คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : CHAPTER 17 : จันทราสีเงินยวน
จันทราสีเงินยวน
แสงแดดนี่สาดส่องอยู่มันช่างร้อนแรงเหลือเกิน ร้อนจนทำให้ร่างเล็กต้องเอาหน้าซุกเข้าไปในผ้าให้มากขึ้นอีก เพื่อกันความร้อน
“ฟอลค่อน ใกล้ถึงรึยัง”ดันเต้ตะโกนถามผู้นำ
“ใกล้แล้วทนอีกนิด”ฟอลค่อนตอบ
มิทอสก้มลงมองที่ข้อมือของเธอซึ่งตอนนี้มันเริ่มเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว กางเขญสีดำที่เคยเลือนลางตอนนี้กลับเด่นชัดจนน่ากลัว ถึงแม้ว่าเธอจะกินยามาแล้วก็ตามแต่ความเจ็บคราวนี้มันมากกว่าทุกครั้ง ยาไม่ได้ผลอีกแล้ว หรือว่าเป็นการเตือนว่าเวลาของเธอใกล้หมดแล้ว
มิทอสนั่งอย่าบนอูฐข้างหลังอลิสโอนไปเอนมา อาจจะเป็นเพราะทรายที่พัดเข้ามาทำให้ไม่มีใครเห็นการเปลื่ยนแปลงนี้
ไร้สิ้นเรื่ยวแรงจะยึด มิทอสหลุดออกจากหลังอูฐร่วงหล่นลงไปตามกระแสแรงลม
หมับ!!
มือของชายหนุ่มรั้งร่างของมิทอสเอาไว้ก่อนที่ร่างบางจะหล่นลงไปกระทบพื้นตายซะก่อน
“พี่นิโคไลท์”มิทอสพูดครางชื่อของคนที่ช่วยเธอเอาไว้
“เจ็บแผลเหรอ”ดันเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดขึ้น และอองรีที่มองอยู่ห่างๆก็มีแววตาเป็นห่วงเช่นกัน มิทอสไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าหงึกๆเป็นคำตอบ
นิโคไลท์กระชับร่างบางที่อ่อนแรงเข้ามาในอก ถึงแม้เค้าจะได้ตัวเธอมาแล้วแต่ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นไม่นานเค้าก็ต้องคืนให้กับชายหนุ่มที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ แต่ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นที่เธอจะเป็นของเค้า
“ไม่ไหว เราคงต้องเดินทางกันให้เร็วกว่านี้”โฟร์พูดเมื่อเดินมาตรวจอาการของคนร่างบางที่เกือบตกอูฐ “เราต้องไปถึงภายในวันนี้ไม่งั้นเธออาจไม่รอด”โฟร์พูดอีกครั้งเป็นเชิงยืนยัน
“อีกไม่นานก็จะถึงแล้วล่ะ”ฟอลค่อนพูดขึ้นพร้อมทั้งนำทางต่อ
ยิ่งพวกเค้าเดินทางเข้าใกล้มากเท่าไหร่พายุทรายก็ดูจะโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ทุกคนพยายามเข้าพ้นตรงนั้นไปก็ปลอดภัยแล้วล่ะ”ฟอลค่อนชี้ไปยังเนินด้านหน้า
เมื่อผ่านพ้นเนินมาก็ปรากฎว่าพวกเราถูกแรงดึงเข้ามาในกำแพงใสขนาดใหญ่ที่คลอบเมืองทั้งเมืองไว้คล้ายครึ่งวงกลม ด้านหน้ามีเมืองขนาดใหญ่ที่มีผู้คนอยู่มากมาย เมืองทั้งเมืองสร้างด้วยอิฐสีแดงและตรงกลางของเมืองก็มีปราสาทสีน้ำตาลตั้งเด่นสูงสง่า และที่น่าแปลกใจคือมันไม่ร้อนเหมือนข้างนอก
อองรีเป็นคนเดียวที่ยังมีสติ เค้ารีบเร่งลงจากหลังภาหนะเดินตรงใกล้ๆนิโคไลท์ที่โอบตัวร่างของหญิงคนรักเอาไว้
“ไปที่นั่น”ฟอลค่อนชี้ไปที่ปราสาทหลังงาม เรียกสติคนอื่นๆ
“อืม... เสียงอะไรน่ะ หนวกหู ง่วงนอนจังเลย”แพขนตาสีดำสนิทของร่างบางในอ้อมกอดของนิโคไลท์ค่อยๆลิบหลี่ลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินคือ
“เธอต้องไม่เป็นไรนะ”เสียงทุ้มต่ำของอองรีแต่ครั้งนี้มันกลับไม่เย็นชาเหมือนเคยมันกับฟังดูร้อนเร่งและกระตุกเพราะอองรีกำลังวิ่งขนาบไปกับเธอ
“ไม่ไหวแล้ว....”แล้วทุกอย่างก็เงียบ และมืดลง
..
“หือ??... ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”คารินมองไปรอบๆตัวเธอและพบว่าเธออยู่ที่ห้องสีขาวที่ปูด้วยพรมสีแดงเป็นทางเดิน พนังแต่ละด้านมีรูปภาพของเทพีที่เธอไม่เคยเห็น คารินไม่ได้สนใจในภาพนั้นนัก
“นายหญิงเจ็บท้องแล้ว”เสียงของหญิงสาวหน้าตาตื่นวิ่งมาตามทางเดินด้านหลัง เธอแต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงินและโพกผ้าที่เอวสีขาวดูคล้ายชุดคนใช้
“เอ่อ.. คุณคะ”คารินกลับตัวไปเพื่อไปคุยกับหญิงรับใช้คนนั้น แต่เธอกลับเดินผ่านคารินไป หญิงสาวอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือเธอดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรทั้งๆที่สาวใช้วิ่งผ่านเธอไป ราวกับว่าไม่มีตัวตน
“ป...ไป....ตามนายผู้ชายมาเร็ว”หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักกับหญิงรับใช้อีกคน
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”คารินมองสาวใช้คนนั้นวิ่งกลับไปยังทางที่เธอวิ่งมา คารินเมื่อเห็นดังนั้นจึงวิ่งตามไป เธอสังเกตุว่าตลอดทางมีคนหลายคนที่วิ่งนำเธอไปยังห้องที่อยู่สุดปรายทาง
ประตูห้อง ห้องนั้นทำด้วยสีทองและมีเทพีที่เธอเคยเห็นสลักอยู่ที่ประตูบานนั้น เธอเอื้อมมือขยับลูกบิดประตู เผยให้เห็นห้องที่ตบแต่งด้วยผ้าลินินสีขาวสวยและดอกไม้นานาพันธ์บนแจกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ตัดกับภาพที่เห็นคือ ภาพของหญิงสาวท้องโตนอนครางอยู่บนเตียงและปลายเตียงเธอเห็นชายนัยตาสีดำเหมือนกับผมของเค้าอายุคงราวๆ 5 ขวบได้ยืนอยู่มองดูหญิงที่เจ็บท้องใกล้คลอด
“ที่รักไม่ต้องกลัวนะ หมอมาแล้ว”ชายอีกคนวิ่งเข้ามาในห้องเค้าสวมกายด้วยชุดสูทผ้าเนื้อดีสีดำสนิทดูจากการแต่งตัวคงพึ่งกลับมาจากออกไปข้างนอก
แม่เฒ่าแก่ๆเดินตามหลังเค้าเข้ามาพูดบางอย่างกับชายคนนั้น ชายคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยและเริ่มออกเสียงไล่ทุกคนออกไปข้างนอกรวมทั้งคารินที่เดินออกมาตามมารยาทและเด็กชายตาสีดำคนนั้นด้วย เธอยืนมองดูชายคนนั้นเดินวนไปวนมารอบๆหน้าประตูสีทอง เสียงของหญิงสาวที่เจ็บปวดและทรมานก็ยังคงดังอยู่
ไม่นานเสียงนั้นก็เงียบลงและกลบด้วยเสียงเด็กทารกน้อยๆที่กำลังร้องไห้เสียงดัง ชายคนนั้นไม่รอช้าผลักประตูนั้นเข้าไปทันที ที่เตียงหญิงสาวคนนั้นกำลังนอนอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ขอบคุณที่รัก”ชายคนนั้นก้มลงประทับรอยจูบบนหน้าผากของภรรยา
“เด็กน้อยแข็งแรงดีค่ะ”หญิงเฒ่าคนนั้นอุ้มทารกน้อยที่ถูกห่อด้วยผ้าลินินสีเงินเดินเข้ามาและยื่นให้สู่อ้อมอกของบุคคลที่ได้ชื่อว่าแม่
“มานี่สิลูกมาดูน้อง”หญิงคนนั้นเรียกชายตาสีดำที่ยืนอยู่ข้างเตียงให้เดินไปหา
“ข้าจะตั้งชื่อให้เค้าว่า......”
อี๊ดดดดดดดดดดดด ฟู่
“เสียงอะไรน่ะ”ชายคนนั้นลุกขึ้นและเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อมองหาต้นเสียง “ไม่จริง” ชายคนนั้นผงะออกอย่างตกใจเนื่องด้วยภาพที่เค้าเห็น
คารินเห็นดังนั้นจึงเดินออกไปที่ระเบียงและเห็นดาวตกสีแดงแต่ที่น่าแปลกคือมันกำลังพุ่งขึ้นไม่ใช่ตก
“ดวงดาวแห่งราชันต์”ชายคนนั้นอุทานเสียงดังพร้อมทั้งวิ่งกลับมาที่ลูกน้อย ลูกน้อยที่ตอนนี้ยังไม่แม้แต่จะลืมตา ประกายสีเงินยวนสวยสะท้อนอยู่บนมือขวาของเด็กน้อย
“จันทราสีเงินยวน”มารดาอุทานเสียงสั่นและก้มลงร้องไห้กับร่างของเด็กน้อย
ทันใดนั้นภาพทั้งหมดก็กลายเป็นสีดำมืดสนิท และคารินก็สิ้นสติอีกครั้ง
“อืม.... หิวน้ำจัง”หญิงสาวบนเตียงนุ่มครางออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง เธอมองไปรอบๆแต่ไม่เห็นใครเห็นเพียงแก้วน้ำที่วางอยู่มุมห้อง “ไม่ไหวเดินไม่ไหว จริงสิใช้พลัง”คารินเอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อจะใช้พลังดึงแก้วน้ำมาอยู่ในมือ
เพล้ง
เสียงแก้วน้ำแตกกระจายพร้อมทั้งน้ำที่หกมาละลายโต๊ะ จนโต๊ะไม้แสนสวยกลายเป็นของเหลว
อา....................อ๊ะ
“เจ็บ
ร้อน”คารินยกมือขึ้นกุมอก ร่างของเธอร้อนอย่างกับถูกไฟเผาและเธอก็เริ่มลอยตัวสูงขึ้นเหนือเตียง รังสีสีแดงแผ่ออกจากร่างของเธอคารินกรีดร้อยอย่างเจ็บปวดทุกสิ่งที่แสงสีแดงนั้นไปกระทบจะละลายกลายเป็นของเหลวทันทีและมันก็เริ่มแผ่ออกเรื่อยๆ
“เสียงอะไรน่ะ”ดันเต้ที่ยืนอยู่หน้าห้องผงะอย่างตกใจ
“คาริน”อองรีไม่รอช้าผลักประตูเข้าไปทันที
“เธอเป็นอะไรไปน่ะ”ดันเต้ตะโกนเสียงดัง
“ไม่รู้ แต่เราต้องหยุดเธอ”
“แล้วทำยังไงล่ะเว้ย”
“ไม่รู้”อองรีกัดฟันด้วยความโมโหที่ไม่สามารถทำอะไรได้
“ตัดไฟแต่ต้นลมไงล่ะ”เสียงชายอีกคนพูดขึ้นพร้อมทั้งดึงเอามือของดันเต้ออกจากประตูก่อนที่จะละลายไปกับประตู
“พ่อ มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”ดันเต้หันไปหาชายคนนั้น
“มาเมื่อไหร่ก็ช่างมันเถอะ แต่ข้าไม่อยากให้ปราสาทของข้าเป็นรูโหว่”
“หา!! แล้วจะให้ทำยังไงเล่า”ดันเต้ถาม แต่ผู้เป็นบิดาไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ชี้ไปยังอองรีที่ ตอนนี้เค้ากำลังยกแขนขึ้นบังหน้าและเดินไปหาคาริน
“เฮ้ย”ดันเต้อุทานเสียงดัง
อองรีพยายามเดินเข้าไปใกล้คารินความร้อนจากภายในทำให้เค้ารู้สึกถึงกลิ่นไหม้ที่ตลบอบอวนไปทั่วห้องและรู้สึกแสบๆที่ร่างกาย ทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไปราวกับความร้อนมันเพิ่มมากขึ้นถ้าไม่ได้คาถากันไฟที่เค้าร่ายเอาไว้ป่านนี้ร่างกายเค้าคงละลายเหมือนโต๊ะแสนสวยตัวนั้นแล้ว
“คาริน”อองรีเรียกชื่อเธอเบาๆ และยกดาบในมือขึ้น
“พ่อ ที่บอกว่าตัดไฟแต่ต้นลมน่ะ คงไม่ได้หมายความว่าให้ฆ่าคารินหรอกนะ”ดันเต้หันไปถามพ่อ ผู้ถูกถามไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยักไหล่เล็กน้อย “ไม่จริงน่าพ่อ อองรีมันคงไม่ทำหรอก....”
อองรีเงื้อดาบขึ้นสูงเค้าปักมันลงร่างบางของเธออย่างไม่รีรอ พลังทั้งหมดวูบและกลายเป็นระอองหายไปหมด ร่างบางของสาวน้อยตรงหน้าก็หล่นวูบสู่อ้อมอกของเค้า ไร้ซึ่งเสียงใดๆ
“อองรีแกฆ่าคารินเหรอ”ดันเต้ตะโกนเสียงดังขณะทิ่อองรีดึงดาบออกจากตัวคาริน
โป๊ก
“โอ๊ยพ่อเขกหัวผมทำไม”ดันเต้หันไปด่าพ่อพร้อมทั้งลูบหัวป่อยๆ
“ไอ้ไง่ ไม่รู้ว่าได้เชื้อโง่มาจากใคร แกดูสิว่าในตัวแกมีอะไรหายไป”พ่อตะโกนด่า
“หือ”ดันเต้ก้มลงมองตัวเอง “อะ.. ดาบผ่ามิติหายไป” ดาบผ่ามิติที่เค้าเอามาสะพายข้างเอาไว้เนี่องจากมันเท่ห์กว่าเก็บไว้ในมือ “งั้นก็แปลว่า”ดันเต้ชี้ไปที่ดาบ
“ก็เออสิวะ แกไม่เห็นเหรอว่าไม่มีเลือดซักหยด”พ่อเดินเข้าไปหาอองรีที่อุ้มคารินอยู่ “เดี๋ยวเปลี่ยนห้องใหม่”
“นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย”คารินที่ได้สติพูดขึ้น “แกปล่อยฉันลงได้แล้ว”
อองรีเห็นว่าเจ้าตัวป่วนที่เกือบจะทำลายปราสาททั้งหลังกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วจึงวางเธอลงบนเตียง หญิงสาวมองไปรอบๆห้องและเห็นซากห้องที่ดูยังไงก็คงไม่ใช่สถานที่ที่คนควรอยู่
“เกิดอะไรขึ้น”คารินหันไปถามอีกครั้ง “แล้วคุณเป็นใคร” เธอชี้ไปที่ชายอีกคนที่อยู่ในห้อง
“อ๋อ.. นี่พ่อฉันเอง”ดันเต้ไขข้อข้องใจ “ส่วนเรื่องห้อง ก็เป็นฝีมือเธอไง”
“พ่อนาย.......บ้าน่า....แต่ เดี๋ยวก่อน...ทั้งหมดนี่..ฝีมือฉัน ยังไง”คารินถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
ดันเต้และพ่อก็ผลัดกันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง
“เป็นไปได้ยังไง”คารินอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ
“ก็มันเป็นไปแล้วนี่นา แกก็ดูสภาพห้องเอาเองแล้วกัน”ดันเต้พูดลอยๆขึ้นมาโดยไม่สนใจไอ้ตัวปัญหาที่ตอนนี้นั่งขมวดคิ้วอยู่อย่างสงสัย
“ไม่ใช่ๆ ฉันต้องการเหตุไม่ใช่ผล”คารินหันไปถามดันเต้อีกครั้งซึ่งคนถูกถามก็รู้ทันทีจึงชี้ไปที่พ่อเพื่อโอนเรื่องไปให้คนที่ทำท่าทางเหมือนจะรู้
“เอาล่ะ ก่อนอื่นหนูเรียกลุงว่าพ่อนะ”
“หา!” เสียงอุทานของสาวน้อยตรงหน้า พร้อมหน้าที่ขึ้นระเรื่องสีแดง
“เฮ้ย!” เสียงของเพื่อนซี้อีกคนที่มีศักดิ์เป็นลูก
ตุบ
เสียงของร่างคมคายของคนมีนัยตาสีน้ำเขียวน้ำทะเล ที่มักจะมีมาดเสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนแต่ตอนนี้มันกลับสิ้นท่าอยู่ตรงพื้นสายตาบ่งบอกความซ๊อกไม่รู้ว่าช๊อกเพราะตัวเองตกเก้าอี้ หรือว่าช๊อกเพราะคำพูดแสลงหูของลุง แต่ก็แค่เพียงแป๊ปเดียวเท่านั้นคนมาดมากก็ลุกขึ้นมาปัดฝุ่นออกจากชายกางเกงและลงนั่งที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่สะทกสะท้านกับสายตาของทุกคนในห้อง
“แหะๆๆๆ”เสียงหัวเราะแหยะๆของดันเต้ที่ดังออกมาทำลายความเงียบ
“ต่อสิ”เสียงสั่งเค้มๆของคนชอบสั่งพูดขึ้น
“ฮะๆๆๆๆ อองรี แกตกเก้าอี้ ฮะๆๆๆๆ”เสียงหัวเราะไม่สมหญิงของคนเคยป่วยดังขึ้น ถึงแม้ว่าอองรีจะรู้สึกเคืองๆอยู่เล็กน้อยก็ตาม แต่ถ้ามันหัวเราะได้ขนาดนี้เค้าก็วางใจได้ว่ามันหายดีแล้ว
“แฮ่มๆ เอาล่ะงั้นเรียกลุงว่า.........ลุงฮิวแล้วกันนะจ๊ะ”ลุงฮิวพูดด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะ
“อะฮะ แล้วสรุปเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ไงครับ”คารินหันไปถามลุงฮิวอีกครั้ง
“อืม...ก็ต้องเริ่มจาก ตอนที่เธอมาน่ะ ฉันได้รับฟังเรื่องต่างๆจากดันเต้ว่าเธอโดนคำสาบใช่มั่ย”ลุงฮิวล้มตัวลงนั้งเก้าอี้ตรงกันข้ามกับคารินและมองไม่ยังเธอ
“ใช่ค่ะ”
“แต่ที่ฉันพบคือเธอโดนคำสาบจริงแต่ไม่ใช่หนึ่งเธอโดนถึงสาม”
“หา!!!”
“ชู่”เสียงจุ๊ปากเบาๆของอองรีที่ต้องการเตือนให้สาวเจ้าหยุดขัดซะที ลุงฮิวเมื่อเห็นทุกคนเงียบลงอีกครั้งจึงเริ่มเล่าต่อ
“คำสาบแรกคือ กางเขนดำถึงชื่อจะเป็นอย่างนั้นแต่ความจริงแล้วมันเป็นคำสาบแห่งแสงนะ สองคือdelete ประสิทธิ์ภาพของคำสาบนี้คือกำจัดความสามารถของผู้โดนอย่างเช่นความสามารถทางด้านพลังหรือความสามารถพิเศษอะไรประมาณนี้ และสุดท้ายคือchange คำสาบที่ใช้สำหรับเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการในลักษณะของเธอคือเปลี่ยนจากหญิงกลายเป็นชาย แต่ด้วยความสามารถของดอกไม้ราตรีทำให้เธอพ้นจากคำสาบทั้งหมด”ลุงฮิวถอนหายใจเล็กน้อย
“แปลว่าฉันต้องอยู่ในร่างผู้หญิงไปตลอดเหรอ”คารินตะโกนเสียงดังมองไปยังเพื่อนทั้งสองเพื่อต้องการความคิดเห็น เพื่อนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงยืนยัน “ไม่นะ ก็แปลว่าฉันกลับไปเรียนไม่ได้แล้วล่ะสิ”คารินครางอย่างหมดอาลัย
“แฮ่มๆ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกเพราะฉันสอนคาถาให้กับพ่อหนุ่มคนนั้นแล้วล่ะถ้าเค้าร่ายเวทย์ให้หนูคาริน หนูก็จะสามารถอยู่ในร่างผู้ชายได้แต่ก็สามารถร่ายเวทย์ให้กลับมาเป็นผู้หญิงได้ ส่วนเรื่องเหตุของพลังพวกนี้ลุงคาดว่าเป็นพลังของหนูเองแต่เนื่องจากสภาพร่างกายของหนูเนี่ยไม่เคยรับพลังพวกนี้มาก่อนจึงเกิดการต่อต้านและผลกระทบคือไม่สามารถควบคุมได้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะร่างกายของหนูจะปรับได้เองถึงกระนั้นลุงก็อยากจะให้หนูงดใช้พลังซักเดือนนึงจะดีกว่านะ”ลุงฮิวพูดจบก็บอกให้อองรีสาธิตทการกลับร่างเป็นชายให้คารินดูเพราะเธอมีท่าทีกังกลในเรื่องนี้อยู่มาก
อองรียกคทาไม้สีน้ำตาลขึ้นวางบนหน้าผากของสาวน้อยเบาๆและร่ายคาถา change ทันได้นั้นร่างบางของสาวน้อยก็เปลี่ยนเป็นหนุ่มหน้าหวานแทน
“ว้าว”มิทอสอุทานอย่างตื่นตาตื่นใจพร้อมมองไปยังร่างของตัวเองที่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นผู้ชายอีกครั้ง
“เอาล่ะในเมื่อไม่มีอะไรแล้วลุงว่าพวกหนูลองไปเดินดูเมืองหน่อยดีกว่ามั้ยเมืองนี้ค่อนข้างน่าเที่ยวนะ”พูดจบลุงฮิวก็เดินจากไปทันที
“แกไม่ต้องถามฉันรู้แล้ว”ดันเต้หันไปตอบก่อนที่มิทอสจะถามอะไร “เรื่องก็เป็นอย่างนี้ที่นี่มีประเพณีอยู่ว่าลูกกษัตริย์ทุกคนจะต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกตั้งแต่อายุสองขวบและจะกลับมาได้ก็ต่อเมื่ออายุครบยี่สิบ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่ครบก็คือฉันอยู่ที่นี่ได้มากที่สุดสามวันแล้วต้องรีบเดินทางออกทันที แกไม่ต้องถาม”ดันเต้พูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นเพื่อนหน้าหวานของมันจะถามอีก “ทุกคนแยกย้ายกันไปตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าแกพ้นขีดอันตรายแล้วโฟร์กับอลิสไปดูการแพทย์ของที่นี่ พี่นิโคไลท์ไปเดินดูพวกของฝาก ฟอลค่อนไปเยี่ยมเพื่อนเก่า”ดันเต้ชี้ไปที่ด้านหลังมิทอสที่เคยมีพ่อหนุ่มคมคายนั่งเก้าอี้อยู่ “ส่วนมันไปนอนแล้วเพราะเฝ้าไข้แกมาทั้งคืน มีอะไรจะถามอีกมั้ย”ดันเต้จบลงด้วยคำถาม พร้อมมองไปที่หน้าของมิทอสที่ตอนนี้มันหรี่ตามองเพื่อนที่รู้ใจเธอซะเหลือเกิน
“ก็แกบอกหมดแล้วนี่ เฮ้อ.......... ห้องอาหารไปทางไหน”มิทอสพูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ
“อ้อ ฉันลืมไป มาสิเดี๋ยวฉันพาไป”ดันเต้เดินนำมิทอสออกไปผ่านห้องโถงที่มีคบเพลิงติดอยู่บนผนังทั้งสองข้างทางและตรงออกจากปราสาท “วันนี้เรากินข้างนอกจะดีกว่า”ดันเต้หันไปบอกมิทอส
“อะ.. ขอโทษครับ”มิทอสหันไปขอโทษชายหน้าเหี้ยมที่เธอเดินชน
“เออ”ชายคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างและมองเธอตาขวาง
“อะไรวะ อุตส่าห์ขอโทษ”มิทอสพูดอย่างหัวเสียพร้อมมองตามชายคนนั้น
“เออ.. จะซื้อรึเปล่าวะ”เสียงแม่ค้าที่อยู่ข้างทางพูดขึ้นถึงกับทำให้มิทอสผงะทันที
“กี่วันแล้วนี่ สดรีเปล่า”ชายที่ยืนอยู่หน้าร้านขายปลากระแทกเสียงใส่แม่ค้า
“สดสิวะ”แม่ค้าคนนั้นไม่ลดละกระแทกเสียงส่งบ้าง มิทอสมองอ้าปากค้างกับกริยาท่าทางทั้งหมดไม่เพียงแต่แม่ค้าเท่านั้นแต่แทบจะทุกคนที่พูดด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว
“ฮะๆๆๆๆ ฉันนึกอยู่แล้วว่าแกต้องตกใจ”ดันเต้หันไปมองเพื่อนซี้ของมันที่ทำตาโตเท่าไข่ห่าน “มานี่ ฉันจะเล่าให้ฟัง ที่นี่แตกต่างกับโรคภายนอกทั้งอาชีพ วัฒนธรรมและก็การกระทำ คนที่นี่จะพูดจาอย่างนี้กันทุกคนแหละ เอออีกเรื่องนึง แล้วเชื่อมั้ยสำหรับที่นี่นะการขโมยถือว่าไม่ผิดด้วยล่ะ”พูดจบทั้งคู่ก็มาถึงร้านอาหารพอดี มันเป็นร้านที่ไม่ค่อยหรูนักเป็นร้านไม้ธรรมดาสีน้ำตาลที่มีแต่คนหน้าเหี้ยมๆอยู่ในร้าน จนทำให้พวกมิทอสเป็นกลุ่มคนที่หน้าตาดีที่สุดในร้านอาหารนี้เลยก็ได้
“แกจะกินอะไร”ดันเต้ยื่นเมนูอาหารให้มิทอส “ราแตง” ดันเต้หันไปสั่งบริการสาวหน้าเฮี้ยม
“เอาเนื้อไก่ย่าง”มิทอสสั่งบริการสาวคนเดียวกัน
“เมืองนี้ มีอะไรน่าเที่ยวมั่ง”
“เท่าที่ดูนะ ก็ไม่ค่อยมีหรอก เพราะเมืองนี้ไม่ใช่เมืองที่น่าเที่ยวนัก”
“ก็แหงล่ะเมืองที่มีแต่ขโมย และประชาชนหน้าเฮี้ยมๆ”
“เฮ้ย แต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องเงิน ดาบและเครื่องประดับนะ”
“เรอะ”มิทอสตอบอย่างหน่ายๆ “เฮ้ย จริงด้วยเดี๋ยวกินเสร็จแกพาฉันไปร้านเครื่องประดับหน่อยนะ”
“ไปทำไมวะ”ดันเต้พูดขึ้นพร้อมทั้งยกจานจากถาดของบริการสาวหน้าเฮี้ยม
“เออน่าเดี๋ยวแกก็รู้”มิทอสไม่พูดมากรีบสวาปามเนื้อไก่ย่าง
..
ความคิดเห็น