คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : CHAPTER 18 : ศึกประลอง แม่ทัพไลล่า
ศึกประลอง แม่ทัพไลล่า
ของภายในร้านมีแต่เครื่องประดับสีสวยงานฝีมือทั้งนั้นหรือไม่ก็ดาบเนื้อดีตีจากช่างผู้ชานาญถึงกับทำให้ดันเต้ติดอยู่ในพวังมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่หนุ่มหน้าหวานสนใจกลับไม่ใช่สิ่งของในร้าน
มิทอสเดินเข้าไปพูดกับชายที่ยืนอยู่หน้าเค้าเตอร์
"ซ่อมนี่ได้รึเปล่าครับ"มิทอสหยิบกิ๊บผมสีฟ้าขึ้นมาจากกระเป๋า
"ไม่ยาก"ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแข้งๆ "เดี๋ยวกลับมาเอาอีก 30 นาทีแล้วกัน" มิทอสพยักหน้าเล็กน้อยและล็อกคอเพื่อนเดินออกไป
"แกจะไปไหนอีกวะ"ดันเต้หันไปถามเพื่อนหน้าหวานของมัน
"มันก็แน่อยู่แล้ว ก็ต้องไปดูดอกไม่ราตรีน่ะสิ"มิทอสพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดๆ
"แกไปคนเดียวเถอะ ฉันกะว่าจะไปดูของข้างในอีกหน่อย"ดันเต้ดึงปากกาและกระดาษออกมาวาดแผนที่ทางไปเรือนกระจกที่ใช้ปลูกดากไม้ราตรี และยื่นให้เด็กหนุ่ม
"ไปเองก็ได้วะ"มิทอสรับแผนที่ และเดินปึงปังจากไป
เรือนกระจกสีดำทึบที่มีลักษณะคล้ายโดมสีดำขนาดใหญ่เพียงแต่ทำด้วยกระจกและมีแผ่นเหล็กปิดทับอีกชั้นนึง เพื่อป้องกันแสงจากภายนอก มิทอสเดินผ่านประจกที่เขียนว่าทางเข้าเข้าไปมันมีลักษณะคล้ายๆแผ่นใสที่ปกคลุมเมืองนี้เอาไว้ สภาพอากาศภายในค่อนข้างหนาวและมืดสนิท มีเพียงแสงจากดอกไม้ราตรีสีดำที่มีเกสรสีทองเรืองแสงได้นับพันที่อยู่ภายในนี้
"ว้าว"มิทอสอุทานเบาๆกับภาพที่ได้เห็น
หมับ ตุบ!
"อุ้บ" มิทอสโดนใครบางคนดึงลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้น เธอเกือบจะร้องออกมาแล้ว แต่โดนมือของชายคนนั้นมาปิดปากเธอเอาไว้ก่อน เด็กหนุ่มหันไปมองชายคนนั้นอย่างตื่นกลัว
"ฉันเอง"เสียงเค้มที่เธอจำได้ดีถึงแม้ว่ามันจะเบามาก เพราะเจ้าของเสียงไม่ต้องการให้ใครได้ยินนั่นเอง
"พี่นิโคไลท์ มาทำอะไรที่นี่ฮะ แล้วทำไม"
"ชู่"นิโคไลท์ชี้ไปที่ด้านหน้า มิทอสมองตามที่ชายหนุ่มชึ้ไปทันที และพบกับร่างของคนสองคนที่เธอรู้จักดี "พี่โฟร์กับพี่อลิส"
สาวสวยที่ยืนเขย่งปลายเท้าขึ้นประกบปากกับชายหนุ่มที่มีท่าทางค่อนข้างตกใจ แสงสีนวลจากเกสรดอกไม้ราตรีที่ส่องแสงระยิบระยับเพื่อบ่งบอกถึงความรักที่ผลิบานในใจของทั้งสองกำลังเติบโต และส่องแสงอย่างสวยงาม มิทอสมองภาพที่เห็นอย่างไม่อยากเชื่อสายตาเธอก็พอรู้อยู่หรอกนะว่าพี่โฟร์ค่อนข้านสนใจในตัวอลิส แต่ดูยังไงอลิสก็เป็นผ่ายจูบพี่โฟร์ก่อนแน่นอน เธอมองทั้งสองโดยที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาของคนที่นอนอยู่ข้างตัวเธอ
นิโคไลท์มองไปยังสาวน้อยตรงหน้าที่กำลังสนใจกับภาพของเพื่อนรักเค้ากำลังจูบกับสาวอยู่ แต่ดูเหมือนเค้าไม่มีทีท่าจะสนใจเลย แต่กลับมองไปยังรุ่นน้องที่นอนมองตาแป๋วอยู่ เค้าอยากจะเลื่อนใบหน้าเข้าประทับรอยจูบบนใบหน้าเธอเหลือเกิน ใบหน้าของเค้าค่อยๆเลื่อนเข้าไปๆ ใกล้ใบหน้าด้านข้างของเธอแต่ก็ติดอยู่ที่ว่าตอนนี้มันเป็นผู้ชายจึงต้องจำใจล็อกคอรุ่นน้องที่รักออกจากห้องนี้อย่างเงียบเชียบ
"พี่นิโคไลท์พี่มีรสนิยมชอบแอบดูเพื่อนจูบกับแฟนเหรอครับ"มิทอสเปิดคำถามกวนโดนบาทาทันทีที่เดินออกมาจากเรือนกระจก
"ถามอะไรโง่ๆ ฉันก็เหมือนเธอน่ะแหละบังเอิญเดินเข้าไป"นิโคไลท์ตอบคำถามพร้อมคำด่า
"อ๋อ อื้อ"
"แล้วอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะ"
"เรื่องนี้? เรื่องไหนล่ะครับ เรื่องที่พี่โฟร์กับอลิสจูบกันอย่างเร่าร้อน หรือว่าเรื่องที่พี่แอบดูพี่โฟร์กับอลิสจูบกัน แฮะๆๆ"จบคำถามด้วยเสียงหัวเราะตามแบบฉบับกวนบาทาเป๊ะ
"ฮึๆๆๆ เอาเป็นว่าฉันคงไม่อยากให้เธอบอกใครทั้งสองเรื่องน่ะแหละ และเธอก็คงไม่อยากจะให้ใครในโรงเรียนรู้เรื่องไอ้ตัวแสบประจำทาวเวอร์มาส์เป็นผู้หญิงใช่มั้ย หรือฉันจะทำให้นายพูดไม่ได้จะได้ไม่สร้างปัญหาให้ฉันดี ฮึๆๆๆ"จบคำตอบด้วยคำขู่ เยี่ยม
"อึก"เสียงกลืนน้ำลายดักเอื้อกของมิทอสอย่างน้อยเค้าก็รู้แล้วว่าไม่ควรไปล้อเล่นกับหัวหน้าหอทาวเวอร์มาส์
"เอาล่ะในเมื่อไม่มีอะไรก็ไปได้แล้ว"นิโคไลท์พูดด้วยรอยยิ้ม
"คร้าบบบบบ"
นิโคไลท์ถอนหายใจเล็กน้อยมองเจ้าตัวดีที่วิ่งออกไป
"ความรักเป็นอย่างไร....ทำไมต้องรักกัน..."เสียงทำนองร้องเพลงเสียดหูของเจ้าคนเคยป่วยที่มันวิ่งไปกระโดดไปร้องเพลงไป
"เพลงอะไรน่ะ"เสียงเค้มๆของคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ม้านั่งทำให้มิทอสต้องหยุดร้องเพลงจังหวะใหม่ที่มันแต่ขึ้นมาเอง
"อ้าว อองรี แกตื่นแล้วเหรอ ฉันพอจะรู้แล้วล่ะว่าความจริงฉันเนี่ยมีความสามารถในเรื่องร้องเพลงเหมือนกันนะเนี่ย"พูดจบมิทอสก็ฮัมเพลงเดินขึ้นไปนั่งฝั่งตรงกันข้ามกับอองรี "แกอ่านอะไรอีกแล้วเนี่ย" มันไม่พูดเปล่าหยิบหนังสืออีกเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่าน "หลักการเพราะปลูกในทะเลทราย" อ่านจบเค้าก็รีบวางลงที่เดิมทันที ราวกับต้องของร้อน
"ไปเจออะไรดีมาเหรอไง"ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นว่าร่างเด็กหนุ่มตรงหน้า มีท่าทีอารมณ์ดีกว่าปกติ
"ไม่มีอะไรหรอกน่า" มิทอสบอกปัดๆไป "เออ...อองรีฉันกะไว้ว่าจะเยี่ยมตาแก่หน่อยน่ะ" มิทอสเริ่มเปิดบทสนทนาอีกครั้ง
"ก็ดี เพราะหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย" อองรีวางหนังสือที่อ่านอยู่ลงบนโต๊ะ
"เฮ้ย...อองรี มิทอส"เสียงของเพื่อนซี้อีกคนที่กำลังเดินตรงมาทางพวกเค้า มิทอสเมื่อเห็นดังนั้นจึงโบกมือเรียกให้มานั่งด้วย
"พวกแกดูนี่"ดันเต้โชว์ดาบสีน้ำเงินเงาที่มีด้ามดาบประดับด้วยอัญมนีสีน้ำเงินสวยและตัวดาบเป็นสีขาวใสมีผลึกสีฟ้าอยู่ในตัวดาบตั้งแต่โคนดาบจนถึงปรายดาบ "ดาบลินินสีเงิน"
"แกเนี่ยได้ดาบดีๆมาอีกแล้วนะ"มิทอสพูดขึ้น "จะมีก็ฉันนี่แหละไม่เคยเลยจะได้ของถูกใจกับเค้าบ้าง คาถาก็ใช้ไม่ได้ วิชาดาบก็ไม่เอาอ่าว เฮ้อ..."เจ้าตัวดีถอนหายใจอย่างปรงๆ ถึงกับทำให้เพื่อนทั้งสองนึกเป็นห่วงมัน "เออ.. ช่างมันเถอะ ดันเต้ฉันว่าจะไปเยี่ยมตาแก่น่ะ"
"อื้อ ก็ดีนี่ ฉันก็เห็นด้วย" ดันเต้พูดด้วยน้ำเสียงปิติ
"กะว่าจะไปพรุ่งนี้นะ แกก็ไปลาพ่อแกด้วยล่ะ"มิทอสพูดเตือนสติ ดันเต้ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าหงึกๆ "แล้วอีกเรื่องนึงฉันว่าจะถามแกนานแล้ว ตอนที่เราผ่านเข้ามามันมีเหมือนพลาสติกหรืออะไรซักอย่างหุ้มที่นี่อยู่ใช่มั้ย มันคืออะไรวะ"มิทอสหันไปถามดันเต้
"อ๋อ ไอ้นั่นน่ะเหรอ ฉันถามพ่อมาแล้วล่ะ" ดันเต้ดึงปากกาและกระดาษประจำกายออกมาอีกครั้ง และเริ่มพูดต่อ "มันคือพลังของผลึกแห่งชีวิตสีน้ำตาลน่ะ พ่อเล่าว่ามันห่อหุ้มเมืองนี้เอาไว้ ที่ดินแดนของมนุษย์น่ะก็มีอยู่อันนึงและมันก็ทำหน้าที่เหมือนอันนี้ เพียงแต่แกไม่ทันได้รู้สึก ถึงตัวตนของมันมากนัก ผลึกสีขาวน่ะจำเป็นต้องอาศัยพลังของนักบวชชั้นสูงสามจุด จากจุดที่หนึ่งหอคอยเทพ ส่งอำนาจไปยังจุดที่สองวิหารแมนมาเรียน่าส่งอำนาจไปยังจุดสุดท้ายหอคอยสันติภาพและสะท้อนกลับไปที่หอคอยเทพอีกครั้ง เราเรียกมันว่าปราการคุ้มกัน"ดันเต้อธิบายโดยการลากลงบนกระดาษซึ่งมันเป็นรูปสามเหลี่ยมพอดีและคลุมพื้นที่ทั้งหมดของดินแดนมนุษย์
"งั้นเหรอแล้วมันมีทั้งหมดกี่อันกันแน่"เค้าเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย
"พ่อบอกว่าความจริงมีห้า แต่ตอนนี้เหลือสี่"ดันเต้ยักไหล่เล็กน้อย
"อ้าว.. ทำไมล่ะ?"
"ก็เพราะมันหายไป"เสียงของอองรีที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้น "สีขาวคือการเริ่มต้น สีน้ำตาลคือการเนรมิต สีฟ้าคือการอยู่ร่วมกัน สีดำคือจุดสิ้นสุดการเดินทาง"
"แล้วอันสุดท้ายล่ะ"มิทอสถามอองรีอีกครั้งเพราะดูเหมือนมันจะยังพูดไม่จบ
"อันสุดท้ายฉันก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน และก็ไม่รู้ด้วยว่าสีอะไรแต่มันถูกเรียกว่า diamond life ผลึกแห่งสมดุล"
"หายไป! เป็นไปได้ยังไง"
"เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้ละเอียดนัก" อองรีวางหนังสือในมือลง พลางทำสีหน้าครุ่นคิด "ความจริงแล้ว รายละเอียดเกี่ยวกับมันแทบไม่มีอะไรที่เชื่อถือได้เลย เพราะเรื่องเกี่ยวกับ Diamond Life ส่วนใหญ่มาจากเรื่องเล่าหรือตำนานพื้นเมือง ว่ากันว่า นานมาแล้วเทพีแห่งจันทราผู้โดดเดี่ยวได้เนรมิตสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา โดยได้ให้กำเนิดผลึกแห่งชีวิตหล่อเลี้ยงโลกใบนี้ทั้ง 5 ไว้ ทุกสรรพสิ่งเกิดมาล้วนแล้วแต่มีเหตุผล จากสิ่งไม่มีชีวิตเธอเริ่มมีความต้องการสร้างในสิ่งที่มีชีวิต และเฝ้าดูคนเหล่านั้นอย่างสนุกสนาน...... มนุษย์คู่แรกกำเนิดขึ้น และมีลูกหลาน สืบทอดต่อๆกันไปมากมาย โดยอาศัยพลังของพลึกทั้ง 5 ดำรงชีวิต ในกลางดึงคืนจันทร์ไร้แสงชายผู้หนึ่งเกิดความโลภต้องการครอบครองพลังของผลึกทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว อาศัยความมืดของแสงจันทร์แฝงตัวหมายจะครอบครองผลึก หากแต่ไม่สำเร็จเทพีแห่งจันทราจับได้ ทรงพิโรจน์อย่างหนัก สาปให้คนผู้นั้นกลายเป็นปีศาจผู้ชั่วร้ายมีหน้าที่คอยกัดกินสิ่งเน่าเสียภายในจิตใจมนุษย์ ที่ซึ่งผู้คนเรียกเค้าว่า 'ซาตาน' . หากแต่การตัดสินใจนี้กับถูกต่อต้านด้วยเหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลา เธอจึงเอ่ยปากสาปให้ผลึก Diamond Life ที่เป็นสูญรวมของพลังทั้งหมดในผลึกทั้ง 5 จมลงสู่ผืนแผ่นดิน ถูกกลืนหายไปตลอดกาล พร้อมๆกับน้ำตาของเธอที่ร่วงหล่นลงจากฝืนฟ้ากลายมาเป็นสายธารแห่งการเริ่มต้น.......ไม่มีใครเคยเห็นผลึกที่ 5 และเทพีแห่งจันทราอีกนับตั้งแต่วันนั้น พร้อมๆกับกาลียุคครั้งใหญ่แบ่งแยกมนุษย์แสนโง่ให้ฆ่าฟันกันเอง ซาตานได้ครอบครองพลังสมใจ เพียงแต่มันกลับไม่พอใจ พยายามอย่างสุดความสามารถตามหาผลึก Diamond Life อาศัยจิตใจอันเน่าเฟะของผู้คน อาศัยส่วนเล็กๆอันดำมืดของมนุษย์ สร้างความชั่วร้าย........เป็นอันจบตำนาน" คนเล่าจรดริมฝีปากลงบนถ้วนกาแฟสีขาวสะอาด ในขณะที่ผู้ฟังทั้งสองอ้าปากค้างเป็นนาน ก็ไอ้ตำนานพวกนี้มันดูเหลือเชื่อเกินกว่าจะรับได้
"....................."
"...................."
ชายหนุ่มวางแก้วสีขาวลงกระทบพื้นรอง เกิดเสียงดังเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงทุ้มเค้มหากแต่แฝงไปด้วยแววเสียใจเล็กน้อย "เรื่องบางเรื่องไม่รู้จะดีกว่านะ"
..........................................................................................................................
พวกของมิทอสเดินทางไปอีกเส้นทางนึงเพื่อเดินทางไปเยี่ยมบ้านส่วนโฟร์กับนิโคไลท์ไปด้วยไม่ได้เนื่องจากต้องกลับไปก่อนจะเปิดเทอมพี่นิโคไลท์ต้องไปเตรียมเรื่องรับน้องใหม่ส่วนพี่โฟร์คงกลังไปช่วยนิโคไลท์ พี่อลิสก็จะไปกันโฟร์ ทำให้การเดินทางในครั้งนี้เหลือเพียงแต่สามคน
"ฟอลค่อนจะไม่ไปด้วยจริงๆเหรอ"มิทอสหันไปถามชายที่เคยเป็นศัตรูแต่ผันกลับกลายเป็นมิตร
"ไม่ล่ะ ฉันต้องเอาดอกไม้ราตรีไปรักษาลูกน้องของฉันก่อน"ฟอลค่อนชี้ไปที่กระเป๋าสีน้ำตาลที่บรรจุดอกไม้ไว้เต็มกระเป๋า
"งั้นเหรอ น่าเสียดายจัง งั้นมีอีกคำถามนะฉันอยากรู้ชื่อจริงนาย"
ฟอลค่อนยิ้มเฝื่อนๆด้วยความตกใจ "เอส ฉันชื่อเอส"ฟอลค่อนชี้ไปที่อก
"เอส หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกนะ"มิทอสยื่นมือออกไปเป็นเชิงสัญญา เอสยื่นมือจับมือกับมิทอสเป็นเชิงยืนยัน
"ไปล่ะ โชคดีนะเอส"
"อื้อ โชคดีเป็นจงเป็นของเจ้า"ฟอลค่อนชี้ไปที่มิทอส เด็กหนุ่มแค่ยิ้มรับด้วยรอยยิ้มจริงใจ
"อืมจะไปกันยังไงดีเนี่ย"มิทอสหยิบแผนที่ออกมาพร้อมทั้งมองไปที่อองรี ซึ่งตอนนี้กำลังยกของขึ้นหลังม้าและดันเต้ที่หลับอยู่ไต้ต้นไม้เนื่องจากเมื่อวานมันไปล่ำลาพ่ออีท่าไหนไม่รู้เมาแอ๋กลับมาตอนตีห้าแถมยังต้องเดินทางกันตอนเจ็ดโมงอีกตะหาก ในเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วเธอคงต้องเป็นคนวางแผนการเดินทางเองซะแล้ว
"อืม... ตาแก่อยู่ที่ ที่ราบเซาส์สินะ ถ้าจะไปทางเลอร์ฮาร์ฟก็ได้สินะ จะว่าไปเลอร์ฮาร์ฟเนี่ยมันคุ้นๆนะ"มิทอสเอามือลูบคางทำท่าคิดอย่างเคยชิน "ช่างเถอะเพราะยังไงก็ต้องผ่านทางนี้อยู่ดี" มิทอสเก็บแผนที่เข้ากระเป๋าและเดินไปเรียกดันเต้เพื่อนเตรียมตัวเดินทางกันต่อ พรางตบไปที่กระเป๋าซึ่งมีกิ๊บสีฟ้าที่ตอนนี้มันสวยเหมือนเดิมแล้ว
การเดินทางผ่านทะเลทรายในรอบนี้พวกเค้าเดินทางกันอย่างง่ายดายเนื่องจากได้บัตรผ่านมาจากลุงฮิว และยังได้ม้าทะเลทรายมาด้วยทำให้พวกเค้าไม่จำเป็นต้องแวะพักแรมเพื่อให้ม้าดื่มน้ำที่ไหนเลย พวกเค้าจึงมาถึงเลอร์ฮาร์ฟในเวลากลางคืนของคืนนั้นพอดี
"ว้าว"มิทอสอุทานเสียงใส เพราะดูเหมือนเมืองเลอร์ฮาร์ฟกำลังมีงานประเพณีประจำเมืองอยู่
โป้ก
โอ้ย
Change
"อองรีแกทำอะไรวะ"คารินตะคอกเสียงดังพร้อมทั้งมองไปที่ร่างกายตัวเองที่ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นผู้หญิงแล้ว
"อยู่เมืองนี้เป็นผู้หญิงจะดีกว่า"อองรีพูดแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำตอบ
"อะไรวะ"มิทอสพูดด้วยน้ำเสียงงงๆพลางลูบหัวป้อยๆด้วยความเจ็บ
"ดันเต้แกก็ตื่นได้แล้ว"คารินหันไปปลุกเพื่อนที่แทบจะนอนหลับมาตลอดทาง
"คารินแกเข้าไปจองที่พักก่อน 2 ห้อง"อองรีชี้ไปที่ร้านเหล้า
"เออๆ"
ทันทีที่คารินเปิดประตูร้านเหล้าเข้ามาก็ต้องพบว่าภายในร้านเต็มไปด้วยทหารหญิงที่ใส่ชุดเกราะแนบเนื้อสีน้ำตาลกล้ามโตเป็นมัดๆ
"ไม่มีทหารผู้ชายเลยแฮะ"คารินพูดเบาๆเหมือนกระซิบกับตัวเองและเดินไปหาบาเทนเดอร์ที่อยู่ตรงเค้าเตอร์ด้านใน "เอ่อพี่ ขอห้องนอนห้องใหญ่หนึ่งห้องฮะ" คารินพูดกับบาเทนเดอร์หนุ่มคนนั้น
"สองห้อง"เสียงทุ้มต่ำของหนุ่งนัยตาสีเขียวน้ำทะเลที่เดินเข้ามาเรียกเสียงฮือฮาในร้านเหล้าได้มากทีเดียว ปกติมันก็เป็นคนป๊อปปูล่าอยู่แล้วแต่ก็ไม่เคยถึงกับโดนผู้หญิงแซวนี่คงเป็นครั้งแรกแต่มันกลับดูจะควบคุมสถานะการได้ดี "แล้วก็ช่วยให้คนไปขนของด้านนอกให้ด้วย"อองรีพูดอย่างช้าๆชัดๆให้บาเทนเดอร์ฟัง
"ห้องใหญ่ห้องเดียวก็พอ"เสียงคารินเถียง
"สองห้อง"อองรีพูดเสียงเย็นพร้อมมองคารินด้วยสายตาดุๆ
"พวกแกจะทะเลาะกันอีกนานมั้ยเนี่ย ง่วงเว้ยง่วง"ดันเต้ตะโกนดังลั่นโดยที่ไม่สนสายตาของสาวๆที่มองมันตาไม่กระพริบ
"สองก็สองวะ"คารินจำใจต้องยอมถอนทัพเพราะมันก็ชักจะเหนื่อยเหมือนกันเนื่องจากต้องควบม้ามาตลอดไม่ได้พัก คารินเดินกระแทกขาปึงๆขึ้นบันไดตามบริการหนุ่มที่จะพาเธอไปพักที่ห้อง อองรีกุมขมับมองตามสาวน้อยที่ชอบเอาแต่ใจตัวเองอย่างกลุ้มๆ
คารินจุดไฟในห้องและเดินลากเก้าอี้ไปนั่งตรงหน้าต่างเอามือเท้าคางเหม่อมองออกไปด้านนอกนึกสบทด่าในใจกับเรื่องที่อองรีทำ ภายนอกประดับประดาไปด้วยแสงไฟหลากสีและร้านค้าที่ตั้งเรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ตรงกลางลานมีเวทีการประลองที่มีผู้หญิงสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่เพื่อแย่งบางอย่างแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คารินสนใจนัก เธอมองเห็นชายที่แต่งตัวด้วยชุดสีขาวทั้งชุดและผมยาวๆของเค้าก็ถูกรวบมัดไปพาดไว้ที่บ่าถึงเธอจะมองเห็นเพียงข้างหลังแต่ดูจากที่คนรอบข้างที่เค้าเดินผ่านหันมามองเค้าตาเป็นเกลียวเค้าคงเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีน่าดู ความอยากรู้ในตัวมันประทุขึ้นมาอีกครั้งคารินไม่รีรอกระโดดจากหน้าต่างชั้นสองวิ่งเข้าสู่ฝูงชนโดยลืมความเหนื่อยและความโกรธก่อนหน้านี้ไปจนหมด
"คาริน"เสียงคมๆของคนที่ดูเหมือนจะมาง้อมันเช่นเดิม แต่ก็ต้องประหลาดใจเพราะตอนนี้ในห้องนี้กับไม่มีคนที่เค้าคิดว่าควรอยู่ อองรีเดินไปมองที่หน้าต่างและเห็นสาวน้อยผมหางม้าวิ่งอยู่กลางฝูงชน "ยัยนั่นไปทำบ้าอะไรตรงนั้น" ไม่รีรออองรีเดินออกจากห้องอย่างรีบร้อน เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับเจ้าตัวดีที่ตอนนี้มันไม่เข้าใจสถานะของตัวเองว่ามันเป็นคนแปลกถิ่น
"ว้าว อันนี้สวยจัง"คารินหยิบปากกาด้ามงามออกมาจากร้านข้างทางที่เธอสะดุดตาจนลืมจุดประสงค์ที่เธอแอบหนีออกมาจากโรงแรมโดยสิ้น "ซื้อไปฝากไอ้บ้านั่นดีกว่า" คารินไม่รีรอคว้าเงินจ่ายคนขายและเก็บปากกาเข้ากระเป๋าทันที แต่ทันทีที่จะเดินออกสายตาก็ไปหยุดที่ชายคนที่เธอจะซื้อปากกาไปฝาก
อองรีกำลังถูกผู้หญิงเกี้ยวอยู่!! หล่อนทำท่าทางเชิญชวนเช่นเดียวกับ ชายจีบหญิง ไม่ต้องพูดถึงอองรีมันไม่มีทีท่าจะเล่นด้วยเลย แต่ในเวลานั้นความโกรธมันกับประทุออกมาด้วยแรง หึง!
"อองรี แกทำอะไรอยู่"คารินไม่รีรอรีบตรงหรี่เข้าไปทันที หญิงที่ดูเหมือนกำลังจีบอองรีอยู่มองคารินตาขวาง
"เปล่า"อองรีตอบคำถามสั้นๆง่ายๆ
"กลับ"คารินไม่รอฟังมันพูดต่อ
"เดี๋ยว เค้าเป็นสามีของเธอเหรอ"หญิงคนนั้นพูดขึ้น
"ไม่ใช่"คารินตอบพร้อมทั้งใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อ
"งั้นเจ้าก็พาเค้าไปไม่ได้ ต้องทำตามกฎของเมือง"
"หา!"
"เห็นเวทีนั่นมั้ย" หญิงคนนั้นชี้ไปที่เวทีประลองที่เคยมีผู้หญิงสู้กันอยู่แต่บัดนี้มันว่างเปล่า "เธอต้องสู้กับฉันเพื่อแย่งชายคนนั้น" หญิงคนนั้นชี้ไปที่อองรี ที่ตอนนี้เค้ากำลังกุมขมับด้วยความกลุ้ม
"ไม่" คำตอบสั้นๆง่ายๆที่ออกมาจากปากคาริน
"หรือเจ้าไม่กล้า กลัวเหรอ"หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง
"เปล่า แค่ไม่อยากเสียเวลา"คารินเอามือคล้องแขนอองรีและทำท่าจะเดินจากไป
"แต่เสียใจด้วยเธอจำเป็นต้องสู้" หญิงคนนั้นแสยะรอยยิ้ม "พี่น้องข้า ข้าขอท้าเจ้า"หญิงคนนั้นตะโกนดังลั่นพร้อมชี้ไปที่คาริน "เพื่อชิงชายคนนั้น" คราวนี้หล่อนชี้ไปที่อองรี
เฮ้ ท่านแม่ทัพไลล่า กับ นักเดินทาง
เสียงตะโกนกู่ก้องที่แสดงให้เห็นว่างานนี้คารินไม่มีทางถอยแล้ว อีกทั้งเธอได้ไปเหยียบหางเสือของ แม่ทัพ แห่งเลอร์ฮาร์ฟเข้าเสียแล้ว
เธอเหลือบมองหนุ่มข้างกายด้วยสายตาประมาณว่า 'แกหาเรื่องให้ฉันแล้วไง' หากแต่กลับถูกดวงตาสีเขียวน้ำทะเลส่งกลับมาด้วยความหมายว่า 'เธอไม่ใช่เหรอไงที่วิ่งออกมาจากห้องจนทำให้เรื่องราวมันไปกันใหญ่โตขนาดนี้'
'สรุปแล้วฉันผิดเหรอไง'
'จากรูปการมันก็น่าจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ'
ทั้งสองเขม่นดวงตาพูดคุยกันอยู่เป็นนานจนทำให้หญิงสาวที่เอ่ยปากท้าประลองเริ่มกระตุกดวงตาด้วยความโกรธ ราวกับว่ากำลังโดนหยามอยู่กรายๆ งานนี้คงต้องเอาให้ตายหรือไม่ก็พิการ รู้จักนักรบหญิงของเลอร์ฮาร์ฟน้อยไปเสียแล้ว
ศึกชิง ชาย ระหว่าง คาริน กับ แม่ทัพไลล่า ยกที่ 1 เริ่มได้
......................................................................................................................
ความคิดเห็น