ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER 4 : สงคราม???
CHAPTER 4 : สงคราม???
        เช้านี้เป็นเช้าแรกของนักเรียนปีหนึ่งของโรงเรียน mansion shine แต่เป็นเช้าที่แสนวุ่นวายของหนุ่มๆ มาส์ทาวเวอร์ ไม่แม้แต่พวกมิทอส
        “เฮ้ย ดันเต้แกเห็น แหวนประจำตัวฉันรึเปล่าวะ”มิทอสที่ตื่นเป็นคนแรกก้มลงมองหาไปทั่วห้องอย่างร้อนรน เนื่องจากเมื่อวานเค้ามาถึงก็ถอดแหวนโยนทิ้งทันที
        “แกก็หัดเก็บขาวของให้มันเป็นที่หน่อยสิวะ”ดันเต้พูด พร้อมก้มๆเงยๆหาแหวนให้เพื่อนรัก
        “เฮ้ยๆๆ เจอแล้ว เร็วๆๆ รีบไปเร็ววันนี้มีพาสต้า”ไอ้คนสายมันยังมีหน้ามาเร่งเพื่อนมันอีกแต่ดันเต้ก็เดินตามมันออกมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
        “เออ แล้วอองรีล่ะ”
        “มันไปตั้งแต่แกตะโกนว่าแหวนหายแล้วมันคงเบื่อแหละ”
        “เฮ้ย อะไรวะ อย่างนี้ก็แปลว่ามันไปกินพาสต้าคนเดียวแล้วล่ะสิ เป็นเพื่อนภาษาอะไรวะไม่อยู่ช่วยเพื่อนเลยเดี๋ยวเจอหน้ามันจะด่าให้” มิทอสพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
        “ไอ้นี่นิ มันยังห่วงกินอีก” ดันเต้ส่วยหัวเล็กน้อยอย่างเอือมระอา
        เมื่อมาถึงโรงอาหารก็พบว่าที่ที่อองรีนั่งอยู่โดยมีสาวๆนั่งอยู่เต็มไปหมด ดันเต้รีบเดินผละออกไปนั่งกับพวกสาวๆ ที่อยู่ตรงนั้นทันที ส่วนมิทอสก็เดินไปหยิบพาสต้าที่อองรีซื้อมาให้แล้วเดินไปนั่งอีกโต๊ะนึง อองรีเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงลุกเดินออกมาจากกลุ่มผู้หญิงพรางทรุดตัวลงนั่งข้างๆมิทอสส่วนดันเต้ถึงแม้มันจะเจ้าชู้แค่ไหนก็แพ้ความหิวเดินมานั่งกับมิทอสเพื่อกินพาสต้า
        “อ้า  ขอบใจมากเลยนะเว้ยอองรี ที่แกอุตส่าซื้อมาให้ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องไปเข้าแถวกับพวกนั้นแน่ๆเลย”เมื่อพูดเสร็จมิทอสก็เริ่มกินทันที ลืมเรื่องที่มันอยากจะด่าซะหมด
        “รีบๆ กินเข้าเดี๋ยวเข้าเรียนสาย”อองรีบอกเมื่อเห็นมิทอสเงยหน้ามาจะพูดอีก
        หลังจากที่พวกมันซัดพาสต้าเสร็จเรียบร้อยก็พากันเดินไปห้องเรียนทันที เมื่อพวกเค้ามาถึงก็พบว่าแจ๊กนั่งรออยู่ก่อนแล้ว หลังจากที่พวกมิทอสเข้ามายังไม่ทันได้คุยอะไรกันมิสเตอร์ก็เดินเข้ามา
        “เรียกฉันว่ามิสเตอร์โดมินิกนะ ฉันสอนประวัติศาสตร์”มิสเตอร์หนุ่มจัดได้ว่าหน้าตาหล่อเหลาทีเดียวเลย และการแต่งตัวที่เรียกได้ว่าเนี้ยบเลยล่ะ ผมถูกลูบไปที่ด้านหลังเรียบแป้ไม่มีที่ติ  เสื้อผ้าก็รีดจนเห็นกลีบชัดเจน
        หลังจากแนะนำตัวเสร็จมิสเตอร์ก็เริ่มสอนทันทีโดยเริ่มจากประวัติผลึกแห่งชีวิตทั้ง5 ซึ่งเมื่อพูดออกมาได้ไม่ถึง 5 นาทีนักเรียนมาส์ทาวเวอร์ก็พากันดำดิ่งสู่ห้วงนิทรากันแทบจะหมดแล้ว ก็ไอ้ประวัติศาสตร์กับตึกมาส์ทาวเวอร์เนี่ยมันเป็นเหมือน น้ำกับไฟ ไส้เดือนกับนกเลยนี่นา เฮ้อออ
        ในการเรียนวิชาที่ สองเป็นวิชาที่ชาวมาส์รอคอยกันเป็นที่สุดคือวิชาดาบ แต่ดูเหมือนคนที่ทำได้ดีที่สุดในห้องจะเป็นเวโรนิก้า จนมิสเตอร์กอร์ดอน เอ่ยปากชมพร้อมทั้งพูดจาเสียดแทงเหล่าหนุ่มๆตึกมาส์อีกตะหาก วิชานี้เลยกลายเป็นวิชาที่ หนุ่มๆมาส์ทาวเวอร์เกลียดกันเป็นอันดับหนึ่ง ก็มีที่ไหนมีการอวดโม้ด้วยว่าตึกเมอคิวรี่ที่เค้าเป็นอาจาร์ยประจำตึกยังทำได้ดีกว่า
        หมดไปอีกสองวิชาที่สุดแสนจะน่าเบื่อแต่ก็ทำให้มิทอสได้เพื่อนใหม่มาอีกคนเพราะการประดาบกันต้องมีสองคน เค้าชื่อ เอิร์ด วาเลนไทน์ประดาบคู่กับดันเต้
        หลังจากจบการเรียนที่สุดแสนจะน่าเบื่อไปวันนึงพวกมิทอส จึงพาร่างกายอันอ่อนปวกเปียกเดินกันไปกินข้าวที่โรงอาหาร
        “สวัสดีครับคุณดันเต้ มิทอสและอองรี”เสียงของเอ็ร์ดพูดขึ้น “ผมพาเพื่อนมาให้รู้จักครับ”
        “คริส โอลิเวอร์” คริสคือชายมีลักษณะคล้ายๆนักโทษมากกว่านักเรียนที่พวกมิทอสเคยเห็นมาแล้วครั้งนึง มิทอสไม่แปลกใจเลยที่คริสได้มาเรียนที่ตึกมาส์ทาวเวอร์ แต่ที่แปลกใจคือเค้าอายุเท่าพวกมิทอส
        “เจนัส โรว์” เจนัสเป็นชายที่รูปร่างผอมสูง ดูจากการแต่งตัวค่อนข้างสะอาดและเนี้ยบ ถึงจะไม่เท่ามิสเตอร์โดมินิกก็ตาม
        หลังจากแนะนำกันเรียบร้อย แจ๊กก็เดินมาพอดีดูเหมือนแจ๊กจะรู้จักพวกเอิร์ดเรียบร้อยแล้ว การสนทนาเป็นไปอย่างเฮฮา จนเมื่อทุกคนแยกย้ายกันออกไป
        “เฮ้อ เหนื่อยจังเลย” มิทอสเมื่อเดินมาถึงก็ล้มลงนอนลงบนเตียงทันที ส่วนดันเต้ก็ฟุบหน้าลงบนที่หมอนของตัวเองอย่างเงียบๆ
        “เออ แล้วอองรีล่ะ”มิทอสถามขึ้นเนื่องจากไม่เห็นอองรีได้ซักพักแล้ว
        “คงไปเดินเล่นล่ะมั้ง”ดันเต้ตอบแต่น้ำเสียงสรึมสลือเต็มที
        “เดี๋ยวฉันออกไปตามดีกว่า”มิทอสพูด พร้อมวิ่งออกไปจากห้องไป ทิ้งให้เพื่อนซี้นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่คนเดียว
        “มันอยู่ไหนวะ”
        “อะอยู่นั่นเอง” มิทอสพูดเมื่อเห็นอองรียืนพิงกำแพงอยู่แต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็โดนอองรี รวบตัวเข้ามากอดมิทอสทำน่าจะด่า แต่อองรีนกนิ้วชี้ขึ้น และชี้ไปที่อีกฝั่งของกำแพง มิทอสเมื่อหันออกไปมองจึงเห็นว่า ผอ.กำลังคุยกับมิสเตอร์กอร์ดอนอยู่
        “ผอ. ครับท่านว่าสงครามที่จะเกิดขึ้น จะส่งผลมาถึงโรงเรียนมั้ยครับ”มิสเตอร์กอร์ดอนถาม
        “ฉันว่าไม่น่านะ แต่ทางที่ดีเราอย่าคุยกันตรงนี้จะดีกว่า”ผอ.รีบตัดบทสนทนาราวกับว่าเค้ารู้ถึงการมาของมิทอสและอองรี พวกเค้าจึงเดินหายเข้าไปในห้องทำงาน
        “สงคราม จะมีสงครามเหรออองรี” มิทอสถามอองรีด้วยสีหน้าเศร้าหมอง อองรีแค่ผงกศรีษะเล็กน้อยแทนคำตอบ
        “ไม่ต้องห่วงฉันจะปกป้องนายเอง” คำพูดของอองรี ถึงกับทำให้คนฟังอึ้ง แต่ก็นึกดีใจอยู่นิดๆ
        “ฉันไม่ต้องให้นายมาปกป้องหรอก อย่างฉันอ่ะ ฉันดูแลตัวเองได้”มิทอสพูด พร้อมจะเดินออกไปแต่ก็ถูกอองรีคว้าเอาไว้ และลากเข้าไปในเงามืด
        “เฮ้ยแกทำอะไรวะ”มิทอสพูดแต่ถูกอองรีเอามือปิดปากเอาไว้ แต่กลุ่มคนที่เดินผ่านไปคือเพื่อนๆตึกมาส์ทาวเวอร์นั่นเอง มิทอสขมวดคิ้วมุ่นด้วยความ งง ว่าทำไมต้องหลบพวกเพื่อนๆด้วย แต่คำถามก็กระจ่างทันทีเมื่อ
อองรีชี้มาที่หน้าอกของมิทอส เพราะตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นเนินอกแทน หลังจากเพื่อนๆผ่านกันไปหมดแล้วมิทอสจึงรีบดิ้น และเดินออกมาจากอ้อมกอดของอองรี ซึ่งตอนนี้ใบหน้ามันแดงและร้อนฉ่าไปทั้งหน้าแล้ว แสงจันทร์ที่ส่องลงมาเผยให้เห็นใบหน้าเนียนของสาวน้อยที่แสนน่ารัก และผมที่ยาวลงมาถึงเอว ร่างที่ดูบอบบาง บอบบางเสียจนอองรีแทบจะอดทนไม่ไหวดึงสาวน้อยตรงหน้าเข้ามาสวมกอดให้แตกหักไปตรงหน้าเค้านี้เลย แต่ก็ต้องพยายามหักห้ามใจไว้ เพราะนี่มันยังไม่ถึงเวลา ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีสิ่งที่เค้ายังทำได้ในสถานะการณ์อย่างนี้
          อองรีไม่ปล่อยกับดึงสาวน้อยตรงหน้า เค้าดึงร่างบางเข้าไปกอดแนบชิดกว่าเดิมสาวน้อยตรงหน้าดิ้นขลุกขลักอยู่ภายในอ้อมกอดของอองรี นัยตาสืเขียวน้ำทะเลของชายหนุ่มมองลงมาบนหน้านวลสีแดงระเรื่อ ก่อนที่จะก้มลงกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า.......
        “คาริน เธอยังจะหนีฉันไปถึงไหน ใจเธอตอนนี้มันยังอยู่ที่ฉันเหมือนเดิมหรือไม่”อองรีพูดเสียงหวานมองคารินอย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งก้มลงไปยังหน้านวลประทับริมฝีปากลงปากของหญิงสาว หน้าของคารินขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะผลักคนตรงหน้า และวิ่งออกไป ก่อนที่เธอจะเคลิบเคลิ้มกับมันจะมิอาจหนีไปได้ อองรีมองตามร่างบางไปแต่ยังอมยิ้ม
        “อ้าว มิทอส แกเป็นอะไรไปวะ อ้าววันนี้เป็นผู้หญิงเหรอ แล้วอองรีล่ะ”คารินเมื่อได้ยินชื่อ
อองรี เธอก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นมาอีก รีบเดินไปนอนเอาหน้าซุกผ้าห่มด้วยความอายทันทีทันที พอดีกับที่อองรีเดินเข้ามา
        “อองรี แกไปไหนมา แล้วไอ้มิทอสมันเป็นอะไรไปวะ”ดันเต้หันมาถามอองรี
        “ไม่มีอะไรนอนเหอะ” ดันเต้เมื่อได้ยินดังนั้นก็เลยตัดสินใจนอนแต่ในใจมันก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น
    .
        เมื่อมิทอสตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ห้องที่หอพักแล้ว สถานที่ ที่เค้าอยู่ก็มันเป็นห้องที่ไม่มีแสงไม่มีอะไรเลยมีแต่ความมืด
        “อองรี ดันเต้ พวกแกอยู่ไหน” เสียงของมิทอสตะโกนเรียกเพื่อนดังก้องไปทั่วในความมืด....... โดยที่มีความหวังอยู่ในใจอยากให้อองรีที่มักคอยอยู่กับมันเสมอ...ออกมา แต่ไม่มีเลยไม่มีเสียงของใครตอบกลับมา ได้ยินก็แต่เสียงสะท้อนของเสียงตัวเอง แค่ก้มลงมามองมือตัวเองมันยังมองไม่เห็น ความกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตวิ่งเข้าสู่หัวใจ...รู้สึกได้ว่าตัวโสตประสาทของตัวเองทำงานช้าลงๆ เรื่อยๆ สิ่งเดียวที่คิดออกตอนนี้ คือการ วิ่ง วิ่ง...วิ่งไปเรื่อยๆ..วิ่งไปในความมืด... แต่วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่เห็นทางออก เมื่อวิ่งจนรู้สึกอ่อนแรง...ล้า...และเหนื่อย ฉับพลันสายตาก็ไปกระทบกับแสงสว่างทำให้คนที่ หวาดกลัวอยู่แล้ววิ่งเข้าหาแสง
        เมื่อมิทอส วิ่งผ่านแสงมาก็ต้องพบว่าตัวเองอยู่ยังสถานที่ที่ แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง มันเห็นกองทัพคนนับแสนที่ยืนมองหอคอยสูงตระหง่าน เหนือสุดของหอคอยมีแท่งคริสตัลสีรุ้งประดับอยู่ และบนหอคอยเค้าก็เห็นคนๆหนึ่งยืนอยู่บนนั้น ยืนด้วยท่าทางที่สง่างาม แต่หอคอยกลับสูงเกินกว่าที่จะมองเห็นใบหน้าของคนๆนั้น แต่ความรู้สึกคุ้นเคย และอำนาจของคนๆนั้นที่กำลังกดดันเขาอยู่ มันทำให้เขาขนลุกซู่อย่างไม่รู้ตัว
        “องค์ราชันต์”เป็นเสียงของเหล่าทหารที่โห่ร้องอย่างดีใจ มันดังมาก หูของเขาอื้อไปหมดจนไม่ได้ยินอะไรอีก
        “มิทอส มิทอส ตื่นเหอะ”เสียงปลุกของอองรี.... ปลุกมิทอสที่ตอนนี้กลายเป็นชายแล้วให้ตื่นจากห้วงนิทรา ซึ่งตอนนี้อองรี และดันเต้แสดงสีหน้าเป็นห่วงไปที่เพื่อนของสนิทที่ไม่เคยกลัวอะไร แต่กลับนอนครางตลอดคืน มิทอสเมื่อลุกขึ้นแล้วก็พบว่าตัวเองเหงื่อไหลท่วมตัว และหัวใจที่เต้นแรง จนเค้าต้องเอามือไปจับราวกับว่ามันจะหลุดออกมา
        “มิทอสแกเป็นอะไรไป ฝันร้ายเหรอ” มิทอสเมื่อได้ยินคำถามก็แค่พยักหน้าหงึกเป็นเชิงว่าใช่ และรีบเดินเข้าไปอาบน้ำ ซึ่งอองรีมองตามหลังไปอย่างเป็นห่วง
            การเรียนการสอนในวันนี้ก็เป็นไปอย่างที่เบื่อหน่าย มีจะดีหน่อยก็เห็นจะเป็น วิชาคาถาซึ่งอองรีทำใด้ดีที่สุดในตึกเลยก็ว่าได้ ก็นับเป็นนิมิตรหมายอันดีเนื่องจากมาดามโดโรธีถึงกับเอ่ยปากชมมาส์ทาวเวอร์ว่าทำได้ดีกว่าทาวเวอร์อื่น หรือเป็นเพราะเค้าเป็นอาจาร์ยประจำมาส์ทาวเวอร์นะ แต่ช่างเถอะเพราะชาวมาส์บ้ายอ
            เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนเพื่อนๆชาวมาส์ทุกคนก็มารวมตัวกันที่โรงอาหาร คุยกันอย่างเฮฮา แต่พวกมิทอสขอตัวออกมาก่อน เนื่องจากวันนี้มิทอสต้องกลายเป็นหญิงอีกวัน ส่วนอองรี และดันเต้โดนเรียกไปประชุมทำให้เจ้าตัวดีอยู่ในห้องคนเดียว พลางนึกถึงเรื่องที่ฝัน เพราะนึกยังไงก็นึกไม่ออก
            หลังจากนึกอยู่ได้ซักพักก็เริ่มเหนื่อย และพร้อยหลับไปในที่สุด เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดมันยังมีเวลาคิดอีกเยอะ
        “อืม หือเช้าแล้วเหรอ”เสียงของเจ้าตัวดีที่หลับไปเป็นคนแรกพูดขึ้น หันไปมองเพื่อนทั้งสองที่ยังคงหลับอยู่ ก็เลยโดดไปอาบน้ำทันที เมื่อออกมาก็พบว่าเพื่อนๆมันเริ่มตื่นกันแล้ว สำหรับอองรี หน้าตอนตื่นนอนของมันถือได้ว่าอยู่ในโหมด ที่มองแล้วดูดีมากกว่าตอนปกติ แล้วผมยุ่งๆของมันคงมีไม่กี่คนนักที่ได้เห็นแน่นอน คิดยังไม่เท่าไหร่เจ้าดันเต้ มันก็เบี่ยงตัวขอเข้าไปอาบน้ำ
          “ไม่เห็นต้องรีบตื่นเลย วันนี้หยุดนะ”มิทอสพูด พรางนั่งลงบนเตียงข้างๆอองรี
          “ไม่ได้ วันนี้มีประชุมนักเรียนปีหนึ่งมาส์ทาวเวอร์”อองรีพูดแต่ยังสลึมสลืออยู่
          “เมื่อคืนกลับมากี่โมง”
          “ไม่รู้สิรู้แต่ว่าดึก”เมื่อพูดจบอองรีก็เดินไปอาบน้ำต่อเนื่องจากเห็นว่าดันเต้ออกมาแล้ว
          “เฮ้ย มิทอสเมื่อวานแกฝันอะไรวะ”ดันเต้เปิดบทสนทนา
          “ไม่รู้สิ จำไม่ได้”มิทอสตอบถึงมันไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นเรื่องจริง “เออ แล้ววันนี้ประชุมเรื่องอะไร”
          “เออ น่าเดี๋ยวก็รู้เอง”ดันเต้ตอบแบบขอไปที
              เมื่อจัดแจงแต่งตัวกันเสร็จแล้วลงมาที่ห้องนั่งเล่นก็พบว่าเพื่อนๆรอกันอยู่แล้ว ซึ่งการเปิดประชุมครั้งนี้คือเวโรนิก้า อองรี และดันเต้
          “เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ฉันจะเริ่มอธิบายอย่างสั้นๆ”เวโรนิก้าเริ่มการประชุมทันทีเมื่อเห็นว่าคนมาครบแล้ว “เรื่องที่จะประชุมคือการประลอง Cross Cup(cc) ซึ่งจะมีอีกใน3เดือนข้างหน้า เป็นการแข็งขันประลองตัวต่อตัวที่จะต้องส่งตัวแทนประจำทาวเวอร์ออกไป 5 คนเพื่อรับการประลอง เรื่องรายชื่อผู้ถูกเลือกเราจะพูดกันทีหลัง เรื่องที่สองคือเรื่อง การทัศนศึกษานอกสถานที่ซึ่งเรื่องนี้ดันเต้เป็นคนรับไว้”เวโรนิก้าเมื่อพูดจบก็โยนเรื่องให้ดันเต้ทันที
            “ในการทัศนศึกษานั้น มาดามอนุญาติให้โหวตได้ว่าทาวเวอร์มาส์ต้องการไปที่ไหน แต่ก็ต้องไปจับฉลากอีกทีเพราะต้องไปร่วมกับทาวเวอร์อื่นๆ พูดง่ายๆ เราโหวตไปงั้นแหละได้ไม่ได้อีกเรื่องนึง เอาล่ะใครมีคำถามอีกบ้าง”ดันเต้พูด พร้อมจบด้วยคำถาม
            “เอ่อ แล้วจะมีเมื่อไหร่ครับ”เสียงของเอิร์ดถามขึ้น
              “อีก 3 วัน”
              “แล้วไปวันเดียวเหรอ”เสียงใสๆไนติงเกลถามขึ้น
              “ใช่แล้วครับสาวน้อย แต่ถ้าคุณต้องการไปอีกกรุณาเรียกผมได้เลยนะครับ เพราะผมพร้อมจะพาสาวสวยอย่างคุณไปทุกที่”จากการหยอดคำหวานปนเลี่ยนของดันเต้เรียกเสียงฮาคลืนได้ทั้งทาวเวอร์
                  มิทอสที่ไม่สนใจการประชุมซักเท่าไหร่ หันไปมองทางหน้าต่างแล้วพบว่ามีแมวตัวสีดำนอนคดอยู่มันมีตาสีส้มดูผิดจากแมวทั่วไปแต่ยังไม่แปลกเท่าเมื่อตาของมันค่อยๆแปลเปลี่ยนเป็นสีขาว มิทอสถึงกับผละลุกจากเก้าอี้เซล้มลงตกเก้าอี้ลงมาเสียงดัง เรียกให้ทุกคนหันมามอง
              “เป็นอะไรวะมิทอส นอนละเมอจนตกจากเก้าอี้เหรอ”เสียงของแจ๊กถามเพื่อน พร้อมทั้งเรียกเสียงฮาจากทาวเวอร์ได้อีกครั้ง แต่ก็ทำให้ไม่มีคนสนใจสีหน้าของมิทอสที่มันซีดไปเรียบร้อยแล้ว ยกเว้นอองรีที่มองอยู่นานแล้ว หลังจากการประชุมจบลงโดยทาวเวอร์มาส์โหวตให้ไปสุสานดาบ
            “เป็นอะไรไปมิทอส”ดันเต้หันมาถามเพื่อนสนิทอย่างกังวลซึ่งอองรีก็ห่วงไม่แพ้กัน เพราะมันไม่เคยเห็นมิทอสเป็นอย่างนี้มาก่อน มิทอสเมื่อได้ยินเพื่อนถามจึงรีบเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังทั้งเรื่องความฝันที่พึ่งนึกออกและเรื่องแมวเปลี่ยนสีได้ ถือกับเป็นเรื่องที่เรียกเสียงกลืนน้ำลายของดันเต้ได้ แต่อองรีแค่ผงกหัวเล็กน้อย แต่ยังไม่มีท่าทีเปลี่ยนไป
            “เอาน่า เรื่องนี้ไม่เป็นไรหรอก มันอาจจะแค่บังเอิญมีใครลงคาถากับแมวตัวนั้นไว้ก็ได้มั้ง เรามาสนุกกันดีกว่าใกล้จะทัศนศึกษาแล้ว เดี๋ยวฉันเอาผลโหวตไปให้มาดามก่อนนะ พวกแกกลับไปก่อนแล้วกัน”ดันเต้พูดจบก็วิ่งหายไปทันที ทิ้งให้เพื่อนทั้งสองของมันอยู่ด้วยกัน
            “มิทอส อย่าพึ่งกลับหอเลยเราไปนั่งเล่นกันตรงนั้นจะดีกว่า”อองรีพูดพร้อมชี้ไปที่สวนด้านในที่มีม้านั่งตั้งอยู่ มิทอสเมื่อเห็นเพื่อนชวน....เอาวะมันยังดีกว่ากลับหอแล้วไปนอน ฝันเห็นอะไรแปลกๆอีก ก็เลยเดินตามอองรีมานั่งอย่างว่าง่าย
            “ไม่เป็นไร ฉันจะปกป้องแกเอง”อองรีพูดเพราะรู้สึกได้ว่าเพื่อนของมันยังไม่ส่บายใจอยู่
            “อืม......... ขอบใจ”มิทอสยิ้มรับ ต้องยอมรับว่าทุกคำพูดของอองรีทำให้มันสบายใจขึ้นมากเลย หลังจากนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีการพูดคุยใดๆออกมาเลยซักพัก เมื่ออองรีเห็นว่ามิทอสสบายใจแล้วจึงชวนเค้ากลับทาวเวอร์
                ช่วงเวลาสามวันเป็นไปอย่างเฮฮา เนื่องจากทุกคนหยิบยกเรื่องที่จะไปทัศนศึกษาออกมาคุยกันอย่างออกอรรทรส เพราะเรื่องที่พวกเค้าโหวดติดหนึ่งในสองสถานที่ที่ได้ไป
            “เฮ้ย แต่ไอ้สุสานดาบเนี่ย มันมีผีหรือเปล่าวะ”มิทอสเปิดบทสนทนาจนทำให้เพื่อนๆ วงแตกหือและหัวเราะกันดังลั่น
            “ไอ้บ้า สุสานดาบชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามีแต่ดาบ”แจ๊กตอบเพื่อไขข้อค่องใจของเพื่อน
              “เฮ้ย แล้วไอ้ดาบเนี่ยมันต้องมีสุสานกันด้วยเหรอ”มิทอสถาม
              “ก็ไม่รู้อีกว่ะ ว่าเพราะอะไร”แจ๊กตอบเพราะตัวเค้าเองก็ไม่รู้
              “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ไปถึงก็รู้เอง”อองรีปิดบทสนทนาทันที และผละลุกเดินออกมาโดยมีดันเต้ และมิทอสเดินตามออกมาด้วย
    ................................................................................................
        เช้านี้เป็นเช้าแรกของนักเรียนปีหนึ่งของโรงเรียน mansion shine แต่เป็นเช้าที่แสนวุ่นวายของหนุ่มๆ มาส์ทาวเวอร์ ไม่แม้แต่พวกมิทอส
        “เฮ้ย ดันเต้แกเห็น แหวนประจำตัวฉันรึเปล่าวะ”มิทอสที่ตื่นเป็นคนแรกก้มลงมองหาไปทั่วห้องอย่างร้อนรน เนื่องจากเมื่อวานเค้ามาถึงก็ถอดแหวนโยนทิ้งทันที
        “แกก็หัดเก็บขาวของให้มันเป็นที่หน่อยสิวะ”ดันเต้พูด พร้อมก้มๆเงยๆหาแหวนให้เพื่อนรัก
        “เฮ้ยๆๆ เจอแล้ว เร็วๆๆ รีบไปเร็ววันนี้มีพาสต้า”ไอ้คนสายมันยังมีหน้ามาเร่งเพื่อนมันอีกแต่ดันเต้ก็เดินตามมันออกมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
        “เออ แล้วอองรีล่ะ”
        “มันไปตั้งแต่แกตะโกนว่าแหวนหายแล้วมันคงเบื่อแหละ”
        “เฮ้ย อะไรวะ อย่างนี้ก็แปลว่ามันไปกินพาสต้าคนเดียวแล้วล่ะสิ เป็นเพื่อนภาษาอะไรวะไม่อยู่ช่วยเพื่อนเลยเดี๋ยวเจอหน้ามันจะด่าให้” มิทอสพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
        “ไอ้นี่นิ มันยังห่วงกินอีก” ดันเต้ส่วยหัวเล็กน้อยอย่างเอือมระอา
        เมื่อมาถึงโรงอาหารก็พบว่าที่ที่อองรีนั่งอยู่โดยมีสาวๆนั่งอยู่เต็มไปหมด ดันเต้รีบเดินผละออกไปนั่งกับพวกสาวๆ ที่อยู่ตรงนั้นทันที ส่วนมิทอสก็เดินไปหยิบพาสต้าที่อองรีซื้อมาให้แล้วเดินไปนั่งอีกโต๊ะนึง อองรีเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงลุกเดินออกมาจากกลุ่มผู้หญิงพรางทรุดตัวลงนั่งข้างๆมิทอสส่วนดันเต้ถึงแม้มันจะเจ้าชู้แค่ไหนก็แพ้ความหิวเดินมานั่งกับมิทอสเพื่อกินพาสต้า
        “อ้า  ขอบใจมากเลยนะเว้ยอองรี ที่แกอุตส่าซื้อมาให้ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องไปเข้าแถวกับพวกนั้นแน่ๆเลย”เมื่อพูดเสร็จมิทอสก็เริ่มกินทันที ลืมเรื่องที่มันอยากจะด่าซะหมด
        “รีบๆ กินเข้าเดี๋ยวเข้าเรียนสาย”อองรีบอกเมื่อเห็นมิทอสเงยหน้ามาจะพูดอีก
        หลังจากที่พวกมันซัดพาสต้าเสร็จเรียบร้อยก็พากันเดินไปห้องเรียนทันที เมื่อพวกเค้ามาถึงก็พบว่าแจ๊กนั่งรออยู่ก่อนแล้ว หลังจากที่พวกมิทอสเข้ามายังไม่ทันได้คุยอะไรกันมิสเตอร์ก็เดินเข้ามา
        “เรียกฉันว่ามิสเตอร์โดมินิกนะ ฉันสอนประวัติศาสตร์”มิสเตอร์หนุ่มจัดได้ว่าหน้าตาหล่อเหลาทีเดียวเลย และการแต่งตัวที่เรียกได้ว่าเนี้ยบเลยล่ะ ผมถูกลูบไปที่ด้านหลังเรียบแป้ไม่มีที่ติ  เสื้อผ้าก็รีดจนเห็นกลีบชัดเจน
        หลังจากแนะนำตัวเสร็จมิสเตอร์ก็เริ่มสอนทันทีโดยเริ่มจากประวัติผลึกแห่งชีวิตทั้ง5 ซึ่งเมื่อพูดออกมาได้ไม่ถึง 5 นาทีนักเรียนมาส์ทาวเวอร์ก็พากันดำดิ่งสู่ห้วงนิทรากันแทบจะหมดแล้ว ก็ไอ้ประวัติศาสตร์กับตึกมาส์ทาวเวอร์เนี่ยมันเป็นเหมือน น้ำกับไฟ ไส้เดือนกับนกเลยนี่นา เฮ้อออ
        ในการเรียนวิชาที่ สองเป็นวิชาที่ชาวมาส์รอคอยกันเป็นที่สุดคือวิชาดาบ แต่ดูเหมือนคนที่ทำได้ดีที่สุดในห้องจะเป็นเวโรนิก้า จนมิสเตอร์กอร์ดอน เอ่ยปากชมพร้อมทั้งพูดจาเสียดแทงเหล่าหนุ่มๆตึกมาส์อีกตะหาก วิชานี้เลยกลายเป็นวิชาที่ หนุ่มๆมาส์ทาวเวอร์เกลียดกันเป็นอันดับหนึ่ง ก็มีที่ไหนมีการอวดโม้ด้วยว่าตึกเมอคิวรี่ที่เค้าเป็นอาจาร์ยประจำตึกยังทำได้ดีกว่า
        หมดไปอีกสองวิชาที่สุดแสนจะน่าเบื่อแต่ก็ทำให้มิทอสได้เพื่อนใหม่มาอีกคนเพราะการประดาบกันต้องมีสองคน เค้าชื่อ เอิร์ด วาเลนไทน์ประดาบคู่กับดันเต้
        หลังจากจบการเรียนที่สุดแสนจะน่าเบื่อไปวันนึงพวกมิทอส จึงพาร่างกายอันอ่อนปวกเปียกเดินกันไปกินข้าวที่โรงอาหาร
        “สวัสดีครับคุณดันเต้ มิทอสและอองรี”เสียงของเอ็ร์ดพูดขึ้น “ผมพาเพื่อนมาให้รู้จักครับ”
        “คริส โอลิเวอร์” คริสคือชายมีลักษณะคล้ายๆนักโทษมากกว่านักเรียนที่พวกมิทอสเคยเห็นมาแล้วครั้งนึง มิทอสไม่แปลกใจเลยที่คริสได้มาเรียนที่ตึกมาส์ทาวเวอร์ แต่ที่แปลกใจคือเค้าอายุเท่าพวกมิทอส
        “เจนัส โรว์” เจนัสเป็นชายที่รูปร่างผอมสูง ดูจากการแต่งตัวค่อนข้างสะอาดและเนี้ยบ ถึงจะไม่เท่ามิสเตอร์โดมินิกก็ตาม
        หลังจากแนะนำกันเรียบร้อย แจ๊กก็เดินมาพอดีดูเหมือนแจ๊กจะรู้จักพวกเอิร์ดเรียบร้อยแล้ว การสนทนาเป็นไปอย่างเฮฮา จนเมื่อทุกคนแยกย้ายกันออกไป
        “เฮ้อ เหนื่อยจังเลย” มิทอสเมื่อเดินมาถึงก็ล้มลงนอนลงบนเตียงทันที ส่วนดันเต้ก็ฟุบหน้าลงบนที่หมอนของตัวเองอย่างเงียบๆ
        “เออ แล้วอองรีล่ะ”มิทอสถามขึ้นเนื่องจากไม่เห็นอองรีได้ซักพักแล้ว
        “คงไปเดินเล่นล่ะมั้ง”ดันเต้ตอบแต่น้ำเสียงสรึมสลือเต็มที
        “เดี๋ยวฉันออกไปตามดีกว่า”มิทอสพูด พร้อมวิ่งออกไปจากห้องไป ทิ้งให้เพื่อนซี้นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่คนเดียว
        “มันอยู่ไหนวะ”
        “อะอยู่นั่นเอง” มิทอสพูดเมื่อเห็นอองรียืนพิงกำแพงอยู่แต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็โดนอองรี รวบตัวเข้ามากอดมิทอสทำน่าจะด่า แต่อองรีนกนิ้วชี้ขึ้น และชี้ไปที่อีกฝั่งของกำแพง มิทอสเมื่อหันออกไปมองจึงเห็นว่า ผอ.กำลังคุยกับมิสเตอร์กอร์ดอนอยู่
        “ผอ. ครับท่านว่าสงครามที่จะเกิดขึ้น จะส่งผลมาถึงโรงเรียนมั้ยครับ”มิสเตอร์กอร์ดอนถาม
        “ฉันว่าไม่น่านะ แต่ทางที่ดีเราอย่าคุยกันตรงนี้จะดีกว่า”ผอ.รีบตัดบทสนทนาราวกับว่าเค้ารู้ถึงการมาของมิทอสและอองรี พวกเค้าจึงเดินหายเข้าไปในห้องทำงาน
        “สงคราม จะมีสงครามเหรออองรี” มิทอสถามอองรีด้วยสีหน้าเศร้าหมอง อองรีแค่ผงกศรีษะเล็กน้อยแทนคำตอบ
        “ไม่ต้องห่วงฉันจะปกป้องนายเอง” คำพูดของอองรี ถึงกับทำให้คนฟังอึ้ง แต่ก็นึกดีใจอยู่นิดๆ
        “ฉันไม่ต้องให้นายมาปกป้องหรอก อย่างฉันอ่ะ ฉันดูแลตัวเองได้”มิทอสพูด พร้อมจะเดินออกไปแต่ก็ถูกอองรีคว้าเอาไว้ และลากเข้าไปในเงามืด
        “เฮ้ยแกทำอะไรวะ”มิทอสพูดแต่ถูกอองรีเอามือปิดปากเอาไว้ แต่กลุ่มคนที่เดินผ่านไปคือเพื่อนๆตึกมาส์ทาวเวอร์นั่นเอง มิทอสขมวดคิ้วมุ่นด้วยความ งง ว่าทำไมต้องหลบพวกเพื่อนๆด้วย แต่คำถามก็กระจ่างทันทีเมื่อ
อองรีชี้มาที่หน้าอกของมิทอส เพราะตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นเนินอกแทน หลังจากเพื่อนๆผ่านกันไปหมดแล้วมิทอสจึงรีบดิ้น และเดินออกมาจากอ้อมกอดของอองรี ซึ่งตอนนี้ใบหน้ามันแดงและร้อนฉ่าไปทั้งหน้าแล้ว แสงจันทร์ที่ส่องลงมาเผยให้เห็นใบหน้าเนียนของสาวน้อยที่แสนน่ารัก และผมที่ยาวลงมาถึงเอว ร่างที่ดูบอบบาง บอบบางเสียจนอองรีแทบจะอดทนไม่ไหวดึงสาวน้อยตรงหน้าเข้ามาสวมกอดให้แตกหักไปตรงหน้าเค้านี้เลย แต่ก็ต้องพยายามหักห้ามใจไว้ เพราะนี่มันยังไม่ถึงเวลา ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีสิ่งที่เค้ายังทำได้ในสถานะการณ์อย่างนี้
          อองรีไม่ปล่อยกับดึงสาวน้อยตรงหน้า เค้าดึงร่างบางเข้าไปกอดแนบชิดกว่าเดิมสาวน้อยตรงหน้าดิ้นขลุกขลักอยู่ภายในอ้อมกอดของอองรี นัยตาสืเขียวน้ำทะเลของชายหนุ่มมองลงมาบนหน้านวลสีแดงระเรื่อ ก่อนที่จะก้มลงกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า.......
        “คาริน เธอยังจะหนีฉันไปถึงไหน ใจเธอตอนนี้มันยังอยู่ที่ฉันเหมือนเดิมหรือไม่”อองรีพูดเสียงหวานมองคารินอย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งก้มลงไปยังหน้านวลประทับริมฝีปากลงปากของหญิงสาว หน้าของคารินขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะผลักคนตรงหน้า และวิ่งออกไป ก่อนที่เธอจะเคลิบเคลิ้มกับมันจะมิอาจหนีไปได้ อองรีมองตามร่างบางไปแต่ยังอมยิ้ม
        “อ้าว มิทอส แกเป็นอะไรไปวะ อ้าววันนี้เป็นผู้หญิงเหรอ แล้วอองรีล่ะ”คารินเมื่อได้ยินชื่อ
อองรี เธอก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นมาอีก รีบเดินไปนอนเอาหน้าซุกผ้าห่มด้วยความอายทันทีทันที พอดีกับที่อองรีเดินเข้ามา
        “อองรี แกไปไหนมา แล้วไอ้มิทอสมันเป็นอะไรไปวะ”ดันเต้หันมาถามอองรี
        “ไม่มีอะไรนอนเหอะ” ดันเต้เมื่อได้ยินดังนั้นก็เลยตัดสินใจนอนแต่ในใจมันก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น
    .
        เมื่อมิทอสตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ห้องที่หอพักแล้ว สถานที่ ที่เค้าอยู่ก็มันเป็นห้องที่ไม่มีแสงไม่มีอะไรเลยมีแต่ความมืด
        “อองรี ดันเต้ พวกแกอยู่ไหน” เสียงของมิทอสตะโกนเรียกเพื่อนดังก้องไปทั่วในความมืด....... โดยที่มีความหวังอยู่ในใจอยากให้อองรีที่มักคอยอยู่กับมันเสมอ...ออกมา แต่ไม่มีเลยไม่มีเสียงของใครตอบกลับมา ได้ยินก็แต่เสียงสะท้อนของเสียงตัวเอง แค่ก้มลงมามองมือตัวเองมันยังมองไม่เห็น ความกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตวิ่งเข้าสู่หัวใจ...รู้สึกได้ว่าตัวโสตประสาทของตัวเองทำงานช้าลงๆ เรื่อยๆ สิ่งเดียวที่คิดออกตอนนี้ คือการ วิ่ง วิ่ง...วิ่งไปเรื่อยๆ..วิ่งไปในความมืด... แต่วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่เห็นทางออก เมื่อวิ่งจนรู้สึกอ่อนแรง...ล้า...และเหนื่อย ฉับพลันสายตาก็ไปกระทบกับแสงสว่างทำให้คนที่ หวาดกลัวอยู่แล้ววิ่งเข้าหาแสง
        เมื่อมิทอส วิ่งผ่านแสงมาก็ต้องพบว่าตัวเองอยู่ยังสถานที่ที่ แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง มันเห็นกองทัพคนนับแสนที่ยืนมองหอคอยสูงตระหง่าน เหนือสุดของหอคอยมีแท่งคริสตัลสีรุ้งประดับอยู่ และบนหอคอยเค้าก็เห็นคนๆหนึ่งยืนอยู่บนนั้น ยืนด้วยท่าทางที่สง่างาม แต่หอคอยกลับสูงเกินกว่าที่จะมองเห็นใบหน้าของคนๆนั้น แต่ความรู้สึกคุ้นเคย และอำนาจของคนๆนั้นที่กำลังกดดันเขาอยู่ มันทำให้เขาขนลุกซู่อย่างไม่รู้ตัว
        “องค์ราชันต์”เป็นเสียงของเหล่าทหารที่โห่ร้องอย่างดีใจ มันดังมาก หูของเขาอื้อไปหมดจนไม่ได้ยินอะไรอีก
        “มิทอส มิทอส ตื่นเหอะ”เสียงปลุกของอองรี.... ปลุกมิทอสที่ตอนนี้กลายเป็นชายแล้วให้ตื่นจากห้วงนิทรา ซึ่งตอนนี้อองรี และดันเต้แสดงสีหน้าเป็นห่วงไปที่เพื่อนของสนิทที่ไม่เคยกลัวอะไร แต่กลับนอนครางตลอดคืน มิทอสเมื่อลุกขึ้นแล้วก็พบว่าตัวเองเหงื่อไหลท่วมตัว และหัวใจที่เต้นแรง จนเค้าต้องเอามือไปจับราวกับว่ามันจะหลุดออกมา
        “มิทอสแกเป็นอะไรไป ฝันร้ายเหรอ” มิทอสเมื่อได้ยินคำถามก็แค่พยักหน้าหงึกเป็นเชิงว่าใช่ และรีบเดินเข้าไปอาบน้ำ ซึ่งอองรีมองตามหลังไปอย่างเป็นห่วง
            การเรียนการสอนในวันนี้ก็เป็นไปอย่างที่เบื่อหน่าย มีจะดีหน่อยก็เห็นจะเป็น วิชาคาถาซึ่งอองรีทำใด้ดีที่สุดในตึกเลยก็ว่าได้ ก็นับเป็นนิมิตรหมายอันดีเนื่องจากมาดามโดโรธีถึงกับเอ่ยปากชมมาส์ทาวเวอร์ว่าทำได้ดีกว่าทาวเวอร์อื่น หรือเป็นเพราะเค้าเป็นอาจาร์ยประจำมาส์ทาวเวอร์นะ แต่ช่างเถอะเพราะชาวมาส์บ้ายอ
            เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนเพื่อนๆชาวมาส์ทุกคนก็มารวมตัวกันที่โรงอาหาร คุยกันอย่างเฮฮา แต่พวกมิทอสขอตัวออกมาก่อน เนื่องจากวันนี้มิทอสต้องกลายเป็นหญิงอีกวัน ส่วนอองรี และดันเต้โดนเรียกไปประชุมทำให้เจ้าตัวดีอยู่ในห้องคนเดียว พลางนึกถึงเรื่องที่ฝัน เพราะนึกยังไงก็นึกไม่ออก
            หลังจากนึกอยู่ได้ซักพักก็เริ่มเหนื่อย และพร้อยหลับไปในที่สุด เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดมันยังมีเวลาคิดอีกเยอะ
        “อืม หือเช้าแล้วเหรอ”เสียงของเจ้าตัวดีที่หลับไปเป็นคนแรกพูดขึ้น หันไปมองเพื่อนทั้งสองที่ยังคงหลับอยู่ ก็เลยโดดไปอาบน้ำทันที เมื่อออกมาก็พบว่าเพื่อนๆมันเริ่มตื่นกันแล้ว สำหรับอองรี หน้าตอนตื่นนอนของมันถือได้ว่าอยู่ในโหมด ที่มองแล้วดูดีมากกว่าตอนปกติ แล้วผมยุ่งๆของมันคงมีไม่กี่คนนักที่ได้เห็นแน่นอน คิดยังไม่เท่าไหร่เจ้าดันเต้ มันก็เบี่ยงตัวขอเข้าไปอาบน้ำ
          “ไม่เห็นต้องรีบตื่นเลย วันนี้หยุดนะ”มิทอสพูด พรางนั่งลงบนเตียงข้างๆอองรี
          “ไม่ได้ วันนี้มีประชุมนักเรียนปีหนึ่งมาส์ทาวเวอร์”อองรีพูดแต่ยังสลึมสลืออยู่
          “เมื่อคืนกลับมากี่โมง”
          “ไม่รู้สิรู้แต่ว่าดึก”เมื่อพูดจบอองรีก็เดินไปอาบน้ำต่อเนื่องจากเห็นว่าดันเต้ออกมาแล้ว
          “เฮ้ย มิทอสเมื่อวานแกฝันอะไรวะ”ดันเต้เปิดบทสนทนา
          “ไม่รู้สิ จำไม่ได้”มิทอสตอบถึงมันไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นเรื่องจริง “เออ แล้ววันนี้ประชุมเรื่องอะไร”
          “เออ น่าเดี๋ยวก็รู้เอง”ดันเต้ตอบแบบขอไปที
              เมื่อจัดแจงแต่งตัวกันเสร็จแล้วลงมาที่ห้องนั่งเล่นก็พบว่าเพื่อนๆรอกันอยู่แล้ว ซึ่งการเปิดประชุมครั้งนี้คือเวโรนิก้า อองรี และดันเต้
          “เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ฉันจะเริ่มอธิบายอย่างสั้นๆ”เวโรนิก้าเริ่มการประชุมทันทีเมื่อเห็นว่าคนมาครบแล้ว “เรื่องที่จะประชุมคือการประลอง Cross Cup(cc) ซึ่งจะมีอีกใน3เดือนข้างหน้า เป็นการแข็งขันประลองตัวต่อตัวที่จะต้องส่งตัวแทนประจำทาวเวอร์ออกไป 5 คนเพื่อรับการประลอง เรื่องรายชื่อผู้ถูกเลือกเราจะพูดกันทีหลัง เรื่องที่สองคือเรื่อง การทัศนศึกษานอกสถานที่ซึ่งเรื่องนี้ดันเต้เป็นคนรับไว้”เวโรนิก้าเมื่อพูดจบก็โยนเรื่องให้ดันเต้ทันที
            “ในการทัศนศึกษานั้น มาดามอนุญาติให้โหวตได้ว่าทาวเวอร์มาส์ต้องการไปที่ไหน แต่ก็ต้องไปจับฉลากอีกทีเพราะต้องไปร่วมกับทาวเวอร์อื่นๆ พูดง่ายๆ เราโหวตไปงั้นแหละได้ไม่ได้อีกเรื่องนึง เอาล่ะใครมีคำถามอีกบ้าง”ดันเต้พูด พร้อมจบด้วยคำถาม
            “เอ่อ แล้วจะมีเมื่อไหร่ครับ”เสียงของเอิร์ดถามขึ้น
              “อีก 3 วัน”
              “แล้วไปวันเดียวเหรอ”เสียงใสๆไนติงเกลถามขึ้น
              “ใช่แล้วครับสาวน้อย แต่ถ้าคุณต้องการไปอีกกรุณาเรียกผมได้เลยนะครับ เพราะผมพร้อมจะพาสาวสวยอย่างคุณไปทุกที่”จากการหยอดคำหวานปนเลี่ยนของดันเต้เรียกเสียงฮาคลืนได้ทั้งทาวเวอร์
                  มิทอสที่ไม่สนใจการประชุมซักเท่าไหร่ หันไปมองทางหน้าต่างแล้วพบว่ามีแมวตัวสีดำนอนคดอยู่มันมีตาสีส้มดูผิดจากแมวทั่วไปแต่ยังไม่แปลกเท่าเมื่อตาของมันค่อยๆแปลเปลี่ยนเป็นสีขาว มิทอสถึงกับผละลุกจากเก้าอี้เซล้มลงตกเก้าอี้ลงมาเสียงดัง เรียกให้ทุกคนหันมามอง
              “เป็นอะไรวะมิทอส นอนละเมอจนตกจากเก้าอี้เหรอ”เสียงของแจ๊กถามเพื่อน พร้อมทั้งเรียกเสียงฮาจากทาวเวอร์ได้อีกครั้ง แต่ก็ทำให้ไม่มีคนสนใจสีหน้าของมิทอสที่มันซีดไปเรียบร้อยแล้ว ยกเว้นอองรีที่มองอยู่นานแล้ว หลังจากการประชุมจบลงโดยทาวเวอร์มาส์โหวตให้ไปสุสานดาบ
            “เป็นอะไรไปมิทอส”ดันเต้หันมาถามเพื่อนสนิทอย่างกังวลซึ่งอองรีก็ห่วงไม่แพ้กัน เพราะมันไม่เคยเห็นมิทอสเป็นอย่างนี้มาก่อน มิทอสเมื่อได้ยินเพื่อนถามจึงรีบเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังทั้งเรื่องความฝันที่พึ่งนึกออกและเรื่องแมวเปลี่ยนสีได้ ถือกับเป็นเรื่องที่เรียกเสียงกลืนน้ำลายของดันเต้ได้ แต่อองรีแค่ผงกหัวเล็กน้อย แต่ยังไม่มีท่าทีเปลี่ยนไป
            “เอาน่า เรื่องนี้ไม่เป็นไรหรอก มันอาจจะแค่บังเอิญมีใครลงคาถากับแมวตัวนั้นไว้ก็ได้มั้ง เรามาสนุกกันดีกว่าใกล้จะทัศนศึกษาแล้ว เดี๋ยวฉันเอาผลโหวตไปให้มาดามก่อนนะ พวกแกกลับไปก่อนแล้วกัน”ดันเต้พูดจบก็วิ่งหายไปทันที ทิ้งให้เพื่อนทั้งสองของมันอยู่ด้วยกัน
            “มิทอส อย่าพึ่งกลับหอเลยเราไปนั่งเล่นกันตรงนั้นจะดีกว่า”อองรีพูดพร้อมชี้ไปที่สวนด้านในที่มีม้านั่งตั้งอยู่ มิทอสเมื่อเห็นเพื่อนชวน....เอาวะมันยังดีกว่ากลับหอแล้วไปนอน ฝันเห็นอะไรแปลกๆอีก ก็เลยเดินตามอองรีมานั่งอย่างว่าง่าย
            “ไม่เป็นไร ฉันจะปกป้องแกเอง”อองรีพูดเพราะรู้สึกได้ว่าเพื่อนของมันยังไม่ส่บายใจอยู่
            “อืม......... ขอบใจ”มิทอสยิ้มรับ ต้องยอมรับว่าทุกคำพูดของอองรีทำให้มันสบายใจขึ้นมากเลย หลังจากนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีการพูดคุยใดๆออกมาเลยซักพัก เมื่ออองรีเห็นว่ามิทอสสบายใจแล้วจึงชวนเค้ากลับทาวเวอร์
                ช่วงเวลาสามวันเป็นไปอย่างเฮฮา เนื่องจากทุกคนหยิบยกเรื่องที่จะไปทัศนศึกษาออกมาคุยกันอย่างออกอรรทรส เพราะเรื่องที่พวกเค้าโหวดติดหนึ่งในสองสถานที่ที่ได้ไป
            “เฮ้ย แต่ไอ้สุสานดาบเนี่ย มันมีผีหรือเปล่าวะ”มิทอสเปิดบทสนทนาจนทำให้เพื่อนๆ วงแตกหือและหัวเราะกันดังลั่น
            “ไอ้บ้า สุสานดาบชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามีแต่ดาบ”แจ๊กตอบเพื่อไขข้อค่องใจของเพื่อน
              “เฮ้ย แล้วไอ้ดาบเนี่ยมันต้องมีสุสานกันด้วยเหรอ”มิทอสถาม
              “ก็ไม่รู้อีกว่ะ ว่าเพราะอะไร”แจ๊กตอบเพราะตัวเค้าเองก็ไม่รู้
              “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ไปถึงก็รู้เอง”อองรีปิดบทสนทนาทันที และผละลุกเดินออกมาโดยมีดันเต้ และมิทอสเดินตามออกมาด้วย
    ................................................................................................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น