร้าน พร้อมทั้งสั่งเบียร์มาดื่มรอเพื่อนๆของเค้า



    “ขอโทษนะครับ ผมขอนั่งด้วยซักครู่นะครับ”เสียงของชายหนุ่มที่มีผ้าคุมทั้งตัวเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งชโงกหน้ามามองมิทอส ถึงแม้การแต่งตัวของเค้าจะดูมีพิรุศ แต่กริยาท่าทางของเค้าไม่น่าจะใช่คนร้าย



    “เอาซิ”มิทอสพูดพร้อมผายมือมาทางเก้าอี้ตรงกันข้าม ชายคนนั้นแค่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะนั่งลง



    “กินอะไรมั้ย”มิทอสเปิดบทสนทนากับชายตรงหน้า



    “ไม่ดีกว่าครับผมกินเหล้าไม่ได้”ชายคนนั้นตอบนิ่งพร้อมทั้งโบกมือเล็กน้อย



    “ที่นี่ไม่ได้มีแต่เหล้าหรอกนะ เอาน้ำเปล่ามั้ยเดี๋ยวฉันสั่งให้”มิทอสพูดกล่อมคนตรงหน้า



    “ก็ดีเหมือนกันครับ ขอบคุณมากนะครับ”น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูนอบน้อม



    “ไม่ต้องมาขอบคุณฉันหรอก เพราะว่าฉันไม่ได้เลี้ยงนาย เอ่อ...ลุงครับขอน้ำเปล่าด้วยนะ”



    “ฮึ….. แต่ผมว่าคุณต้องได้เลี้ยงผมแน่ๆ”ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงอันเบา จนมิทอสไม่ได้ยิน



    “เอาล่ะ ทีนี่ช่วยบอกฉันหน่อยได้มั้ยว่านายหนีใครมา”



    “เอ๋ ทำไมถึงรู้ล่ะครับ”น้ำเสียงเค้าฟังดูแฝงไปด้วยความสงสัย



    “เอาไงดีล่ะ   ประการแรกนะ นายเลือกมานั่งกับฉันทั้งที่มีที่นั่งว่างตั้งเยอะแยะ เพราะเป็นมุมอับที่สุดไม่สะดุดตา และก็คงไม่มีใครสังเกตุ ที่สำคัญคนที่ตามนายจะที่คิดว่านายอยู่คนเดียวจะจะไม่สนใจพวกเราที่อยู่กันสองคน ข้อสองเหงื่อที่อยู่ตรงตัวนายแสดงว่านายวิ่งหนีมาแต่ดูนายไม่หอบก็หมายความอีกว่า นายรักษาจังหวะการหายใจก่อนจะเดินเข้ามาในร้าน และข้อสุดท้ายการแต่งตัวของนายไม่น่าจะเข้ามาในร้านเหล้าเลยเพราะชุดที่นายแต่งเป็นชุดคลุมของบาดหลวง ที่บางที นายอาจจะขโมยมา”มิทอสพูดพร้อมกับเอนตัวไปทางด้านหลัง ส่วนมือก็เอื้อมไปกระชับดาบ



    “งั้นคุณก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วสินะครับ”ชายคนนั้นพูด พร้อมทั้งยกเก้าน้ำขึ้นดื่ม



    “ตอนนี้ฉันรู้อีกข้อนึงแล้วล่ะนายเป็นนักบวช”มิทอสบอกแต่มือยักกำดาบแน่น



    “โห นี่คุณรู้ได้ไงครับเนี่ย”คราวนี้ชายคนนี้มีสีหน้าแปลกใจ



    “ไม่มีโจรที่ไหนหรอกนะที่กินน้ำโดยการยกแก้วสองมือ”มิทอสพูดพร้อมยกแก้วเบียร์ด้วยมือขวามือเดียวขึ้นมาดื่มแต่มือซ้ายของเค้ายังจับดาบแน่น “เอาล่ะฉันตอบนายมามากแล้ะ ตาฉันถามแล้ว นายเป็นใคร”



    “คุณนี่น่าทึ่งจริงๆเลยนะครับ เอาเป็นว่า ผมยอมบอกคุณก็ได้ครับ ผมเป็นนักบวชจริงอย่างที่คุณพูด ผมชื่อลูโด้ รัชครับ”ชายคนนั้นปรดผ้าคลุมออกเผยให้เห็นผมสีเงินยาวถึงหลังและดวงตาที่เป็นสีม่วงดูลึกลับแต่กลับดูอ่อนโยน หน้าของเค้าจัดได้ว่าเป็นผู้ชายที่หน้าสวยเลยทีเดียว ขนาดพวกเค้าอยู่ในที่อับแต่ลูโด้ยังดึงสายตาของทุกคู่ในร้านเอาไว้ได้



    “หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะครับ”ลูโด้ผงกหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป พอดีกลับที่อองรีเดินเข้ามาผมสีน้ำเงินของอองรีที่เป็นประกาย ยามเดินเข้ามารวมทั้งท่าทางที่สง่างามถึงแม้จะเดินสวนทางกับชายที่ได้ชื่อว่าสวยมากแต่ก็ไม่สามารถ กลบความสง่างามของอองรีได้ อองรีเมื่อเดินเข้ามาก็ผงกหัวเล็กน้อยให้กับลูโด้ ซึ่งชายคนนั้นก็ผงกหัวเป็นเชิงทักทายให้กับอองรีเช่นกัน





    “เกิดอะไรขึ้น”อองรีเดินมาถามมิทอสที่ทำหน้างงๆอยู่ มิทอสเมื่อเรียบเรียงคำถามที่สุดแสนจะสั้น และแปลออกมาได้ว่ามันคงถามถึงตอนที่มันไม่อยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น มิทอสจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง



    “อืม.... ฉันเพิ่มให้นายอีกข้อนึง เค้าเป็นนักบวชชั้นสูงเนื่องจากสัญลักษญ์บนจี้ที่เค้าใส่มาเป็นกางเขนแสง ที่หาได้ยากจะมีใส่ก็เฉพาะนักบวชอวุโส”อองรีพูดพร้อมหยิบหนังสือที่เพิ่งซื้อขึ้นมาอ่าน และกวักมือเรียกสาวเสิร์พเพื่อสั่งเบียร์



    “เอาเบียร์มาแก้วนึง”อองรีสั่งบริการสาวที่ใส่เสื้อเว้าหน้าเว้าหลังกับกระโปรงที่สั้นยิ่งกว่าสั้น บริการสาวเมื่อได้ยินก็รีบเดินไปเอาเหล้ามาให้ พร้อมทั้งขยิบตาให้อองรีอย่างเชิญชวน



    “แกทำอะไรในวิชาประวัติศาสตร์ แค่นี้ก็ไม่รู้”อองรีพูดพร้อมยกเบียร์ขึ้นกระดื่ม



    “วะ ถามได้ก็หลับซิวะน่าเบื่อตายชัก”



    “แล้วแกก็คลายมือ ออกจากดาบได้แล้ว เค้าไปตั้งนานแล้ว”อองรีพูดแต่ยังไม่เงยหน้ามาสบตากับมิทอส



    “เออ แล้วดันเต้ล่ะ”มิทอสพูด พร้อมคลายมือออกจากดาบที่ตอนนี้เหงื่อชุ่มไปทั้งมือ เพราะตัวเค้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะชนะ ถ้าต้องสู้กันจริงๆ..... สิ้นเสียง.... ดันเต้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับดาบด้ามใหม่



    “เฮ้อ ~~ พูดถึงก็มาเลยแฮะตายยากจริงๆ”มิทอสพูดพร้อมหันไปมองเพื่อนที่หน้าบาน ดีใจเพราะว่าได้ดาบใหม่มา



    “สาวสวยจ๊ะ พี่ขอเบียร์แก้วนึงสิจ๊ะ”ดันเต้พูดพร้อมนั่งลงบนเก้าอี้ที่หันหน้าไปทางหน้าต่าง บริการสาวเมื่อได้ยินดังนั้นก็นำเบียร์มาให้ ดันเต้มือไม่อยู่สุขอีกแล้วไม่รับแก้วอย่างเดียวมันยังเอามือไปจับก้นบริสาวคนนี้อีก ดีนะที่สาวคนนั้นไม่ว่าอะไรอาจจะเป็น เพราะดันเต้จัดได้ว่าเป็นหนุ่มหล่อเลยทีเดียว



    “อองรีได้อะไรมาบ้างวะ”มิทอสกับมาสนใจอองรีอีกครั้ง มันไม่พูดเปล่ายังถือวิสาสะหยิบหนังสือของอองรีขึ้นมาอ่านชื่อเรื่อง



    “การทำพิธีศักการะเทพเจ้า, ประวัติศาตร์สงครามครั้งแรก, ประวัติเทพเจ้า.... เฮ้ยนี่แกอ่านอะไรวะเนี่ย พวกนี้มันไม่ใช่หนังสือของนักเรียนเลยนะเว้ย”



    “แค่หนังสืออ่านเล่น”อองรีพูด พร้อมดึงหนังสือในมือของมิทอสมาเก็บไว้ในกระเป๋าตามเดิม



    “เฮ้ยพวกแก ดูนั่นสิ”ดันเต้พูดพร้อมชี้ไปที่หน้าต่าง พวกมิทอสจึงชโงกเข้าไปที่หน้าต่าง….. ตอนนี้ถนนสีขาวไร้ซึ่งผุ้คน เพราะถูกนักบวชในชุดสีขาวกันเอาไว้ข้างทาง เหมือนกำลังจะมีพิธีอะไรบางอย่าง พร้อมทั้งมีสาวสวยเดินอยู่บนถนนสีขาวที่แต่งด้วยชุดสีขาวทั้งชุดดูคล้ายชุดแต่งงานแต่มีกางเขนอยู่บน อกของชุด และมีผู้หญิงสามถึงสี่คนถือชายกระโปรงเดินตาม ในมือของหญิงสาวมีจอกสีทอง พวกมิทอสเห็นอย่างนั้นจึงรีบวิ่งออกไปดู



    มิทอสที่วิ่งออกไปทีหลัง เพราะต้องจ่ายเงินก่อน พรางนึกขี้นมาได้ว่าค่าน้ำเปล่ายังไม่ได้เก็บจากลูโด้เลยนี่นามันจึงต้องจ่ายเงินให้ไปก่อน เมื่อจ่ายเงินแล้วจึงรีบวิ่งออกไป



    “นี่มันอะไรกันเนี่ย”ดันเต้เอ่ยปากถาม พร้อมทั้งหันไปมองคนรู้มาก



    “พิธีชำระล้าง”อองรีตอบ



    “แล้วไอ้พิธีชำระล้างเนี่ยมันคืออะไรล่ะวะ”มิทอสเอ่ยถามเพราะยังไม่เข้าใจคำตอบของคนตอบ



    “เป็นพิธีที่ทำก่อนจะเป็นเจ้าสาว จะทำพร้อมกันทีเดียวสิบเก้าคน การชำระล้างจิตใจให้ขาวผ่องเพื่อรับหน้าที่ใหม่ของการเป็นภรรยาและมารดา เจ้าสาวทุกคนจะถือจอกศักดิ์สิทธ์เพื่อไปรับน้ำจากบาทหลวงที่มีความขาวสะอาดมากที่สุด ส่วนใหญ่บาทหลวงที่ทำพิธีนี้จะเป็นผู้ที่บวชเป็นเวลานาน”อองรีอธิบายพร้อมชี้ไปทางหอคอยเทพ ซึ่งตอนนี้ มีผู้ชายยืนอยู่ เป็นชายที่แต่งด้วยชุดสีขาวทั้งชุดในมือถือจอกศักดิ์สิทธิ์สีขาว เค้าปล่อยผมยาวลงมาแต่มิทอสจำผมสีเงินนั้นได้ดี ชายคนนั้นก็คือลูโด้ นั่นเอง



    “เฮ้ย อองรีผู้ชายคนนั้น”มิทอสหันมาถามอองรีโดยที่ชี้นิ้วไปทางลูโด้อยู่ อองรีแค่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงยืนยัน



    “มีอะไรกันเหรอวะ”ดันเต้ที่ยืนงงอยู่เนี่องจากมาไม่ทันถามขึ้น



    “เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกัน”อองรีตอบแต่สายตายังมองไปที่ลูโด้



    เมื่อเจ้าสาวไปถึงตรงวิหารเทพ ลูโด้ก็พูดภาษาอะไรซักอย่างที่พอฟังออกว่าเป็นภาษาเทพ และเทน้ำที่เป็นสีรุ้งลงไปในจอก เอานิ้วจุ่มลงไปในจอกของเจ้าสาวแล้วเอานิ้วนั้นวาดอะไรซักอย่างบนหน้าผากของเจ้าสาว ในพิธีนั้นมีผู้คนมากมายมารวมตัวกันแต่กลับไม่มีเสียงไดดังลอดออกมาทำลายพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้เลย



    “เราขอให้เจ้า มีบุตรที่แข็งแรงเป็นชายชาตรี เป็นหญิงงดงาม ที่รับใช้พระเจ้า”ลูโด้พูดเช่นนั้นกับหญิงสาว และเค้าก็ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนครบสิบเก้าคน เมื่อพิธีจบเหล่าเด็กๆที่ยืนอยู่หลังลูโด้ก็ร่วมกันประสานเสียงกัน เป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะจนทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ร้องตาม



    “ฉันว่านะงานนี้มิสเตอร์กอลิล่าจะต้องให้พวกเรานอนที่นี่หนึ่งวันแหงเลย”ดันเต้พูดขึ้นพร้อมเดินไปยังกลุ่มนักเรียนที่มิสเตอร์กอลิล่าตะโดนเรียกอยู่ เป็นไปตามที่คาดเนื่องจากคืนนี้จะมีงานเทศกาลและยังมีอีกหลายจุดที่พานักเรียนไปไม่หมด กอลิล่าเลยให้พวกเค้าพักกันที่นี่หนึ่งคืน



    “เอาล่ะมาส์ทาวเวอร์มาทางนี้” รุ่นพี่นิโคไลท์เรียกเหล่าลิงทะโมนทั้งหลายให้มารวมตัวกัน



               …………………………………………………………………….



    “โรงแรมที่เราจะไปพักนั้นคือ Holy Inn ฉันจะแจกกุญแจให้พวกเธอเนื่องจากมิสเตอร์กอลิล่า เอาห้องส่วนใหญ่ให้นักเรียนเมอคิวรี่ทาวเวอร์ไป พวกเราจึงต้องนอนกันห้องละสามคนนะ” รุ่นพี่นิโคไลท์พูดพร้อมชี้ไปที่มิสเตอร์ และทำท่าเลียนแบบกอลิล่าเรียกเสียงฮาของมาส์ทาวเวอร์ได้มาก



    “พวกนายรู้กฎดีกลับมาก่อนสองทุ่ม..... แต่...พวกนายก็รู้กฎมีไว้แหก เพราะฉะนั้นชั้นขอร้องพวกนายอย่าดึกนัก พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันเจ็ดโมงเช้า จะไปพักที่ไหนก็ได้แต่ต้องกลับมาเช็คชื่อตอนสองทุ่มเข้าใจนะ”รุ่นพี่นิโคไลท์ถือได้ว่าเป็นมาส์ทาวเวอร์ของแท้เพราะ นอกจากจะบอกแนวทางแล้ว ยังแนะนำสถานที่ดีๆหลายๆที่ให้พวกเค้าอีกด้วย “แยกย้ายกันไปได้แล้ว”



    “ฉันไปก่อนนะ อ้อ...ฝากเช็คชื่อด้วย ฉันว่าวันนี้จะไม่กลับมานอนนะ”ดันเต้พูด พร้อมวิ่งหายไป แต่พวกมิทอสรู้ทันทีว่ามันต้องไปร้านเหล้าพบบริการสาวคนนั้นแน่นอน



    “เอาไงต่อดีล่ะอองรี”มิทอสหันมาถามอองรี



    “เดินเที่ยวสนุกซักวัน จะเป็นอะไรไป แต่ก่อนอื่นต้องพาเธอไปเปลี่ยนเสื่อผ้าก่อน”อองรีพูดจบพร้อมชี้ไปที่ตัวของมิทอสที่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นคารินเรียบร้อยแล้ว



    “อะไรกันวะ อย่างนี้ก็หมดสนุกอ่ะสิ กะว่าจะจีบหญิงสักหน่อย”มิทอสสบทอย่างเสียดายพร้อมทั้งเดินตามอองรีเข้าไปในร้านเสื่อผ้า





    “ช่วยเลือกชุดให้ผู้หญิงคนนี้ทีนะ”อองรีเดินไปคุยกับบริการสาว หล่อนแค่พยักหน้านิดนึงก่อนจะเดินนำคารินเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้า อองรีก็เลยเดินมารอที่ห้องรับแขกของร้านพร้อมทั้งมีบริการสาวอีกคนเดินนำน้ำมาวางให้ พร้อมทั้งเหล่ตาให้อองรีเล็กน้อย



    “ชุดนี้เป็นไงคะ”บริการสาวถามอองรี พร้อมทั้งที่คารินเดินออกมาพร้อมชุดที่เป็นเอี้ยมกางเกงผ้ายีนที่สวมทับเสือสีขาว



    “ไม่”อองรีตอบสั้นๆพร้อมทั้งยกกาแฟขึ้นดื่ม



    “แล้วชุดนี้ล่ะคะ”คราวนี้เป็นชุดราตรีสีดำยาวพร้อมไข่มุขเต็มคอ และหมวกมีปีกที่มีผ้าลูกไม้ห้อยลงมาปิดหน้า



    “เป็นทางการเกินไป”อองรีตอบ



    หลังจากผ่านไปได้ ครึ่งชั่วโมงไอ้คนโดนลองเสื้อถึงกับหน้าบูดสนิท เพราะเลือกเท่าไหร่ก็ไม่ถูกใจคุณชายซักที



    “แล้วชุดนี้ล่ะคะ”บริการสาวคนนี้จัดได้ว่ามีความอดทนสูงมากเพราะหน้าตาของเธอยังคง

    ยิ้มอยู่ ซึ่งคราวนี้ถึงกับทำให้คนเย็นชาถึงกับนั่งมองตาค้างได้ เพราะชุดที่เธอเลือกเป็นชุดสีฟ้าสดใส เสื้อเป็นสีขาวแขนกุดรัดรูป ที่มีเสื่อสีฟ้าบางใสใส่ทับเสื้อสีขาว กางเกงหนังรัดรูปสีน้ำตาลตัดกับสีผิวขาวๆของเธอผมที่สีดำยาวที่เจ้าของรวบไว้เป็นหางม้า



    อองรีที่มองตาค้างอยู่… เค้าหลับตาลงพักนึกก่อนจะลืมตารักษามาดนิ่งของตนเองเอาไว้แล้วพูดว่า “เอาชุดนี้แหละ ใส่ไปเลย แล้วช่วยเอาชุดเก่าเก็บใส่กระเป๋าใบนั้นให้ด้วย”อองรีสั่งเป็นชุด พร้อมชี้ไปยังกระเป๋าหนังของตัวเค้า



    “ค่ะ” บริการสาวทำงานที่ได้รับสั่งทันที



    หลังจากที่เดินออกมานอกร้านแล้วก็ต้องพบว่าความเด่นของพวกเค้าดึงดูดสายตาคนได้มากทีเดียว อองรีที่มีความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว พร้อมทั้งเดินเคียงคู่กับสาวงามอีกมีหรือที่ใครจะไม่หันมามอง รวมทั้งอเล็กแห่งหอคอยเมอคิวรี่ที่บังเอิญอยู่ตรงนั้นก็ด้วย แต่ในแววตาของอเล็กนอกจากแววตาหลงไหลในตัวของคารินแล้วแต่มันยังแฝงไปด้วยแววตาแห่งความอิจฉาอองรี แต่ก็เรียกความสะใจให้กับคารินได้มากทีเดียว



    “อองรี ฉันหิวแล้วนะ ไปหาอะไรกินกันก่อนเหอะ”คารินพูดพร้อมลูบท้องตัวเอง อองรีเมื่อได้ยินดังนั้นจึง เดินจูงมือคารินเดินออกไป พร้อมทั้งสายตาของทุกคนที่พวกเค้าเดินผ่าน



    “อองรี ฉันเริ่มอายแล้วนะ พวกเค้ามองอะไรกันน่ะ”คารินเดินมาเกาะหลังอองรีพร้อมทั้งเหลือบมองไปรอบๆซึ่งตอนนี้ทุกคนกำลังมองพวกเค้าอยู่ หญิงสาวมองอย่างหลงไหล.... ชายหนุ่มมองอย่างเคลิบเคลิ้ม....



    “ก็เพราะเธอสวยไง” อองรีตอบแต่ยังเดินจูงมือเดินนำหน้าคารินอยู่ โดยหารู้ไม่ว่าไอ้คนพูดเริ่มใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อแล้ว ส่วนคนฟังก็อายจนแทนแทรกแผ่นดินหนี



    หลังจากที่พูดจบทั้งคู่ก็เข้ามาในส่วนที่กำลังจัดงานกันอยู่ กลางงานมีเวทีขนาดใหญ่ที่คู่บ่าวสาวกำลังเต็นรำด้วยท่าเต้นพื้นเมือง และดนตรีเป็นจังหวะที่พวกเค้าไม่เคยฟังมาก่อนเป็นจังหวะที่สนุกสนาน คารินที่โดยส่วนตัวเป็นพวกชอบเสียงเพลงอยู่แล้ว ถึงกับลากอองรีขึ้นไปบนเวที เพื่อเต้นรำร่วมกับพวกเค้า ลืมความอายเสียหมดสิ้น....  แต่ดูเหมือนคุณชายของเราจะอายจนเต้นไม่ออก แต่เมื่อเห็นว่าคารินสนุกกับมันมากแค่ไหนตัวเค้าเองก็ถึงกับหลุดมาดที่วางเอาไว้ร่วมสนุกกับพวกเค้าด้วย



    “ไม่ไหวแล้ว”อองรีพูดพร้อมโบกมือบอกกับคารินเพื่อขอลงจากเวที



    “อือ ก็ได้ดีเหมือนกัน ฉันชักเริ่มหิวแล้วล่ะ”คารินกระโดดลงจากเวที พร้อมทั้งดึงอองรี เพื่อไปซื้อสายไหม อองรีซื้อให้คารินแค่อันเดียวโดยอ้างว่าเค้าไม่ชอบของหวาน แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ



    “อ่ะ อองรี” คารินหยิบสายไหมขึ้นมาทำท่าจะป้อนให้กับอองรี อองรีเมื่อเห็นดังนั้นถึงกับหน้าขึ้นสีและโบกมือเล็กน้อยเป็นเชิงปฎิเสธ แต่เจ้าตัวดียังไม่ยอมแพ้เพราะมันรู้ว่าเวลาอยู่ในร่างผู้หญิงอองรีจะใจดีกับมันเป็นพิเศษ



    “โธ่~~ นะนะนะ อองรี กินหน่อยนะ” คราวนี้เปลี่ยนแผนเปลี่ยนเป็นอ้อนแทน แต่ทำยังไง

    อองรีก็ไม่ยอมกินหลังจากคะยั้นคะยอให้กินอยู่นานสองนาน อองรีก็เริ่มจะรู้แผนการของคาริน เค้ายิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยแต่มันก็ทำให้คนชอบแกล้งอย่างคารินขนลุกซู่ในทันที เพราะรอยยิ้มอย่างนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักและเมื่อเห็นทีไรเป็นเรื่องทุกที



    อองรีไม่แค่ยิ้มแต่ยังดึงเอาตัวคารินเข้าไปกอดแนบชิด จนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย คารินพยายามขัดขืน แต่แรงหญิงหรือจะสู้แรงชาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการร้องให้คนอื่นช่วย เพราะตอนนี้พวกเค้าหลบมุมมานั่งที่ม้านั่งริมน้ำไร้ซึ่งผู้คน อองรีเลื่อนริมฝีปากเข้าประทับริมฝีปากของคาริน แต่ครั้งนี้แตกต่างกับทุกครั้ง เพราะมันร้อนแรงและเนิ่นนาน จนทำให้คนถูกกระทำถึงกับเข่าอ่อนอองรีต้องรีบกอดคารินเข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้คารินล้มฟุ้มลงไปกองกับพื้น



    “อืม~~ หวาน.... หวานไปหน่อย”อองรีพูดถึงสายไหมที่เค้าชิมผ่านทางปากของสาวน้อยตรงหน้า พร้อมทั้งรอยยิ้มที่ดูจะสุขใจเป็นที่สุด ส่วนคารินตอนนี้ หน้าเธอร้อนผ่าวเพราะการกระทำของชายตรงหน้า



    “ทำไมแกทำอย่างนี้”คารินถามอองรีทั้งๆที่หน้ายังแดงอยู่



    “เพราะว่าเธอ ก่อกวนหัวใจฉันก่อนยังไงล่ะ”อองรีเลื่อนหน้าเข้าไปตอบคำถามของคารินที่ข้างหูเธอ และคลายมือออกมาจากสาวน้อยตรงหน้า “ใกล้สองทุ่มแล้วกลับกันดีกว่า” อองรีพูดพร้อมเดินจูงมือคารินเดินไปยังโรงแรม โดยที่ร่างบางลืมไปว่าคืนนี้ดันเต้ไม่อยู่มันต้องอยู่กับอองรีสองต่อสองทั้งคืน........!!!



        ………………………………….

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×