ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Holy สงครามแห่งแผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #17 : CHAPTER 17 : จันทราสีเงินยวน

    • อัปเดตล่าสุด 27 มี.ค. 50


    จันทราสีเงินยวน

            แสงแดดนี่สาดส่องอยู่มันช่างร้อนแรงเหลือเกิน ร้อนจนทำให้ร่างเล็กต้องเอาหน้าซุกเข้าไปในผ้าให้มากขึ้นอีก เพื่อกันความร้อน

            “ฟอลค่อน ใกล้ถึงรึยังดันเต้ตะโกนถามผู้นำ

            “ใกล้แล้วทนอีกนิดฟอลค่อนตอบ

            มิทอสก้มลงมองที่ข้อมือของเธอซึ่งตอนนี้มันเริ่มเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว กางเขญสีดำที่เคยเลือนลางตอนนี้กลับเด่นชัดจนน่ากลัว ถึงแม้ว่าเธอจะกินยามาแล้วก็ตามแต่ความเจ็บคราวนี้มันมากกว่าทุกครั้ง ยาไม่ได้ผลอีกแล้ว หรือว่าเป็นการเตือนว่าเวลาของเธอใกล้หมดแล้ว

            มิทอสนั่งอย่าบนอูฐข้างหลังอลิสโอนไปเอนมา อาจจะเป็นเพราะทรายที่พัดเข้ามาทำให้ไม่มีใครเห็นการเปลื่ยนแปลงนี้

            ไร้สิ้นเรื่ยวแรงจะยึด มิทอสหลุดออกจากหลังอูฐร่วงหล่นลงไปตามกระแสแรงลม

            หมับ!!

            มือของชายหนุ่มรั้งร่างของมิทอสเอาไว้ก่อนที่ร่างบางจะหล่นลงไปกระทบพื้นตายซะก่อน

            “พี่นิโคไลท์มิทอสพูดครางชื่อของคนที่ช่วยเธอเอาไว้

            “เจ็บแผลเหรอดันเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดขึ้น และอองรีที่มองอยู่ห่างๆก็มีแววตาเป็นห่วงเช่นกัน มิทอสไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าหงึกๆเป็นคำตอบ

            นิโคไลท์กระชับร่างบางที่อ่อนแรงเข้ามาในอก ถึงแม้เค้าจะได้ตัวเธอมาแล้วแต่ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นไม่นานเค้าก็ต้องคืนให้กับชายหนุ่มที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ แต่ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นที่เธอจะเป็นของเค้า

            “ไม่ไหว เราคงต้องเดินทางกันให้เร็วกว่านี้โฟร์พูดเมื่อเดินมาตรวจอาการของคนร่างบางที่เกือบตกอูฐเราต้องไปถึงภายในวันนี้ไม่งั้นเธออาจไม่รอดโฟร์พูดอีกครั้งเป็นเชิงยืนยัน

            “อีกไม่นานก็จะถึงแล้วล่ะฟอลค่อนพูดขึ้นพร้อมทั้งนำทางต่อ

            ยิ่งพวกเค้าเดินทางเข้าใกล้มากเท่าไหร่พายุทรายก็ดูจะโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ

            “ทุกคนพยายามเข้าพ้นตรงนั้นไปก็ปลอดภัยแล้วล่ะฟอลค่อนชี้ไปยังเนินด้านหน้า

            เมื่อผ่านพ้นเนินมาก็ปรากฎว่าพวกเราถูกแรงดึงเข้ามาในกำแพงใสขนาดใหญ่ที่คลอบเมืองทั้งเมืองไว้คล้ายครึ่งวงกลม ด้านหน้ามีเมืองขนาดใหญ่ที่มีผู้คนอยู่มากมาย เมืองทั้งเมืองสร้างด้วยอิฐสีแดงและตรงกลางของเมืองก็มีปราสาทสีน้ำตาลตั้งเด่นสูงสง่า และที่น่าแปลกใจคือมันไม่ร้อนเหมือนข้างนอก

            อองรีเป็นคนเดียวที่ยังมีสติ เค้ารีบเร่งลงจากหลังภาหนะเดินตรงใกล้ๆนิโคไลท์ที่โอบตัวร่างของหญิงคนรักเอาไว้

            “ไปที่นั่นฟอลค่อนชี้ไปที่ปราสาทหลังงาม เรียกสติคนอื่นๆ

            “อืม... เสียงอะไรน่ะ หนวกหู ง่วงนอนจังเลยแพขนตาสีดำสนิทของร่างบางในอ้อมกอดของนิโคไลท์ค่อยๆลิบหลี่ลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินคือ

            “เธอต้องไม่เป็นไรนะเสียงทุ้มต่ำของอองรีแต่ครั้งนี้มันกลับไม่เย็นชาเหมือนเคยมันกับฟังดูร้อนเร่งและกระตุกเพราะอองรีกำลังวิ่งขนาบไปกับเธอ

            “ไม่ไหวแล้ว....แล้วทุกอย่างก็เงียบ และมืดลง

     

    ………………………………………………………………..



            “หือ??... ที่นี่ที่ไหนเนี่ยคารินมองไปรอบๆตัวเธอและพบว่าเธออยู่ที่ห้องสีขาวที่ปูด้วยพรมสีแดงเป็นทางเดิน พนังแต่ละด้านมีรูปภาพของเทพีที่เธอไม่เคยเห็น คารินไม่ได้สนใจในภาพนั้นนัก

            “นายหญิงเจ็บท้องแล้วเสียงของหญิงสาวหน้าตาตื่นวิ่งมาตามทางเดินด้านหลัง เธอแต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงินและโพกผ้าที่เอวสีขาวดูคล้ายชุดคนใช้

            “เอ่อ.. คุณคะคารินกลับตัวไปเพื่อไปคุยกับหญิงรับใช้คนนั้น แต่เธอกลับเดินผ่านคารินไป หญิงสาวอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือเธอดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรทั้งๆที่สาวใช้วิ่งผ่านเธอไป ราวกับว่าไม่มีตัวตน

            “ป...ไป....ตามนายผู้ชายมาเร็วหญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักกับหญิงรับใช้อีกคน

            “นี่มันอะไรกันเนี่ยคารินมองสาวใช้คนนั้นวิ่งกลับไปยังทางที่เธอวิ่งมา คารินเมื่อเห็นดังนั้นจึงวิ่งตามไป เธอสังเกตุว่าตลอดทางมีคนหลายคนที่วิ่งนำเธอไปยังห้องที่อยู่สุดปรายทาง

            ประตูห้อง ห้องนั้นทำด้วยสีทองและมีเทพีที่เธอเคยเห็นสลักอยู่ที่ประตูบานนั้น เธอเอื้อมมือขยับลูกบิดประตู เผยให้เห็นห้องที่ตบแต่งด้วยผ้าลินินสีขาวสวยและดอกไม้นานาพันธ์บนแจกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ตัดกับภาพที่เห็นคือ ภาพของหญิงสาวท้องโตนอนครางอยู่บนเตียงและปลายเตียงเธอเห็นชายนัยตาสีดำเหมือนกับผมของเค้าอายุคงราวๆ 5 ขวบได้ยืนอยู่มองดูหญิงที่เจ็บท้องใกล้คลอด

            “ที่รักไม่ต้องกลัวนะ หมอมาแล้วชายอีกคนวิ่งเข้ามาในห้องเค้าสวมกายด้วยชุดสูทผ้าเนื้อดีสีดำสนิทดูจากการแต่งตัวคงพึ่งกลับมาจากออกไปข้างนอก

            แม่เฒ่าแก่ๆเดินตามหลังเค้าเข้ามาพูดบางอย่างกับชายคนนั้น ชายคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยและเริ่มออกเสียงไล่ทุกคนออกไปข้างนอกรวมทั้งคารินที่เดินออกมาตามมารยาทและเด็กชายตาสีดำคนนั้นด้วย เธอยืนมองดูชายคนนั้นเดินวนไปวนมารอบๆหน้าประตูสีทอง เสียงของหญิงสาวที่เจ็บปวดและทรมานก็ยังคงดังอยู่

            ไม่นานเสียงนั้นก็เงียบลงและกลบด้วยเสียงเด็กทารกน้อยๆที่กำลังร้องไห้เสียงดัง ชายคนนั้นไม่รอช้าผลักประตูนั้นเข้าไปทันที ที่เตียงหญิงสาวคนนั้นกำลังนอนอย่างหมดเรี่ยวแรง

            “ขอบคุณที่รักชายคนนั้นก้มลงประทับรอยจูบบนหน้าผากของภรรยา

            “เด็กน้อยแข็งแรงดีค่ะหญิงเฒ่าคนนั้นอุ้มทารกน้อยที่ถูกห่อด้วยผ้าลินินสีเงินเดินเข้ามาและยื่นให้สู่อ้อมอกของบุคคลที่ได้ชื่อว่าแม่

            “มานี่สิลูกมาดูน้องหญิงคนนั้นเรียกชายตาสีดำที่ยืนอยู่ข้างเตียงให้เดินไปหา

            “ข้าจะตั้งชื่อให้เค้าว่า......


            อี๊ดดดดดดดดดดดด ฟู่



            “เสียงอะไรน่ะชายคนนั้นลุกขึ้นและเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อมองหาต้นเสียงไม่จริงชายคนนั้นผงะออกอย่างตกใจเนื่องด้วยภาพที่เค้าเห็น

            คารินเห็นดังนั้นจึงเดินออกไปที่ระเบียงและเห็นดาวตกสีแดงแต่ที่น่าแปลกคือมันกำลังพุ่งขึ้นไม่ใช่ตก

            “ดวงดาวแห่งราชันต์ชายคนนั้นอุทานเสียงดังพร้อมทั้งวิ่งกลับมาที่ลูกน้อย ลูกน้อยที่ตอนนี้ยังไม่แม้แต่จะลืมตา ประกายสีเงินยวนสวยสะท้อนอยู่บนมือขวาของเด็กน้อย

            “จันทราสีเงินยวนมารดาอุทานเสียงสั่นและก้มลงร้องไห้กับร่างของเด็กน้อย

            ทันใดนั้นภาพทั้งหมดก็กลายเป็นสีดำมืดสนิท และคารินก็สิ้นสติอีกครั้ง

            “อืม.... หิวน้ำจังหญิงสาวบนเตียงนุ่มครางออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง เธอมองไปรอบๆแต่ไม่เห็นใครเห็นเพียงแก้วน้ำที่วางอยู่มุมห้อง ไม่ไหวเดินไม่ไหว จริงสิใช้พลังคารินเอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อจะใช้พลังดึงแก้วน้ำมาอยู่ในมือ

            เพล้ง

            เสียงแก้วน้ำแตกกระจายพร้อมทั้งน้ำที่หกมาละลายโต๊ะ จนโต๊ะไม้แสนสวยกลายเป็นของเหลว

            อา....................อ๊ะ

            “เจ็บร้อนคารินยกมือขึ้นกุมอก ร่างของเธอร้อนอย่างกับถูกไฟเผาและเธอก็เริ่มลอยตัวสูงขึ้นเหนือเตียง รังสีสีแดงแผ่ออกจากร่างของเธอคารินกรีดร้อยอย่างเจ็บปวดทุกสิ่งที่แสงสีแดงนั้นไปกระทบจะละลายกลายเป็นของเหลวทันทีและมันก็เริ่มแผ่ออกเรื่อยๆ

            “เสียงอะไรน่ะดันเต้ที่ยืนอยู่หน้าห้องผงะอย่างตกใจ

            “คารินอองรีไม่รอช้าผลักประตูเข้าไปทันที

            “เธอเป็นอะไรไปน่ะดันเต้ตะโกนเสียงดัง

            “ไม่รู้ แต่เราต้องหยุดเธอ

            “แล้วทำยังไงล่ะเว้ย

            “ไม่รู้อองรีกัดฟันด้วยความโมโหที่ไม่สามารถทำอะไรได้

            “ตัดไฟแต่ต้นลมไงล่ะเสียงชายอีกคนพูดขึ้นพร้อมทั้งดึงเอามือของดันเต้ออกจากประตูก่อนที่จะละลายไปกับประตู

            “พ่อ มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยดันเต้หันไปหาชายคนนั้น

            “มาเมื่อไหร่ก็ช่างมันเถอะ แต่ข้าไม่อยากให้ปราสาทของข้าเป็นรูโหว่

            “หา!! แล้วจะให้ทำยังไงเล่าดันเต้ถาม แต่ผู้เป็นบิดาไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ชี้ไปยังอองรีที่ ตอนนี้เค้ากำลังยกแขนขึ้นบังหน้าและเดินไปหาคาริน

            “เฮ้ยดันเต้อุทานเสียงดัง

            อองรีพยายามเดินเข้าไปใกล้คารินความร้อนจากภายในทำให้เค้ารู้สึกถึงกลิ่นไหม้ที่ตลบอบอวนไปทั่วห้องและรู้สึกแสบๆที่ร่างกาย ทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไปราวกับความร้อนมันเพิ่มมากขึ้นถ้าไม่ได้คาถากันไฟที่เค้าร่ายเอาไว้ป่านนี้ร่างกายเค้าคงละลายเหมือนโต๊ะแสนสวยตัวนั้นแล้ว

            “คารินอองรีเรียกชื่อเธอเบาๆ และยกดาบในมือขึ้น

            “พ่อ ที่บอกว่าตัดไฟแต่ต้นลมน่ะ คงไม่ได้หมายความว่าให้ฆ่าคารินหรอกนะดันเต้หันไปถามพ่อ ผู้ถูกถามไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยักไหล่เล็กน้อย ไม่จริงน่าพ่อ อองรีมันคงไม่ทำหรอก....

            อองรีเงื้อดาบขึ้นสูงเค้าปักมันลงร่างบางของเธออย่างไม่รีรอ พลังทั้งหมดวูบและกลายเป็นระอองหายไปหมด ร่างบางของสาวน้อยตรงหน้าก็หล่นวูบสู่อ้อมอกของเค้า ไร้ซึ่งเสียงใดๆ

            “อองรีแกฆ่าคารินเหรอดันเต้ตะโกนเสียงดังขณะทิ่อองรีดึงดาบออกจากตัวคาริน

            โป๊ก

            “โอ๊ยพ่อเขกหัวผมทำไมดันเต้หันไปด่าพ่อพร้อมทั้งลูบหัวป่อยๆ

            “ไอ้ไง่ ไม่รู้ว่าได้เชื้อโง่มาจากใคร แกดูสิว่าในตัวแกมีอะไรหายไปพ่อตะโกนด่า

            “หือดันเต้ก้มลงมองตัวเองอะ.. ดาบผ่ามิติหายไปดาบผ่ามิติที่เค้าเอามาสะพายข้างเอาไว้เนี่องจากมันเท่ห์กว่าเก็บไว้ในมืองั้นก็แปลว่าดันเต้ชี้ไปที่ดาบ

            “ก็เออสิวะ แกไม่เห็นเหรอว่าไม่มีเลือดซักหยดพ่อเดินเข้าไปหาอองรีที่อุ้มคารินอยู่เดี๋ยวเปลี่ยนห้องใหม่

            “นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ยคารินที่ได้สติพูดขึ้นแกปล่อยฉันลงได้แล้ว

            อองรีเห็นว่าเจ้าตัวป่วนที่เกือบจะทำลายปราสาททั้งหลังกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วจึงวางเธอลงบนเตียง หญิงสาวมองไปรอบๆห้องและเห็นซากห้องที่ดูยังไงก็คงไม่ใช่สถานที่ที่คนควรอยู่

            “เกิดอะไรขึ้นคารินหันไปถามอีกครั้งแล้วคุณเป็นใครเธอชี้ไปที่ชายอีกคนที่อยู่ในห้อง

            “อ๋อ.. นี่พ่อฉันเองดันเต้ไขข้อข้องใจ ส่วนเรื่องห้อง ก็เป็นฝีมือเธอไง

            “พ่อนาย.......บ้าน่า....แต่ เดี๋ยวก่อน...ทั้งหมดนี่..ฝีมือฉัน ยังไงคารินถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

            ดันเต้และพ่อก็ผลัดกันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง

            “เป็นไปได้ยังไงคารินอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ

            “ก็มันเป็นไปแล้วนี่นา แกก็ดูสภาพห้องเอาเองแล้วกันดันเต้พูดลอยๆขึ้นมาโดยไม่สนใจไอ้ตัวปัญหาที่ตอนนี้นั่งขมวดคิ้วอยู่อย่างสงสัย

            “ไม่ใช่ๆ ฉันต้องการเหตุไม่ใช่ผลคารินหันไปถามดันเต้อีกครั้งซึ่งคนถูกถามก็รู้ทันทีจึงชี้ไปที่พ่อเพื่อโอนเรื่องไปให้คนที่ทำท่าทางเหมือนจะรู้

            “เอาล่ะ ก่อนอื่นหนูเรียกลุงว่าพ่อนะ

            “หา!เสียงอุทานของสาวน้อยตรงหน้า พร้อมหน้าที่ขึ้นระเรื่องสีแดง

            “เฮ้ย!เสียงของเพื่อนซี้อีกคนที่มีศักดิ์เป็นลูก

            ตุบ

            เสียงของร่างคมคายของคนมีนัยตาสีน้ำเขียวน้ำทะเล ที่มักจะมีมาดเสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนแต่ตอนนี้มันกลับสิ้นท่าอยู่ตรงพื้นสายตาบ่งบอกความซ๊อกไม่รู้ว่าช๊อกเพราะตัวเองตกเก้าอี้ หรือว่าช๊อกเพราะคำพูดแสลงหูของลุง แต่ก็แค่เพียงแป๊ปเดียวเท่านั้นคนมาดมากก็ลุกขึ้นมาปัดฝุ่นออกจากชายกางเกงและลงนั่งที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่สะทกสะท้านกับสายตาของทุกคนในห้อง

            “แหะๆๆๆเสียงหัวเราะแหยะๆของดันเต้ที่ดังออกมาทำลายความเงียบ

            “ต่อสิเสียงสั่งเค้มๆของคนชอบสั่งพูดขึ้น

            “ฮะๆๆๆๆ อองรี แกตกเก้าอี้ ฮะๆๆๆๆเสียงหัวเราะไม่สมหญิงของคนเคยป่วยดังขึ้น ถึงแม้ว่าอองรีจะรู้สึกเคืองๆอยู่เล็กน้อยก็ตาม แต่ถ้ามันหัวเราะได้ขนาดนี้เค้าก็วางใจได้ว่ามันหายดีแล้ว

            “แฮ่มๆ เอาล่ะงั้นเรียกลุงว่า.........ลุงฮิวแล้วกันนะจ๊ะลุงฮิวพูดด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะ

            “อะฮะ แล้วสรุปเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ไงครับคารินหันไปถามลุงฮิวอีกครั้ง

            “อืม...ก็ต้องเริ่มจาก ตอนที่เธอมาน่ะ ฉันได้รับฟังเรื่องต่างๆจากดันเต้ว่าเธอโดนคำสาบใช่มั่ยลุงฮิวล้มตัวลงนั้งเก้าอี้ตรงกันข้ามกับคารินและมองไม่ยังเธอ

            “ใช่ค่ะ

            “แต่ที่ฉันพบคือเธอโดนคำสาบจริงแต่ไม่ใช่หนึ่งเธอโดนถึงสาม

            “หา!!!

            “ชู่เสียงจุ๊ปากเบาๆของอองรีที่ต้องการเตือนให้สาวเจ้าหยุดขัดซะที ลุงฮิวเมื่อเห็นทุกคนเงียบลงอีกครั้งจึงเริ่มเล่าต่อ

            “คำสาบแรกคือ กางเขนดำถึงชื่อจะเป็นอย่างนั้นแต่ความจริงแล้วมันเป็นคำสาบแห่งแสงนะ สองคือdelete ประสิทธิ์ภาพของคำสาบนี้คือกำจัดความสามารถของผู้โดนอย่างเช่นความสามารถทางด้านพลังหรือความสามารถพิเศษอะไรประมาณนี้ และสุดท้ายคือchange คำสาบที่ใช้สำหรับเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการในลักษณะของเธอคือเปลี่ยนจากหญิงกลายเป็นชาย แต่ด้วยความสามารถของดอกไม้ราตรีทำให้เธอพ้นจากคำสาบทั้งหมดลุงฮิวถอนหายใจเล็กน้อย

            “แปลว่าฉันต้องอยู่ในร่างผู้หญิงไปตลอดเหรอคารินตะโกนเสียงดังมองไปยังเพื่อนทั้งสองเพื่อต้องการความคิดเห็น เพื่อนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงยืนยัน ไม่นะ ก็แปลว่าฉันกลับไปเรียนไม่ได้แล้วล่ะสิคารินครางอย่างหมดอาลัย

            “แฮ่มๆ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกเพราะฉันสอนคาถาให้กับพ่อหนุ่มคนนั้นแล้วล่ะถ้าเค้าร่ายเวทย์ให้หนูคาริน หนูก็จะสามารถอยู่ในร่างผู้ชายได้แต่ก็สามารถร่ายเวทย์ให้กลับมาเป็นผู้หญิงได้ ส่วนเรื่องเหตุของพลังพวกนี้ลุงคาดว่าเป็นพลังของหนูเองแต่เนื่องจากสภาพร่างกายของหนูเนี่ยไม่เคยรับพลังพวกนี้มาก่อนจึงเกิดการต่อต้านและผลกระทบคือไม่สามารถควบคุมได้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะร่างกายของหนูจะปรับได้เองถึงกระนั้นลุงก็อยากจะให้หนูงดใช้พลังซักเดือนนึงจะดีกว่านะลุงฮิวพูดจบก็บอกให้อองรีสาธิตทการกลับร่างเป็นชายให้คารินดูเพราะเธอมีท่าทีกังกลในเรื่องนี้อยู่มาก

            อองรียกคทาไม้สีน้ำตาลขึ้นวางบนหน้าผากของสาวน้อยเบาๆและร่ายคาถา change ทันได้นั้นร่างบางของสาวน้อยก็เปลี่ยนเป็นหนุ่มหน้าหวานแทน

            “ว้าวมิทอสอุทานอย่างตื่นตาตื่นใจพร้อมมองไปยังร่างของตัวเองที่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นผู้ชายอีกครั้ง

            “เอาล่ะในเมื่อไม่มีอะไรแล้วลุงว่าพวกหนูลองไปเดินดูเมืองหน่อยดีกว่ามั้ยเมืองนี้ค่อนข้างน่าเที่ยวนะพูดจบลุงฮิวก็เดินจากไปทันที

            “แกไม่ต้องถามฉันรู้แล้วดันเต้หันไปตอบก่อนที่มิทอสจะถามอะไรเรื่องก็เป็นอย่างนี้ที่นี่มีประเพณีอยู่ว่าลูกกษัตริย์ทุกคนจะต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกตั้งแต่อายุสองขวบและจะกลับมาได้ก็ต่อเมื่ออายุครบยี่สิบ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่ครบก็คือฉันอยู่ที่นี่ได้มากที่สุดสามวันแล้วต้องรีบเดินทางออกทันที แกไม่ต้องถามดันเต้พูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นเพื่อนหน้าหวานของมันจะถามอีกทุกคนแยกย้ายกันไปตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าแกพ้นขีดอันตรายแล้วโฟร์กับอลิสไปดูการแพทย์ของที่นี่ พี่นิโคไลท์ไปเดินดูพวกของฝาก ฟอลค่อนไปเยี่ยมเพื่อนเก่าดันเต้ชี้ไปที่ด้านหลังมิทอสที่เคยมีพ่อหนุ่มคมคายนั่งเก้าอี้อยู่ส่วนมันไปนอนแล้วเพราะเฝ้าไข้แกมาทั้งคืน มีอะไรจะถามอีกมั้ยดันเต้จบลงด้วยคำถาม พร้อมมองไปที่หน้าของมิทอสที่ตอนนี้มันหรี่ตามองเพื่อนที่รู้ใจเธอซะเหลือเกิน

            “ก็แกบอกหมดแล้วนี่ เฮ้อ.......... ห้องอาหารไปทางไหนมิทอสพูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ

            “อ้อ ฉันลืมไป มาสิเดี๋ยวฉันพาไปดันเต้เดินนำมิทอสออกไปผ่านห้องโถงที่มีคบเพลิงติดอยู่บนผนังทั้งสองข้างทางและตรงออกจากปราสาทวันนี้เรากินข้างนอกจะดีกว่าดันเต้หันไปบอกมิทอส

            “อะ.. ขอโทษครับมิทอสหันไปขอโทษชายหน้าเหี้ยมที่เธอเดินชน

            “เออชายคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างและมองเธอตาขวาง

            “อะไรวะ อุตส่าห์ขอโทษมิทอสพูดอย่างหัวเสียพร้อมมองตามชายคนนั้น

            “เออ.. จะซื้อรึเปล่าวะเสียงแม่ค้าที่อยู่ข้างทางพูดขึ้นถึงกับทำให้มิทอสผงะทันที

            “กี่วันแล้วนี่ สดรีเปล่าชายที่ยืนอยู่หน้าร้านขายปลากระแทกเสียงใส่แม่ค้า

            “สดสิวะแม่ค้าคนนั้นไม่ลดละกระแทกเสียงส่งบ้าง มิทอสมองอ้าปากค้างกับกริยาท่าทางทั้งหมดไม่เพียงแต่แม่ค้าเท่านั้นแต่แทบจะทุกคนที่พูดด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว

            “ฮะๆๆๆๆ ฉันนึกอยู่แล้วว่าแกต้องตกใจดันเต้หันไปมองเพื่อนซี้ของมันที่ทำตาโตเท่าไข่ห่านมานี่ ฉันจะเล่าให้ฟัง ที่นี่แตกต่างกับโรคภายนอกทั้งอาชีพ วัฒนธรรมและก็การกระทำ คนที่นี่จะพูดจาอย่างนี้กันทุกคนแหละ เอออีกเรื่องนึง แล้วเชื่อมั้ยสำหรับที่นี่นะการขโมยถือว่าไม่ผิดด้วยล่ะพูดจบทั้งคู่ก็มาถึงร้านอาหารพอดี มันเป็นร้านที่ไม่ค่อยหรูนักเป็นร้านไม้ธรรมดาสีน้ำตาลที่มีแต่คนหน้าเหี้ยมๆอยู่ในร้าน จนทำให้พวกมิทอสเป็นกลุ่มคนที่หน้าตาดีที่สุดในร้านอาหารนี้เลยก็ได้

            “แกจะกินอะไรดันเต้ยื่นเมนูอาหารให้มิทอส ราแตงดันเต้หันไปสั่งบริการสาวหน้าเฮี้ยม

            “เอาเนื้อไก่ย่างมิทอสสั่งบริการสาวคนเดียวกัน

            “เมืองนี้ มีอะไรน่าเที่ยวมั่ง

            “เท่าที่ดูนะ ก็ไม่ค่อยมีหรอก เพราะเมืองนี้ไม่ใช่เมืองที่น่าเที่ยวนัก

            “ก็แหงล่ะเมืองที่มีแต่ขโมย และประชาชนหน้าเฮี้ยมๆ

            “เฮ้ย แต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องเงิน ดาบและเครื่องประดับนะ

            “เรอะมิทอสตอบอย่างหน่ายๆ เฮ้ย จริงด้วยเดี๋ยวกินเสร็จแกพาฉันไปร้านเครื่องประดับหน่อยนะ

            “ไปทำไมวะดันเต้พูดขึ้นพร้อมทั้งยกจานจากถาดของบริการสาวหน้าเฮี้ยม

            “เออน่าเดี๋ยวแกก็รู้มิทอสไม่พูดมากรีบสวาปามเนื้อไก่ย่าง

     

    ………………………………………………………………..

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×