ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Holy สงครามแห่งแผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 5 : เดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 48


    CHAPTER 5 : เดินทาง



                             “เฮ้ยๆๆ ตื่นๆๆ” เสียงของเจ้าตัวยุ่งปลุกเพื่อนทั้งสองของมัน โดยการขึ้นไปยืนคล่อมบนตัวอองรี และตะโกนเรียกโดดสับไปสับมากับดันเต้



                            “อองรีตื่น”



                           “ดันเต้ลุกสิวะ”



                           “อะไร มิทอสนี่ยังเช้าอยู่เลยนะ”อองรีพูดขึ้น พรางพลิกตัวไปอีกด้านนึง



                           “ไม่ได้ๆ วันนี้เราจะไปทัศนศึกษานะ ตื่นๆๆๆ”มิทอสโดดมายืนข้างๆเตียงอองรีและตะโกนเสียงดัง



                           “มิทอส อีกตั้งสองชั่วโมงจะรีบไปไหน เมื่อวานยิ่งนอนดึกๆอยู่”ดันเต้พูดพร้อมดึงหมอนมาปิดหัว เพราะเมื่อวานมันต้องเตรียมจัดรถม้า และอาหารสำหรับเดินทาง เลยทำให้นอนดึก ส่วนอองรีหลับต่อเรียบร้อยแล้ว



                           “วะ ไอ้พวกนี้ ไม่ยอมตื่น ไม่เป็นไรๆ”



                           ซ่า



                           เสียงน้ำที่ไอ้ตัวดีมันสาดลงมาที่เพื่อนทั้งสองทำให้คนอยากนอนต้องลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมสงครามย่อมๆ ที่มีสองรุมหนึ่ง กินเวลานานหนึ่งชั่วโมง... แต่หลังจากที่สงครามจบลงอองรีก็ต้องเดินไปอาบน้ำอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนดันเต้นั่งหลับ เพราะรอเข้าห้องน้ำต่อ



                           หลังจากจัดแจงแต่งตัวกันเสร็จอย่างรวดเร็ว บวกกับสัมภาระที่จัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานทำให้ใช้เวลาไม่มากนัก มิทอสก็เอากระเป๋าเป้สะพายข้างหลังและเดินนำเพื่อนรักของมันออกมาก่อน ซึ่งที่ห้องนั่งเล่นเพื่อนๆของมันรออยู่แล้ว และเดินออกไปพร้อมกัน ทางโรงเรียนได้เตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้ว พวกมิทอส เลือกคันที่อยู่สุดท้าย เพราะต้องลำเรียงเหล่าลูกลิงขึ้นไปบนรถ ไม่อย่างนั้นมีมั่วแน่ๆ พวกมันขึ้นเป็นคันสุดท้ายและได้รับเกียรติจากรุ่นพี่นิโคไลท์ขึ้นมานั่งด้วย เกวียนของพวกเขามีมิทอส อองรี ดันเต้ รุ่นพี่นิโคไลท์ และแจ๊ก



                          เมื่อขึ้นเกวียนปุ๊บอองรี กับดันเต้ถึงกับฝุ้บลงหลับทันที ก็ทำไงได้ล่ะเหนื่อยจากเมื่อวานไม่พอตอนเช้ายังต้องทำสงครามเล็กๆอีก มิทอสมองเพื่อนรักของมันหลับอย่างเอ็นดูถึงแม้พวกเค้าจะนอนห้องเดียวกันแต่ก็ไม่เคยเลยที่จะได้เห็นเพื่อนทั้งสองของมันตอนนอน ดันเต้นอนแผ่ไปกับพื้นซึ่งใบหน้ายามหลับของมันทำให้มันหน้าเด็กขึ้นมาเยอะเลย ส่วนอองรีขนาดนอนยังรักษามาดอีกตะหาก มันนั่งเอาหลังและหัวพิงเกวียน ยกชันขาขวาขึ้น เปลือกตาถูกปิดสนิทมีเสียงหายใจนิ่งๆที่แสดงว่ามันหลับแล้ว ซึ่งกะแรกเป็นของแจ๊กขับทำให้พี่นิโคไลท์เข้ามานั่งข้างใน



                           “มาทายปัญหาเชาว์กันมั้ย”รุ่นพี่เปิดบทสนทนาด้วยคำถาม



                           “ก็ดีครับพี่ งั้นพี่เริ่มก่อนนะ”มิทอสหันมาตอบรุ่นพี่และขยับเข้ามานั่งข้างๆ



                           “เหล่านักรบเลื่องชื่อ ร่วมกันพลีกาย ร่วมกันสู้ไม่ถอย ปกปักบ้านเมือง ปกป้องคนรัก แม้ชีพตายไป แต่ยังมีสิ่งจารึกไว้ แทนชื่อของข้า มันคืออะไรมิทอส”



                           “อืม.......... แทนชื่อเหรอ”มิทอสนั่งคิด ห้านาทีผ่านไป...แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วสุดท้ายมันคืออะไรกันเหรอครับพี่นิโคไลท์”



                           “ดาบไงล่ะ เข้าใจรึยัง สุสานดาบที่เราจะไปก็คือสุสานของเหล่าผู้กล้า ที่ยอมตายแม้ชีพมลายแต่ดาบยังคงอยู่เพื่อยังรำลึกไว้เสมอว่า ผืนแผ่นดินนี้ที่เรายืนอยู่ ได้ผู้กล้ามากมายปกป้องเอาไว้”รุ่นที่นิโคไลท์พูดพร้อมหันมายิ้มให้มิทอส “สักวันนึงฉันก็หวังเอาไว้ว่าจะได้มีโอกาศ ไปปักดาบไว้ที่นั่น”



                           “สำรับผมนะครับพี่ ผมคิดว่าพี่จะต้องมีวันนั้นแน่นอนเลยครับอย่างน้อยพี่ก็กล้าจะมาเป็นหัวหน้าทาวเวอร์ของเหล่าลิงทะโมนแห่งตึกมาส์ไงครับ”มิทอสพูดพร้อมหันไปยิ้มให้รุ่นพี่นิโคไลท์



                           “อือ  ฮะๆๆๆ สงสัยจะจริง ขอบใจ”รุ่นพี่นิโคไลท์หันมายิ้มกับมิทอส สายตาของเค้ามองมิทอสอย่างฉงน กับความรู้สึกแปลกๆที่เค้าก็นึกสงสัย..... นิโคไลท์ดึงเอามิทอสเข้ามากอดไว้แนบอก ทำเอาชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่สะดุ้งโหยงขึ้นมาดึงตัวมิทอสออกมาก่อนที่คนโดนกอดจะรู้สึกตัวว่าโดนกอดซะอีก



                           “พี่ทำไมพี่กอดผมล่ะ”มิทอสถามทั้งๆที่ยังตกใจไม่หาย



                           “ไม่รู้สิ มองหน้านายแล้วมันรู้สึกอยากกอดยังไงไม่รู้”รุ่นที่นิโคไลท์ตอบ แต่ก็ยังงงๆกับตัวเองอยู่



                           “อ้าว แล้วนายไม่ได้หลับอยู่เหรอ อองรี”รุ่นพี่รีบเปลี่ยนเรื่องหันมาถามอองรี ที่ทำท่าทางดึงมิทอสออกไปนั่งฝั่งตัวเอง



                           “ไม่เป็นไรครับ ผมว่าจะตื่นอยู่พอดี”อองรีพูด ซึ่งดันเต้มีหัวเราะอยู่ข้างๆ และมิทอสนั่งมองหน้าดันเต้อย่างอาฆาตรแค้น



                           ‘ไม่ไหวผู้ชายคนนี้อันตรายจริงแฮะ’ เป็นความคิดของมิทอส



                          “เอาล่ะ แจ๊กเข้ามาได้แล้วเดี๋ยวฉันจะไปขับต่อเอง”พี่นิโคไลท์พูดกับแจ๊กพร้อมทั้งเดินออกไปด้านหน้า แจ๊กก็เดินเข้ามานั่งแทนที่รุ่นพี่



                          “พวกแกเป็นอะไรไปวะ”แจ๊กถามเมื่อเห็นหน้าของมิทอสแดงเป็นลูกตำลึง ส่วนอองรีปล่อยรังสีอำมหิตออกมาอย่างเย็นชา ส่วนดันเต้พยายามกลั้นหัวเรอะอยู่



                          “ไม่มีอะไร”เป็นเสียงของบุคคลทั้งสามที่มันพร้อมใจกันตอบพร้อมกัน



                         รถม้าขับออกมาได้ซักพัก ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ดูจะไม่เฮฮาอย่างที่พวกเค้าคิดเอาไว้ซักเท่าไหร่ เพราะว่าสองในห้าดันหลับไปซะนี่และยังต้องสละคนออกไปหนึ่งคนเพื่อเอาไปเป็นคนขับอีกตะหาก เลยทำให้การสนทนาขาดลง



                         “เอาล่ะถึงแล้ว”รุ่นพี่นิโคไลท์เปิดผ้ามองเข้ามาในเกวียน มิทอสเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบกระโดดออกจากเกวียนเป็นคนแรก พร้อมทั้งบิดขี้เกรียจ



                        ทางเข้าของสุสานดาบ เป็นประตูศิลาใหญ่กว่าคนสิบเท่าได้ บนศิลามีภาษาที่อ่านไม่ออกและมีรูปของสงครามและเหล่านักรบ รวมทั้งเทพเต็มไปหมด และยังมีภาษาที่เลือนลางจนอ่านไม่ออก ทันทีที่มาถึงรุ่นพี่นิโคไลท์ อองรี และดันเต้ก็เดินออกไป เพื่อบอกกฎต่างๆของสถานที่นี้ให้เพื่อนทาวเวอร์มาส์ ซึ่งก็ค่อนข้างวุ่นวาย แต่ทาวเวอร์อื่นก็วุ่นวายไม่แพ้กัน จึงทำให้ค่อนข้างล่าช้า



                        มิทอสเมื่อมาถึงก็เดินไปที่ประตูมองสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งตัวเค้าเองก็รู้สึกว่าคุ้นๆแต่นึงยังไงก็นึกไม่ออก เมื่อเดินมาดูรูปของชายคนหนึ่ง ก็เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ตรงอกถึงแม้ว่าภาพของเค้าจะเลือนลางไปแล้วก็ตาม



                        “มิทอส ออกมาก่อนเดี๋ยวค่อยเข้าไปพร้อมกัน” นิโคไลท์เรียกมิทอสให้กลับออกมา มิทอสเมื่อได้ยินจึงเดินออกมาจากประตูศิลา (sword tomb) สุสานดาบ



                        ทุกคนเดินเข้าไปในสุสานดาบได้ไม่ยากเย็นนัก เนื่องจากสุสานแห่งนี้เปิดอยู่ เมื่อเข้าไป มิทอสก็รู้สึกได้ถึงลมที่ผ่านตัวเค้าไป…. แต่ไม่ใช่ลมธรรมดามันทั้งเย็นและหนาวราวกับลมหายใจคนนับหมื่น…. แต่อีกสิ่งหนึ่งที่อัดแน่นอยู่ทุกตารางนิ้วของสุสานดาบคือ.. ศักดิ์ศรี.. เกียรติ.. และความวังเวง.. แม้ดาบที่ปักอยู่บนพื้นนับหมื่นเล่มจะดูเหมือนกันไปหมด.... แต่ดาบทุกเล่มที่พวกเค้าเดินผ่านมันกลับตลบ. อบ. อวน.ไปด้วยเกียรติและลมหายใจของเหล่านักรบที่เคยใช้พวกมันมาก่อน... ดาบบางเล่มยังคงแสวงหาสงครามไม่สิ้นสุดเพราะมันยังคงมีกลิ่นฆ่าฟันไหลอยู่อย่างคลุ๊กกลุ่น... บางเล่มก็ยังมีเม็ดเลือดไหลรินออกมาจากดาบเนื่องจากเจ้านายอันเป็นที่รักของมันยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้.... บางคนที่เดินเข้ามาเพียงแค่ก้าวแรกถึงกับเป็นลมไปก็มีอยู่มาก แต่ไม่ใช่พวกทาวเวอร์มาส์ เพราะพวกเค้าก็เป็นกลุ่มบุคคลที่กระหายสงคราม...และแสวงหาความแข็งแกร่ง.... บางคนเป็นลูกหลานของเจ้าของดาบก็เดินไปยังดาบของบรรพบุรุษมองดาบที่เป็นตัวแทนศักดิ์ศรี.... ของบรรพบุรุษพวกเขา



                        พวกมิทอสเดินเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดเห็นดาบที่ตระหง่านอยู่เหนือสุด เป็นดาบสีแดงเพลิงถึงแม้สภาพภายนอกจะเก่าและมีไม้เลื้อยเต็มไปหมด แต่ก็ยังคงมีความน่าเกรงขามแผ่ออกมาทำให้พวกเค้าขนลุกได้ ซึ่งตัวดาบบอกให้เห็นถึงคนที่เคยครอบครองมัน ความยิ่งใหญ่ อำนาจ ความเก่งกาจ



                         “ดาบแห่งรัก..... ดาบที่ไม่มีสิ่งใดที่ตัดไม่ขาด ดาบสุดยอดดาบ มีคนที่ใช้มันได้เพียงคนเดียวในโลก  หลังจากที่นายมันตายแล้วก็ถูกนำมาปักไว้ที่นี่ ไม่มีใครเคยยกมันออก เป็นดาบที่สร้างด้วยเลือดของเพื่อนผู้เป็นเจ้าของดาบ.... ดาบที่สร้างจากความรัก.... ดาบที่กวัดแกว่งเพื่อความรัก.... เป็นดาบที่ดีนะ”รุ่นพี่นิโคไลท์อธิบายให้พวกมิทอสฟัง มิทอสไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ความรู้สึกที่มันมีไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้



                          การมาเยือนดินแดนต้องสาบสุสานดาบครั้งนี้ทำให้ เพื่อนๆทาวเวอร์มาส์ทุกคนดู

    สงบเสงียมลงมากแต่ก็แค่เพียงพักเดียวเท่านั้นแหละ จะมีก็แต่เพียงมิทอสที่มองไปยังสุสานดาบด้วยความรู้สึกที่ประหลาดเกินกว่าที่เค้าจะสามารถบรรยายได้



                          “เอ้าๆ พวกนายเป็นอะไรกันไปหมด เงียบกันเชียว”รุ่นพี่นิโคไลท์เข้ามานั่งข้างในแล้วเนื่องจากถึงคิวดันเต้ออกไปขับบ้าง



                          “ที่ๆเราจะไปต่อไปก็น่าสนใจไม่แพ้กันนะ”



                          “พี่ผมก็ชอบหรอกนะ เพียงแต่ผมหิวแล้วอ่ะพี่ เมื่อไหร่จะได้กินซักทีล่ะ”มิทอสเริ่มบ่นเพราะไอ้อาการท้องว่าง แล้วแปรปรวนมันเริ่มอีกแล้ว



                          “วะ ไอ้นี่มาทัศนศึกษานะไม่ได้มาปิกนิค อืม~~ แต่จะว่าไปก็ได้เวลาแล้ว พักกินข้าวกันก่อนท่าจะดี”นิโคไลท์พูดพร้อมเดินออกไปบอกให้ทุกคนหยุดพักกัน..



                           สถานที่ๆพวกเค้ามาพักกัน เป็นทุ่งดอกทานตะวัน เมื่อเดินเข้าไปหน่อยมารน้ำตกไหลใสสะอาด ซึ่งรอบๆน้ำตกมีดอกไม้ดอกเล็กๆเต็มไปหมดเพื่อเป็นที่รองนั่ง  พวกมาส์ทาวเวอร์จากที่เป็นนักรบก็กลายเป็นลิงกันไปหมดเพราะหันไปปีนแก่งหินสำรวจกันเป็นการใหญ่แต่ดูเหมือนทาวเวอร์อื่นจะไม่ค่อยพอใจกับมาส์สักเท่าไหร่โดยเฉพาะเมอคิวรี่ทาวเวอร์



                          “มีแต่พวกลิงทั้งนั้น”



                          “สงสัยคงคิดว่าตัวเองเป็นนักสำรวจล่ะมั้ง”



                          “เสียชื่อจริงๆ”



                          “อย่าไปบอกใครเชียวนะ ว่ามาจากโรงเรียนเดียวกัน”



                          เป็นเสียงอื้ออึงที่ดังมาจากทาวเวอร์อื่นๆโดยเฉพาะพวกเมอคิวรี่รู้สึกจะไม่ชอบใจเอามากๆ



                          “เฮ้ย แกน่ะ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยนะ ชนคนอื่นก็หัดขอโทษซะบ้าง”เสียงของชายหน้าตาคมเข้มที่มีผมสีบรอน และตาสีฟ้าพูดด่าเจนัส เอิร์ด และคริสอยู่ พวกเค้าก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่มองตาขวางไปยังคนตรงหน้า



                          “มีแต่พวกลิงทั้งนั้น เป็นลิงก็ไปปีนต้นไม้สิ”



                           อี๊ดดดดดดดดดดดผึง



                           เป็นเสียงของบางสิ่งบางอย่างขาด ก็คือเส้นความอดทนที่มันสุดแสนจะบาง สำหรับมาส์ทาวเวอร์คำว่าเหตุผลไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของพวกเขา มิทอสได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปสมทบกับพวกคริส ซึ่งตอนนี้พวกคริสเริ่มชักดาบออกมาแล้ว และก็พอเหมาะพอเจาะซะเหลือเกินที่มิสเตอร์กอร์ดอนเดินเข้ามาพอดี อย่างกับนัดกันไว้อย่างนั้นแหละ



                           “ทำอะไรกันน่ะ คริส โอลิเวอร์ , เอิร์ด วาเลนไทน์, เจนัส โรว์, ดันเต้ มอร์บาซาน, อองรี ไว้เค้า,มิทอส เซนนิย่าและเวนิก้า เลออาร์ฟเก็บดาบซะ”มิสเตอร์กอร์ดอนพูดกับทุกคนรวมทั้งเวโรนิก้าที่อยู่ห่างออกไปแต่ชักดาบออกมาแล้ว



                           “มิสเตอร์กอร์ดอนครับ ผมอยู่ของผมเฉยๆพวกเค้าก็มาหาเรื่องพวกผมครับ”ชายผมสีบรอนพูดขึ้นพร้อมเดินไปหลบข้างหลังกอร์ดอน และแอบอมยิ้มนิดๆมองมาทางพวกมิทอส ทำเอาคริสเกือบยั้งไม่อยู่เดินไปฟันไอ้บ้านั่นแล้ว



                           “ไม่เป็นไรอเล็ก”กอร์ดอนหันไปคุยกับอเล็ก “แต่พวกเธอคงต้องโดนลงโทษ เป็นลิงเป็นค่างก็อย่ามาทำตัวสุนัขแถวนี้”ตอนนี้มิทอสหมดซึ่งความอดทนแล้วชักดาบเดินตรงเข้าไปกะว่าไล่ออกก็ออกวะ ไงก็ต้องฟันมันให้ได้...แต่ยังดีที่รุ่นพี่นิโคไลท์มาห้ามทัพไว้ได้ก่อน นิโคไลท์ยืนประจันหน้ากับมิสเตอร์กอร์ดอนด้วยท่าทีที่สงบนิ่งผิดกับมิสเตอร์กอร์ดอนที่ดูร้อนรนผิดปกติ



                           “มิสเตอร์ครับ เด็กๆพวกนี้ยังไงก็ยังเป็นเด็ก มิสเตอร์เป็นผู้ใหญ่ผมคิดว่าอย่ามาสนใจพวกเค้าเลยจะดีกว่านะครับ แหม....แค่เด็กๆทะเลาะกันผมว่าคุณอย่ามาสอดจะดีกว่านะครับ และผมหวังอย่างยิ่งว่าคุณจะเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่ถือสาพวกเค้านะครับ”นิโคไลท์พูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่ดูๆ คำพูดของนิโคไลท์ไม่ค่อยเหมือนไกล่เกลี่ยแต่เหมือนหาเรื่องซะมากกว่า มิสเตอร์กอร์ดอนโกรธจนควันออกหูหน้าแดงทั้งหน้า แต่ยับยั้งใจไว้ เพราะมิสเตอร์ก็ค่อนข้างเกรงๆนิโคไลท์อยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เพราะเกรงใจ แต่กลัว!!



                           “เอาเถอะแต่อย่าให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก”กอร์ดอนพูด พร้อมทั้งทำท่าจะเดินออกไป



                           “แต่มิสเตอร์ครับ”อเล็กเรียกมิสเตอร์ มิสเตอร์แค่เพียงปรายตามองเล็กน้อย และทำสายตาดุๆเท่านั้น อเล็กเห็นดังนั้นจึงเดินตามออกไป รุ่นพี่นิโคไลท์โค้งลงเล็กน้อยเป็นเชิงส่งมิสเตอร์กอร์ดอน ส่วนพวกลิงข้างหลังกำลังแลบลิ้นปริ้นตาส่งไอ้คนแพ้ที่เดินออกไป



                          “โห พี่สุดยอดไปเลย”แจ๊กเป็นคนแรกที่พูด ส่วนเวโรนิก้าโค้งเล็กน้อยเป็นเชิงของคุณ



                         “ทีนี้ มิสเตอร์กอลิล่า ก็ไม่กล้ามายุ่งกับพวกเราไปอีกนานเลยล่ะ”คำพูดของมิทอสที่ทำท่าทางล้อเลียน เรียกเสียงฮาได้ทั้งวง ไม่ต้องคิดเลย ใช่ ถูกต้อง นักรบมาส์ทาวเวอร์ทุกคนเรียกชื่อใหม่ของมิสเตอร์กอร์ดอนกันทุกคน



                          “เอาล่ะทุกคน พักกันมามากแล้วพวกเราต้องเดินทางกันอีกไกล ไปขึ้นเกวียนกันได้แล้ว”พี่นิโคไลท์ตะโกนเรียกเหล่าลิงทโมนทั้งหลาย ซึ่งทุกคนดูจะเชื่อฟังพี่เค้าขึ้นมากเพราะวีรกรรมในวันนี้นั่นเอง



            ............................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×